วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 184 : ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้น จูบอย่างดูดดื่มของเขา

มู่เวยเวยจึงเริ่มพลิกดูหนังสือทุกเล่มบนชั้นวางหนังสือ มีมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน หนังสือเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เธอหยิบมาทีละเล่มๆ เมื่อค้นหาชั้นวางหนังสือชั้นแรกจนเกือบหมดแล้ว พ่อบ้านหวังก็เคาะประตูเข้ามา ถือถ้วยน้ำร้อนในมือหนึ่งถ้วย

“คุณฉู่ ท่านดื่มน้ำสักหน่อย” พ่อบ้านหวังวางน้ำไว้บนโต๊ะหนังสือ กวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว เธอถือหนังสือภูมิศาสตร์เล่มหนึ่งในมือ “คุณฉู่ชอบภูมิศาสตร์เหรอ? ”

มู่เวยเวยอึ้งไปเล็กน้อย พบว่าเขามองหนังสือในมือตนเองอยู่ สติกลับมาจึงรีบพูดว่า “ก็งั้นๆ เพียงแต่หนังสือของประธานเย่ที่สะสมไว้มันไม่ค่อยน่าสนใจ ทั้งหมดเป็นหนังสือทางด้านเฉพาะทาง มีแต่เล่มนี้ที่ยังสามารถฝืนใจอ่านได้”

“อืม~งั้นท่านก็ค่อยๆ อ่านไป มีอะไรที่ต้องการก็เรียกฉัน”

“ทราบแล้ว ท่านไปทำงานเถอะ”

พ่อบ้านหวังออกไปจากประตูห้อง แนบหูฟังอยู่ที่ประตูสักพัก มีเพียงเสียงค้นหาหนังสือเบาๆ

คุณฉู่ท่านนี้คิดหาอะไรที่ห้องหนังสือนะ?

ประมาณหนึ่งชั่วโมง มู่เวยเวยก็ค้นหนังสือที่เก็บอยู่บนชั้นวางทั้งหมด ชั้นบนสุดเอื้อมหยิบไม่ถึง เธอยืนบนเก้าอี้ อย่างไรก็ตามความสนใจของเธอจดจ่ออยู่ที่หนังสือทั้งหมด ไม่ได้ดูชั้นวางหนังสือทั้งหมด ก็เลยไม่เห็นปุ่มเล็กๆ ใต้หนังสือประวัติศาสตร์โลกเล่มนั้น

ค้นหาชั้นวางหนังสือเสร็จแล้ว เป้าหมายของมู่เวยเวยก็หันไปที่ลิ้นชักเล็กๆ ภาพวาดพู่กันต่างๆ บนผนัง เสียเวลาในตอนเช้าไปหมดแล้ว แต่กลับไม่ได้อะไรเลย

มู่เวยเวยนั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ นึกไม่ถึงว่าที่ห้องหนังสือจะไม่มี งั้นเขาจะซ่อนของไว้ที่ไหนกัน?

หลังจากดื่มน้ำที่พ่อบ้านหวังยกมาให้หมด มู่เวยเวยก็ตัดสินใจไม่หาที่อื่น

เดี๋ยวนะ เธอลืมสถานที่สำคัญไปได้อย่างไร ห้องนอนเย่เฉ่าเฉิน ถึงแม้โอกาสที่เป็นไปได้จะน้อยมาก แต่เธอไม่อยากปล่อยเบาะแสใดๆ ไป

พรุ่งนี้เป็นวันหยุด เย่เฉ่าเฉินน่าจะไม่ได้ทำงาน ดังนั้นต้องคว้าโอกาสไว้ให้แน่น

พูดจบก็ทำเลย มู่เวยเวยลงมาที่ชั้นสอง มองดูโดยรอบไม่มีใคร ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปที่หน้าประตูห้องนอนของเย่เฉ่าเฉิน กดที่จับประตู เปิดออกแล้ว

เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว มู่เวยเวยก็รีบปิดประตู

ห้องนอนเย่เฉ่าเฉินยังคงเป็นเหมือนตอนก่อนที่เธอจะจากไป พรมปูพื้น ผ้าม่าน นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้นอนที่ระเบียง ทั้งหมดยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน

จู่ๆ มู่เวยเวยก็นึกถึงสาวใช้คนนั้นที่ตกตะลึงเมื่อเธอจากไป ครั้งนี้กลับมาไม่เห็นเธอแล้ว โดยนิสัยของเย่เฉ่าเฉินแล้ว เธอน่าจะถูกไล่ออก

ผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้ม แล้วก็หมอนสองใบที่หัวเตียง……

คาดไม่ถึงว่าเขาจะวางหมอนไว้สองใบ? มู่เวยเวยรู้สึกพูดไม่ออก เขามั่นใจมากว่าเธอจะต้องกลับมางั้นเหรอ?

ห้องนอนโล่งปลอดโปร่ง เพียงตู้รวทั้งตู้เสื้อผ้าที่สามารถซ่อนสิ่งของได้

ในตู้มีนิตยสารทางการเงินบางเล่มที่เขามักอ่านก่อนนอน ตู้เสื้อผ้ายิ่งเรียบง่าย ทั้งหมดเป็นชุดสูทระดับไฮเอนด์ของเขา เสื้อเชิ้ต แล้วยังมีชุดลำลองราคาแพงอีกหลายชุด ในกระเป๋าหนังสีดำทั้งสามใบว่างเปล่า

โอ้มายก็อด เย่เฉ่าเฉินฝังแผนที่ขุมทรัพย์ไว้ใต้ดินเหรอ? หาเบาะแสไม่เจอแม้แต่นิดเดียว

มู่เวยเวยเดินออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก อยู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นตู้เซฟในตู้เสื้อผ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ในใจมีความสุขมาก รีบวิ่งเข้าไป

ลองหมุนๆ เล็กน้อย ก็เปิดออกเลย

มู่เวยเวยอึ้งไป ตู้เซฟไม่ใช่ว่าควรจะมีรหัสผ่านเหรอ? ทำไมเปิดออกง่ายขนาดนี้? แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เธอก็ยิ่งตกตะลึง เป็นเงินสดเต็มไปหมด

แน่นอน สำหรับผู้ชายที่ร่ำรวยอย่างเย่เฉ่าเฉินนี้ วางเงินไว้ในบ้านเป็นเรื่องปกติมาก แต่จำเป็นต้องวางไว้เยอะขนาดนี้ไหม? อย่างน้อยก็ครึ่งล้าน อีกทั้งยังไม่ล็อกอีก

เขามั่นใจในความปลอดภัยของคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตนเองมากเกินไป

แต่ว่าคิดๆ ดู น่าจะไม่มีโจรตาต่ำที่ไหนมาขโมยเงินในบ้านเขาหรือเปล่า เพราะเมื่อจับได้แล้วจะต้องถูกตัดขาอย่างแน่นอน

ห้องหนังสือก็ไม่มี ห้องนอนก็ไม่มี ยังสามารถเป็นที่ไหนได้อีกล่ะ?

“คุณฉู่” เสียงพ่อบ้านหวังดังมาจากด้านนอก มู่เวยเวยรีบวิ่งมาที่ประตูห้อง

“เอ๊ะ? ทำไมคนถึงหายไปนะ? ได้เวลาทานอาหารกลางวันแล้ว” พ่อบ้านหวังรำพันไปด้วยเดินลงมาชั้นล่างไปด้วย

มู่เวยเวยได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาหายไป จึงออกมาจากห้องนอน หยุดอยู่ตรงทางเดินสักสองนาที แล้วเดินลงชั้นล่างไปที่ห้องอาหาร

“คุณอาหวัง ตามหาฉันเหรอ” พ่อบ้านหวังกำลังจัดจาน เงยหน้ายิ้มตาหยีพูดว่า “ควรกินข้าวกลางวันได้แล้ว ฉันเพิ่งไปตามหาท่านที่ห้องหนังสือ ท่านไม่อยู่ เลยไปเคาะที่ห้องของท่าน แต่ไม่มีเสียง จึงถือวิสาสะตะโกนออกไป”

มู่เวยเวยเสยผมโดยไม่ได้ตั้งใจ “อย่างนั้น เมื่อกี้ฉันอยู่ที่ห้องน้ำ ไม่สะดวกจะตอบกลับคุณ”

“อ่อ รีบมาทานข้าวเถอะ” พ่อบ้านหวังจึงก้มหน้าจัดอาหารต่อ ทว่าในแววตาเผยรอยยิ้มที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

ตื่นนอนมาตอนบ่าย มู่เวยเวยไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่แค่ในห้องเหล่านั้นอีกต่อไป แต่วนอยู่รอบๆ คฤหาสน์

พ่อบ้านหวังเธออยู่ด้านหลัง พูดกับคนในโทรศัพท์ว่า “คุณฉู่กำลังชมของประดับตกแต่งภายในบ้าน ตอนเช้าอยู่ที่ห้องหนังสือและห้องนอนของท่าน”

“อืม รู้แล้ว” เย่เฉ่าเฉินเก็บโทรศัพท์ หมุนที่นั่งกลับมา กดปุ่มเรียก “เลขาหลิว เอาข้อมูลการเดินทางที่ให้คุณทำครั้งที่แล้วเข้ามาหน่อย”

“ตกลงท่านประธานเย่ จะไปเดี๋ยวนี้”

……

ตอนเย็น เย่เฉ่าเฉินเลิกงานกลับมาที่คฤหาสน์ มู่เวยเวยนั่งโยนก้อนหินข้างทะเลสาบอย่างเบื่อหน่าย หนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน……

“คุณโยนอีก ทะเลสาบเทียมของฉันนี้ก็จะเต็มไปด้วยก้อนหินของคุณแล้ว” เย่เฉ่าเฉินก้าวยาวๆ เข้ามาที่เธอ ด้านหลังเต็มไปด้วยแสงสาดส่องจากท้องฟ้า นำพาด้วยรอยยิ้มในดวงตา หล่อเหลาสูงโปร่ง เหมือนลูกชายผู้ดีในหนังสือ

มู่เวยเวยถูกใบหน้าของเขาสะกดในแววตา พูดขึ้นว่า “เว่อร์อะไรขนาดนั้น”

เย่เฉ่าเฉินเข้ามานั่งข้างๆ เธอ “เบื่อขนาดนี้เลย ไม่ได้บอกว่าจะหาหนังสือมาอ่านเหรอ? หาเจอหรือยัง? ”

มู่เวยเวยเบะปาก “หนังสือที่สะสมของคุณมันไม่ค่อยน่าสนใจ อ่านไปครึ่งชั่วโมงต้องหลับอย่างแน่นอน”

“พรุ่งนี้เป็นวันหยุด คุณเตรียมการอะไรไว้ไหม? ” เย่เฉ่าเฉินเอียงไปถามเธอ

“ไม่มี ฉันอยู่ที่นี่ไม่ค่อยคุ้นเคย”

“ยังจำครั้งที่แล้วที่จะไปเที่ยวเมืองAสองวันได้ไหม? ครั้งที่แล้วคุณไม่สบาย ไม่ได้ไป พรุ่งนี้เราไปกัน” เย่เฉ่าเฉินหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญที่จะพูด ที่สำคัญคือกลัวเธอจะเอาเรื่องเมื่อวานมากดดันในใจ ก็เลยคิดจะพาเธอไปพักผ่อน

มู่เวยเวยมีชีวิตชีวาขึ้นมา “ดีเลยดีเลย ฉันต้องเตรียมอะไรบ้าง? ”

“คาดว่าคืนพรุ่งนี้เราต้องไปอยู่ข้างนอก เอาเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำไปเยอะหน่อยก็ได้”

“เข้าใจแล้ว คุณไกด์เย่” มู่เวยเวยกล่าหนึ่งย่างจริงจัง

เย่เฉ่าเฉินมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นอย่างตาเป็นประกาย รู้สึกเหมือนแมวตัวหนึ่ง บางครั้งก็ซนและบางครั้งก็เชื่อง ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากกอดเธอไว้แน่นๆ แล้วลูบหัว

วันต่อมา มู่เวยเวยสวมชุดกีฬาสีเทาอ่อนอย่างสบายๆ รองเท้าผ้าใบสีขาว แว่นกันแดดอันใหญ่ กระเป๋าที่อยู่ด้านหลังเป็นกระเป๋าเป้ที่ไปไซต์ก่อสร้างครั้งที่แล้ว ในมือถือถุงกระดาษสวยงาม

“วางอันนี้ไว้ในรถเถอะ ฉันไม่มีกระเป๋าเป้ใหญ่ๆ ใส่ไม่ได้”

เย่เฉ่าเฉินหยิบแล้ววางไว้ที่เบาะหลัง วันนี้เขาสวมชุดสบายๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวตลอดไม่เปลี่ยน กางเกงยีนสีขาวทรงกระบอก รองเท้าส้นแบนสีขาวคู่หนึ่ง

วันนี้เราจะไปไหน? ” มู่เวยเวยถามอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย

“มีหมู่บ้านริมแม่น้ำที่มีชื่อเสียงมากในเขตชานเมืองเมืองA มีหลากหลายชนชาติ คุณน่าจะชอบ”

มู่เวยเวยจำหมู่บ้านริมแม่น้ำที่เขาพูดถึงได้ เมื่อก่อนเธอเคยได้ยินเพื่อนร่วมชั้นเรียนพูดถึงตลอด บอกว่าวิวทิวทัศน์สวยงามมาก

“คืนนี้เราจะอยู่ที่นั่นเหรอ? ”

“อืม เราจะพักกันที่โรงเตี๊ยม”

“ว้าว ฟังดูเหมือนถ่ายภาพยนตร์กำลังภายในโบราณเลย” มู่เวยเวยเฝ้ารอการเดินทางนี้

รถขับอยู่บนถนนเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงหมู่บ้านริมแม่น้ำ

เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันเสาร์ ยังคงมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวจำนวนมาก

เมื่อมู่เหว่ยเว่ยลงจากรถก็ถูกดึงดูดโดยวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า หมู่บ้านริมแม่น้ำเหมือนภาพวาดด้วยหมึกหนึ่งผืน กำแพงสีขาวเป็นฐาน กระเบื้องสีเขียวเป็นหมึก ร่างเส้นสะพานหินทีละก้อนๆ ท่าเรือ ร้านเหล้า เรืออูเผิง แล้วก็สาวน้อยที่ซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำ

ศิลปะทั้งหมดของทางภาคใต้ดูเหมือนจะรวมอยู่ที่นี่

“เราไปกันเถอะ” เย่เฉ่าเฉินพูดเบาๆ ข้างหูเธอ

“อืมอืม”

แดดจัดมาก มู่เวยเวยสวมแว่นกันแดดยังไม่สามารถต้านทานแดดที่อบอุ่นได้

โชคดีที่เพิ่งข้ามสะพานหินในหมู่บ้านริมแม่น้ำมา ก็มีคุณยายหนึ่งคนขายหมวกสวยๆอยู่ มู่เวยเวยรีบเดินเข้าไปแล้วหยิบมาสวม หันมาถามเย่เฉ่าเฉินอย่างอดไม่ได้ “สวยไหม? ”

เย่เฉ่าเฉินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองเธอ “สวยสิ”

มู่เวยเวยถามถึงหมวก ทว่าที่เขาตอบกลับคือคน

คุณผู้หญิงจ่ายเงินอย่างมีความสุขมาก แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างท่วงท่าอ่อนช้อย

“คุณผู้หญิง นั่งเรือไหม? ” คนเรือยืนอยู่บนหัวเรือและถามเธออย่างกระตือรือร้น “หนึ่งร้อยหยวนต่อคน นั่งเรืออูเผิงฟังเพลงพื้นบ้านหมู่บ้านริมแม่น้ำ นี่คือความพิเศษของเราที่นี่”

มู่เวยเวยไม่เคยนั่งเรืออย่างนี้ หันกลับไปพูดกับเย่เหนึ่งเฉินว่า “เรานั่งเรือเล่นกันเถอะ ดูน่าสนใจดี”

“คุณเป็นแขก วันนี้จะเชื่อฟังคุณทั้งหมด” เย่เฉ่าเฉินพูดยิ้มๆ

“ดี งั้นขึ้นเรือเถอะ” มู่เวยเวยพูดจบต้องการจะขึ้นเรือ คนเรือยกมือขึ้นต้องการจะพยุงเธอ เวลานี้เย่เฉ่าเฉินกระโดดขึ้นเรือไปก่อน จากนั้นก็หันกลับมายื่นมือ เคลื่อนที่เร็วจนคนเรือพูดไม่ออก และวางมือตนเองลงอย่างเงียบๆ

“มา ช้าๆ นะ”

มู่เวยเวยจับมือของเขาแล้วกระโดดขึ้นเรือไป เรืออูเผิงโยกไปมา มู่เวยเวยก็ยืนไม่มั่นคง พุ่งตรงเข้าไปในอ้อมแขนของเย่เฉ่าเฉิน

เอ่อ……

รู้สึกเขินอาย นี่คือความรู้สึกในใจของมู่เวยเวย แต่ทว่าเย่เฉ่าเฉินกลับรู้สึก ดีมากๆ

คนเรือหัวเราะหึหึ พูดเสียงดังว่า “ทั้งสองท่านนั่งดีๆ เราต้องพายเรือไปแล้ว”

มู่เวยเวยออกมาจากอ้อมกอดเขา เดินเข้ามาในเรืออูหนึ่งผิง ปีกหมวกขนาดใหญ่ปิดบังใบหน้าของเธอ เย่เฉ่าเฉินเลยมองเห็นอารมณ์ความรู้สึกของเธอได้ไม่ชัดเจน

เรือแล่นไปข้างหน้า มู่เวยเวยเท้าคางมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อ ลืมอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เมื่อกี้ไปเสียสนิท

“อยู่ที่นี่น่าจะมีความสุขมาก รู้สึกว่าเวลาช้าลง ทั้งงดงามทั้งสบายใจ” มู่เวยเวยพูดออกมาจากใจจริง

“ไม่แน่หรอก” เย่เฉ่าเฉินไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ

มู่เวยเวยหันไปมองเขา “ทำไมล่ะ? ”

“ที่คุณพูดมันคือทัศนียภาพเมื่อก่อน ตอนนี้ คุณลองคิดดู เช้าตรู่คุณยังนอนหลับอยู่บ้าน ก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวมา อาทิเช่นด้านนอก……” สายตาเย่เฉ่าเฉินมองไปที่บนฝั่ง

ไกด์คนหนึ่งพานักท่องเที่ยวมาสิบกว่าคน อธิบายประวัติหมู่บ้านริมแม่น้ำเสียงดังด้วยโทรโข่ง

“คุณจะมีความสุขเหรอ? ” เย่เฉ่าเฉินพูดต่อหัวข้อที่ตัดไปเมื่อกี้

“แต่มีนักท่องเที่ยวเยอะขนาดนี้ เศรษฐกิจที่นี่จึงได้พัฒนาขึ้นมานะ”

“อันนี้แน่นอน เพียงแต่สมมุติฐานเมื่อกี้ของคุณคือการใช้ชีวิต แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ”

มู่เวยเวยแกล้งถลึงตาใส่เขา “เย่เฉ่าเฉิน ไม่หาข้อผิดพลาดจะได้ไหม? ”

“OKOK ฉันผิดเอง” เย่เฉ่าเฉินยกสองมือขึ้น เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ก็คือไม่สามารถอธิบายเหตุผลกับผู้หญิงได้

กินเที่ยวตลอดทาง ยังไม่ถึงมื้ออาหาร มู่เวยเวยก็ถูกป้อนด้วยขนมต่างๆ จนอิ่ม แต่อุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อยๆ มู่เวยเวยก็ร้อนจนเหงื่อออก ดังนั้นทั้งสองคนจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะไปที่โรงเตี๊ยมที่จางเฮ่อจองไว้เพื่อพักผ่อนก่อน รอตอนบ่ายค่อยไปเดินเล่นต่อ

โรงเตี๊ยมที่จางเฮ่อจองไว้เป็นที่เงียบสงบและมีเอกลักษณ์ที่สุดในหมู่บ้านริมน้ำ ในลานปลูกกอไผ่สูงใหญ่ ถัดจากกอไผ่เป็นธารน้ำธรรมชาติ มีปลาตัวเล็กๆ ว่ายเข้ามาเป็นระยะๆ

โรงเตี๊ยมมีแค่สามชั้น ด้านนอกเป็นโครงสร้างไม้ทั้งหมด เหยียบขึ้นบันไดเกิดเสีงดังเอี๊ยดอ๊าด

จางเฮ่อพาทั้งสองคนเดินขึ้นชั้นบนไป “คุณชาย ท่านกับคุณฉู่อยู่ชั้นสาม ทัศนวิสัยสงบเงียบดีมาก คุณฉู่ สิ่งของของท่านฉันวางไว้ในห้องท่านแล้ว”

“ขอบคุณค่ะ”

“คุณฉู่ไม่ต้องเกรงใจ นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ”

จางเฮ่อพามู่เวยเวยมาที่หน้าประตูห้อง นำการ์ดประตูให้เธอ “คุณฉู่ นี่คือห้องของท่าน ห้องของเจ้านายอยู่ข้างๆ ท่าน”

มู่เวยเวยเสียบการ์ดเข้าไป ก็ชื่นชอบที่นี่ทันที

หน้าต่างไม้แกะสลัก มีกระถางกล้วยไม้หลายกระถางบนขอบหน้าต่าง โต๊ะและเก้าอี้ไม้แดง เตียงนอนเป็นเตียงไม้ในห้องส่วนตัวของผู้หญิงโบราณ ยังล้อมรอยด้วยผ้าสีชมพู ผ้าปูที่นอนทอด้วยมือ ดูสบายมาก

มีภาพวาดทิวทัศน์หลายภาพแขวนอยู่บนผนัง ปากกาหมึกและกระดาษวางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ มู่เวยเวยรู้สึกเหมือนเดินทางย้อนกลับไปในสมัยโบราณ

“พอใจไหม? ” เย่เฉ่าเฉินเดินเข้ามาถาม

“พอใจมาก” มู่เวยเวยตื่นเต้นมาก “โดยเฉพาะกระถางกล้วยไม้เหล่านี้ สวยงามมาก”

“พอใจก็ดีแล้ว คุณพักสักหน่อยก่อน รอฉันมาเคาะประตู แล้วเราไปทานข้าวกัน”

มู่เวยเวยคลำท้องแล้วพูดว่า “แต่ฉันยังไม่หิว นอนก่อนกินข้าวได้ไหม? ”

เย่เฉ่าเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “งั้นก็ได้”

เขาพบว่าสิ่งที่เขาร้องขอฉู่เหยียน ยิ่งนานวันยิ่งไม่มีวิธีจะพูด

อากาศในฤดูร้อนเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน มู่เวยเวยรู้สึกง่วงขึ้นมา ด้านนอกมีเมฆมืดครึ้มแล้ว

ฝนจะตกแล้วเหรอ? เพียงแต่ ฝนที่หมู่บ้านริมน้ำน่าจะได้รสชาติที่ต่างออกไป นึกถึงตรงนี้ มู่เวยเวยจึงสวมรองเท้าแล้วเดินไปเคาะประตูข้างๆ

……

เป็นไปตามนั้น เมื่อคนสองคนทานข้าวเสร็จและเดินไปที่ถนนสายหลักของหมู่บ้านริมน้ำ ฝนก็ตกลงมาเม็ดใหญ่

บนถนนมีคนวิ่งหนีกันทุกหนทุกแห่ง มู่เวยเวยกับเย่เฉ่าเฉินก็วิ่งหลบฝนในชายคาเดียวกัน คนเยอะมาก มู่เวยเวยซึ่งยืนอยู่บนขอบสุดถูกเบียดจนเกือบตกบันได

พายุฝนมาเร็วไปเร็ว เมื่อเย่เฉ่าเฉินใจเย็นลง ฝนก็ลดลงแล้ว

คนหนุ่มสาวหลายคนเดินขึ้นบันไดเข้าไปในสายฝน ตะโกนว่า”เย็นสบายจัง” จากนั้นมีสองสามคนเดินลงตามไป สาวน้อยสองคนเดินผ่านมู่เวยเวยไป ยังแอบมองพวกเขาสองคน มีความเขินอายและอิจฉาอยู่ในแววตา

น่าขายหน้าจัง

“ฝนตกปรอยๆแล้ว ปล่อยฉัน” มู่เวยเวยพูดพลางผลักเขา

เย่ฉ่าวเฉินปล่อยมือทั้งคู่ ในดวงตาสีฟ้าสดใสเผยให้เห็นความปลอดโปร่งและมีความสุข มุมปากก็ยังยิ้มเล็กน้อย

“อย่ามายิ้ม” มู่เวยเวยพูดอย่างเจ้ากี้เจ้าการมาประโยคหนึ่ง ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวอย่างรวดเร็ว

“โอเค ไม่ยิ้มแล้ว” ถึงแม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังอดไม่ได้

มู่เวยเวยเห็นเขายังยิ้มอยู่ จึงชูกำปั้นขึ้นแล้วชกไปที่อกของเขาเล็กน้อย

“เอาล่ะ ฉันไม่ยิ้มแล้วจริงๆ ” เย่ฉ่าวเฉินลูบผมของเธอ เปลี่ยนสีหน้าแสดงออกเป็นเยือกเย็น

มู่เวยเวยระงับความโกรธที่อยู่ในใจเพียงรวดเดียว

ชัดเจนในฐานะที่เธอเป็นฉู่เซวียน เย่ฉ่าวเฉินชอบเธอเช่นนี้ เธอก็ควรจะดีใจ แต่เธอคือมู่เวยเวย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รักเย่ฉ่าวเฉิน ก็ไม่อยากเห็นเย่ฉ่าวเฉินไปรักผู้หญิงคนอื่น ยังจูบเธออีก

แต่ ชัดเจนว่าพวกเธอคือคนๆเดียวกัน

มู่เวยเวยขัดแย้งกันถึงที่สุด

ช่างเถอะ การช่วยชีวิตลูกเป็นเรื่องสำคัญ เธอต้องจำไว้ว่าตอนนี้เธอคือฉู่เซวียน ไม่ใช่มู่เวยเวย แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นฉู่เซวียน ก็ไม่สามารถปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้

การเที่ยวเล่นต่อไปทั้งหมดกลายเป็นเย่ฉ่าวเฉินหยอกล้อเธอ ต้องการเพียงเธอมองสิ่งของให้นานขึ้น เย่ฉ่าวเฉินถามเธอว่าต้องการไหม?

มู่เวยเวยตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องการไม่ให้ดูน่าเกลียดเกินไป

เย่ฉ่าวเฉินถูกเธอขัดเกลาจนไม่มีอารมณ์โกรธเลยสักนิด เย่ฉ่าวเฉินไล่ตามแล้วกักเธอไว้ที่กำแพงโดยตรง ท่าที่ทั้งหมดที่รักใคร่ “ไม่โกรธแล้วโอเคไหม? ฉันไม่อดทน ฉันผิดไปแล้ว”

“ผิดตรงไหนเหรอ? ”

“ไม่ควรจูบคุณต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงจัง

“นี่ไม่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือครึ่งประโยคหลัง” มู่เวยเวยพูดอย่างหายใจหอบว่า

“งั้นจูบก็จูบแล้ว คุณพูดมาสิว่าต้องทำยังไง” เย่ฉ่าวเฉินเริ่มพูดอย่างไม่อาย

มู่เวยเวยหันสายตามา พูดว่า “คุณไปซื้อของทั้งหมดที่เมื่อกี้ฉันบอกว่าไม่ต้องการกลับมา”

“ทั้งหมดเลยเหรอ? ” เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง

“ใช่ ทั้งหมด คุณตกลงที่จะซื้อกลับมา ฉันก็จะไม่โกรธ”

“นี่คุณพูดเองนะ คุณรออยู่ตรงนี้” เย่ฉ่าวเฉินพูดจบก็ถอยเดินกลับไป มีเพียงแต่คนฉลาดบนโลกใบนี้ ที่มีความทรงจำที่ดีกว่าปกติ เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่เป็นข้อยกเว้น

มู่เวยเวยนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนอย่างสบายๆ เพื่อรอเขา นักท่องเที่ยวที่ผ่านมักจะมองเธออยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะชายโสด

โดยฉับพลันก็มีคนใจกล้าเข้ามาพูดจา “คุณผู้หญิงมาคนเดียวเหรอครับ? ”

มู่เวยเวยมองด้วยสายตาเย็นชา “เรียกใครคุณผู้หญิง? ”

คนๆนั้นถูกพูดด้วยประโยคที่ขัดเคืองก็ไม่ได้เศร้าสร้อยจากไป

อาจเป็นได้ว่ารูปลักษณ์ของฉู่เซวียนนั้นโดดเด่นเกินไป แม้ว่าเธอจะพยายามแสดงท่าทางที่ดูเหมือนคนแปลกหน้าไม่สนิท แต่ก็ยังไม่สามารถยับยั้งใครบางคนไม่ให้เข้ามาพูดคุยได้

“คุณก็มาเที่ยวเหมือนกันเหรอ? ” ชายวัยรุ่นตรงมานั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อนตรงข้ามเธอ สวมแว่นตาอย่างสุภาพเรียบร้อย ด้านหลังสะพายกระเป๋า

มู่เวยเวยมองเขาอย่างเย็นชา ไม่ได้พูดจา คิดในใจว่า ฉันวิ่งมาถึงที่นี่ไม่มาเที่ยวจะมาทำอะไรล่ะ?

ชายหนุ่มไม่ได้ถูกเธอขู่จนถอยกลับไป พูดอย่างกระตือรือร้นต่อไปว่า “คุณมาคนเดียวล่ะก็ เราก็มาเป็นเพื่อนกันเถอะ คุณเป็นเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ข้างนอกค่อนข้างอันตราย”

ในสายตา บางคนกำลังถือถุงใหญ่ถุงเล็กเดินเข้ามา

“ฉันไม่ได้มาคนเดียว” มู่เวยเวยกล่าว

“ฉันว่าคุณนั่งอยู่ตรงนี้นานแล้วนะ ทำไมจะไม่ได้มาคนเดียว? ชายหนุ่มไม่ยอมล้มเลิก

มู่เวยเวยจ้องมองทิศทางที่เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามา ยิ้มเบาๆ ผู้ชายมองไปตามสายตาของเธอ ด้านหลังมีเงาบุคคลที่สูงใหญ่คนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามา รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเป็นพิเศษ เข้าไปด้วยหน้าตาที่เคร่งขรึม คล้ายกับสิงโตตัวหนึ่งที่สามารถเข้ามาตะครุบเหยื่อได้ทุกเมื่อ

ผู้ชายถูกออร่าที่ทรงพลังของเย่ฉ่าวเฉินทำให้หวาดกลัว ยังไม่ทันรอให้เขาเดินเข้ามาใกล้ รีบวิ่งหนีไปด้วยใบหน้าที่หม่นหมองทันที

“นี่คือของที่คุณต้องการ ลองดูว่าขาดอะไรไหม? ” สีหน้าเย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาชั่วพริบตา นำของทั้งหมดในมือวางลงบนโต๊ะหินอ่อน

มู่เวยเวยมองดูอย่างตั้งใจ ของที่ดูไว้เมื่อกี้เหมือนจะไม่ขาด อีกทั้งยังมีขนมเยอะมากๆ

“ไม่ขาด”

“ไม่โกรธแล้วนะ” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างเอาใจ

มู่เวยเวยไม่ได้ตอบกลับ แต่ในสายตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “ฉันหิวแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินเห็นถึงรอยยิ้มในสายตา กล่าวอย่างโล่งอกว่า “ปะ เชิญคุณทานร้านอาหารที่แพงที่สุดที่นี่”

“จำเป็นต้อง”

เย่ฉ่าวเฉินถูกควบคุมอย่างโหดเหี้ยม ในที่สุดลมหายใจก็ราบรื่น คนทั้งสองเดินบนอิฐที่ถูกฝนชำระล้างจนสะอาดอย่างมาก ค่อยๆ เดินกลับไปอย่างเชื่องช้า

“พรุ่งนี้พวกเราจะไปไหน? ” มู่เวยเวยถาม

มือทั้งสองเย่ฉ่าวเฉินหิ้วสิ่งของแล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาตามปกติ หลังจากนั้นจะพาคุณไปที่ตลาดขายขนมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองA”

“อันนี้ฉันชอบ” มู่เวยเวยยืดบิดขี้เกียจ “วันนี้เดินไปหลายที่ พรุ่งนี้ทานข้าวเช้าไม่ต้องเรียกฉัน ฉันจะนอนถึงเที่ยง”

“ตามใจคุณ เดิมทีก็คือออกมาเดินเล่น สะดวกยังไงก็มาอย่างนั้นเถอะ”

ถึงที่พักต่างคนก็ต่างกลับไปที่ห้อง มู่เวยเวยไปอาบน้ำเล็กน้อยแล้วก็มานอนบนเตียง

แต่ทว่าแผนการก็เปลี่ยนแปลง เดิมทีทุกๆ ครั้งที่ฉันอยากจะนอนหลับ แต่ก็เสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่

มู่เวยเวยคลำมือถือที่หัวเตียง กดรับอย่างสะลึมสะลือ “ใครอะ”

ประธานฉู่ โครงการของพวกเราเกิดปัญหา การจัดเสนออุปกรณ์เกี่ยวกับการสันทนาการขึ้นราคากะทันหัน บอกว่าราคาที่เสนอให้พวกเราต่ำเกินไป” เสียงของถังซื่อเซวียนแทรกเข้ามา

“เรื่องนี้คุณจัดการก็พอแล้ว มาบอกกับฉันทำไม? ฉันไม่เข้าใจ” มู่เวยเวยหลับตากล่าว

“เรื่องสำคัญคือพวกเราไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ทางด้านแผ่นดินใหญ่ ซัพพลายเออร์รายนี้ต้องได้รับการแนะนำจากคนรู้จัก ถ้าพวกเราไปหาเอง คาดว่าราคาก็จะยิ่งสูง”

“งั้นที่คุณมาปลุกฉันแต่เช้าตรู่ ต้องการให้ฉันทำอะไร? ”

“ฉันได้ยินมาว่าคุณและประธานเย้ไปเที่ยวกัน คุณลองถามๆ เขา เขาต้องเข้าใจเรื่องราวทางด้านนี้กว่าพวกเรา ประธานฉู่ แม้ว่าอุปกรณ์สันทนาการเป็นความรับผิดชอบของบริษัทเราก็ตาม แต่ประธานเย่ก็เป็นคนร่วมหุ้น คุณไปถามเขา เขาก็จะช่วยได้” ถังซื่อเซวียนไม่ได้พูดออกมาอย่างเปิดเผย แค่คำอุปมาก็ชัดเจนอย่างมาก นั่นก็คือความสัมพันธ์ของพวกคุณทั้งสองไม่ธรรมดา

สุดท้ายมู่เวยเวยก็ลืมตา กล่าวอย่างจำใจว่า “โอเค ฉันจะลองดู”

“ฉันจะส่งของมูลในบนมือถือของคุณในภายหลัง อีกอย่างฉันและคนของบริษัทจะรอคุณอยู่ที่ทางเข้าทางด่วนของเมืองA

“รับทราบ”

มู่เวยเวยวางสายโทรศัพท์ เอนตัวนอนบนเตียงอีกสองสามนาทีจึงลุกขึ้นมายอมรับชะตากรรม

ภาระหน้าที่ในฐานะคุณผู้หญิงที่สองตระกูลฉู่ เธอควรจะช่วยคนอื่นดำเนินงาน เธอเข้าใจ

ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ มู่เวยเวยลากขาที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงทั้งสองข้างไปเคาะประตูห้องข้างๆ ด้านในไม่มีเสียง

‘มีคนอยู่ไหม? ” มู่เวยเวยกระซิบเบาๆ เป่าปากแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา “คุณตื่นแล้วหรือยัง? ”

“คุณตื่นแล้วเหรอ? ไม่ได้บอกว่าจะนอนจนถึงเที่ยงเหรอ? ฉันอยู่ชั้นหนึ่ง”

“อ้อ ฉันมีธุระจะพบคุณ จะลงไปหาคุณ”

ชั้นหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ ทางด้านหนึ่งของมีถ้วยกาแฟวางอยู่ เมื่อได้ยินเสียงดังเอี๊ยดทางบันได จึงเหลือขึ้นไปมอง มีคนบางคนกำลังเป่าปากหายใจ

“เรื่องสำคัญอะไรกัน ถึงได้กล้ารบกวนฝันดีๆ ของคุณผู้หญิงที่สองตระกูลฉู่? ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวหยอกเย้า

มู่เวยเวยนั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่ข้างๆ เขา ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ก็คือซัพพลายเออร์ของชิงช้าสวรรค์นั่น จู่ๆ ก็บอกว่าต้องการเพิ่มราคา ไม่เพิ่มราคาก็ไม่จัดการสินค้าให้ แต่งบประมาณของพวกเราเกินกำหนดแล้ว ไม่สามารถเพิ่มราคาได้อีกแล้ว ถังซื่อเซวียนร้อนใจจนต้องโทรศัพท์มาปลุกฉันแต่เช้าตรู่”

“พวกเราไม่ได้เซ็นข้อตกลงกับซัพพลายเออร์ไว้เหรอ? ” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างไม่เข้าใจ

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว “เหมือนกับว่าเพียงแค่ปรึกษาหารือร่วมกัน เตรียมที่จะเซ็นสัญญาในสองวันนี้ ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเปลี่ยนใจ”

“สิ่งนี้พบได้บ่อยมากในตลาดการค้า งั้นพวกคุณเตรียมจะจัดการยังไง? ” เย่ฉ่าวเฉินพับหนังสือพิมพ์เก็บ ดื่มกาแฟ

“นี่ไม่ใช่มาขอร้องคุณเหรอ? ถังซื่อเซวีหนึ่งนบอกว่าคุณคุ้นเคยกับทางด้านแผ่นดินใหญ่นี้ ให้ฉันมาลองถามคุณว่ารู้จักกับซัพพลายเออร์ดีๆ บ้างไหม ช่วยพวกเราติดต่อหน่อย”

เย่ฉ่าวเฉินค้นหาภายในสมองอย่างจริงจัง “จริงๆ ฉันรู้จักอยู่คนหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้ติดต่อกันนาน อยู่เมืองG”

“งั้นไปกันเถอะ คุณพาพวกเราไปดูหน่อย” มู่เวยเวยพูดอย่างตื่นเต้น

“ตอนนี้เหรอ? ” เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจ

มู่เวยเวยพยักหน้า “ก็ตอนนี้แหละ” พูดจบก็ดึงแขนของเย่ฉ่าวเฉินขึ้น “ไปเถอะๆ อาหารอร่อยที่ตลาดไปไม่ได้แล้ว ครั้งหน้าค่อยไป ธุรกิจสำคัญ”

เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้ามองมือของเธอ ยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “จางเห่อออกไปซื้ออาหารเช้าแล้ว ยังไงก็ต้องรอเขากลับมา”

มู่เวยเวยได้ฟังแล้ว ก็รีบปล่อยแขนของเขา “รีบโทรศัพท์ไปหาเขา ให้เขากลับมา เออใช่ ฉันจะส่งข้อมูลของชิงช้าสวรรค์นี้ให้คุณ”

“ฉันมองไม่ออกเลยจริงๆ คุณผู้หญิงฉู่ที่สองให้ความสำคัญกับโครงการนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ”

มู่เวยเวยมองเขาตาขวาง เพื่อแก้ต่างให้ตนเอง “ฉันก็ให้ความสำคัญอย่างมากมาโดยตลอดหรือเปล่า? ”

“เหรอ? ”

“โธ่เอ๋ย คุณนี่น่ารำคาญจริงๆ รีบโทรหาจางเห่อให้เขากลับมาเร็วเข้า”

เย่ฉ่าวเฉินล้วงมือถือจากในกระเป๋ากางเกง ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วกล่าวว่า “นี่มันยุติธรรมไหม คุณขอให้คนช่วยทำงาน ทำไมยังทำท่าทีแบบนี้อีก? ”

“ประธานเย่ คุณชายเย่ ฉันขอร้องคุณล่ะ โอเคไหม? ” มู่เวยเวยกะพริบดวงตากลมโต มองตรงเข้าไปในหัวใจของเขา

เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะลูบผมที่ยุ่งกระเซิงของเธอ เดินไปด้านนอกแล้วโทรศัพท์

……

หลังจากไปพบกับถังซื่อเซวียนที่ทางเข้าทางด่วน รถยนต์สองคันก็เข้าไปยังเมืองG

เมื่อใกล้ถึงเมืองG มู่เวยเวยก็นึกขึ้นมาได้โดยฉับพลัน เสี่ยวซีหร่านเพื่อนคนนั้นที่เธอติดต่อครั้งที่แล้วอยู่ที่เมืองGไม่ใช่เหรอ? ครั้งนี้ประจวบเหมาะจะได้พบกันแล้ว

“คุณเป็นอะไรไปเหรอ? ” เย่ฉ่าวเฉินเห็นมู่เวยเวยที่อารมณ์คึกคักขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงถามด้วยความประหลาดใจ

“เพื่อนคนนั้นที่ฉันรู้จักครั้งที่แล้ว ก็อยู่ที่เมืองG ฉันจะดูว่าเขาว่างไหม” พูดพลางมู่เวยเวยก็เริ่มโทรศัพท์ “ฮัลโหล? ซีหร่าน ฉันคือฉู่เซวียน คุณยังจำได้ไหม? ”

“จำได้แน่นอน น้องสาวที่น่ารัก”

มู่เวยเวยยิ้มแหยๆ “วันนี้คุณอยู่ที่เมืองGไหม? ฉันมาที่เมืองG”

“อยู่ คุณมาเที่ยวหรือมาทำงานล่ะ? ต้องการให้ฉันไปรับคุณไหม? ”

“มีงานนิดหน่อย ฉันมากับเพื่อนร่วมงาน คุณไม่ต้องมารับฉันหรอก ฉันทำธุระเสร็จแล้วจะติดต่อคุณไป ฉันอยากที่จะไปดูหนุ่มหล่อที่บ้านคุณ” มู่เวยเวยนึกถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด เธอคิดว่าสามารถถูกเสี่ยวซีหร่านยกให้เป็นหนุ่มหล่อได้ ต้องสมบูรณ์แบบแน่นอน

เย่ฉ่าวเฉินที่ฟังอยู่ข้างๆ ไม่มีความรู้สึกอะไรโดยสิ้นเชิง แต่จนกระทั่งประโยคสุดท้ายจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“โอเค ฉันจะรอโทรศัพท์คุณ”

เย่ฉ่าวเฉินหันกลับมามองคนบางคนที่รู้สึกชื่นอกชื่นใจ แสร้งถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “ดูหนุ่มหล่ออะไร? ”

“อ้อ ก็คือครั้งที่แล้วเธอมาหาหมอแทนเพื่อนของเธอใช่ไหม เพื่อนของเธอก็คือหนุ่มหล่อคนนี้”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า ที่แท้ก็เป็นคนไข้

เพียงแต่ซีหร่านที่เธอทักทายเมื่อกี้นี้ หรือว่าจะเป็นหญิงมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงดังคนนั้นของเมืองG?

“เพื่อนของคุณ แซ่เสี่ยวใช่ไหม? ”

มู่เวยเวยตกใจเล็กน้อย “ใช่ เธอชื่อเสี่ยวซีหร่าน ทำไมเหรอ? ”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างสบายใจ เป็นเธอจริงๆ ด้วย

“คุณรู้ภูมิหลังของเธอไหม? ”

“ไม่รู้” มู่เวยเวยไม่ดีใจเล็กน้อย “หรือว่าคบเพื่อนจะต้องดูภูมิหลังด้วยเหรอ? ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีมากก็พอแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินมองเธอระเบิดอารมณ์ กล่าวปลอบโยนว่า “คุณอย่าเพิ่งตื่นเต้นไปก่อน ค่อยๆ ฟังฉันพูด เสี่ยวซีหร่านคนนี้ที่คุณรู้จักถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นมหาเศรษฐีแนวหน้าคนนั้นของเมืองG ภูมิหลังครอบครัวเธอนั้นมั่นคงอย่างมาก พ่อแม่มีอุตสาหกรรมในทุกๆ ที่บนโลก คนทั่วไปมักจะเข้าไม่ถึงสายตาของเธอ ไม่นึกเลยว่าคุณและเธอจะมีวาสนาต่อกัน”

มู่เวยเวยตกตะลึงอ้าปากค้าง ครั้งที่แล้วที่เธอพบเสี่ยวซีหร่าน เห็นรถสปอร์ตของเธอก็รู้ว่าเธอเป็นคนรวยคนหนึ่ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้

“คุณ….คุณพูดคือเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองGเหรอ? มู่เวยเวยรู้สึกว่าตนเองกลืนน้ำลาย

“อย่างน้อยปัจจุบันนี้ บนป้ายรายชื่อของเมืองGก็เขียนไว้แบบนี้”

“คุณพระ เธอเก่งเกินไปแล้ว” มู่เวยเวยเคารพเลื่อมใสเสี่ยวซีหร่านมาก “คุณพูดไปมากมายขนาดนี้ ฉันรู้สึกกดดันในใจที่จะไปพบกับเธอ”

เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้าลงไปมองมือถือสองสามวินาที หลังจากนั้นก็ส่งให้เธอ “คุณลองดูว่าใช่เธอไหม”

มู่เวยเวยมองรูปภาพที่หน้าจอมือถือ “คือเธอ”

“งั้นก็ถูกแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินวางมือถือลง “คุณจะกดดันอะไร? ” พวกคุณคบกับเป็นเพื่อนไม่ใช่เพื่อทำการค้า ไม่ต้องไปคิดมาก ไม่ว่ายังไงคุณก็คือคุณผู้หญิงที่สองตระกูลฉู่ มั่นใจตัวเองหน่อยโอเคไหม? “

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset