มู่เวยเวยพยักหน้า “อืม เธอพูดถูก”
เสี่ยวซีหร่านหันมามองแววตาเปล่งประกายของเธอ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเยอะ “ไปกันเถอะ พวกเราไม่ต้องมองเขาแล้วล่ะ ฉันพาเธอไปดูของสะสมที่ฉันรักดีกว่า”
แต่ก่อนที่มู่เวยเวยจะออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ก็ไม่วายหันมามองเขาอีกครั้ง
บางทีอาจเป็นเพราะพระเจ้าเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา พี่น้องที่แยกกันไปก็เลยไม่สามารถกลับมาเจอกันได้
เสี่ยวซีหร่านพาเธอมาอีกห้องหนึ่ง มู่เวยเวยถึงกับอ้าปากค้าง คุณพระ ที่นี่มันงานนิทรรศการบวกกับสวนสัตว์หรือเปล่าเนี่ย
ที่ผนังเต็มไปด้วยขนนกและสัตว์ต่างๆ และยังมีผีเสื้ออีกเต็มไปหมด
ที่กลางห้องมีตู้ปลาขนาดใหญ่ ด้านในเต็มไปด้วยปลาชนิดต่างที่มู่เวยเวยไม่เคยเห็น สีสันสวยงาม
“ซีหร่าน นี่คือปลาอะไร เปล่งประกายเหมือนทองคำเคลื่อนที่เลย” มู่เวยเวยชี้ไปที่ปลาตัวสีเหลืองทองอย่างสงสัย
เสี่ยวซีหร่านระบายยิ้มแล้วแนะนำว่า “เธอพูดถูกแล้ว มันเรียกว่าปลาทอง24K ราคาสูงกว่าทองจริงซะอีก ฉันได้มาตอนที่ไปสำรวจป่าอะเมซอน รู้สึกว่าสวยมากๆเลยเอากลับมาด้วย”
“คุณเคยไปอะเมซอนด้วยหรอ ” มู่เวยเวยเบิกตากว้าง “งั้นเคยเห็นชนเผ่าดั้งเดิมหรือเปล่า ก่อนหน้านี้เคยออกข่าว ว่าที่แม่น้ำอะเมซอนมีชนเผ่านี้อยู่”
เสี่ยวซีหร่านหัวเราะลั่น “ชนเผ่าดั้งเดิมแท้ๆน่ะ ไม่เคยเห็นหรอก แต่เคยไปที่ตั้งของชนเผ่า จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดหรอกนะ พวกเขาเป็นกันเองมาก ”
สีหน้ามู่เวยเวยหม่นลงเล็กน้อย “คุณเก่งจังเลย”
“ก็ปกตินะ เธอมาดูตรงนี้สิ” เสี่ยวซีหร่านพาเดินมาที่ด้านหน้าตู้เย็นโปร่งใส “เธอดูสิว่านี่คืออะไร”
มู่เวยเวยตั้งใจมอง “ก็เป็นก้อนน้ำแข็งไงคะ”
“เธอดูดีๆอีกทีสิ”
มู่เวยเวยหันกลับไปพิจารณาอีกครั้ง จึงเห็นว่าเป็นปลาสีใสที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง เพราะว่ามันโปร่งใสมากๆ เมื่อครู่เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็น
“นี่………” มู่เวยเวยตกใจจนพูดไม่ออก
“เห็นแล้วใช่ไหม ” เสี่ยงซีหร่านหลุบตามองที่ตู้เย็นนั้น “นี่คือตอนที่ฉันไปแอนตาร์กติกาปีนั้น บังเอิญเจอในธารน้ำแข็ง แล้วก็ใช้มีดงัดออกมา ฉันคิดว่า นกเพนกวินเอากลับมาไม่ได้ งั้นก็เลยเอาก้อนน้ำแข็งที่มีปลานี้กลับมาด้วย”
“คุณไปคนเดียวหรอ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ พวกเรามีผู้เชี่ยวชาญไปด้วย ไปที่แบบนั้น ไปคนเดียวมันอันตราย”
ต่อมาเสี่ยวซีหร่านก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับของต่างๆให้เธอฟัง ของทุกชิ้นล้วนมีเรื่องราวที่มาที่ไป ครอบคลุมเกือบทั่วทุกมุมโลกจากเหนือจรดใต้ มู่เวยเวยฟังไปก็ตื่นตาตื่นใจ
“ซีหร่าน ชีวิตคุณสุดยอดมาก เทียบกับคุณแล้ว ชีวิตช่วงไม่กี่สิบปีนี้ของฉันเหมือนน้ำซุปใสๆเลย ช่างจืดชืดเหลือเกิน” มู่เวยเวยบ่นอย่างหดหู่ใจ
“ฉันมีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว อยู่ไม่ติดบ้าน พอเห็นทุ่งหญ้าสะวันนาที่แอฟริกาในทีวี ฉันก็จองตั๋วเครื่องบิน บินไปดูด้วยตาตัวเองทันทีเลย” เสี่ยวซีหร่านเอื้อมมือไปข้างหน้า เพื่อปลอบใจเธอ “แต่ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับวิถีชีวิตแบบนี้หรอกนะ ทุกคนมีสไตล์ที่แตกต่างกัน ใครบอกว่าชีวิตฉันสุดยอดมาก แล้วชีวิตเธอน่าเบื่อล่ะ”
“ฉันอยากเป็นแบบคุณบ้าง แต่ว่าที่บ้านคงไม่เห็นด้วย ” มู่เวยเวยหน้ามุ่ย
“เอางี้ไหม ฉันออกจากบ้านคราวหน้าฉันจะชวนเธอไปด้วย เป็นไง”
“คราวหน้าเมื่อไหร่หรอ ไปไหนล่ะ ” มู่เวยเวยถามอย่างตื่นเต้น แม้รู้ว่าเธออาจจะไปไม่ได้
เสี่ยวซีหร่านส่ายหน้า “ฉันยังไม่มีแพลนเลย ฉันรอให้เพื่อนฉันฟื้น ให้อาการโอเคก่อน แล้วค่อยคิดดูอีกที”
มู่เวยเวยพยักหน้า บางทีถึงตอนนั้นเธออาจช่วยลูกออกมาได้แล้ว “โอเค ถึงเวลานั้นคุณอย่าลืมชวนฉันนะคะ”
“วางใจได้ ไม่ลืมแน่นอน แต่กลัวว่าระหว่างทางเธอจะถอดใจซะก่อนน่ะสิ”
“ฉันถึกทนมากนะคะ”
ช่วงบ่าย เสี่ยวซีหร่านลงครัวทำอาหารให้มู่เวยเวยด้วยตัวเอง รสชาติอร่อยมากๆ จนมู่เวยเวยเขินเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้เธอก็เป็นถึงคุณหนูแห่งบ้านตระกูลมู่ ทำไมถึงทำได้แค่เรียนหนังสือ ทักษะในการใช้ชีวิตอื่นๆไม่ได้เรื่องเลย แม้แต่การทำอาหารก็มาเริ่มทำได้หลังจากที่เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่แล้ว ยิ่งมองตระกูลเสี่ยว ที่ร่ำรวยกว่าตระกูลมู่ตั้งหลายเท่า เห็นเสี่ยวซีหร่านที่ไม่ได้มีความอ่อนช้อยแบบผู้หญิงเท่าไหร่ แถมยังเก่งศิลปะการต่อสู้สิบแปดแขนงอีก น่านับถือจริงๆ
“ซีหร่าน คุณอยู่บ้านหลังใหญ่แบบนี้คนเดียว ตอนกลางคืนไม่กลัวหรอคะ”
“กลัวอะไรหรอ บ้านฉันมีบอดี้การ์ดตั้งเยอะแยะ ไม่ยอมให้เลี้ยงเสียข้าวสุกหรอกนะ จะพูดอีกอย่างก็ ใครจะกล้าทำอะไรฉัน คงต้องดูว่ามีฝีมือมากแค่ไหน” เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างหน้าตาเฉย แต่เมื่อมู่เวยเวยได้ฟังกลับรู้สึกเหมือนโดนขู่
“เอ่อใช่ เธอมาเมืองSทำอะไรหรอ”
มู่เวยเวยทานข้าวไปด้วยพูดไปด้วย “เราร่วมมือกับเย่ฮวางสร้างสวนสนุกขนาดใหญ่ที่เมืองA แต่ซัพพลายเออร์ที่ตกลงกันปรับราคาขึ้น และได้ยินมาว่ามีบริษัทที่เมือง S จึงมาดูสักหน่อย”
“งั้นเธอไม่ไปประชุมหรอ ” เสี่ยวซีหร่านถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่มีใครไปติดต่อเป็นพิเศษ ส่วนฉันเอง ก็แสร้งมาที่นี่ไปงั้นเองค่ะ เพราะยังไงฉันก็ไม่ค่อยชอบเรื่องธุรกิจเท่าไหร่ ” มู่เวยเวยไม่กล้าพูดความจริง ว่าจริงๆแล้วเธอไม่มีอำนาจในการตัดสิน แล้วถ้าให้เธอตัดสินใจเองคงไม่ดีแน่
เสี่ยวซีหร่านเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบอะไร แววตาของผู้หญิงคนนี่ช่างตื้นเขิน แต่ก็ดี อ่านง่าย
“บริษัทไหนล่ะ บางทีฉันอาจจะรู้จัก”
มู่เวยเวยเอาชื่อบริษัทให้ดู เสี่ยวซีหร่านก็ขมวดคิ้วทันที “อ๋อ ฉันรู้จักบริษัทนี้ ชื่อเสียงในเมืองSดีทีเดียว ดูน่าเชื่อถือ”
“งั้นฉันก็สบายใจค่ะ”
หลังทานอาหารเสร็จ ทั้งคู่ก็ไปนั่งคุยกันที่โซฟา มู่เวยเวยที่จู่ๆก็นึกบางอย่างออก จึงพูดขึ้นมา “ซีหร่าน คุณเกลียดคนแบบไหนที่สุด”
“เกลียดที่สุดหรอ ” เสี่ยวซีหร่านยกมือขึ้นมาเท้าคาง “เอิ่ม………..เหมือนฉันจะไม่มีที่เกลียดที่สุดนะ แต่ไม่ชอบคนที่ไม่รักษาคำพูด เช่น ทีมพวกเรานัดกันออกเดินทาง นัดเวลากันชัดเจนแล้ว แต่ยื้อเวลาอยู่นั่นแหละ แล้วสุดท้ายมาบอกว่าไม่ไปแล้ว เจอคนแบบนี้นะ ฉันอยากเอามีดไปชำแหละเป็นชิ้นๆเลย ”
“ฮ่าๆๆ ….. ฉันเคยเจอแบบนี้”
“เคยเจอหลายครั้ง ฉันโมโหตลอดเลย ไปไม่ได้ทำไมไม่รีบบอก เสียเวลาคนอื่นเขา” เสี่ยวซีหร่านนึกถึงเหตุกาณ์ทำนองนี้ แล้วหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“งั้นถ้ามีคนโกหกคุณ คุณจะเกลียดเขาไหมคะ” มู่เวยเวยค่อยๆตะล่อมถาม
เสี่ยวซีหร่านกระพริบตาสวยอยู่หลายครั้งอย่างใช้ความคิด “ต้องดูว่าโกหกฉันเรื่องอะไร ถ้าโกหกเรื่องเงิน แล้วเอาของฉันก็ช่างมัน แต่ฉันก็ต้องดูอีกที ว่ามีเรื่องอื่นอีกไหม”
“ยกอย่างเช่น คุณรู้จักคนนึง ให้เขาเป็นเพื่อน แต่วันหนึ่ง ตัวตนของเขาไม่ใช่อย่างที่คิด คุณจะเกลียดเขาไหมคะ”
เสี่ยวซีหร่านที่แสนเฉลียวฉลาด แค่ฟังแค่นี้ และเห็นสีหน้าไม่สบายใจของใครบางคน ก็รู้ได้แล้วว่าใครคนนั้นที่เธอพูดถึงคือใคร
เธอปิดบังตัวตนที่แท้จริงงั้นหรอ แล้วเกี่ยวข้องกันยังไง เธอมองฉู่เหยียนคนนี้แล้ว ไม่น่าจะใช่ตัวตนที่แท้จริงที่ปิดบังอยู่ ทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ก็น่าสงสัยอยู่ดี
“จริงๆแล้ว บ่อยครั้งที่จะมีเพื่อนใหม่ ก็แค่ดูว่านิสัยเข้ากันได้ไหม จิตใจดีหรือเปล่า มีพื้นฐานครอบครัวยังไงไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เพราะงั้น ถ้าเธอเป็นเพื่อนฉันจริงๆ จะมีความลับปิดบังบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก”
มู่เวยเวยแววตาเป็นประกายขึ้นมา “จริงหรอ คุณคิดแบบนั้นจริงๆหรอ”
เสี่ยวซีหร่านพยักหน้า
มู่เวยเวยทนไมไหวพุ่งเข้าไปกอดแล้วจุ๊บๆเธอ “ซีหร่าน คุณช่างแสนดีจริงๆเลย ถ้าฉันเป็นผู้ชายฉันต้องรักคุณแน่ๆ”
“อย่าเชียวนะ ฉันคงไม่ชอบผู้ชายเรียบร้อยแบบเธอ ฉันชอบคนใจกล้า มีออร่า มองแล้วรู้สึกถึงความแมน แบบเธอไม่ผ่านหรอกนะ”
เมื่อฟังที่เสี่ยวซีหร่านพูดทำให้มู่เวยเวยนึกถึงพี่ชายของตัวเอง เขาก็เป็นคนลุยๆ แต่น่าเสียดาย……
“เธอเป็นไรหรือเปล่า” เสี่ยวซีหร่านดู่ท่าทางที่หม่นลงของเธอ จึงถามขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงคนที่รู้จักคนนึงน่ะ ถ้าหากเขายังอยู่ คิดว่าคุณอาจจะชอบ”
หลังจากพูดจบ ก็มีพยาบาลวิ่งเข้ามา ด้วยท่าทางตึงเครียด “การหายใจของคนไข้ไม่ค่อยแน่นอนเลยค่ะ”
เสี่ยวซีหร่านลุกพรวดจากเก้าอี้ โดยไม่หันไปพูดพร่ำกับมู่เวยเวย แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องพักผู้ป่วย “โทรหาคุณหมอหรือยัง”
“โทรแล้วค่ะ เขาบอกว่าจะรีบมา”
มู่เวยเวยก็รีบลุกตามมา พอมาถึงหน้าประตูโทรศัพท์ของเธอก็ดังพอดี เห็นว่าเป็น เย่ฉ่าวเฉิน
“อืม มีธุระอะไรคะ”
เย่ฉ่าวเฉินฟังน้ำเสียงเธอดูรีบร้อน จึงถามว่า “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แต่ทางซีหร่านทางนี้มีเรื่องนิดหน่อยค่ะ” มู่เวยเวยพูดไปพลางรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องพักผู้ป่วย แล้วถามเขาว่า “มีธุระอะไรคะ”
เย่ฉ่าวเฉินชะงักไป “ทางด้านท่านประธานถังทำการเจรจาเรียบร้อยแล้ว ตอนบ่ายพวกเราก็กลับเมืองAได้ เธอกับจางเห่อกลับมาเถอะ พวกเราจะรออยู่ที่โรงแรม”
“เร็วจังเลย” มู่เวยเวยชะงักหยุดนิ่งไป สายตามองไปที่ห้องพักผู้ป่วยที่มีคนห้อมล้อมอยู่ รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันในการร่วมลงมือกันในครั้งนี้ ราคาที่ประธานจ้าวเสนอมาก็เหมาะสมดี จึงตกลงกันง่าย ” เย่ฉ่าวเฉินอธิบายอย่างง่ายๆ
“จำเป็นต้องกลับไปตอนนี้เลยหรอคะ”
“รีบมาเถอะ ทางด้านเมืองAมีธุระต้องจัดการหลายเรื่อง”
“ทราบแล้วค่ะ งั้นฉันจะรีบกลับนะคะ” มู่เวยเวยวางโทรศัพท์ไป แล้วยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง แล้วหันหลังกลับ มุ่งไปหาจางเห่อ
คุณหมอมาถึงอย่างรวดเร็ว มู่เวยเวยมองเสี่ยวซีหร่านอย่างกังวลใจ และไม่อยากเข้าไปรบกวนเธอ ก้าวขึ้นรถไปแล้วส่งข้อความไปหาเธอแทน ที่รัก ฉันกลับก่อนนะ เย็นนี้มีธุระต้องรีบไปจัดการที่เมืองA ถ้าฉันมีเวลาว่างจะมาหาใหม่นะ
ผ่านไปสิบนาที คุณหมอควบคุมการหายใจของมู่เทียนเย่ให้คงที่ได้ แต่เขามีอีกอาการแสดงขึ้นมา
“คุณหนูเสี่ยวครับ คนไข้ดูเหมือนคลื่นสมองผิดปกติครับ”
เสี่ยวซีหร่านไม่เข้าใจที่เขาพูด “มีอะไรผิดปกติหรอคะ”
“ผมแนะนำให้พาคนไข้ไปตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลดีกว่าครับ เขาเหมือนมีการตอบสนองแล้วนะครับ”
เสี่ยวซีหร่านรีบเข้าไปคว้าแขนคุณหมอ “คุณหมอว่าอะไรนะคะ พูดอีกทีได้ไหมคะ”
คุณหมอรีบตอบกลับไปอย่างจริงจัง “เป็นเพียงความรู้สึกของผมครับ ควรให้คุณหมอที่เชี่ยวชาญตรวจอย่างละเอียดอีกที เพราะงั้น……”
“ฉันจะรีบพาเขาไปโรงพยาบาลตอนนี้เลยค่ะ” เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างตื่นเต้น พูดจบก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเรียกให้เอารถออก ขณะนั้นเองเธอจึงได้เห็นข้อความของฉู่เหยียน เมื่ออ่านดูก็รับรู้ว่าเธอกลับไปก่อนแล้ว
หลังจากที่ตรวจอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็ออกมาแจ้งว่า “ผลการทำ CT ที่สมองของคนไข้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สมองของเขาเริ่มมีการตอบสนองแล้ว เป็นสัญญาณที่ดีนะครับ”
เสี่ยวซีหร่านดีใจมาก ราวกับสิ่งที่เธอทุ่มเททำมาได้รับผลตอบแทนแล้ว
“แต่ว่า ” คุณหมอเว้นวรรคไป “คุณไข้ก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป คุณต้องอดทนรออีกหน่อยนะครับ ช่วงนี้ก็พูดคุยให้กำลังใจเขา เขาน่าจะรับรู้ได้”
“รออีกนานแค่ไหนฉันก็รอได้ค่ะ ขอแค่มีความหวัง” เสี่ยวซีหร่านพ่นลมหายใจออกมายาวๆ
……….
ระหว่างทางที่กลับไปยังเมืองA มู่เวยเวยนั่งเงียบไม่พูดจา เธอคิดถึงพี่ชายของเธอ มู่เทียนเย่
ฆาตกรอยู่ใกล้ตัวเธอแท้ๆ กลับทำอะไรไม่ได้ ความเกลียดชังฝังลึกอยู่ภายในใจของเธอ จนเธอเกือบลืมคนๆนี้ไปแล้ว ว่าเป็นฆาตกรฆ่าพี่ชาย
แต่เพื่อลูก จึงต้องแกล้งทำตัวน่ารักต่อหน้าเย่ฉ่าวเฉิน แสร้งทำเป็นรัก
มู่เวยเวยรู้สึกขยะแขยงตัวเอง และน่าสมเพช เธออิจฉาเสี่ยวซีหร่านมาก ที่ใช้ชีวิตได้อย่างตามใจตัวเอง โดยไม่ต้องสนใจสายตาคนอื่น
เย่ฉ่าวเฉินสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ ถามไปกี่ประโยคก็ไม่ยอมตอบ เย่ฉ่าวเฉินจึงเลิกถาม
เขาไม่รู้ว่าเธอไปเจอเหตุการณ์อะไรมาที่บ้านตระกูลเสี่ยว แต่แค่มองเขาก็รู้แล้วว่าเธออารมณ์ไม่ดี
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในรถ มู่เวยเวยก้มลงดู แล้วยกขึ้นมารับสาย “ซีหร่าน”
“ฉู่เหยียน ฉันมีข่าวดีจะบอกเธอ ข่าวดีมากๆเลยล่ะ” เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างดีใจ “เพื่อนฉันน่ะ คุณหมอบอกว่าสมองเริ่มมีการตอบสนอง อีกไม่นานก็คงจะฟื้นแล้ว พระเจ้า ปาฏิหาริย์มีจริง ฉันดีใจมากๆเลย”
มู่เวยเวยกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ “ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ดีใจด้วยนะ”
“เมื่อครู่ฉันยุ่งๆเลยไม่ได้ออกมาส่งเธอ เธอจะไปไหนหรอ ” เสี่ยวซีหร่านที่สงบสติอารมณ์แล้วถามขึ้น
มู่เวยเวยมองไปนอกหน้าต่างรถ “เพิ่งออกจากเมืองSมา ตอนนี้ไปที่ไหนฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อืม โอเค”
หลังจากวางโทรศัพท์ ความหดหู่ภายในใจของมู่เวยเวยก็สลายหายไป เหมือนต้นไม้ที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แสดงว่าพรระเจ้าคงเมตตา ทำให้เธอคิดถึงเรื่องของลูก หลังจากนี้
คงไม่ได้พบกับเย่ฉ่าวเฉินอีก เป็นจุดจบที่ดีต่อเธอ ต่อลูก และพี่ชาย
“เธอกับเสี่ยวซีหร่านสนิทกันจังเลยนะ ” เย่ฉ่าวเฉินมองเธอที่อาการดีขึ้น จึงพูดขึ้นมา
มู่เวยเวยเงียบสักครู่ “อืม ฉันอยากมีชีวิตแบบเธอน่ะค่ะ มีอิสระ มีความสุข”
เย่ฉ่าวเฉินมองเข้าไปนัยน์ตาของเธอลึกๆ “บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่มีอิสระทุกเรื่องหรอกนะ”
“แต่ว่า สำหรับฉัน อยากจะมีชีวิตแบบเธอ ” มู่เวยเวยถอนหายใจ แล้วเอนหลังพิงเบาะรถ
เย่ฉ่าวเฉินไม่เคยเจอเสี่ยวซีหร่าน ไม่รู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหน แต่จากข่าวตามอินเทอร์เน็ต เป็นผู้หญิงที่คล่องแคล่วดุจสายลม แม้มีรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น แต่บุคลิกเข้มแข็ง ชอบเดินทางอยู่เสมอ
เขามองเธอแค่ครู่เดียว ก็เบือนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาอยากจะบอกกับเธอ ว่าที่เป็นอยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
กลับถึงเมืองA ก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว จึงหาอะไรทานแล้วก็แยกย้ายกลับบ้าน
……….
วันคืนผ่านไป ช่วงไม่กี่วันนี้มู่เวยเวยยุ่งอยู่กับการรื้อค้นในคฤหาสน์ตระกูลเย่ แต่ก็ไม่เจอเบาะแสอะไรเลย จากที่เธอคาดการณ์ในตอนแรก ถ้าหากของไม่ได้อยู่ที่บ้าน เขาอาจจะเก็บไว้ในตู้เซฟก็เป็นได้
เย่ฮวางกรุ๊ป
เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งประชุมเสร็จ เลขาหลิวก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงเบาว่า “ท่านประธานเย่ ต้องการจะสั่งเค้กไหมครับ”
เย่ฉ่าวเฉินนิ่งชะงักไป “สั่งเค้กอะไร”
เลขาหลิวมองสถานการณ์ออก และเข้าใจว่าเขาคงไม่รู้จริงๆว่าวันนี้คือวันอะไร โชคดีที่เขาจำได้แม่น
“ท่านประธานเย่ วันนี้คือวันเกิดของท่านประธานฉู่บริษัทMKครับ ” เลขาหลิวพูดด้วยเสียงเรียบ
เย่ฉ่าวเฉินหยุดชะงัก “วันนี้หรอ”
“ใช่ครับ วันนี้ ผมเคยหาข้อมูลของเขามาครับ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว วันนี้ก่อนออกจากบ้านมา ฉู่เหยียนไม่เห็นพูดอะไรเลย ไม่แม้แต่พูดเป็นนัยๆ หรือว่าเธอเองก็จะลืมเหมือนกัน
ผู้หญิงชอบฉลองตามเทศกาลต่างๆไม่ใช่หรอ โดยเฉพาะวันเกิดของตัวเอง เธอจะลืมได้ยังไง
“ไปสั่งมาละกัน ไม่ต้องใหญ่มากนะ แล้วก็เอาไปวางไว้ในรถฉัน”
“รับทราบครับท่าน”
เมื่อจัดการงานต่างๆเรียบร้อยแล้ว หลังเลิกงานเย่ฉ่าวเฉินผ่านร้านดอกไม้ร้านหนึ่ง จึงให้จางเห่อหยุดรถ แล้วตัวเขาเองก็ลงไปซื้อดอกไม้
“คุณผู้ชาย อยากได้ดอกไม้แบบไหนคะ ” เจ้าของร้านทักทายอย่างเป็นกันเอง
เย่ฉ่าวเฉินที่ไม่เคยซื้อดอกไม้มาก่อน จึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้
เจ้าของเห็นท่าทางเขาแล้วก็พอจะรู้ “คุณผู้ชายคะ มิทราบว่าจะส่งให้ใครคะ ให้ฉันแนะนำให้ไหม”
เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดสักครู่แล้วตอบไปว่า “ให้แฟนครับ วันเกิดเธอ”
“อย่างนี้นี่เอง งั้นต้องเป็นดอกกุหลาบค่ะ ดอกกุหลาบแสดงถึงความรัก ผู้หญิงมักจะชอบ” เจ้าของร้านพูดพร้อมกับหยิบช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่เพิ่งทำเสร็จยกขึ้นมา “ช่อนี้เป็นยังไงคะ ช่อนี้เราเพิ่งทำเสร็จพอดี”
ช่อดอกกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่แซมด้วยใบไม้สีเขียว ดูไม่เลว เย่ฉ่าวเฉินจึงล้วงกระเป๋าเงินขึ้นมา “เท่าไหร่ครับ”
“350ค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกจากร้านไป
คฤหาสน์ตระกูลเย่
มู่เวยเวยกับฉินหม่ากำลังถามกันเรื่องต้องใส่น้ำตาลลงไปในผัดผักหรือไม่ เย่ฉ่าวเฉินก็กลับมาพอดี
แต่ทว่า เขาเก็บเค้กและช่อดอกไม้ไว้ในรถ
“ฉินหม่า วันนี้มีผัดผักไหม” เย่ฉ่าวเฉินยืนถามอยู่ที่หน้าประตูครัว
ฉินหม่ารู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย “ไม่มีค่ะ เหมือนเดิมเลยค่ะ”
“ฉู่เหยียน เธอไม่รู้สึกว่าวันนี้พิเศษหรอ” เย่ฉ่าวเฉินทอดสายตามองร่างบาง
ฉู่เหยียนไม่เข้าใจความหมาย จึงล้างมือที่อ่างล้างมือ แล้วเดินออกจากห้องครัว “ก็เหมือนปกตินี่คะ มีอะไรพิเศษหรอ”
เย่ฉ่าวเฉินเดินตามเธอไปที่ห้องรับแขก “เธอไม่รู้สึกว่าวันนี้พิเศษจริงๆหรอ”
มู่เวยเวยหยุดยืน ในหัวก็คิดทบทวนดู จึงลองถามออกไป “หรือว่าวันนี้โครงการผ่านไปได้ด้วยดีคะ”
“โครงการทุกวันนี้ก็ราบรื่นดี ไม่ได้มีอะไรพิเศษ”
“งั้นคุณหมายถึงอะไรล่ะคะ”
เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือไปจับข้อมือเธอแล้วพาเดินไปที่รถ เปิดกระโปรงหลังออกมา ทำให้มู่เวยเวยนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว
เค้กและช่อดอกไม้
สายตากวาดมองรอบๆแล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของฉู่เหยียนงั้นหรอ เธอลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย มิน่าล่ะ เมื่อสองวันก่อนเหมือนมีเรื่องสำคัญที่เธอลืมไป เป็นเรื่องนี้นี่เอง
“วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ เธอลืมไปแล้วหรอ ” เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
มู่เวยเวยยิ้มเก้อเขิน “เรื่องนี้ ฉันลืมไปจริงๆค่ะ”
“งั้นหรอ ” เย่ฉ่าวเฉินก้าวเข้าไปใกล้ๆเธอ “ฉู่เหยียน เธอน่าสงสัยจริงๆ เธอคือฉู่เหยียนตัวจริงหรือเปล่า แม้แต่วันเกิดตัวเองยังจำไม่ได้ ”
มู่เวยเวยใจเต้นรัว ค่อยๆถอยทีละก้าว สบตากับเย่ฉ่าวเฉินนิ่ง “เย่ฉ่าวเฉิน คุณพูดอะไรเนี่ย ฉันก็แค่ลืมวันเกิดตัวเอง แล้วจะไม่ใช่ตัวฉันเองเชียวหรอ”
“เธอเองจำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เป็นถึงคุณหนูรุ่นที่สองแห่งตระกูลฉู่ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคนจากตระกูลฉู่โทรมาอวยพรวันเกิดเลยเชียวหรอ แล้วยังจะเพื่อนๆของเธออีก พวกเขาไม่ติดต่อกับเธอเลยหรือไง พูดไปใครเขาจะเชื่อ ” เย่ฉ่าวเฉินเพ่งมองอีกคน แล้วถามต่อว่า “ฉู่เหยียน เธอเป็นใครกันแน่”
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณจะบ้าหรอ ฉันก็เป็นฉันไง ไม่มีใครโทรหรือส่งข้อความมาทั้งนั้น เป็นเพราะหลังจากที่ฉันมาอยู่ที่เมืองAก็เปลี่ยนเบอร์ แล้วพวกเขาจะส่งมาอวยพรวันเกิดฉันได้ยังไง”
“แม้แต่คนในครอบครัวเธอ ก็ไม่มีเบอร์เธอที่เมืองAนี้หรอ”
“พวกเขามีค่ะ แต่ทุกคนยุ่งมาก บางทีก็อาจจะลืมเหมือนฉันนี่ไง” มู่เวยเวยคลายข้อสงสัย แม้เธอจะรู้สึกว่าเหตุผลนี้ค่อนข้างเหลวไหล แต่เธอก็คิดหาข้อแก้ตัวไม่ออก
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเยาะ และตั้งใจพูดขึ้นว่า “ฉู่เหยียน เท่าที่ฉันรู้ เธอเป็นลูกสาวที่คุณฉู่รักมากที่สุด ท่านจะลืมวันเกิดของเธอได้ยังไง”
มู่เวยเวยพยายามนึกถึงข้อมูลต่างๆ แล้วถอยหลังไปเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างเธอกับเย่ฉ่าวเฉิน แล้วพูดด้วยความหงุดหงิด “เย่ฉ่าวเฉิน คุณพูดผิดแล้ว ฉันไม่ใช่ลูกสาวที่คุณพ่อรักมากที่สุดหรอก นอกจากฉัน ท่านรักน้องสาวฉันมากกว่าอีก เพราะฉะนั้นการคาดเดาครั้งนี้ของคุณมันผิดนะ”
เย่ฉ่าวเฉินมองท่าทางของเธอแล้ว เห็นว่าน่าจะจริง จึงยอมถอย “โอเค ฉันคงคิดมากไปเอง” แล้วหันกลับไปหยิบกล่องเค้กและช่อดอกไม้มายื่นให้เธอ “ฉู่เหยียน สุขสันต์วันเกิด”
ฉู่เหยียนที่เห็นเขาเปลี่ยนอารมณ์อย่างกะทันหันก็แปลกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ยังตึงเครียดอยู่เลย ตอนนี้กลับยื่นช่อดอกไม้มาให้ เขาสติไม่ดีหรือเปล่านะ
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณเปลี่ยนอารมณ์เร็วกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสืออีกนะคะ ไม่กี่นาทีก่อนยังกล่าวหาว่าฉันไม่ใช่ฉู่เหยียน ตอนนี้มาอวยพรวันเกิดฉันแทน ท่าทีของคุณเปลี่ยนเร็วมากๆ”
เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอไม่ยอมรับช่อดอกไม้ จึงยัดเข้าไปในมือเธอ แล้วพูดยิ้มๆว่า “อื้ม ฉันสะเพร่าเอง ขอโทษนะ”
มู่เวยเวยกระพริบตามองเขา ไม่ได้รับรู้ถึงคำว่า “ขอโทษ” จริงๆสักนิด มีแต่ความเคลือบแคลงใจ
“ฉันไม่ชอบดอกกุหลาบที่สุดเลย” มู่เวยเวยยกยิ้มมุมปาก แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเขายิ่งสงสัยในตัวตนของเธอ แล้วจะทำยังไงดี
เย่ฉ่าวเฉินหยิบเค้กขึ้นมา แล้วเดินถือเข้าบ้านไป “แล้วเธอชอบดอกไม้อะไรล่ะ ฉันจะได้ไปเปลี่ยนตอนนี้เลย”
“ช่างเถอะค่ะ ดอกไม้อะไรก็เหมือนกัน” มู่เวยเวยเดินตามเข้าไป มองเขาเอาเค้กไปวางไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วยกมือขึ้นนวดขมับ พูดเสียงอ่อน “ฉันขอขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ แล้วจะลงมาฉลองวันเกิดด้วย”
“ค่ะ”
รอให้เย่ฉ่าวฉินขึ้นไปชั้นบน มู่เวยเวยก็วางช่อดอกไม้ลง หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วหาที่เงียบๆคุยโทรศัพท์
“ฮัลโหล ฉันเอง เย่ฉ่าวเฉินเกือบจะจับฉันได้แล้ว ทำยังไงดี”