ฉู่เซวียนแอบหัวเราะอยู่ในใจ หรือว่ามาโรงพยาบาลก็ยังจะเอาคอมพิวเตอร์มาด้วย ดูแล้วเป็นไอเดียที่น่าจะเข้าท่า
แต่ว่าเรื่องส่วนตัวก็ส่วนเรื่องส่วนตัว กับเรื่องงานแล้ว ฉู่เซวียนขึ้นชื่อได้ว่าเป็นคนที่จริงจังมากคนหนึ่ง แม้ว่าฉู่เซวียนอยากที่จะหาเรื่องทำให้เย่ฉ่าวเฉินลำบากใจแต่เขาต้องหยุดแผนการนี้ลงชั่วคราว
ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ ทั้งสองคนเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา คนหนึ่งนั่งบนโซฟา ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งบนเตียง ทำเหมือนกับว่าห้องคนผู่ป่วยเป็นห้องทำงาน
มู่เวยเวยมองดูเขาทั้งสอง เฮย อย่างนี้ก็ดี
เธอยังรู้สึกกังวลใจอยู่ว่าคนทั้งสองที่มีความน่าเชื่อถือมาปะทะกันแล้วจะทำให้เกิดความวุ่นวายไปหมด แต่ไม่คิดเลยว่าต่างคนต่างสงบแบบนี้ เป็นอย่างนี้ก็ไม่มีธุระของเธอแล้ว มู่เวยเวยที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงเล็กๆทางด้านข้างของฉู่เซวียน และให้แน่ใจว่าเย่ฉ่าวเฉินจะมองมาไม่เห็นหน้าจอโทรศัพท์ จากนั้นก็เริ่มทำการเลื่อนดูโทรศัพท์
เดิมทีก็เลื่อนดูข่าวดังข่าวแฟชั่น แต่ทว่าตอนนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจกดเข้าไปที่รูปของเด็กคนหนึ่ง จากนั้นเธอก็ค่อยๆดูมันด้วยความใสซื่อ
เย่ฉ่าวเฉินกับฉู่เซวียนทั้งสองคนเป็นพวกบ้างาน หากว่าเป็นงานตรวจสอบเดียวกัน คนหนึ่งจะเป็นคนพูดส่วนอีกคนจะเป็นคนฟัง หรือมีตรงไหนที่เห็นไม่ตรงกันก็จะถกเถียงเสนอแนวคิด บรรยากาศดูแล้วยังพอมีความอบอุ่นอยู่บ้าง
“อาเหยียน ช่วยรินน้ำให้ฉันสักแก้วหน่อย”ฉู่เซวียนมีอาการกระหายน้ำ ตามองที่คอมพิวเตอร์และพูดขึ้น
แต่ว่ามู่เวยเวยมีสติอยู่กับรูปภาพ เธอไม่ได้ยินเลยว่าเขาพูดอะไร
ผ่านไปสักครู่ เห็นมู่เวยเวยนั่งอยู่และยังไม่มีการขยับ เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง“อาเหยียน ช่วยรินน้ำให้ฉันหน่อย”
ครั้งนี้ แม้แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ยังเงยหน้าขึ้นมาดู แต่มู่เวยเวยยังคงเหม่อลอยไม่ได้สติ เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกสงสัยว่าเธอกำลังดูอะไรอยู่?
“อาเหยียน”ฉู่เซวียนหันหน้าไปมองทางเธอ และเรียกเธอด้วยเสียงที่ดังขึ้น“อาเหยียน”
มู่เวยเวยตกใจ เห็นผู้ชายสองคนมองจ้องมาทางของตัวเอง เธอจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าที่มึนงง“ทำอะไรกันหรอ?”
“เธอกำลังดูอะไรอยู่ ทำไมถึงได้ใจจดใจจ่ออย่างนั้น หยิบมาให้ฉันดูหน่อย”ฉู่เซวียนยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปเอาโทรศัพท์
มู่เวยเวยจะกล้าให้ได้ยังไง รีบกดปิดหน้าจอจากนั้นก็เอาโทรศัพท์ยัดเก็บลงในกระเป๋า เธอพูดปั้นเรื่องขึ้นว่า “เป็นตำนานเรื่องเล่าของคนออกแบบชุดคนหนึ่ง พี่ไม่สนใจหรอก ว่าแต่พี่เรียกฉันทำไม?”
“ช่วยรินน้ำให้ฉันสักแก้วสิ ขอบคุณ”
มู่เวยเวย อ้อ ออกมาหนึ่งครั้ง เธอลุกยืนขึ้นจากนั้นก็เดินไปรินน้ำให้เขาพร้อมกับรินมาให้เย่ฉ่าวเฉินด้วยหนึ่งแก้ว
“ขอบคุณ”ตอนที่เธอวางแก้วน้ำตรงด้านหน้าพร้อมกับที่เย่ฉ่าวเฉินก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเธอเบาๆ
และทันใดนั้นเอง มู่เวยเวยนึกภาพใบหน้าของคนที่อยู่ในรูปภาพนั้นขึ้นมาได้ มันเหมือนกันมาก เค้าโครงรูปร่างประมาณแบบนี้ หรืออาจดูหล่อกว่าในนั้นซะอีก
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอ ความคิดที่เฉียบแหลมของเขาก็ปรากฏออกมา ราวกับว่าเธอกำลังมองทะลุตัวของเขาและเห็นใครอีกคน เพราะว่าสายตาของเธอมันเก็บซ่อนความชื้นชมและความภูมิใจเอาไว้อยู่นิดๆ
เย่ฉ่าวเฉินใจสั่นเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉู่เหยียนเป็นแบบนี้ แต่ว่าเธอกำลังมองเห็นใครที่อยู่ในตัวเขาล่ะ?ใช่รูปใครคนหนึ่งที่เธอพึ่งจะดูในโทรศัพท์คนนั้นไหม?
“แคกๆ——”ฉู่เซวียนตั้งใจไอแห้งๆเพื่อเป็นการขัดจังหวะไม่ให้ใครคนหนึ่งคิดฟุ้งซ่านไปไกล มู่เวยเวยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว เธอยิ้มให้เย่ฉ่าวเฉินเพื่อเป็นเป็นการแก้เขิน จากนั้นก็รีบกลับไปนั่งที่เดิม และแล้วเธอก็หานักออกแบบคนที่เธอชอบเจอแล้วจริงๆ เธอเริ่มอ่านประวัติของเขา เพื่อเป็นการป้องกันว่าสักพักพวกเขาจะถามว่าดูประวัติของใคร
สี่ทุ่ม คุณหมอเข้ามาทำการตรวจเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเข้ามาในห้องและได้เห็นภาพฉากที่อยู่ตรงหน้าเขาเกิดตะลึงไปพักหนึ่ง ฉู่เซวียนไม่รู้จักเขา แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ยังพอจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาบ้าง ไม่คิดเลยว่าเขาจะปรากฎตัวที่นี้ในเวลาดึกขนาดนี้ แต่เห็นได้ว่าฉู่เซวียนคนนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา
พรุ่งนี้จะไม่ให้นางพยาบาลพวกนั้นเข้ามาวุ่ยวายได้ตามใจชอบอีก นี่คือความคิดของคุณหมอท่านนี้ทันทีที่ปรากฎตัวขึ้นครั้งแรก จากนั้นเขาก็มีท่าทางที่ให้ความเคารพต่อฉู่เซวียนเป็นอย่างมาก
ผ่านการรักษาไปสองวัน ผื่นแดงที่อยู่บนร่างกายของฉู่เซวียนก็หายจนหมดแล้ว อาการไข้สูงก็ลดลง จะมีก็แต่อาการร่างกายไม่มีเรียวแรงหลังจากร่างกายทำการฟื้นฟู
เมื่อทำงานสองถึงสามชั่วโมงผ่านไป ฉู่เซวียนรู้สึกปวดเอวปวดหลัง ต้นคอก็รู้สึกไม่ค่อยจะสะบาย ตอนที่กำลังทำยืดเส้นยืดสายอยู่บนเตียง เขาก็เหลือบไปเห็นเย่ฉ่าวเฉินที่เกิดความเหนื่อยล้า จึงมีความคิดดีๆเกิดขึ้นในหัว
“อาเหยียน ช่วยนวดไหล่ให้ฉันหน่อย ทำงานเป็นเวลานาน เจ็บไหล่ซะมัด ”ฉู่เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่มู่เวยเวยได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามันไม่ปกติ พี่ชาย นายไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของฉันซะหน่อย ทำไมถึงได้กล้าใช้ฉันล่ะ?
“พี่ แล้วเรื่องนวดไหล่อะไรพวกนี้ ฉันทำไม่เป็นหรอก”มู่เวยเวยพูดปฎิเสธออกมาตรงๆ
ฉู่เซวียนจ้องใครคนหนึ่งที่พึ่งกำลังจะนวดคิ้วเสร็จ และไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องการที่จะให้เธอเป็นคนลงมือ“เรื่องแค่นี้มันจะยากตรงไหน แค่ซี้ซั้วนวดๆไปก็เท่านั้น มือของฉันไม่มีแรง”
มู่เวยเวยถลึงตาโตมองฉู่เซวียน นายต้องการจะทำอะไร?
ฉู่เซวียนหันไปทางเธอพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ไม่ทำอะไร เธอรีบหน่อย
มู่เวยเวยไม่ส่งเสียงแต่ทำปากมุบมิบๆ หญิงชายมีความแตกต่างพี่รู้ไหม
ฉู่เซวียนยักไหล่ ตอนนี้เธอคือน้องสาวของฉัน เมื่อพูดเสร็จยังหันกลับไปมองที่เย่ฉ่าวเฉิน
ชะงักไปครึ่งนาที สุดท้ายมู่เวยเวยก็ลงมือ
“พี่ ตรงไหนที่ไม่สบาย ไหล่ใช่ไหม ?”มู่เวยเวยนั่งลงบนเตียง และค่อยๆวางมือบางๆของเธอลงที่ไหล่ของฉู่เซวียน เธอยิ้มอย่างไม่ค่อยพอใจพร้อมกับถามขึ้นว่า“ตรงนี้ใช่ไหม?”
“อือ ตรงนั้นแหละ รู้สึกเมื่อยมากๆ”
มู่เวยเวยไม่เคยนวดไหล่ให้กับใครเลย แต่ทว่าไม่ลองดูก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่จริงไหม?ลองคิดดูว่าในโทรทัศน์เขานวดให้กับคนอื่นอย่างไร ฉู่เซวียนไม่คิดมาก่อนเลยว่ามู่เวยเวยที่ดูร่างกายบอบบาง แต่แรงมือที่ใช้นวดของเธอนั้นไม่เบาเลย
แต่ แม้ว่าเธอจะมีกำลังมากเหมือนพึ่งนมเสร็จ แต่เธอที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูมาตั้งแต่เล็กๆ แรงแบบนี้สำหรับฉู่เซวียนแล้วถือว่ากำลังดี
“ทำไมหรอ?สบายไหม?”
“ยอมรับ”ฉู่เซวียนพูดพร้อมกับยิ้มตาหยีๆ
มู่เวยเวยที่อยู่ทางด้านหลังถึงกับมองบน
เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่บนโซฟารู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ ต้องการที่จะขึ้นไม่ทำการหยุดพวกเขา แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาเป็นพี่ชายน้องสาวกัน แค่นวดไหล่เท่านั้น เขาจะพูดอะไรได้ล่ะ?
ตามองไม่เห็นก็ไม่ต้องทุกข์ใจ
“ฉันจะออกไปสูบบุหรี่สักมวน”เย่ฉ่าวเฉินพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคจากนั้นก็ออกไปจากห้อง แม้แต่ตาก็ไม่ได้มองทั้งสองคน
เมื่อเขาออกไป มู่เวยเวยก็กระโดดลงจากเตียงอย่างร็วด และหยุดการให้บริการนวดทันที
“ฉู่เซวียน นายจงใจใช่ไหม ”มู่เวยเวยกดน้ำเสียงพูดต่ำลง
ฉู่เซวียนหมุนคอกับมา“ก็ไม่นะ ฉันปวดไหล่กับต้นคอจริงๆ”
มู่เวยเวยถอนหายใจอย่างแรงหนึ่งครั้ง เธอควบคุมตัวเองให้อารมณ์เย็นลงจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า“ฉู่เซวียน นายช่วยพูดอะไรที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีหน่อยได้ไหม และฉันจะขอบใจนายมาก แต่ถ้าหากว่านายไม่ช่วยล่ะก็ อย่ามาขัดจังหวะของฉัน ถึงอย่างไรซะเป้าหมายของพวกเราก็เหมือนกัน”
ฉู่เซวียนมองเห็นเธอมีท่าทางเคร่งขรึม เขาพูดอย่างจริงจังว่า “อาเหยียน ของสมองทึมๆของเธอนี่นะ เห็นชัดๆเลยว่าฉันกำลังช่วยเธอ ตาไหนของเธอที่มันเห็นว่าฉันเข้าไปขัดจังหวะล่ะ ?”
“นาย……”มู่เวยเวยอีกนิดเดียวก็จะส่งเสียงดังออกมา ยังดีที่กดเสียงในลำคอได้ทัน “นายดูสีหน้าของเขาสิ เขาต้องโกรธมากๆเป็นแน่”
“จะว่าเธอโง่ก็โง่จริงๆ”ฉู่เซวียนพูดเยาะเย้ยเธอและพูดต่อว่า“เขาโกรธที่ไหนล่ะ เห็นๆอยู่ว่าเขาหึง เธอดมไม่ได้กลิ่นอะไรหรอ ?กลิ่นเปรี้ยวๆของน้ำส้มสายชู”
มู่เวยเวยตกตะลึกไปสักพัก มองไปที่ประตูหน้าของห้องผู้ป่าย และมองไปที่ฉู่เซวียน อ้อ ผู้ชายก็หึงเป็นด้วยหรอ?
“แต่……ตอนนี้นายเป็นพี่ของฉันนะ เขาจะหึงทำไม?”มู่เวยเวยดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยพอใจในคำอธิบายของเขา
ฉู่เซวียนถอนหายใจ พลางลุกจากเตียงเตรียมจะเดินไปห้องน้ำพลางพูดขึ้นว่า“มานี่ หยิบรองเท้ามาให้ฉันใส่และฉันจะบอกกันเธอ”
อาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเขาสวมมันจนชินแล้ว มู่เวยเวยไม่ได้คิดว่ามีอะไรผิดปกติ จากนั้นเธอก็รีบล้มลงช่วยสวมรองเท้าแตะให้เขาที่นั่งอยู่บนเตียง ฉู่เซวียนมองดูเธอ แอบถอนหายใจอยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้ทึ่มจริง แล้วตอนไหนจะได้แผนที่สมบัติมาครอบกัน?
ดูท่าแล้วเขาต้องรีบกลับไปที่ฮ่องกงให้เร็วที่สุด และก็ต้องช่วยเธอด้วย
สวมรองเท้าเสร็จ ฉู่เซวียนพูดต่อจากเรื่องเมื่อกี้“นั่นก็เป็นเพราะเขาคิดว่าเราเป็นพี่น้องกัน เขาถึงได้ไม่เอ่ยปากขัดจังหวะ จึงทำได้เพียงแค่ออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก หากว่าเธอกับฉันไม่ใช่พี่น้องกันล่ะก็ ฉันให้เธอมานวดไหล่ให้ เหอะๆ ฉันกลัวว่าเขาจะเป็นคนลงมือมานวดให้ฉันเองแน่ๆ”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉู่เซวียนก็โน้มเข้าไปที่ข้างหูของเธอและพูดว่า“นั่นก็แปลว่า ในใจของเขาก็มีที่ว่างสำหรับเธอ”
ลมร้อนที่ออกมากับคำพูดกระทบที่หูของมู่เวยเวย เธอหลบโดยเอาหูแนบไปกับไหล่ของตัวเอง
ฉู่เซวียนหัวเราะเยาะอย่างสะใจ เด็กคนนี้ เขาไม่กล้าลงมือทำอะไรกับหน้าของน้องสาว
มู่เวยเวยมองเห็นว่าเขากำลังจะเดินไปทางห้องน้ำ เธอก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ในห้องผู้ป่วย เธอจึงเดินออกไปที่ด้านนอกเพื่อไปหาเย่ฉ่าวเฉิน ที่สุดทางเดินของทางเดินด้านนอก แสงไฟสลัวๆมีชายคนหนึ่งกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ ควันบุหรี่อยู่ล้อมรอบตัวของเขาและยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของความเหงา
ตอนนี้เวลาเลยสี่ทุ่มไปแล้ว บนตึกมีคนไม่มาก ประกอบกับที่นี่เป็นห้องผู้ป่วยระดับVIP คนใข้ที่มาพักจึงมีจำนวนไม่มากและแถมยังเงียบสงบ
เย่ฉ่าวเฉินมองเห็นเธอเดินเข้ามาจากที่ไกลๆ เขาเอาก้นบุหรี่ที่เขาสูบเสร็จดับกับที่เขี่ยบุหรี่ จากนั้นก็เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท่ และรอให้เธอเดินเข้ามา กลิ่นของควันบุหรี่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว
“เย็นวันนี้คุณอาจจะต้องทำตัวให้ชินหน่อยนะ คุณอาจจะต้องนอนบนโซฟา”มู่เวยเวยไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงโกรธ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอย่างนั้นหรอ?
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย “ผู้หญิงนอนบนเตียง ผู้ชายนอนโซฟา นี่ไม่ใช่เรื่องปกติอย่างนั้นหรอ ?มีอะไรที่ต้องน้อยใจ”
มู่เวยเวยยิ้มออกมา จากนั้นก็เข้าไปดึงที่แขนของเขาและลากเขาเดินกลับไปที่ห้อง“อีกสักพักเรื่องอาบน้ำก็ไม่ต้องคิดแล้ว เพราะไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน คุณแค่ล้างตัวนิดๆหน่อยๆก็เข้านอนได้ วันนี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว อย่าอดนอนเลย”
“เธอเป็นห่วงฉันหรอ”เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ตัวว่าเขาพูดออกมาปนกับน้ำเสียงของความหึงหวง
มู่เวยเวยหยุดชะงัก“แน่นอนว่าฉันต้องเป็นห่วงคุณอยู่แล้วล่ะ”
“เธอเป็นห่วงฉันแต่ก็ไม่ได้นวดไหล่ให้ฉัน”
มู่เวยเวยเกือบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ที่ฉู่เซวียนพูดไม่ผิดจริงๆ ผู้ชายคนนี้อันที่จริงก็หึงขึ้นจริงๆแล้ว
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณทำไมถึงได้มีนิสัยเหมือนกับเด็กที่อยากจะแย่งลูกกวาดกับคนอื่น เอาล่ะๆ ครั้งต่อไปถ้าได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ฉันจะช่วยนวดให้คุณ”มู่เวยเวยพูดไปพลางกับกลั้นหัวเราะ
“ต่อไปไม่อนุญาตให้นวดให้กับฉู่เซวียน แม้ว่าพวกเธอจะเป็นพี่น้องกันก็ตาม”
มู่เวยเวยถึงกับเอือมระอา คำพูดผูกขาดของเขาทำไมถึงได้ดูจริงจังนัก?เมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้ แต่ต่อไปฉู่เซวียนคงจะไม่เอ่ยปากขอให้เธอช่วยทำเรื่องแบบนี้แล้วล่ะ ไม่คิดว่ามู่เวยเวยจะตอบตกลงกับเขา“ฉันสัญญา อย่างนี้ก็โอเคแล้วใช่ไหม ฉันล่ะนับถือพวกคุณจริงๆเลย ”
ทั้งสองคนเดินมาถึงที่หน้าประตูห้องผู้ป่วย เย่ฉ่าวเฉินดึงเธอให้หยุดกะทันหัน จากนั้นก็จูบแรงๆลงไปริมฝีปากของเธอสักครู่ เขาค่อยๆปล่อยเธอ และเดินเข้าห้องไปพร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปาก
มู่เวยเวยใช้หลังมือเช็ดปากให้สะอาดด้วยความไม่สบายใจ หลังจากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียง ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งสามคนอาบน้ำเสร็จ ต่างคนก็ต่างเข้านอน แน่นอนว่าที่นอนของเย่ฉ่าวเฉินก็คือบนโซฟา ด้วยความที่เขามีรูปร่างสูง ถ้าหัวอยู่ในโซฟา ขาก็ยื่นออกจากโซฟา หรือถ้าขาอยู่บนโซฟา ก็ต้องนอนขดหัว ไม่ว่าจะท่าไหนก็ทำให้เขานอนไม่หลับ
ฉู่เหยียนชะโงกมองเขาครั้งหนึ่ง และแอบหัวเราะเยาะเขาอย่างไม่แยแส ถ้าเย่ฉ่าวเฉินชอบที่มาเองก็ต้องรับกรรมเอง เธอก็ขี้เกียจจะมามองเรื่องที่ว่าเขาจะยอมแพ้หรือไม่ยอมแพ้
ฉู่เซวียนหลับตาลง คิดอยู่ภายในใจว่าเมื่อไหร่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย เขาไม่ชอบเมืองA เอามากๆ ตั้งแต่มาที่นี่ เขาก็รู้สึกร้อนใจอยู่ตลอด
และยังมีอีกคน เย่ฉ่าวเฉินน่าจะยังนอนไม่หลับ เขารู้สึกทรมานพลิกไปมา อยากที่จะไปนอนที่เตียงเล็กๆนั่นกับฉู่เหยียน แม้ว่าจะนอนได้เพียงคนเดียว เขาจะกอดฉู่เหยียนเอาไว้ในอ้อมแขน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้กับใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขาเพียงปลายนิ้ว รอให้ฉู่เซวียนหลับก่อน ฉันจะไปนอนที่เตียงนั้นกับเธอ
โทรศัพท์ของมู่เวยเวยที่วางอยู่ใต้หมอน ไฟของโทรศัพท์มีแสงสว่างขึ้นมาสองครั้ง มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์ออกมา ไม่ทันระวังโทรศัพท์เกือบจะหล่นใส่หน้าของเธอ
อยู่ใกล้กันขนาดนี้ยังส่งข้อความมา?และแถมยังเป็นข้อความแบบนี้อีก
มู่เวยเวยพิจารณาดูสักพัก จากนั้นก็เริ่มพิมพ์ตอบกลับ รีบนอนซะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน
โทรศัพท์ของเย่ฉ่าวเฉินเกิดสั่นขึ้น อืดๆสองครั้ง ไม่กี่วินาทีจากนั้นโทรศัพท์ของมู่เวยเวยก็มีแสงสว่างขึ้นมาอีก
โซฟาเล็กเกินไป ฉันนอนไม่สบาย
มู่เวยเวยจ้องไปที่ข้อความสักพัก จากนั้นก็กัดฟันพูด อย่างนั้นพวกเรามาเปลี่ยนกันเถอะ ฉันนอนโซฟา คุณก็มานอนบนเตียง
ข้อความที่ตอบกลับมาทำให้มู่เวยเวยถึงกับตกตะลึง ในข้อความเขียนว่า ไม่ได้ ผู้หญิงจะมานอนที่โซฟาไม่ได้ พวกเราสองคนนอนบนเตียงด้วยกัน
เตียงเล็กนิดเดียว?ความยาวหนะได้ แต่ความกว้างสุดของเตียงแค่เมตรยี่สิบเป็นมาตรฐานของเตียงเดี่ยว พวกเขาสองคนที่เป็นผู้ใหญ่จะนอนด้วยกันได้อย่างไร
ถ้าจะพูดอีก ก็ยังมีฉู่เซวียนที่นอนอยู่ข้างๆ
ไม่ได้ เตียงเล็กเกินไป สองคนนอนไม่ได้ มู่เวยเวยกัดฟันพิมพ์ประโยคพวกนี้ออกมา จากนั้นก็กดส่ง
เย่ฉ่าวเฉินมองข้อความแล้วคิดว่าวิธีนี้คงจะไม่ได้ผล อย่างนั้นก็ต้องรอให้เธอหลับไปเสียก่อน
ก็ได้ อย่างนั้นฉันจะนอนที่โซฟา ฝันดี
มู่เวยเวยมองเขามีท่าทางตัดใจแล้ว เธอถอนหายใจด้วยความโล่ง วางโทรศัพท์ลงจากนั้นก็หลับตา
ฉู่เซวียนก็ไม่ใช่คนโง่ เห็นอยู่เต็มตาว่าโทรศัพท์ของมู่เวยเวยมีแสงสว่างขึ้นมาแล้วขึ้นมาอีก และมองไปดูทางด้านเย่ฉ่าวเฉินก็เห็นเหมือนกัน จึงรู้ว่าสองคนนี้ต้องคุยกันอยู่แน่ๆ แต่ว่าเขาก็ไม่สนใจ
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงหายใจคงที่ของทั้งสองเข้ามาถึงหู และแล้วเขาก็ขยับตัว
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆลงจากโซฟา เขาเคลื่อนตัวเงียบๆไปทางที่มู่เวยเวยนอน พอดิบพอดีกับมู่เวยเวยพลิกตัวหันหลังให้เขาทำให้ด้านหลังของเธอมีที่ว่างเล็กน้อย เขาค่อยๆนอนลงไปและค่อยๆเอาเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก
แอร์ในห้องเย็นฉ่ำไปทั่วถึงทุกมุมห้อง แต่ทันในนั้นก็รู้สึกถึงไอร้อนที่ประกบเข้ามาโดนตัว มู่เวยเวยใช้ความรู้สึกแล้วดิ้นออกไปอีกทาง ไม่คิดว่าเธอจะถูกสองแขนใหญ่ๆกอดเธอเอาไว้แน่น
จากที่เธอกำลังหลับลึกอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความประหลาดใจทันที และพบว่าตัวเองถูกโอบไว้อยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง เธอกำลังจะร้องตะโกนขึ้น ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็พูดขึ้นมาเบาๆที่ข้างหูของเธอเพื่อเป็นการหยุดเธอไว้“ไม่ต้องกลัว ฉันเอง”
จากที่ตกใจมู่เวยเวยก็ค่อยๆผ่อนคลายลง แต่อารมณ์โมโหของเธอกลับประทุขึ้นมา เธอพลิกตัวกลับมามองเย่ฉ่าวเฉินด้วยความโมโห ทำไมเขาถึงได้พูดออกมาแล้วทำไม่ได้นะ?
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความน้อยใจเบาๆว่า “โซฟามันเล็กเกินไป ขาของฉันนอนได้สักพักก็รู้สึกชาแล้ว เธอก็มีน้ำฉันให้ฉันนอนตรงนี้ด้วยเถอะนะ วางใจได้ ฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเธอแน่”
มู่เวยเวยยังคงจ้องมองที่เขาอยู่ เธอไม่เชื่อคำที่เขาพูดหรอก
“ฉันสาบาน จะไม่ยุ่งวุนวายกับเธอจริงๆ ฉู่เซวียนยังนอนหลับอยู่ตรงด้านข้าง ฉันจะทำอะไรโดยไม่คิดได้ยังไง”เย่ฉ่าวเฉินยกมือขึ้นมาปิดที่ตาของเธอ“เด็กดี นอนเถอะ ฉันจะกอดให้เธอนอนหลับเอง”
มู่เวยเวยมีความโกรธที่ไม่ระบายออกมาไปไม่ได้ เธอกัดแรงๆเข้าไปที่มือของเขาและค้างอยู่อย่างนั้นสักพัก ด้วยความที่เธอไม่อยากจะเห็นหน้าของเขาเธอจึงหันหลังกลับไปนอนต่อ
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆขยับมุดเข้าไปที่ผมของเธอ ผมของเธอให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นขนที่นิ่มฟู่ รอให้ร่างกายที่แข็งทื่อของเธอเปลี่ยนเป็นอ่อนนิ่ม เย่ฉ่าวเฉินจึงได้เอาแขนของเขาเลื่อนไปวางที่เอวของเธอ
เอาศีรษะซุกไว้ที่ท้ายทอยของเธอ เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเกิดความสงสัย ทำไมเธอใช้ครีบอาบน้ำกลิ่นที่มีกลิ่นต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทำไมเขาถึงสามารถดมได้กลิ่นที่คุ้นเคยออกจากตัวของเธอล่ะ?
หรือปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดที่ใจของเขาเอง?
ในใจของเย่ฉ่าวเฉินแอบยิ้มอย่างไม่ตั้งใจ เหมือนกับว่าตั้งแต่ที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้น ทุกคืนก่อนเข้านอนเขาจะมีความรู้สึกสงสัยเกิดขึ้น คืนนี้ เขาไม่อยากที่คิดอะไรมากแล้ว มีกลิ่นหอมอ่อนๆที่อยู่ในอ้อมแขน แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้ แต่เขาก็นอนหลับได้เป็นอย่างดี
ในความมืด มีใครคนหนึ่งลืมตาขึ้นมา เขาค่อยๆแอบมองเงาของคนสองคนที่นอนอยู่ติดกัน จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง
ใกล้เวลาฟ้าสาง เย่ฉ่าวเฉินตื่นขึ้นมาก่อน มู่เวยเวยยังนอนฝันหวานอยู่บนแขนของเขา เขาทำการขยับนิ้วมือสักพัก
เพราะแขนของเขาชาไปหมดจนไม่มีความรู้สึก
พอลุกขึ้นมาได้ครึ่งตัว เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆยกเอาศีรษะของมู่เวยเวยขึ้นมาจากแขนของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆวางศีรษะเธอลงไปที่หมอน เมื่อทำเสร็จเย่ฉ่าวเฉินถึงได้พบว่าแขนทั้งท่อนของเขาชาเหมือนกับถูกไฟฟ้าช็อตไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง
เมื่อลงจากเตียง ฉู่เซวียนยังไม่ตื่น เขาเดินไปที่โซฟาเพื่อหยิบเอาโทรศัพท์และออกกำลังกายแขนขาเล็กน้อยจากนั้นก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
“จางเห่อ เตรียมเอาชุดมาที่โรงพยาบาลชุดหนึ่ง มาที่ห้องผู้ป่วยฉู่เซวียน”
เวลานี้ ฉู่เซวียนที่อยู่ด้านในห้องก็ตื่นขึ้นมาแล้ว อันที่จริงเขาตื่นขึ้นมาก่อนเย่ฉ่าวเฉินซะอีก แต่เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะเกิดปัญหากับเย่ฉ่าวเฉิน เขาจึงเลือกทำเป็นมองไม่เห็น
เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ใช่ศัตรูคู่ต่อสู่ของเขา และไม่มีบุญคุณอะไรต่อกัน เพียงแค่ต้องการอยากที่จะได้ของบางอย่างมาจากเขา จะมีเรื่องกับเขาได้ยังไง?และฉู่เซวียนก็ไม่เหมือนมู่เวยเวยที่ดูซื่อบื้อแบบนั้น
รุ่งเช้าของวันใหม่แสงแดดสาดส่องเข้ามายังห้องผู้ป่วย เป็นเหมือนดั่งนาฬิกาอันทรงพลังที่ปลุกมู่เวยเวยให้ตื่นขึ้น เธอสะลึมสะลืออยู่บนเตียงสักพัก จากนั้นก็พลิกตัวกลับมาและลุกขึ้นอย่างมึนงง ในห้องผู้ป่วยเหลือเพียงเธอคนเดียว เสียงของน้ำสาดกระทบพื้นดังออกมาจากในห้องน้ำ ไม่รู้ว่าเป็นฉู่เซวียนหรือเย่ฉ่าวเฉิน
เมื่อจัดเสื้อผ้าและผมให้เข้าที่มู่เวยเวยจึงได้ลงจากเตียง
ข้างนอกห้องผู้ป่วย จางเห่อมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว นอกจะเอาชุดมาให้เย่ฉ่าวเฉินแล้วเขายังเอาของใช้ในชีวิตประจำวันที่ใช้ในการอาบน้ำมาให้ด้วย
เย่ฉ่าวเฉินหาห้องพักของคุณหมอที่อยู่เวร จากนั้นเขาก็ทำการขออนุญาตและได้เข้าไปทำการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเขาก็ออกมา ทั้งตัวเปลี่ยนเป็นดูมีประกายออร่ามีสง่าราศีขึ้นมาทันตาแถมยังผสมกับความเคร่งขรึมของเย่ฉ่าวเฉินเข้าไปอีก
เมื่อมู่เวยเวยเห็นก็ถึงกับตกตะลึง เสร็จเร็วจริงๆ
“สักพักฉันจะให้จางเห่อไปซื้ออาหารเช้ามาเธอรอสักครู่ ฉันจะไปทำงานก่อนแล้ว”คำพูดประโยคนี้เย่ฉ่าวเฉินพูดกับมู่เวยเวย เขามาที่นี่รอทั้งคืนก็เป็นเพราะว่ามู่เวยเวย แต่มันไม่ใช่เรื่องของเขา ที่จะมารับส่งฉู่เซวียนเข้าออกโรงพยาบาล คนทางบ้านตระกูลฉู่ก็มี ไม่จำเป็นต้องให้เขาออกหน้าแทนหรอก ไม่อย่างนั้นแล้วมันอาจจะเป็นการทำเกินตัวไปหรือไม่ก็ทำให้อีกฝ่ายเห็นข้อผิดสังเกตได้
“อือๆ คุณรีบไปเถอะ”
ในขณะนี้ ฉู่เซวียนก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมที่อยู่ทางด้านหน้าของเขายังคงเปียกอยู่
เย่ฉ่าวเฉินพูดกล่าวคำอำลากับเขา“ประธานฉู่ หากว่ายังมีเรื่องอะไรก็ให้รีบโทรศัพท์หาผมได้ทันที หรือว่าพวกเรามาคุยกันต่อหน้าก็ได้”
“OK ไม่มีปัญหา ”ฉู่เซวียนส่งเขาออกไปจากห้อง “เรื่องเมื่อคืนต้องขอบคุณคุณแล้ว”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ผมแค่เห็นแก่ฉู่เหยียน ประธานฉู่ส่งเพียงเท่านี้ก็พอ ผมต้องไปทำงานแล้ว”
“ลาก่อน”
จางเห่อเดินตามเย่ฉ่าวเฉินออกไปเพื่อไปซื้ออาหารเช้า มู่เวยเวยเข้าอาบน้ำในห้องน้ำ ได้ยินฉู่เซวียนที่อยู่ทางด้านนอกพูดว่า “เมื่อกลับถึงโรงแรมพวกเราค่อยคุยกัน”
มู่เวยเวยตะลึงชะงัก หน้าของเธอยังไม่ทันได้เช็ดน้ำออกให้สะอาดเธอก็รีบวิ่งออกมา “คุยเรื่องอะไร?”
ฉู่เซวียนขมวดคิ้ว ไม่ค่อยพอใจกับการทำงานที่ไม่ตั้งใจของเธอ“เธอจัดการเรื่องค่อนข้างช้า พวกเราคิดแผนขึ้นมาแล้ว และต้องเร่งการทำงานให้เร็วขึ้นอีก”
มู่เวยเวยรู้สึกตื่นเต้นมาก ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนจัดการถึงจะดี
“นายทำไมถึงได้หวังดีช่วยฉันกะทันหันแบบนี้ล่ะ?ไม่ใช่บอกว่าฉันทำเรื่องของฉัน นายทำเรื่องของนาย เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันไม่ใช่หรอ?”มู่เวยเวยเอียงหัวพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
ฉู่เซวียนนั่งบนเตียงรอให้หมอมาตรวจ “เป็นอย่างนั้น เธอคิดถูกแล้ว แต่ถ้าหากว่าเธอไม่ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้เสร็จเร็วขึ้น ฉันก็ต้องอยู่เมืองAไปตลอด เมืองนี้สำหรับฉันแล้ว ฉันทำใจให้ชอบมันไม่ได้จริงๆ”
“สาเหตุง่ายๆแบบนี้เนี๊ยนะ?”เป็นเพราะว่าไม่ชอบที่นี่ ดังนั้นจึงอยากรีบออกไป?
เมือง Aเป็นบ้านเกิดของมู่เวยเวย มีความทรงจำและความหลังอยู่มากมาย ในความคิดของเธอเมืองAเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมคนแบบฉู่เซวียนถึงได้ไม่ชอบมันและไม่ชอบมันที่ตรงไหน
ไม่มีสิ่งของอะไรที่จะถูกใจคนทุกคนได้ไปเสียหมดหรอก
“ยังมีอีกเล็กน้อย ”ฉู่เซวียนพูดเป็นในๆพร้อมกับมองไปที่เธอ “คนบางคนซื่อบื้อจริง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปต้องทำให้ตระกูลฉู่ของเราเสียชื่อแน่”
มู่เวยเวยหัวเราะเหอะๆแบบซื่อๆ เขาพูดถูก เธอไม่ใช่เฉียวซินโยวซะหน่อย ไม่ได้มีแผนการชั่วร้ายต่างๆนานา
เธอก้มหัวโค้งคำนับ90องศา พร้อมกับหัวเราะฮิฮิและพูดขึ้นว่า“ขอบคุณคุณชายฉู่ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ รีบพูดมาเถอะ ว่าขั้นตอนต่อไปต้องทำยังไง”
“เธอจะไม่รีบร้อนเกินไปหรอ ที่นี่มีคนเยอะไม่ค่อยปลอดภัยจะพูดได้ยังไงล่ะ?”ฉู่เซวียนพูดบอกเธอด้วยเสียงที่เบาลง ไม่นึกว่าสองนาทีหลังจากนั้น จางเห่อจะถือโจ้กจากร้านอาหารตามสั่งที่ทำเร็วที่สุดในโลกร้านนั้นเข้ามา
“ก่อนไปประธานเย่ได้สั่งให้ผมซื้ออาหารเช้ามาให้ทุกคน ยังร้อนๆอยู่เลย และไม่ทราบว่าพวกคุณจะชอบกันไหม ผมได้เลือกซื้ออาหารมาหลายอย่าง”
“ขอบคุณคุณมาก จางเห่อ”
“คุณฉู่เกรงใจมากไปแล้ว ยังมีอะไรที่ต้องการจะสั่งผมอีกไหม?”
“ไม่มีแล้ว ขอบคุณมาก คุณไปทำงานของคุณเถอะ”เมื่อมู่เวยเวยพูดจบ จางเห่อก็หันไปก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับฉู่เซวียน จากนั้นเขาก็ออกไปจากห้อง
นอนพักมาหนึ่งคืน ฉู่เซวียนรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองดีขึ้นมาก อารมณ์และสติปัญญาก็กลับมาแล้วเกือบหกสิบเปอร์เซ็นต์
ทานอาหารเสร็จ เวลาทำงานแปดโมงเช้า คุณหมอกับพยาบาลมาถึงที่ประตูหน้าห้องผู้ป่วยอย่างตรงเวลา ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือครั้งนี้มีพยาบาลแค่คนเดียวที่ตามเข้ามาและไม่มีท่าทางเสียมารยาทอยากรู้อยากเห็นไปทั่ว ควรทำอะไรก็ทำ ไม่ถามมากไปหรือทำตัวอยากรู้เกินมากไป
แบบนี้ทำให้มู่เวยเวยเกิดความรู้สึกประหลาดใจมาก หรือว่าเมื่อวานจะมีการฟ้องเรื่องของพยาบาลพวกนั้น?
เมื่อเจาะเอาเลือดไปหนึ่งหลอดเล็กๆ คุณหมอพูดขึ้นว่า“คุณฉู่ รอผลตรวจเลือดออกมาเสร็จแล้ว หากว่าคุณไม่เป็นอะไรมาก คุณก็สามารถทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
“ผลตรวจจะออกมาตอนไหน?”ฉู่เซวียนรู้สึกค่อนข้างกังวลใจในเรื่องนี้
“ช้าสุดสองชั่วโมง”
“ผมทราบแล้ว”ฉู่เซวียนพูดออกมาเพียงสามคำจากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ ทำให้คุณหมอถึงกลับทำอะไรไม่ถูก คุณหมอนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนมีเบื้องลึกเบื้องหลังและเป็นคนใหญ่โต จึงไม่กล้าที่จะถามออกไปมาก และค่อยๆเดินออกไป
มู่เวยเวยรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เธอยิ้มพร้อมกับพูดว่า“ อ่า วันนี้ทำไมถึงมีนางพยาบาลเพียงแค่คนเดียว ใช่นายหรือเปล่าที่เป็นคนไปต่อว่าคนชุดขาวที่มีทำหน้าช่วยคนเหล่านั้น?”
“ฉันดูว่างขนาดนั้น?”ฉู่เซวียนมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม จากนั้นก็ก้มหน้าเปิดคอมพิวเตอร์ตรวจสอบจดหมายในอีเมล์ และเริ่มลงมือทำงาน
ระหว่างที่รอเวลาผลตรวจออกมา ฉู่เซวียนก็ได้โทรศัพท์ไปที่บริษัทสั่งให้รถสองคันมาที่นี่ แม้ว่าผลตรวจที่กำลังจะออกมายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาลได้หรือไม่ เขาก็ไม่สามารถที่จะทนอยู่ต่อไปได้แล้ว เขาต้องการออกจากโรงพยาบาลให้ได้ เขาอดทนอยู่ที่นี่มานานเกินพอแล้ว อีกทั้งในมือของเขายังมีงานใหญ่ที่เขาต้องจัดการอีก ทำที่นี่ไม่ค่อยสะดวก
ยังดี ผลตรวจเลือดที่ออกมาทุกตัวสรุปว่าร่างกายของเขาฟื้นฟูได้อย่างปกติ
“ไม่ต้องมาโรงพยาบาลอีกแล้ว”ฉู่เซวียนพูดความคิดออกจากใจของเขากับคนที่เดินอยู่ด้านข้างตั้งแต่ที่ลิฟท์ถึงที่จอดรถ
มู่เวยเวยพูดขึ้นอย่างไม่กลัวตาย“ฉันคิดว่าคงไม่มีใครที่ชอบมาโรงพยาบาลหรอกนะ”
“ไปกันเถอะ กลับไปก็ถึงตานายพูดเรื่องของนายแล้ว”
ฉู่เซวียนก็ไม่รู้ตัวเองว่าเมื่อไรถึงเกิดมีความคิดที่อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องของมู่เวยเวยอย่างกะทันหันขึ้น เขาได้ตัดสินใจก่อนมาที่เมือง A เขามาเพื่อจุดประสงค์หลักคือเรื่องของสวนสนุก และเพื่อทำการยืนยันตัวตนของเขา ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ทำวิธีไหน เขาจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเด็ดขาด
แต่ว่ามาถึงตอนนี้ เขาได้ทำผิดจุดประสงค์สองถึงสามข้อแล้ว
เหมือนเป็นการตบหน้าของตัวเอง
โรงแรม
“หลังจากนี้ครึ่งชั่วโมงเธอมาเคาะประตูหน้าหน้าห้องฉัน”ฉู่เซวียนพูดกับมู่เวยเวยที่พักอยู่ห้องข้างๆ
“เข้าใจ”มู่เวยเวยไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะเธอก็ต้องทำเรื่องเดียวกันกับเขาก่อน นั่นก็คืออาบน้ำสระผม
เธอไปอยู่ที่โรงพยาบาลคืนเดียวยังรู้สึกมีเหงื่อออกนิดๆ และฉู่เซวียนที่อยู่โรงพยาบาลสามวันยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนที่รักความสะอาดอย่างเขา คงจะเกือบเป็นบ้าไปแล้วก็ได้
……
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มู่เวยเวยหยิบน้ำมาที่ห้องของเขาด้วยหนึ่งขวด จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟา
“พูดมาเถอะ เรื่องตอนนี้ดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้ว ?”ฉู่เซวียนถามอย่างตรงไปตรงมา
ตอนที่มู่เวยเวยเดินทางกลับมาเธอได้คิดทบทวนไว้แล้ว ฉู่เซวียนมาที่เมืองA จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากชายผู้สวมหน้ากากสีเงิน อีกทั้งครั้งก่อนชายที่สวมหน้ากากสีเงินได้พูดแล้วว่า ในช่วงเวลาที่จำเป็นฉู่เซวียนจะเป็นคนช่วยเธอ นั่นแปลว่าฉู่เซวียนก็รู้เรื่องของแผนที่สมบัติเช่นกัน อย่างนั้นเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังเรื่องนี้แล้ว
“มีครั้งหนึ่งฉันได้เคยพูดเรื่องในโลกนี้มีแผนที่สมบัติหรือเปล่าขึ้นกับเย่ฉ่าวเฉินโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ฉันเห็นเขามีสีหน้าท่าทางที่ไม่ปกติ ฉันคิดว่าเขาน่าจะรู้เบาะแสเรื่องแผนที่สมบัติ แต่ฉันเคยค้นหาที่บ้านตระกูลเย่มาแล้วรอบหนึ่ง ก็ไม่พบเจอร่องรอยอะไรเลย”มู่เวยเวยพูดอธิบายโดยง่ายๆ
ฉู่เซวียนขมวดคิ้ว “เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง?”
มู่เวยเวยรู้สึกอายๆที่จะพยักหน้า
ฉู่เซวียนที่นั่งอยู่บนโซฟา เฮย ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง ครุ่นคิดอยู่สักพักจากนั้นจึงถามเธอว่า“เธอหาที่ไหนบ้างแล้ว?”
“ห้องหนังสือของเย่ฉ่าวเฉิน ห้องนอน ห้องเก็บของ และห้องทำงานของเขา ที่สามารถไปหาได้ฉันหามาหมดแล้ว”
“หาละเอียดไหม?”
มู่เวยเวยพยักหน้า “หาละเอียดแล้ว ฉันเปิดดูหนังสือทุกเล่มที่วางอยู่บนชั้นเอาลงมาหาดู ก็ไม่มี”
“จะบอกว่าเธอมันทึ่มก็ทึ่มจริงๆ”ฉู่เซวียนพูดอย่างไม่เกรงใจ“ของที่สำคัญมาอย่างนั้น เย่ฉ่าวเฉินจะเอามาเก็บไว้ในหนังสือได้อย่างไรกัน?”
มู่เวยเวยอธิบาย “ฉันไม่อยากปล่อยโอกาสให้ผ่านไปแม้แต่นิดเดียว”
ฉู่เซวียนทนนั่งอยู่ไม่ไหวแล้ว เขาลุกขึ้นเดินวนไปรอบๆห้อง ทันใดนั้นก็เกิดความคิดดีๆขึ้น เมื่อคิดได้จึงพูดออกมา“บ้านที่ใหญ่โตหรูหราแบบนี้ ด้านในของบ้านล้วนมีการติดตั้งที่ลับหรือใช้เก็บของที่มีค่าและไม่สะดวกที่จะเก็บไว้ในธนาคาร บ้านของฉันก็มีของแบบนี้อยู่ บางครั้ง บ้านตระกูลเย่ก็อาจจะมีของที่เป็นแบบนั้นอยู่ก็ได้”
มู่เวยเวยตาเป็นประกายขึ้นมาทันที“ใช่แล้ว ฉันทำไมถึงได้คิดไม่ออกนะ?อย่างนั้นฉันจะลองไปหาที่บ้านตระกูลเย่ดูอีกที”
ฉู่เซวียนไม่ค่อยมั่นใจในความสามารถที่เธอมี “เธอพอซะเถอะ แม้ว่าจะมีกลไกการเปิดปิดของที่ลับอยู่ตรงหน้าของเธอ เธอก็คงจะมองไม่เห็น ลองหาโอกาสดีๆดู แล้วฉันจะเป็นคนไปที่บ้านของตระกูลเย่ดูเองสักครั้ง”
“แบบนั้นมันอันตรายเกินไป พนักงานรักษาความปลอดภัยของบ้านตระกูลเย่มีมากมาย กลัวว่านายยังไม่ทันจะได้เขาไป ก็ถูกพวกเขาจับไปซะก่อน”
ฉู่เซวียนหัวเราะเยาะเธอขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันไม่ได้จะแอบเข้าไป คนฐานะอย่างฉันแน่นอนว่าต้องเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย”
สายตาซื่อๆของมู่เวยเวย
ฉู่เซวียนไม่อยากจะสนใจเจ้าเด็กโง่คนนี้ พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทำยังไงถึงจะเข้าไปได้อย่างได้สง่าผ่าเผยล่ะ?”
จากที่เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา มู่เวยเวยก็กำลังคิดตาม คิดแล้วก็เป็นปัญหาที่ค่อยข้างจะยุ่งยาก
เย่ฮวางกรุ๊ป
พนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทได้ทำการขัดขวางผู้หญิงสองคนที่แต่งตัวดูหรูหรา คนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบปีกว่าๆแต่มีการดูแลตัวเองดี ส่วนอีกคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบปีกว่าๆดูแล้วมีท่าทางหยิ่งยโส
“ขอประทานโทษครับ พวกคุณไม่มีบัตรประจำตัวของบริษัทที่ติดอยู่บนหน้าอก”พนักงานรักษาความปลอดภัยพูดด้วยความนอบน้อม
หญิงวัยรุ่นตะคอกออกมาว่า“นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?นายรู้ไหมว่าฉันมาหาใคร?นายยังจะมาขวางฉัน?”
พนักงานรักษาความปลอยภัยก็รู้สึกลำบากใจ จึงพูดไปเพียงว่า“อย่างนั้นพวกคุณก็โทรหาเพื่อนของคุณและให้เขาลงมารับพวกคุณ แบบนี้ก็ได้”
หญิงวันรุ่นจะพูดอะไรต่อไปอีกได้ล่ะ เมื่อเธอถูกหญิงที่มีอายุดึงเธอให้มาอยู่ทางด้านหลังของเขา จากนั้นเธอก็เฉิดหน้าชูคอขึ้นและพูดหย่างเย่อหยิ่งว่า“ฉันมาหาเย่ฉ่าวเฉิน ฉันเป็นป้าของภรรยาเขา และก็เป็นป้าของเขา หากนายไม่เชื่อก็ลองโทรศัพท์ถามเขาได้ ฉันนามสกุลฟาง”
ถูกต้อง ผู้หญิงคนที่ดูมีอายุหน่อยก็คือฟางซินยี่ และผู้หญิงวัยรุ่นที่ดูหยิ่งยโสก็คือลูกของเธอมู่อี้เหย่า
ฟางซินยี่ด้วยความโกรธจึงได้พาลูกสาวมู่อี้เหย่ากลับไปอยู่ที่บ้านแม่ของเธอ รอมู่จางรุ่ยให้พลิกฐานะของตัวเองกลับมา แต่ไม่คิดว่ายิ่งรอเขายิ่งตกอับลงเรื่อยๆ เธอไม่สามารถที่จะหันหัวกลับไปพึ่งเขาได้แล้ว อีกอย่างที่บ้านแม่ของเธอพี่น้องลูกหลานก็ไม่ค่อยจะดีกับพวกเธอเท่าไหร่ และไม่ต้องการให้พวกเธอมาอยู่ด้วยเป็นเวลานาน แถมมู่อี้เหย่าก็ชอบทะเลาะกับพี่น้องวัยเดียวกันอยู่บ่อยๆ
อยู่มาวันหนึ่ง ฟางซินยี่ได้ยินข่าวเรื่องหนึ่งขึ้นมากะทันหัน ในข่าวพูดว่าภรรยาของเย่ฉ่าวเฉินไปเรียนที่ยุโรปแล้ว คู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน พึ่งจะแต่งานกันได้ไม่ถึงครึ่งปีก็ไปเรียนต่อซะแล้ว ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้ต้องมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งเป็นเวลานานแล้วยังไม่เห็นมู่เวยเวยปรากฎตัวขึ้นมาเลย หรือว่าจะไปแบบไม่กลับมาแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฟางซินยี่ก็เกิดชุ่มชื้นขึ้นในหัวใจ เมื่อก่อนเธอก็ต้องการที่จะให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนตระกูลดีๆ จากนั้นเมื่อได้เห็นมู่เวยเวยแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน เธอก็เกิดความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก และยังแนะนำให้มู่อี้เหย่าไปยั่วยวนเย่ฉ่าวเฉิน แต่ก็แพ้กลับมาไม่เป็นท่า
ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่เหมาะหรอ?
ถ้ามู่เวยเวยเป็นเหมือนกับพี่ชายของเธอ ที่หายตัวไปอย่างไม่มีร่องรอย เป็นอย่างนี้แล้วฟางซินยี่ก็คงจะดีใจมากๆ
และครั้งนี้ วันนี้ เธอก็ได้พาลูกลูกสาวมาพบกับเย่ฉ่าวเฉิน และยังตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัว ทำสุดความสามารถที่จะให้มู่อี้เหย่าแต่งหน้าทำผมให้เหมือนกับมู่เวยเวย
จากสัญชาตญาณของหญิงคนหนึ่ง มู่เวยเวยไปตั้งนานแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ไปหาผู้หญิงคนใหม่ และไม่ได้ไปเที่ยวเล่นสนุกตามสถานที่บันเทิงสักแห่ง อย่างนั้นก็แปลว่าในใจของเขายังจะคิดถึงมู่เวยเวยอยู่ ถ้าหากเอาลูกสาวมาแต่งหน้าแต่งตัวให้เหมือนกับมู่เวยเวยแล้วล่ะก็ อาจจะมีโอกาสเป็นไปได้มากขึ้น
ชีวิตบั้นปลายของเธอทั้งชื่อเสียงทรัพย์สินเงินทอง ทั้งหมดก็จะมาวางอยู่ในมือลูกสาวของเธอ
เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยได้ยินคำว่าญาติภรรยาของเจ้านาย ก็รีบแสดงความถ่อมตนทันที คนในบริษัทใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจ้านายดีกับภรรยาของเขามากแค่ไหน เขาไม่อยากจะเป็นคนที่โชคร้าย แต่ก็ไม่คิดที่จะทำผิดกฎของบริษัท
“คุณผู้หญิงท่านนี้ เป็นเพราะว่าคุณไม่ได้ทำการนัดไว้ล่วงหน้า แม้ว่าจะเป็นญาติสนิทของประธานเย่ ผมก็ปล่อยไปไม่ได้ เอาอย่างนี้ ผมจะให้พนักงานโทรศัพท์ขึ้นไปหาเลขาท่านประธาน เพื่อถามความเห็นของท่าน”
ฟางซินยี่ไม่มีวิธีอื่น อยากจะบุกเข้าไปก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ยอมรับในข้อเสนอของเขา
พนักงานรักษาความปลอดภัยใช้สายตามองเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างเพื่อส่งสัญญาณให้เพื่อนไปโทรศัพท์ที่แผนกพนักงานตอนรับ และตัวเองก็ยืนขวางทั้งสองคนอยู่ที่หน้าประตู
ห้องประธาน
เย่ฉ่าวเฉินมองแฟ้มเอกสารจนตาเหนื่อยล้าไปหมด กำลังหลับตาลงพิงไปกับด้านหลังของเก้าอี้เพื่อเป็นการพักสายตา ก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
เลขาหลิวค่อยๆเข้ามาอย่างเงียบๆ เธอยืนพูดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน“ประธานเย่ ที่หน้าประตูบริษัทมีผู้หญิงสองท่านมาหาคุณ ท่านหนึ่งนามสกุลฟางเธอบอกว่าเป็นคุณป้าของภรรยาคุณ”