มู่เวยเวยไม่ได้หันมองทางไหน “อาหารที่ฉันชอบทานฉันสั่งไปแล้วห้าอย่าง คุณยังต้องการจะสั่งอะไรเพิ่มอีกไหม?”
“ไม่ต้อง อาหารที่เธอสั่ง ฉันทานได้”
และมู่เวยเวยก็ถามเฉียวซินโยว“คุณเฉียวล่ะ?มีอะไรที่อยากจะทานไหม?”
“ไม่ต้องหรอก”
มู่เวยเวยพยักหน้าแสดงว่าเป็นอันตกลงและพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า“อาหารห้าอย่างน่าจะพอ”
“ถ้าไม่พอล่ะก็ รอสักพักค่อยสั่งเพิ่ม”เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน
“ได้สิ ไหนไหนก็เป็นเงินของประธานเย่”มู่เวยเวยเปิดฝาขวดนมเปรี้ยวและรินลงแก้วของตัวเอง เธอเหลือบไปมองเฉียวซินโยวพร้อมกับถามขึ้นว่า“คุณเฉียวพึ่งจะกลับมาถึงเมืองAหรอ?”
“ใช่ พึ่งกลับมาถึง”
มู่เวยเวยถามด้วยความห่วงใย“อย่างนั้นคุณพักอยู่ที่ไหน?”
เฉียวซินโยวมองไปทางเย่ฉ่าวเฉิน“พักชั่วคราวที่โรงแรม ฉันยังไม่ได้หาที่พัก”
“ถ้างั้นงานของคุณล่ะ?ทำที่ไหน”มู่เวยเวยมีท่าทางราวกับเด็กน้อยที่มีความสงสัย
“แต่ก่อนฉันทำงานที่บรฺษัทของฉ่าวเฉิน ตอนนี้……”และเฉียวซินโยวก็มองที่เย่ฉ่าวเฉินอีกครี้ง เมื่อเห็นว่าเขายังไม่พูดอะไร เธอเลยพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า“ตอนนี้กำลังเตรียมตัวที่จะหางาน”
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง”มู่เวยเวยหันหลับไปมองเย่ฉ่าวเฉิน สายตาปนความเย้าหยอก“ในเมื่อเฉียวซินโยวก็เป็นเพื่อนของคุณ เรื่องหางานในบริษัทเย่ฮวางให้เธอสักตำแหน่งคงไม่อยาก”
แววตาของเฉียวซินโยวเป็นประกายขึ้นด้วยความดีใจ แต่ใครจะรู้ว่าไม่กี่วินาทีจากนั้นจะได้ยินเสียงของเย่ฉ่าวเฉินพูด“ตอนนี้บริษัทของเรายังไม่มีการกำหนดรับพนักงาน ถ้าหากว่าคุณเฉียวต้องการ ฉันรู้จักเจ้าของบริษัทหลายท่าน สามารถแนะนำเธอให้กับพวกเขาได้”
เฉียวซินโยวเกิดความรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน เย่ฉ่าวเฉินทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นคนที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกอย่างนี้
“ฉ่าวเฉิน ฉัน……ฉันชอบเมื่อก่อนตอนที่ยังทำงานในแผนกออกแบบ ฉันอยากกลับไปทำต่อไม่ได้หรอ?”เธอพยายามสู้ต่อ การที่ได้กลับมาที่นี่มันไม่เรื่องง่ายๆเลย หากว่าเธอไม่ได้อยู่ข้างๆกายของเขา อย่างั้นแล้วเธอจะยังเหลือโอกาสอะไร?
บริษัทของเย่ฉ่าวเฉินทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบและไม่มีเรื่องเส้นสาย“ก่อนหน้านี้แผนกออกแบบได้เปิดรับสมัครนักออกแบบไปสองตำแหน่ง ตอนนี้คงจะเต็มแล้ว”เขาไม่คิดที่จะให้เฉียวซินโยวกลับมาในบริษัทแล้ว หากว่ามู่เวยเวยรู้ กลัวว่าจะเกิดการผิดใจกันขึ้นมาอีก
คนที่สึกสบายอกสบายใจที่นั่งอยู่ทางด้านข้าง ยกแก้วขึ้นมาจิบครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ้มจนดวงตากลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
เฉียวซินโยวมองเย่ฉ่าวเฉินด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและพูดอย่างอ่อนโยนว่า“ฉ่าวเฉิน ตอนที่ฉันได้รับบาดเจ็บหนักเกือบจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา ในใจของฉันคิดถึงแต่คุณมันถึงทำให้ฉันผ่านความเจ็บปวดในช่วงนั้นมาได้ คุณคือแรงบรรดาลใจที่ทำให้ฉันมีเรียวแรงลุกขึ้นมา ฉ่าวเฉินฉันรู้ว่าคนที่นายรักคือเวยเวย เธอว่างใจได้ฉันจะไม่รบกวบเรื่องราวในชีวิตของพวกคุณ ฉันต้องการเพียงแค่อยากมองเห็นคุณจากที่ไกลๆแค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว ได้ไหม?”
มู่เวยเวยหมดคำที่จะพูดจริงๆ ในใจรู้สึกนับถือในความหน้าด้านของเฉียวซินโยว เธอเป็นคนนอกยังจะมาเสนอหน้านั่งอยู่ตรงนี้อีก เฉียวซินโยวสารภาพความในใจออกมา เธอคนนี้ร้ายกาจจริงๆ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของเย่ฉ่าวเฉิน“เฉียวซินโยว ฉันกับเวยเวยผ่านเรื่องราวที่ทุกข์ทรมานมามากแล้ว ดังนั้น ฉันไม่ต้องการให้มู่เวยเวยเข้าใจผิดอะไรอีก หากว่าเธอเข้ามาทำงานในเย่ฮวางมู่เวยเวยต้องไม่มีความสุขเป็นแน่”
น้ำตาของเฉียวซินโยวสักพักก็ไหลลงมา พร้อมกับสะอึกสะอื้น“ฉ่าวเฉิน ในใจของเธอมีเพียงแค่เวยเวยอย่างนั้นหรอ?แต่ว่าฉันก็ได้ให้สิ่งที่มีค่าที่สุดของฉันกับคุณนะ”
“แคกๆๆ——”มู่เวยเวยที่กำลังนั่งดูละครฉากนี้เกิดสำลักนมเปรี้ยวและไอแห้งๆอย่างรุนแรงขึ้นมา เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือออกไปตบเบาๆที่หลังของเธอโดยอัติโนมัติ“เธอดื่มช้าๆหน่อย ใครจะไปแย่งเธอ”
เมื่ออาการไอของมู่เวยเวยหยุดลง เธอยิ้มและพูดขึ้นว่า“ไม่ใช่ ฉันคิดว่ามันน่าสนใจมาก เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นผู้หญิงเป็นคนเข้ามาขอเป็นเมียน้อยด้วยตัวเอง มันเป็นความรู้ใหม่จริงๆ”
เฉียวซินโยวหน้าแดงก่ำไปหมดและพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า “คุณฉู่ กรุณาเคารพฉันด้วย มีตอนไหนที่ฉันพูดว่าอยากเป็นเมียน้อย?เธอไม่รู้หรอกว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเรา?”
มู่เวยเวยหัวเราะด้วยความเย็นชาพร้อมกับมองหน้าของเฉียวซินโยว“ฉันไม่รู้หรอก และก็ไม่ต้องการที่จะรู้ แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันคิดมันไม่น่าจะผิด หรือว่าเมื้อกี้เธอไม่ได้พูดว่าแค่ต้องการมองประธานเย่จากที่ไกลๆอย่างนั้นหรอ?”
เธอหยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดปาก และมองไปทางเฉียวซินโยว“เธอแน่ใจว่าต้องการเพียงแค่มองหรอ?ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว เธอทำไมไม่ถ่ายเอารูปของประธานเย่ไปซะเลยล่ะ ถ้าวันไหนอยากจะมองเขาก็หยิบเอารูปขึ้นมาดู อย่างนี้แล้วก็จะไม่เป็นการส่งผลกระทบกับความสามัคคีของครอบครัวประธานเย่ และพวกเราก็จะได้เข้าใจถึงความเสียสละของเธอ เธอคิดว่าความคิดของฉันเป็นยังไงบ้าง ?”
“ขอบคุณคุณฉู่สำหรับความเห็น แต่ว่าเรื่องของฉันคงไม่ต้องการขอความเห็นจากคุญหรอก ”เฉียวฉินโยวถูกเธอรู้ทัน ใจในของเธอรู้สึกโมโหมาก ถ้าหากว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอคงจะเข้าไปจัดการฉีกปากที่มันพูดกระแนะกระแหนของมู่เวยเวยเป็นแน่
แต่มู่เวยเวยก็ยิ้มท่าทางราวกับลมดูในฤดูใบไม้ผลิที่พัดเย็นสบาย“อ้อ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันแค่อยากจะเสนอความคิดให้กับคุณก็เท่านั้น ”
เฉียวซินโยวกัดริมฝีปาก น้ำตาของเธอเริ่มไหลพรากๆลงมา เย่ฉ่าวเฉินเห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร จึงดึงกระดาษออกมาและส่งให้เธอ “อย่าร้องเลย”
“ฉ่าวเฉิน แต่ก่อนฉันหลงขึ้นเรือผิดลำ และฉันคนนั้นก็ได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง หรือว่าคุณจะโหดเหี้ยมขนาดที่จะทนมองดูฉันตกต่ำได้หรือ?”เฉียวซินโยวทั้งร้องทั้งพูดขึ้นด้วยความสะอึกสะอื้น ฉันเห็นเธอแล้วก็อดสงสารไม่ได้
ฉ่าวเฉินขมวดและไม่พูดไม่จาอะไร มู่เวยเวยก็ไม่สนใจเชิดหน้าขึ้นสูงเล่นโทรศัพท์รออาหารให้ขึ้นโต๊ะ ในเวลานี้ก็เหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของหญิงคนหนึ่ง
“เธออยากทำงานอะไร?”เสียงร้องของเธอทำให้เย่ฉ่าวเฉินเกิดความลำคาญใจจึงเอ่ยปากถามเธอขึ้น
เฉียวซินโยวมองเห็นโอกาสเล็กๆขึ้นมาทันที สายตาของเธอเป็นประกายขึ้น เดิมทีต้องการจะพูดว่าหากได้อยู่ข้างๆคุณจะให้ฉันทำอะไรก็ยอม แต่ก็กลัวว่าเขาจะรู้สึกลำคาญ จึงพูดไปแบบถ่อมตัวว่า“ฉันเรียนออกแบบเสื้อผ้ามา ทำเป็นแค่งานด้านนี้”
เย่ฉ่าวเฉินพยัก เขาล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาปัดหน้าจอค้นหารายชื่อผู้ติดต่อสักพัก เมื่อหาเจอแล้วก็ทำการโทรออก “ฮาโหล ประธานเฉิน ผมคือเย่ฉ่าวเฉิน……ผมมีเด็กที่พึ่งจะเรียนจบ เธอเรียนด้านการออกแบบเสื้อผ้า ทางคุณมีงานที่เหมาะสมอยู่ไหม?……ได้ ผมจะให้เธอไปหาคุณในวันพรุ่งนี้……ไม่ ไม่ต้องเห็นแก่หน้าผม ให้ทำตามกฎของบริษัทคุณได้เลย……อืม อืม ได้ มีเวลาว่างพวกเราค่อยเจอกัน แล้วพบกัน”
เมื่อวางสายโทรศัพท์ สมองเฉียวซินโยวไม่สามารถคิดอะต่อได้แล้ว อีกทั้งมู่เวยเวยที่นั่งอยู่ทางด้านข้างอีกนิดเดียวก็จะเผลอหัวเราะออกมา
เธอยังแอบคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินคงจะใจอ่อนรับเธอเข้าทำงานที่เย่ฮวาง แต่ครั้งนี้เขากลับเป็นคนหางานให้เธอเสร็จเรียบร้อยไปซะอย่างนั้น
“พรุ่งนี้ก็ไปที่บริษัทอีตู้เพื่อรายงานตัวได้เลย บริษัทของพวกเขามีหอพักพร้อมให้กับพนักงาน เธอสามารถทำเรื่องขอได้ อย่างนี้ก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่ของเธอได้แล้ว”เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยสีหน้านิ่งสงบ ราวกับว่าเฉียวซินโยวเป็นแค่เพื่อนธรรมดาของเขาเท่านั้น
เฉียวซินโยวงงตาค้าง เธอยังสามารถจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
เรื่องนี้ทั้งตัวเธอและหนานกงเฮ่าต่างคิดไม่เหมือนกัน อาหารมื้อนี้มีทั้งคนมีความสุขและคนที่เศร้าใจ
เพราะมู่เวยเวยอารมณ์ดี อาหารก็เป็นอาหารที่เธอชอบ เธอจึงทานข้าวสวยที่มีอยู่ล้นถ้วยจนหมด
เมื่อทานอาหารเสร็จก็เช็กบิล และทั้งสามคนก็เดินออกจากร้านไป
เฉียวซินโยวเดินตามเย่ฉ่าวเฉินมาติดๆ เธอมองมู่เวยเวยและคิดอยากที่จะแยกให้เธอออกไปจึงถามเธอว่า“คุณฉู่ตอนนี้จะไปไหน?”
“กลับบ้าน อาการร้อนๆแบบนี้เหมาะที่จะตากแอร์อยู่ที่บ้าน”
เฉียวซินโยวกำลังจะพูดขึ้นว่าค่อยๆกลับงั้นฉันไม่ส่ง แต่แล้วเย่ฉ่าวเฉินกลับพูดต่อจากเธอขึ้นมาว่า“ฉันจะไปส่งเธอกลับบ้าน”
มู่เวยเวยไม่เข้าใจจึงเงยหน้าขึ้นมามองเย่ฉ่าวเฉิน “อยู่แค่ข้างหน้านี่เอง คุณไม่ต้องไปส่งฉันหรอก”
“ฉันรู้ ฉันส่งเธอกลับเสร็จ และจะเอาร่มกลับมาด้วย”เย่ฉ่าวเฉินชี้ไปที่ร่มที่ในมือของเธอ
“อ้ออ้อ~ฉันลืมไปเลย อันนี้เป็นร่มของพนักงานสาวต้อนรับ”มู่เวยเวยหันข้างไปมองเฉียวซินโยวที่มีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“คุณเฉียวล่ะ?จะไปที่ไหน?”
“ฉันจะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแถวนี้”เธอพูดขึ้นอย่างเมินเฉย
“งั้นไว้พบกันใหม่นะ”มู่เวยเวยโพกมือลาและกางร่มขึ้นพร้อมกับเดินออกไปท่ามกลางแสงของดวงอาทิตย์
“ฉันไปก่อน”เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะหันกลับไปก็ถูกเฉียวซินโยวดึงแขนไว้
“ฉ่าวเฉิน ถ้าหากฉันมีเรื่องลำบาก ฉันจะโทรหาคุณได้ไหม?”เฉียวซินโยวมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการรอคอย
เย่ฉ่าวเฉินแอบถอนหายใจอยู่ข้างใน เขาคิดอยากจะตัดขาดไปเลย แต่นึกเมื่อถึงเรื่องนั้นที่เป็นความทรงจำดีๆหว่างเขากับเธอขึ้นมาได้ เขาจึงพูดออกไปอย่างนิ่มนวลว่า“เฉียวซินโยว ฉันคิดว่าพวกเราอย่าติดต่อกันอีกเลย แต่หากว่าวันไหนที่คุณลำบาก คุณก็สามารถโทรหาผมได้”
เมื่อพูดเสร็จ เขาก็สลัดมือของเธอออกเบาๆ และรีบเดินตามหญิงสาวที่กางร่มไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางแสงแดด เย่ฉ่าวเฉินเดินอยู่ทางด้านข้างของเธอ ยิ้มให้กับเธอพร้อมกับพูดอะไรขึ้นมาสักประโยคหนึ่ง หญิงสาวหลบออกไปทางด้านข้างสองสามก้าวและได้ตอบกลับมาชายหนุ่ม ชายหนุ่มไม่ได้มีทีท่าโกรธ กลับต้องจำใจเดินท่ามกลางแสงแดดที่มีดวงอาทิตย์อยู่บนศีรษะเพื่อเดินเป็นเพื่อนเธอไปทางด้านหน้า
เมื่อเห็นฉากนี้ หัวใจของเฉียวซินโยวเหมือนกับถูกไฟเผา ทำไม?ทำไมเธอผ่านความยากลำบากทุกข์ทรมานมามากมายก็เพื่อต้องการที่จะกลับมาอยู่เคียงข้างเขา แต่สิ่งที่เธอได้ตอบแทนกลับมาคือคำพูดของเขาหนึ่งประโยค“ไม่ต้องติดต่อกันแล้ว”อีกทั้งมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เห็นๆเลยว่าเธอไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ก็สามารถที่จะเอาชนะได้รับความห่วงใยและมีค่าในสายตาของเขา?
นั่นเป็นเพราะว่าฉู่เหยียนมีหน้าตาที่คล้ายกับมู่เวยเวยหรอ?
เฉียวซินโยวหัวเราะอย่างเย็นชา ฉู่เหยียน ก็เพราะเธออยู่เหนือกว่าฉันไง และเธอก็เป็นจุดอ่อนที่สุด ฉันไม่เชื่อหรอกว่า เธอที่เป็นคุณหนูสูงศักดิ์จะยินยอมเป็นตัวแทนของคนอื่นแบบนี้
พวกเรามาลองดูกัน
เมื่อถึงด้านล่างของอาพาร์ทเม้นต์ มู่เวยเวยเอาร่มส่งให้กับเย่ฉ่าวเฉินและเขาถามเธอว่า“คุณไม่แปลกใจหรอว่าฉันกับฉียวซินโยวมี ความสัมพันธ์กันอย่างไร?”
มู่เวยเวยชำเลืองตามองเขา “คุณเย่ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ ฉันก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรพวกนั้น แต่ว่าขอโทษที่ฉันต้องพูดตามตรง ผู้หญิงอย่างคุณเฉียวตามถนนมีอยู่เยอะแยะมากมาย คุณทำไมถึงได้ชอบผู้หญิงแบบนั้น?”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ในใจของมู่เวยเวยคิดสงสัยมาตลอด
“ฉันกับเขาไม่เคยคบกันมาก่อน”เย่ฉ่าวเฉินยอมรับเต็มปาก
“ชิ เมื่อกี้คุณเฉียวพูดออกมาหมดแล้วว่าเธอเอาสิ่งสำคัญที่สุดของผู้หญิงมอบให้กับคุณแล้ว คุณยังจะพูดว่าไม่เคยคบกัน ?เย่ฉ่าวเฉิน เป็นลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับจริงไหม”
เย่ฉ่าวเฉินจำใจ“อันที่จริงแล้วเรื่องนี้……มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว หากว่าตอนนั้นฉันไม่ไปโรงแรมนั่น ก็คงไม่ต้องถูกใครมาทำร้าย และก็คงจะไม่ต้องเจอกับเฉียวซินโยว……เรื่องนี้มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ผลท้ายสุดจะให้มันจะออกมาดีได้ยังไง ?”
เมื่อหูของมู่เวยเวยได้ยินคำว่าโรงแรมสองคำ หัวใจตึกตักๆเต้นขึ้นมาและถามเขาต่อว่า“คุณเจอกับคุณเฉียวที่โรงแรมหรอ?”
“ใช่ นั่นเป็นครั้งแรกที่เจอเธอ……”เย่ฉ่าวเฉินพูดถึงตรงนี้พร้อมกับก้มหน้ามองเธอ “เธอไม่ได้บอกว่าไม่คุยเรื่องของคนอื่นหรอ?ทำไมถึงได้สนใจเรื่องเฉียวซินโยวขึ้นมาล่ะ?”
มู่เวยเวยรีบเก็บความรู้สึกสงสัยของเธอไว้ทันที เหอะๆหัวเราะออกมาสองครั้ง และบอกให้เขารู้ล่วงหน้าว่า “อย่าว่าฉันที่พูดว่าเพื่อนของคุณไม่ดี วันนี้เธอมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ไม่แน่ว่าอาจคิดว่าฉันเป็นคู่ต่อสู่ของเธอไปแล้วก็ได้ ฉันอยากบอกกับคุณไว้ล่วงหน้า ถ้าวันหลังเธอบุกมาหาฉัน และฉันลงมือทำเรื่องอะไรไม่ดีกับเธอไป คุณเย่ถึงเวลานั้นคุณอย่าเกิดความสงสารเธอขึ้นมาล่ะ ”
เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงเรื่องแต่ก่อนที่เฉียวซินโยวทำลงไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาขมวดคิ้วและพูดว่า“ไม่อย่างนั้นฉันจะให้บอดี้การ์ดมาคุ้มกันเธอ?”
มู่เวยเวยปฏิเสธขึ้นทันที “ไม่ต้อง คนของพ่อฉันตามดูแลฉันอยู่ ฉันกลัวว่าตัวเองต่างหากที่จะเป็นคนทำร้ายเธอ”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปรอบๆทั้งสีด้าน เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ“ฉันกับซินโยวตอนนี้เราไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้ว เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองสิ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็สบายใจแล้ว”เมื่อมู่เวยเวยถามไม่ได้ความอะไรเพิ่ม เธอจึงโพกมือให้กับเขา“ฉันจะขึ้นไปข้างบนแล้ว”
“ได้ ไว้เจอกัน”
เย่ฉ่าวเฉินใช้สายตามองจนเห็นเธอเข้าลิฟท์ เขารอจนแน่ใจแล้วว่ามองไม่เห็นเธอเขาจึงหันหลับจากไป
“จางเห่อ จัดหาคนสองคนให้มาแอบตามดูฉู่เหยียน”
“คุณชาย แค่จับตามองใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ มาคุ้มครองเธอ”เย่ฉ่าวเฉินนิ่งไปพึกแล้วพูดขึ้นว่า“เฉียวซินโยวยังมีชีวิตอยู่ เธอกลับมาแล้ว”
เสียงของโทรศัพท์ปลายสายเงียบไปสักพัก เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงหายใจเข้าลึกเฮือกของจางเห่อด้วยความประหลาดใจ และเขาก็ถามขึ้นว่า “คุณชาย คุณพูดว่าเฉียวซินโยวหรอ?”
“หูของนายไม่ได้ฟังผิดไปหรอก”
“เธอไม่ใช่ตายไปแล้วหรอ?ทำไมยังมีชีวิตอยู่……”
เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากฟังคำพูดที่ไม่เป็นประโยชน์ที่เกิดจากความประหลาดใจของเขา“เรื่องที่ฉันพูดไปเมื่อกี้ให้รีบไปจัดการ อย่าให้เฉียวซินโยวทำร้ายฉู่เหยี่ยนได้”
“อ้ออ้อ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินจะว่างสายโทรศัพท์ ยังได้ยินเสียงเขาพูดเบาๆที่ปลายสาย“ไม่ใช่ตายไปแล้วหรอ……”
หน้าผาตั้งสูงชัน เฉียวซินโยวก็ยังมีชีวิตกลับมาได้ สวรรค์คุณคิดที่จะทำอะไร?
ขณะนั้น มู่เวยเวยที่อยู่ในอาพาร์ทเม้นต์เธอกำลังคิดเรื่องๆหนึ่งอยู่
โรงแรมนานาชาติCKในคืนนั้น แท้จริงแล้วคือหนานกงเฮ่าหรือว่าเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินเล่าว่าเขาเจอกับเฉียวซินโยวที่โรงแรม ประกอบกับเรื่องที่เฉียวซินโยวเอารูปที่ถูกจัดฉากพวกนั้นออกมา ดังนั้นรื่องก็ประจวบเหมาะกันพอดี แต่วันนั้นเธอถูกผู้ชายเลวๆหลอกไปที่โรงแรม และเฉียวซินโยวก็อยู่ที่มหาลัย ยังมีรูปภาพที่ถูกจัดฉากใบนั้น……
ถ้าอย่างนั้นคำตอบก็ หา มู่เวยเวยเอามือปิดที่ปากของตัวเองไว้ ดั้งนั้นชายคนนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่หนานกงเฮ่า แต่เป็นเย่ฉ่าวเฉิน
หนานกงเฮ่าพูดโกหก?
มู่เวยเวยนอนครุ่นคิดอยู่บนเตียง ผลที่เธอสันนิษฐานออกมาจากหลักฐานต่างๆทำให้เธอถึงกับตกใจ อย่างนั้นก็แปลว่า คนที่พรากเอาความบริสุทธิ์ของเธอไปครั้งแรกคือเย่ฉ่าวเฉิน
ดังนั้นต่อมาเย่ฉ่าวเฉินจึงได้ทำดีกับเฉียวซินโยว และค่อยๆถูกเธอใช้เป็นเครื่องมือ ทั้งหมดเป็นเพราะเขาคิดว่าผู้หญิงที่อยู่โรงแรมคืนนั้นคือเฉียวซินโยว
เรื่องนี้มันชั่งดูถูกกันจริงๆ!
เย่ฉ่าวเฉินนี่เป็นคนโง่ที่สุดในโลกเลย หากว่าตอนแรกเขารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นมู่เวยเวย เธอก็จะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานมากมายแบนนี้จริงไหม?
เมื่อคิดมาตรงนี้ มู่เวยเวยรู้สึกนับถือจิตใจที่ชั่วร้ายของเฉียวซินโยวจริงๆ สำหรับเธอแล้วเพื่อให้ได้เย่ฉ่าวเฉินไปครองเธอสามารถทำได้ทุกวิถีทาง อีกทั้งรายละเอียดต่างๆ มู่เวยเวยคิดว่า บางครั้งเป็นไปได้เฉียวซินโยวอาจจะเป็นคนมาบอกเรื่องนี้กับเธอด้วยตัวเองก็ได้
จากที่เธอได้รู้จักนิสัยของเฉียวซินโยว มากที่สุดก็สองวัน เฉียวซินโยวต้องมาหาเธอแน่
เมื่อถึงเวลานั้น ถามเธอก็น่าจะรู้แล้ว?
……
คฤหาสน์ตระกูลเย่
จางเห่อที่ช็อกตกใจตลอดชั่วบ่าย และแล้วเขาก็ได้สติกลับมา เขาใช้อารมณ์เหมือนกับตอนที่ดูละครในการเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้พ่อบ้านหวังฟัง ตอนที่เขาเห็นพ่อบ้านหวังอ้าปากค้าง อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นไปอีก อันที่จริงคนที่รู้สึกช็อกไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
พ่อบ้านหวังได้สติกลับมา นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “ทำไมเธอถึงยังไม่ตาย?อย่างนั้นเธอจะเข้ามาอยู่ที่นี้อีกไหม?คุณชายจะปฏิบัติต่อเธอ……ช่วงเวลาดีๆพึ่งกำลังจะเริ่มได้ไม่นาน ขอให้เธออย่าเข้ามาก่อกวนเลย ฉันใช้ชีวิตมาจนป่านนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเหมือนอย่างเธอเลย”
จางเห่อนึกถึงคำสั่งของเย่ฉ่าวเฉินขึ้นมาได้และพูดขึ้นว่า“คุณชายไม่น่าจะมีความรู้สึกอะไรกับเธอแล้วล่ะ”
พ่อบ้านหวังรีบพูดขึ้นด้วยความกังวลใจ “ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เฮย งั้นคุณลองไปตรวจสอบดูหน่อยไหมว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่ไหน พวกเราจะได้เตรียมใจกันไว้บ้าง”
จ่างเห่อพูดอย่างหนักใจขึ้นว่า“คุณชายไม่ได้ให้ผมไปตรวจสอบเธอ”
พ่อบ้านหวังทีบเขาหนึ่งที จากนั้นก็จ้องเขาและพูดขึ้นว่า “ทำไม่คุณถึงได้โง่แบบนี้ล่ะ?เรื่องนี้ตรวจสอบให้รู้ก็ไม่ได้ทำให้คุณชายเสียหายอะไร คุณลองไปตรวจสอบดูหากว่าคุณชายจะลงโทษคุณ ก็บอกว่าฉันเป็นคนให้นายไป”
“ไป?”จางเห่อขมวดคิ้ว ความจริงแล้วเขาก็สนใจในเรื่องที่เฉียวซินโยวมีชีวิตรอดกลับมาได้อยู่มาก
พ่อบ้านหวังพูดแสดงเจตจำนงที่แน่วแน่“ไป!”
“ตกลง ฉันไปล่ะ”
ในเมือง A แห่งนี้ต้องการจะติดตามหาคนสำหรับจางเห่อแล้วไม่ใช่เรื่องยาก เขาเลี้ยงลูกน้องนักเลงข้างถนนอยู่จำนวนมากคงไม่เลี้ยงให้เสียข้าวสุกหรอก เพราะตอนนี้เป็นตอนฟ้าพึ่งจะมืดลงสถานที่พักของเฉียวซินโยวก็ถูกส่งต่อมาจนถึงหูของจางเห่อ
เฉียวซินโยวตอนนี้พักชั่วคราวที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง แต่ว่ามีเรื่องที่แปลกอยู่ก็คือ ตอนที่ลูกน้องในพื้นทำการสืบหาอยู่ ไม่ทันระวังเลยเจอเข้ากับคนของหนานกงเฮ่า เรื่องนี้มันต้องมีอะไรน่าสนใจอยู่แน่
ประกอบกับเรื่องเมื่อก่อนที่เคยเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ สำหรับจางเห่อแล้วเขาไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ที่เขาห่วงคือ หนานกงเฮ่าส่งเฉียวซินโยวให้กลับมา จริงๆแล้วต้องการทำอะไร?
ในห้องหนังสือ เย่ฉาวเฉินหยิบภาพวาดที่ถูกพับไว้หลายรอบใบนั้นออกมา หัวใจดวงนั้นที่เคยหวั่นไหวในตอนนี้กลับไม่มีแล้ว ในทางกลับกันก็มีความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ตอนที่เคยออกตามหาเธอหอบเอาความฝันและความหวัง แต่ท้ายที่สุดเขาเหลือเพียงแต่สายตาของความเกลียดชัง
หากเขารู้ว่าผลสุดท้ายมันจะออกมาเป็นแบบนี้ เขายอมที่จะไม่ออกไปตามหาเฉียวซินโยวเลย อย่างนี้แล้ว ก็พอยังจะให้เขาหลงเหลือความทรงจำอันสวยงามให้กับเธอ
“ก๊อกๆๆ——”เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เย่ฉ่าวเฉินปิดพับภาพวาดลง ใช้เสียงที่เย็นชาพูดขึ้น“เข้ามา”
ประตูถูกผลักเข้ามา จ่างเห่อปรากฏตัวออกมาอยู่หน้าประตู “คุณชายมีเรื่องๆหนึ่งที่ผมอยากจะรายงาน”
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับฉู่เหยียนหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาพร้อมกับถามเขา
จางเห่อเข้ามาและพลิกมือปิดประตู “ไม่ใช่เรื่องคุณฉู่ เป็น……เฉียวซินโยว”
เดิมทีจางเห่อไม่ได้คิดที่จะบอกกับเขา แต่กลัวว่าคุณผู้ชายจะถูกเฉียวซินโยวหลอกอีก จึงรวบรวมความกล้าและเคาะประตู
เย่ฉ่าวเฉินเกิดประหลายใจเล็กน้อย “เฉียวซินโยว?เธอทำไม?”
“คุณผู้ชาย คุณทราบไหมว่าใครเป็นคนช่วยเฉียวซินโยว?”จางเห่อใช้ความระวังมากในการถาม
“เธอพูดว่านักผจญภัยเป็นคนช่วยเหลือเธอ”เย่ฉ่าวเฉินพูดพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างเย็นชา“แต่ว่าคำพูดของเธอฉันไม่เชื่อเลยสักคำ นักผจญภัยช่วยเธอเธอพูดได้อย่างไหลลื่น หรือว่าตอนที่เธอเข้าโรงพยาบาลก็เป็นเงินของคนไม่กี่คนอย่างนั้นหรอ?ในโลกนี้จะมีคนดีเยอะแยะขนาดนั้นเลย?”
จากเห่อเห็นเจ้านายมีความฉลาด จึงรีบพูดประจบสอพอขึ้น“คุณชาย คุณสุดยอดจริงๆ”
เย่ฉ่าวเหวี่ยงหางตาไปมองที่เขา“เอาล่ะ บอกมาเถอะ นายตรวจสอบเจออะไร?”
“ตอนที่คนของพวกเรากำลังทำการตรวจสอบ พบว่าคนที่วนเวียนรอบตัวของเธอคือคนของหนานกงเฮ่า”จางเห่อพูดเนื้อหาเข้าประเด็น ไม่ได้พูดเรื่องรายละเอียดอื่นๆ
“หนานกงเฮ่า?”เย่ฉ่าวเฉินเกิดตะลึงไปสักพัก และนึกขึ้นได้ทันทีว่า“ไม่ใช่สิ พวกเขาสองคนเคยเป็นคู่หูกันมาก่อน มีความเป็นไปได้สูงว่าหนานกงเฮ่าจะเป็นคนไปช่วยเธอ ฮ่าๆๆ……หนานกงเฮ่า นายนี่มันทำให้ฉันประหลาดใจได้ตลอดเลยจริงๆ แต่ว่าครั้งนี้กลัวว่าเกมกระดานนี้ของพวกนายมันจะล้มเหลวซะแล้ว”
“คุณชาย คุณไม่กังวลว่าจะเข้าไปติดกับดักของพวกเขา?”
“เชอะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะวางกับดัก ให้ฉันเชื่อเฉียวซินโยว ตอนนี้สำหรับฉันแล้วความน่าเชื่อในตัวของเธอมันไม่มีเหลือแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอะไร ”
เมื่อจางเห่อได้ยินประโยคพูดนี้ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
เย่ฉ่าวเฉินเห็นใบหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นของเขา จึงถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า“ใครเป็นคนออกคำสั่งให้นายลงมือตรวจสอบเรื่องเฉียวซินโยว?”
หัวใจของจางเห่อเต้น“ตึกตัก”อยู่ครู่หนึ่ง เห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของเย่ฉ่าวเฉิน เขาจึงไม่อยากเอ่ยชื่อของพ่อบ้านหวังขึ้นมา จึงรับยอมรับกลับไปว่า“ผมไปทำเอง”
เขากำลังรอคำตักเตือนเย่ฉ่าวเฉิน แต่ไม่นึกเลยว่าเย่ฉ่าวเฉินจะพูดเพียงว่า“ต่อไปให้ทำตามคำสั่ง ออกไปเถอะ”
จางเห่อดีใจและรีบเดินออกจากห้องไป เขาต้องการจะเอาข่าวดีนี้ไปบอกกับพ่อบ้านหวัง เพื่อป้องกันทุกวันตอนเย็นพ่อบ้านหวังเกิดกลัวหรือกังวลใจเรื่องเฉียวซินโยวจะเข้ามาอยู่ในบ้าน
ในห้องหนังสือที่เหลือเพียงแค่เย่ฉ่าวเฉิน เขายังรู้สึกติดๆขัดๆในใจ ไม่ว่าจะพูดยังไง สำหรับเขาแล้วเฉียวซินโยวก็ยังเป็นคนพิเศษคนหนึ่ง ซึ่งบัดนี้เหลือแค่การโกหกและหลอกลวง
สายตาลดต่ำลงไปมองที่ภาพวาด เย่ฉ่าวเฉินใจร้อนหยิบไม้ขีดไฟออกมาหนึ่งกล่องและหยิบไม้ขีดไฟขึ้นมาหัว พับกระดาษภาพวาดเข้าหากัน จากนั้นก็ทำการเผา แต่พึ่งจะเผาได้แค่มุมของกระดาษ เย่ฉ่าวเฉินก็ใช้นิ้วมือทำการดับไปอย่างกะทันหัน
ช่างเถอะๆ ก็แค่ภาพวาดภาพเดียวเท่านั้น คิดซะว่าเหลือไว้เป็นความทรงจำก็แล้วกัน
……
ตอนบ่าย เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังทำงานหนักเงยหน้าขึ้นมา ด้านนอกหน้าต่างมีสายฟ้าแลบวิ่งไปมา ฝนก็กระหน่ำลงมา
สภาพอากาศที่เมืองA เมื่อถึงฤดูร้อนก็เปลี่ยนแปลงไปเองโดยอัตโนมัติราวกับว่าเลือกสุ่มไปมาได้เอง แดดอยากออกก็ออก ฝนอยากตกก็ตก ไม่สามารถพยากรณ์ได้เลยสักนิด
เย่ฉ่าวเฉินวางมือลงจากการทำงาน นวดๆบริเวณตาที่มันหนื่อยล้า กำลังจะเตรียมตัวไปที่ห้องอาหารของพนักงาน ก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเบอร์ของคนแปลกหน้า
“สวัสดีครับ ผมคือเย่ฉ่าวเฉิน ”เขาพลางเดินออกไปข้างนอกพลางคุยโทรศัพท์ไป
“ฉ่าวเฉิน ฉันเอง”เสียงของเฉียวซินโยวดังมาจากอีกทางด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ยังแทรกเอาเสียงของฝนที่โปรยปรายเข้ามาด้วย
คิ้วของเย่ฉ่าวเฉินขมวดขึ้นมาไม่หยุดพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่เฉยชาว่า“มีธุระอะไร?”
“ฉ่าวเฉิน วันนี้ฉันไปทำงานที่บริษัทอีตู้แล้ว เพื่อนร่วมงานก็ดีมาก ฉันอยากจะเลี้ยงข้าวคุณ เพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณช่วยฉันหางาน”เสียงของเฉียวซินโยวฟังแล้วดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุข
“ไม่ต้องหรอก เธอตั้งใจทำงานเถอะ ฉันต้องวางสายแล้ว”เย่ฉ่าวเฉินไม่รีรอให้ปลายสายทิ้งคำพูดส่งท้ายอะไรก็ตัดสายไป เขาเป็นคนไม่ชอบให้คนมาถ่วงเวลา
เดิมทีคิดว่าตัวเองแสดงที่ท่าได้ชัดเจนไปแล้ว เฉียวซินโยวก็น่าจะถอยแต่ไม่นึกเลยว่าตอนเย็นหลังเลิกงาน เย่ฉ่าวเฉินจะเจอเธอที่ประตูหน้าบริษัท
เฉียวซินโยวสวมกระโปรงลายดอกตัวยาว ผมยาวๆก็ถูกฝนตกลงมาโดนเปียกเล็กน้อย เมื่อเธอเห็นเย่ฉ่าวเฉินออกมา เธอยิ้มและวิ่งเข้าไปพูดตรงหน้าเขา“ฉ่าวเฉิน ฉันเลี้ยงข้าวคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขามีใบหน้าไร้อารมณ์พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ฉันบอกไปแล้ว ว่าเธอไม่ต้องมาเลี้ยงข้าวฉัน”
เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากอ้อมค้อมกับเธอมาก ใช้คำพูดที่เมยเฉยว่า“เฉียวซินโยว ฉันไม่ได้ต้องการคำขอบคุณจากเธอ สิ่งนี้คือสิ่งที่ฉันอยากจะทำให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าเธอจะจำไว้สักหน่อย”
เฉียวซินโยวได้ทำการเตรียมใจมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้เอาคำพูดของเขามาใส่ใจเลยสักนิด “ฉ่าวเฉิน ต่อไปฉันจะไม่มาก่อกวนคุณอีก แต่ฉันเพียงอยากจะเลี้ยงข้าวคุณเท่านั้น คุณต้องการที่จะหลบเลี่ยงขนาดนี้เลยหรอ?”
รถมาหยุดเตรียมพร้อมอยู่ตรงด้านหน้า เย่ฉ่าวเฉินเปิดประตู“เฉียวซินโยว อย่ามาหาฉีนอีกเลย”เมื่อพูดจบก็เข้าไปนั่งบนรถ และก็จากไป
เฉียวซินโยวมองเห็นเขารีบเขารถเก๋งคันสีดำไป เธอกัดฟันและวิ่งตามไป เธอไม่เชื่อหรอกว่า เย่ฉ่าวเฉินจะทนเห็นเธอวิ่งตามมาท่ามกลางสายฝนได้
ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอยู่ตลอด ตอนที่เฉียวซินโยวพึ่งจะวิ่งออกมาได้ไม่นานน้ำฝนที่ตกลงมาทำเธอเปียกปอนไปหมด ฝนเม็ดใหญ่ราวกับผลมันฝรั่งตกลงมาใส่หน้าของเธอและเจ็บไปทั้งตัว แต่เธอก็ไม่สนใจ เพียงแค่ทำให้รถของเขาหยุดได้ ไม่ว่าจะให้เธอทำอะไรก็ยอม
ฝนตกหนักตลอดทั้งวัน บนถนนมีน้ำขังเกือบครึ่งขา เฉียวซินโยวใช้แรงไปไม่น้อยในการวิ่งตามรถที่อยู่ด้านหน้าซึ่งมองเห็นเพียงเงาเล็กๆ และไม่ทันได้ระวังเธอล้ม“โครม”ลงในน้ำอย่างแรง
ทำไมถึงได้ทำกับเธออย่างนี้?
สวรรค์ ยังไงก็ตามคุณเป็นคนที่ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ ทำไมถึงไม่ทำให้ฉันสมหวังในสิ่งที่ฉันต้องการ?
เฉียวซินโยวนั่งลงร้องไห้กลางสายฝน ไม่มีแม้แต่สายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆข้างมองมาที่เธอด้วยความประหลาดใจ
เวลาผ่านไปไม่กี่นาที มีรถเล็กคันหนึ่งจอดอยู่ตรงของหน้าเธอ เธอได้ยินเสียงที่ทำให้เธอประทับที่สุดในโลกใบนี้
“ขึ้นรถ”
เฉียวซินโยวเอามือปาดน้ำตาออก เย่ฉ่าวเฉินโผล่ออกมาตรงหน้าของเธอด้วยสีหน้าที่เย็นชา เดิมทีนั้นความรู้สึกของเธอเหมือนกับกองไฟแห่งความหวังเล็กๆที่อยู่ในใจกำลังจะมอดลงแต่จากนั้นก็ถูกทำให้ลุกติดขึ้นมาใหม่……
เย่ฉ่าวเฉินเอาผ้าขนหนูส่งให้กับเธอและไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
รถขับมาถึงร้านกาแฟร้านหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินพาเฉียวซินโยวที่ตัวเปียกปอนไปทั้งตัวไปนั่งที่ชั้นดาดฟ้า และสั่งกาแฟร้อนๆสองถ้วยกับพนักงาน
“เฉียวซินโยว วันนี้พวกเรามาพูดให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า ตอนนี้ฉันจะบอกให้เธอเข้าใจว่า ในชีวิตนี้ฉันรักมู่เวยเวยเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอไม่ต้องมาเสียเวลาเพื่อที่จะมารู้สึกอะไรกับฉัน ฉันไม่มีวันที่จะตอบแทนเธอได้ในเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว ยังมีอีกเรื่องที่เมื่อก่อนฉันเคยสับสนและได้ทำอะไรลงไปกับเธอ เรื่องนั้นมันเป็นแค่อดีตไปแล้ว เธอเข้าใจไหม?”เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
แม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน เฉียวซินโยวที่ถูกฝนตกใส่เป็นเวลานาน ขณะนั้นก็เกิดมีอาการตัวสั่นเทาเป็นพักๆ ริมฝีปากของเธอเริ่มจะซีดขาว“ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยเธอกลับมาไม่ได้แล้ว แล้วทำไมคุณต้องรอคอยคนที่กลับมาไม่ได้ล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินนั่งพิงกับโซฟา มือสองข้างกอดที่หน้าอกมองเธอด้วยสายตาที่เฉยชา “เธอรู้ได้ยังไงว่ามู่เวยเวยจะไม่กลับมา?ฉันจำได้ว่าฉันบอกเธอไปว่ามู่เวยเวยเก็บตัวอยู่”
เฉียวซินโยวถึงกับช็อกขึ้นมา หรือว่าเธอจะถูกฝนตกใส่จนน้ำเข้าไปท่วมในสมอง
“อ้อ~ฉันรู้แล้ว”เย่ฉ่าวเฉินมองเห็นเธอไม่พูดไม่จา จึงพูดต่อไปว่า“แท้จริงแล้วหนานกงเฮ่าเป็นคนช่วยเธอให้กลับมา งั้นเขาก็คงบอกกับเธอเรื่องของเวยเวยแล้วสิ”
เฉียวซินโยวไม่กล้ามองสบตาเขา ใช่แล้ว เขาคือเย่ฉ่าวเฉิน คำโกหกหลอกลวงของเธอมันจะสามารถปิดบังสายตาของเขาได้ยังไง?
“ทำไม?ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ?หากไม่พูดอะไรฉันจะไปแล้วนะ ต่อไปพวกเราไม่ต้องมาเจอกันอีก”เย่ฉ่าวเฉินลุกยืนขึ้นกำลังจะจากไป เฉียวซินโยวรีบเปิดปากพูด“ขอโทษ ฉ่าวเฉิน ขอโทษที่ฉันโกหกคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆย่อตัวลงนั่งบนโซฟา พร้อมกับเหลือบตาไปมองเธอและรอให้เธอพูดต่อ
“เป็นเพราะว่าฉันเข้าใจผิดคุณ ดังนั้นจึงได้พูดโกหกออกไป”เฉียวซินโยวพูดขึ้นอย่างรั่วๆ“ฉันยอมรับ ว่าหนานกงเฮ่าเป็นคนช่วยชีวิตฉันไว้ ช่วยรักษาฉัน และครั้งนี้ก็เป็นเพราะเขาที่ให้ฉันกลับมา”
“เขาให้เธอกลับมาอยู่ใกล้ๆฉันเพื่อจุดประสงค์อะไร?ขึ้นเตียงกับฉัน?หรือว่ามาจับผิดฉันว่าฉันมีข้อบกพร่องอะไรและจากนั้นก็ใช้มันมาทำลายเสียงของฉันให้ย่อยยับ?”
เฉียวซินโยวส่ายหัวแบบไม่ลืมหูลืมตา“ไม่ๆ ไม่ใช่นะ เขาแค่อยากให้ฉันกลับมา และไม่ได้ให้ทำอะไร ฉันอยากมาหาคุณเอง ฉันคิดถึงคุณ ดังนั้นฉันจึงอยากมาพบคุณ”
“เฉียวซินโยว ถ้าเป็นอย่างที่เธอพูดว่าจะไม่ทำอะไร แต่อย่าให้ฉันตรวจเจอแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่ปล่อยเธอไว้แน่ และยังมีหนานกงเฮ่าอีกคน”น้ำเสียงเย่ฉ่าวเฉินมีให้ความรู้สึกถึงอารมณ์ความแค้นที่อยากจะฆ่าคน เฉียวซินโยวที่ได้ฟังแล้วก็ทำให้ที่หลังของเธอเกิดความรู้สึกเย็นวูบวาบขึ้นมา
“ฉ่าวเฉิน หรือว่าคุณไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะเจอฉันเลยสักนิด?มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ฉันจะหนีรอดออกมาจากเนื้อมือของความตาย แม้จะทำกับฉันเหมือนว่าฉันเป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆคนหนึ่ง คุณก็จะไม่ปลอบใจอะไรฉันสักนิดเลย?”เฉียวซินโยวพูดเสียงออดอ้อน ราวกับว่าอีกไม่กี่วินาทีน้ำตาของเธอก็จะไหลออกมา
เย่ฉ่าวเฉินไม่แยแส“เฉียวซินโยว อันที่จริงที่เธอมีชีวิติรอดกลับมาได้ก็ถือว่าสรรค์ให้โอกาส ดังนั้นแล้วเธอควรจะรักษาชีวิตนี้ไว้ให้ดี อย่าคิดทำเรื่องอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์อีกเลย”
“และหากว่ามู่เวยเวยชาตินี้ไม่สามารถที่จะกลับมาได้ล่ะ?”เฉียวซินโยวกัดฟันถามต่อ“คุณก็จะรอเธอไปตลอดชาติหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินลองมองในตาของเธอเพื่อหยั่งเชิงและพูดขึ้นว่า“เธอต้องกลับมา”
“ถ้าหากว่าไม่ล่ะ?”เฉียวซินโยวถามอย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่มีถ้าหาก ในโลกของฉันไม่มีคำว่าถ้าหาก”
“ฉ่าวเฉิน คุณอย่าหลอกตัวเองอีกเลย ในโลกนี้มันมีอะไรที่คาดไม่ถึงอีกเยอะ……”
“เฉียวซินโยว เธอกล้าพูดออกมาอีกคำลองดู?”เย่ฉ่าวเฉินตะคอกออกมา
เฉียวซินโยวกัดริมฝีปากแน่น หัวใจของเธอแตกสลาย เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เศร้าโศก“ฉ่าวเฉิน คุณรู้ไหมว่า คุณยึดมั่นกับเรื่องของมู่เวยเวยมากแค่ไหน ฉันก็ยึดมั่นกับเรื่องของคุณมากเท่านั้น คุณทำไมไม่ลองหันกลับมามองฉันบ้าง?คุณลืมเรื่องคืนที่สวยงามของพวกเราคืนนั้นแล้วหรือ?”
สายตาของเย่ฉ่าวเฉินมีประกายของความชั่วร้ายเกิดขึ้น เขาพูดอย่างไม่แยแส“เฉียวซินโยว ก็มีบ้างที่ฉันนึกขึ้นมาได้ ถ้าว่าตอนนั้นฉันยอมที่จะไม่ไปหาตัวเธอ อย่างนั้นแล้วในใจของฉันก็จะยังพอมีความทรงจำอันสวยงามนั้นอยู่ เพราะคุณที่เป็นคนพยายามทำให้ความทรงจำอันสวยงามพวกนั้นค่อยๆค่อยๆสลายหายไป และตอนนี้ฉันก็อยู่ที่นี่แล้ว ก็ถือซะว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันมีความเมตตาให้กับเธอ จากวันนี้ไปเธอเดินตามเส้นทางถนนของเธอ ฉันเดินตามเส้นทางสะพานไม้ของฉัน เธอกับฉันเราจะไม่เจอกันอีก”
“หรือเป็นเพราะฉู่เหยียนคนนั้น?”เฉียวซินโยวตะโกนถามเขาขึ้นเสียงดัง เพื่อหยุดเขาที่กำลังจะจากไป “เป็นเพราะว่าเธอคล้ายกับมู่เวยเวยมาก ดังนั้นคุณจึงยอมที่จะเลือกเธอขึ้นมาแทนที่ และไม่ยอมที่จะมองฉันสักนิด?”
เย่ฉ่าวเฉินหันกลับมามองที่เธออย่างย็นชา “เฉียวซินโยว ไม่มีฉู่เหยียน ก็ไม่ได้ทำฉันอยากจะมองมากขึ้น ยังมีอีก ฉู่เหยียน ไม่ใช่คนที่เธอคิดจะแตะต้องได้ รู้ไว้จะดีที่สุดสำหรับตัวเธอ หากว่าเธอแตะต้องฉู่เหยียนแม้แต่ปลายปลายเล็บ ไม่ต้องให้ฉันลงมือหรอก คนที่ฮ่องกงทางนั้นจะทำให้เธอได้ตายอย่างทรมาน”
เฉียวซินโยวมองจ้องที่แววตาของเขาอยู่ตลอด ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว
“ใช่แล้ว ครั้งก่อนที่ฉันเคยพูดว่า หากว่าต่อไปเธอมีอะไรลำบากก็โทรมาหาฉันได้ คำนี้ฉันขอเก็บกลับไปนะ ไม่ต้องติดต่อมาหาฉัน และไม่ต้องโผล่หน้ามาให้ฉันเห็น เพราะทุกครั้งที่ฉันเห็นหน้าเธอก็จะนึกถึงแต่เรื่องที่ไม่ดีที่ฉันเคยทำกับมู่เวยเวยขึ้นมา ฉันกลัวว่าจะอดใจไม่ไหวและลงมือฆ่าเธอ”
เย่ฉ่าวเฉินออกไปนานแล้ว แต่เฉียวซินโยวพึ่งจะรู้สึกตัวมีสติขึ้นมาจากความกลัวได้ เธอเห็นความอาฆาตที่อยากจะฆ่าอยู่ในแววตาของเย่ฉ่าวเฉิน เขาต้องการเอาชีวิตของเธอจริงๆ
จากที่แต่เดิมในใจของเธอยังมีความหวังเล็กๆ แต่ในตอนนี้แสงไฟอันน้อยนิดกลับมืดดับลง เฉียวซินโยวนั่งเหมือนคนไร้สติอยู่บนโซฟา อยากร้องไห้แต่ไฉนเลยน้ำตาจึงไม่ไหลออกมา
ทำยังไงดี?
เธอทำเพื่อต้องการให้เย่ฉ่าวเฉินกลับมา แต่เขาชั่งโหดร้ายกับเธอเสียจริง ไม่คิดให้โอกาสเธอเลยแม้แต่น้อย
งั้นก็ดี ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว พวกเราทั้งหมดก็ไม่ต้องมีใครมีความสุขได้แม้แต่คนเดียว ถ้าฉันไม่ได้ในสิ่งที่ฉันต้องการแล้วล่ะก็ ผู้หญิงคนอื่นก็เอามันไปไม่ได้เหมือนกัน
……
ฝนตกหนักติดต่อกันสองวันแล้ว พอเข้าวันที่สามจึงหยุดลง ทุกคนกำลังคาดการณ์ว่าถ้าหากยังตกลงมาอีก ทุกคนคงต้องพายเรือไปทำงานแล้ว
มู่เวยเวยบิดขี้เกียจไปมา เธอคาดการผิดไป เธอคิดว่าเฉียวซินโยวจะรีบมาหาเธอ แต่ว่าผ่านมาแล้วสามวัน ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ
หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนชื่อแล้ว?