สองพี่น้องเพิ่งจะเข้ามาสถานที่จัดงาน ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก นอกจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของพวกเขาแล้ว ยังป็นเพราะว่าสำหรับบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองAเหล่านี้แล้ว พวกเขาเป็นคนแปลกหน้า ดูลึกลับ
เย่เฉ่าเฉินกำลังคุยอยู่กับนักธุรกิจใหญ่คนหนึ่ง เห็นพวกเขาเข้ามา จึงพูดว่า”เชิญตามสบายนะ” แล้วก็เดินก้าวยาวๆ เข้ามา ยื่นมือออกไปเพื่อจับมือฉู่เซวียน เอ่ยว่า “เป็นยังไง พึงพอใจไหม? ”
“พอใจมาก ขอบคุณประธานเย่ที่ช่วย” ฉู่เซวียนขอบคุณอย่างจริงใจ
เย่เฉ่าเฉินมองมู่เวยเวยด้วยสายตาแพรวพราว ยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไร มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน”
ฉู่เซวียนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ แน่นอนว่าเขารู้ว่าเย่เฉ่าเฉินกับมู่เวยเวยทำข้อตกลงอะไรกัน เพียงแต่นั่นเป็นเรื่องของสามีภรรยา ทั้งสามคนก็ถือได้ว่าได้รับสิ่งที่ต้องการ
เพราะว่าเป็นฤดูร้อน ถึงแม้ภายในห้องจะมีเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่แต่คนเยอะๆ ก็ร้อนมาก เช่นนี้ เย่เฉ่าเฉินจึงจัดงานเลี้ยงให้เป็นสนามหญ้าลานกว้างสีเขียว บุฟเฟ่ต์ ไวน์แดง เสียงเปียโนไพเราะรื่นหู ด้านข้างเป็นสวนดอกไม้เบ่งบานสะพรั่ง ไม่ไกลยังมองเห็นทะเลสาบเทียมที่ใสสะอาด……
“คุณมองฉันทำไมบ่อยๆ? ” มู่เวยเวยกับเย่เฉ่าเฉินและฉู่เซวียนมาที่กลางลาน สังเกตเห็นสายตาของเขาที่มองมาไม่เลิก เลยถามไปเบาๆ
“ไม่มีอะไร วันนี้คุณสวยมาก” เย่เฉ่าเฉินยิ้มแล้วพูด เธอเป็นจุดสนใจในฝูงชนมาโดยตลอด แม้ว่าวันนี้จะแต่งหน้าเบาๆ แต่ความมีเสน่ห์บนเรือนร่างไม่สามารถระงับไว้ได้
มู่เวยเวยเลิกคิ้ว “ฉันคิดว่าคุณจะพูดเหมือนกับพี่ชายฉัน”
“หื๊ม? เขาพูดว่าอะไร? ”
“เขาบอกว่าฉันแต่งตัวเหมือนแม่ชี เรียบร้อยเกินไป”
เย่เฉ่าเฉินยิ้ม ไม่พูดอะไร
เหมือนแม่ชีซะที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นกวางน้อยมีเสน่ห์ใสซื่อบริสุทธิ์ที่อยู่เข้าไปในป่า
ลึก
เสียงเพลงเปียโนที่ไพเราะจบลง เย่เฉ่าเฉินขึ้นบนเวทีแล้วหยิบไมโครโฟน บุคลิกที่โดดเด่น สายตาหญิงสาวจำนวนไม่น้อยในลานจับจ้องอยู่ที่ตัวของเขา
“ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้ที่เรียนเชิญทุกท่านมาก็ไม่ได้มีอะไร ทุกคนทำงานร่วมกันในเมืองAเป็นเวลาหลายปีขนาดนี้ มีทั้งความร่วมมือทั้งความขัดแย้ง แต่หวังว่าคืนวันนี้ ทุกคนจะทิ้งความขัดแย้งเหล่านั้น ขอให้ใช้เวลาอย่างมีความสุขในยามราตรีนี้ ขอบคุณทุกท่าน
สิ้นสุดเสียงปรบมือด้วยความชื่นชมยินดี เย่เฉ่าเฉินก็เริ่มงานในคืนนี้ พาฉู่เซวียนไปสังสรรค์ทุกที่
“คุณอาหลี่ ไม่ได้เจอกันนานเลย ฉันยังคิดว่าคุณจะไม่สามารถมาได้แล้ว” เย่เฉ่าเฉินจับมือกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับคำเชิญจากคุณชายเย่ เป็นเกียรติเช่นนี้ฉันจะไม่มาได้ยังไงล่ะ? ” ชายคนนั้นจับมือเขาด้วยไมตรีจิต
เย่เฉ่าเฉินยิ้มอย่างสุภาพ เริ่มแนะนำตัวแทนคนทั้งสอง “ฉู่เซวียน นี่คือประธานหลี่จากบริษัทฮวาไท่ เชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ ยังดูแลอสังหาริมทรัพย์ด้วย ไม่เพียงแต่ผูกขาดตลาดฮาร์ดแวร์ทั้งหมดในเมืองA ยังรวมถึงทั้งประเทศด้วย คุณลุงหลี่ ฉู่เซวียนเป็นเจ้าของบริษัทฮ่องกงMK ตอนนี้เรากำลังทำโครงการสวนสนุกร่วกันอยู่”
ฉู่เซวียนยื่นมือออกไป “สวัสดีครับประธานหลี่ ในอนาคตพวกเราMKมายังเมืองAยังหวังว่าจะได้รับการสนับสนุน”
ประธานหลี่ยิ้มจับมือเขา “ได้ยินชื่อเสียงของบริษัทMKมานาน คิดไม่ถึงว่าเจ้าของจะอายุน้อยขนาดนี้ มีอนาคต ทุกคนได้กำไรแล้ว”
มู่เวยเวยเห็นทั้งสองคุยกันและเฮฮาอยู่ในงานเลี้ยง จึงหาสถานที่ตากอากาศที่มีคนน้อยๆ แต่สถานที่แห่งนี้ หาความเงียบสงบได้ที่ไหนกัน ไม่นานชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินมาพร้อมไวน์แดง
“คนสวยทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ? ”
มู่เวยเวยหันไปมองเขา ค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตา น่าจะเคยเจอกันมาก่อน
“ฉันไม่ชอบที่ที่มันคึกคัก”
“พอดีเลย ฉันก็ไม่ชอบที่ที่คึกคักเหมือนกัน” ชายหนุ่มมองใบหน้าที่สะสวยของเธอ “ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกคนสวยว่าอย่างไร? ”
“ฉันแซ่ฉู่”
ชายหนุ่มแปลกใจเล็กน้อย “ฉันเพิ่งได้ยินว่าผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ประธานเย่ก็แซ่ฉู่เช่นกัน ทั้งสองท่านเป็น? ”
“เขาเป็นพี่ชายฉัน” มู่เวยเวยพูดด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ
“อ๋อ เดิมทีก็คือคุณฉู่ ฉันแซ่โจว นี่คือนามบัตรของฉัน” ชายหนุ่มยื่นนามบัตรด้วยมือทั้งสองข้าง มู่เวยเวยไม่อยากจะรับ แต่ตอนนี้เธอเป็นฉู่เหยียน เพียงแค่รับมาดูๆ เหมือนเป็นกรรมการบริษัทอะไรสักแห่งหนึ่ง
น่าจะเป็นทายาทเศรษฐี
ขอโทษด้วย ฉันไม่มีนามบัตร” มู่เวยเวยแสร้งทำเป็นยิ้มขอโทษ อันที่จริงเธอไม่อยากให้เบอร์เขา
ชายหนุ่มก็มีท่าทีที่สง่างาม ไม่ได้กังวลใจ “คุณฉู่มาเมืองAจนคุ้นชินแล้วใช่ไหม? ”
“ฉันปรับตัวได้ดีมาก ไม่มีอะไรที่รู้สึกไม่สบาย” มู่เวยเวยพูดอยู่ แต่ทว่าสายตาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่เฉ่าเฉินกับฉู่เซวียน เวลานี้ พวกเขาเป็นดาวที่สว่างที่สุดในใจกลางไปแล้ว ต้องบอกว่า ทักษะการสื่อสารของฉู่เซวียนนั้นยอดเยี่ยม ใช้เวลาแค่สิบนาที ก็มีคนมากมายอยู่รอบตัวเขา บ้างก็พูดจาฉะฉานมีหลักมีฐาน บ้างก็ก้มศีรษะเพื่อฟัง ควบคู่ไปกับรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ยืนอยู่ด้วยกันกับเย่เฉ่าเฉิน ไม่ได้เป็นรองเขาเลยแม้แต่นิด
ชายหนุ่มมองตามสายตาของเธอไป ก็เห็นฉากนี้ จึงพูดเล่นว่า “พี่ชายคุณไม่รู้ว่าต้องกลายเป็นชายในฝันของผู้หญิงไปเท่าไหร่แล้ว”
มู่เวยเวยแปลกใจเล็กน้อย
“คุณดูสิ” ผู้ชายคนนั้นชี้ไปที่มุมนั้นที่มีผู้หญิงมากมาย เป็นไปตามนั้น พวกเธอทั้งหมดมองไปทางฉู่เซวียนกับเย่เฉ่าเฉินด้วยสายตาเป็นประกาย
มู่เวยเวยหัวเราะคิกคัก พูดหยอกล้อว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้มองไปที่เย่เฉ่าเฉินแต่เป็นพี่ชายของฉัน? ”
ชายคนนั้นประหลาดใจเล็กน้อยที่เธอเรียกชื่อเย่เฉ่าเฉิน จึงพูดเล่นสำนวนว่า “คุณฉู่เพิ่งมาเมืองAยังไม่รู้ ประธานเย่มีชื่อเสียงเรื่องรักภรรยา ถึงแม้ว่าภรรยาของเขาจะไปเรียนต่างประเทศไม่ได้อยู่กับเขา แต่ประธานเย่ก็ไม่มีข่าวเสียหายสักนิด ถอยห่างจากผู้หญิงที่ต้องการเข้าหาอย่างจริงจัง นี่เป็นสิ่งที่รู้กันดีในกลุ่มคนชั้นสูงของเมืองA ดังนั้น ที่ฉันบอกว่าพวกเธอมองพี่ชายของคุณ เพียงแต่ถึงแม้ว่าจะมองประธานเย่ ก็ทำได้แค่มองเท่านั้น”
มู่เวยเวยตกตะลึง เธอไม่ได้ยินคำพูดที่ชายคนนั้นเก็บซ่อนไว้ ทว่าในสมองคิดอยู่ว่า เดิมที เย่เฉ่าเฉินภาพลักษณ์เช่นนี้ต่อภายนอก ที่แท้ ทุกคนคิดว่าฉันไปเรียน
คำพูดโกหกโง่ๆ เช่นนี้คาดไม่ถึงว่าจะมีคนเชื่อด้วยเหรอ?
เย่เฉ่าเฉินยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เห็นฉู่เซวียนท่าทางพึงพอใจ ก็เข้าใจได้ว่าเขาไม่ปรารถนาที่นี่แล้ว ด้วยเหตุนี้สำเร็จแล้วจึงถอยออกมา กวาดสายตาไปรอบๆ ไม่นานก็หาฉู่เหยียนเจอ แน่นอนว่าเห็นผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เธอ
มองแวบหนึ่ง เย่เฉ่าเฉินก็เดินออกมาจากในกลุ่มฝูงชน มาพร้อมกับน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว
ชายหนุ่มเห็นว่าเย่เฉ่าเฉินมา จึงตะโกนเรียก”ประธานเย่”ทันที
“พวกคุณพูดคุยอะไรกันเหรอ ดูมีความสุขขนาดนี้? ” เย่เฉ่าเฉินนำน้ำผลไม้ในมือมาให้เธอ
มู่เวยเวยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร คุยเรื่อยเปื่อย ทำไมคุณถึงมาล่ะ? ”
กลัวว่าคุณจะไม่มีคนคุยด้วย เลยมาอยู่เป็นเพื่อน”
“หวังดีขนาดนี้เลยเหรอ? ” มู่เวยเวยมีรอยยิ้มในดวงตาที่สดใส
เย่เฉ่าเฉินมองไปที่ดวงตาคู่นี้ด้วยความงุนงง เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ในดวงตาคู่นี้ ในความซนพามาด้วยความดีใจ
“คุณเป็นอะไร ติ๊งต๊อง” มู่เวยเวยถูกเขาจ้องมองจนจิตใจหวั่นไหว ไม่รู้ว่าหมอนี่คิดอะไรอยู่
เย่เฉ่าเฉินไม่รู้ว่าเพราะอะไรในใจถึงได้เจ็บนิดๆ เขาอยากเห็นดวงตาคู่นี้ยิ้มแบบนี้ตลอดไป แต่ไม่ได้ช่วยอะไร ความสิ้นหวังรวมทั้งความเกลียดชัง
“ไม่มีอะไร คุณอยากกินอะไร? ฉันจะไปเอามาให้คุณ” เย่เฉ่าเฉินพูดด้วยน้ำเศร้าๆ
“ไม่ต้อง ฉันอยากกินก็ไปหยิบเอง คุณไม่จำเป็นต้องทำให้คุณชายเย่เอาของมาให้ฉัน คืนนี้ฉันก็ไม่คิดว่าจะได้อยู่สงบๆ แน่นอนว่าเดินไปไหนก็มีแต่คนจ้องมอง” ที่มู่เวยเวยพูดเป็นความจริง ก็ตอนนี้ มีทั้งหญิงชายจำนวนไม่น้อยมองเข้ามา คาดว่าตอนนี้พวกเขามีเรื่องราวมากมายอยู่ในหัว
ในสายตาของทุกคนเย่เฉ่าเฉินเป็นคนเย่อหยิ่งเย็นชา ไม่ใกล้ชิดผู้หญิง ทว่าคืนนี้พาฉู่เหยียนมา ตอนนี้ก็ยืนพูดคุยหยอกล้ออยู่กับฉู่เหยียน คนอื่นไม่คิดมากก็แปลกแล้ว
เพียงแต่ว่า แววตาเหล่านี้สำหรับเย่เฉ่าเฉินแล้ว ไม่ได้มีอยู่ เขาแค่สนใจเรื่องที่สนใจกับคนเท่านั้น
“เอาเถอะ จริงๆ ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่สนุก ก็ไปพักผ่อนที่คฤหาสน์ได้ ถึงอย่างไรคุณก็คุ้นเคยกับที่นี่”
“ฉันรู้แล้ว คุณไปทักทายแขกเถอะ คืนนี้คุณเป็นเจ้าภาพนะ”
เย่เฉ่าเฉินมองเธออย่างเคร่งขรึม ริมฝีปากสีชมพูของเธอเปล่งประกายอย่างมีเสน่ห์ภายใต้แสงไฟอ่อนๆ ตอนนี้อยากจะกัดสักทีหนึ่ง
“มีอะไรก็โทรหาฉันนะ”
“รู้แล้ว ไปเถอะไปเถอะ ยังไม่ไปอีก ฉันต้องถูกสายตาของทุกคนมองจนทะลุแน่” มู่เวยเวยเร่งเร้าให้เขาไป
เย่เฉ่าเฉินยิ้มอย่างเสียดาย หันกลับเข้าฝูงชนไป
มู่เวยเวยไม่มีความประสงค์จะชวนคนเหล่านี้คุย เดินออกไปข้างทะเลสาบคนเดียว
จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ เคยมีคืนที่ครึกครื้นเช่นนี้ มีชายหนุ่มหน้าใสพูดคุยกับเธอข้างทะเลสาบ ว่าชอบเธอ ต้องการจะพาเธอไป
ตอนนี้คิดๆ ดู สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตชาติ ก็ไม่รู้ว่าที่เขาทำดีหรือไม่ เจอคนที่ชอบเขาแล้วหรือเปล่า แล้วเขาก็ชอบผู้หญิงคนนั้นด้วย
เขาที่มีหัวใจบริสุทธิ์และอบอุ่นเช่นนั้น จึงสมควรได้รับความรักที่ดีกว่า
สายลมกำลังเต้นระบำในยามค่ำคืน เสียงดนตรีลอยตามลมมาไม่ขาดสาย มู่เวยเวยดูโทรศัพท์ตลอด งานเลี้ยงดำเนินไปเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว ถ้ายังไม่ลงมืออีก อีกสักพักต้องเลิกงานแน่ๆ
ดูเวลาที่โทรศัพท์อีกครั้ง ในที่สุดก็ได้รับข้อความจากฉู่เซวียน บนหน้าจอมีแค่สองคำ คือลงมือ
มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ ดื่มน้ำผลไม้ทั้งหมดในแก้ว แล้วเริ่มโทรหาเย่เฉ่าเฉิน
โทรศัพท์ดังขึ้นสามครั้ง เสียงของเขาก็ทอดออกมา “ฮัลโหล? ”
“ฉันปวดท้อง อยู่ข้างทะเลสาบ” มู่เวยเวยขมวดคิ้วพูด
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เฉ่าเฉินไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทว่าทำน้ำเสียงตึงเครียด “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากหนึ่งถึงสองนาที มู่เวยเวยก็เห็นเงาคนวิ่งเข้ามา เป็นเย่เฉ่าเฉิน เธอรีบกุมท้อง นอนฟุบที่เก้าอี้
“เป็นอะไรไป? ” เย่เฉ่าเฉินพยุงเธอขึ้นมา เห็นใบหน้าที่ทรมาน แล้วยังน้ำตาคลอเบ้า
“ฉันปวดท้อง” เธอพูดอย่างยากลำบาก
เย่เฉ่าเฉินไม่อยากเห็นเธอร้องไห้ “ฉันจะอุ้มคุณขึ้นไป แล้วจะเรียกหมอหานมา”
“ไม่ต้อง” มู่เวยเวยรีบกดมือเขาไว้ “โรคประจำตัว เดี๋ยวก็หาย”
ไม่แน่ตอนนี้ฉู่เซวียนอาจจะเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว หากว่าเขาอุ้มฉันขึ้นไป ถ้าเจอกันจะทำอย่างไร?
“ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ? ” เย่เฉ่าเฉินยังมีสีหน้าเป็นกังวล
มู่เวยเวยจับมือเขาไว้ที่หน้าท้องแบนราบของเธอ “อย่างนี้ก็ดี อาจเป็นเพราะเมื่อกี้ฉันดื่มน้ำผลไม้เย็นๆ เข้าไป คุณช่วยทำให้ท้องฉันอุ่นหน่อย”
เย่เฉ่าเฉินนั่งลงข้างๆ เธอ “ดื่มน้ำผลไม้เย็นๆ ไม่ได้เหรอ? แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่บอก? ”
“โรคประจำตัวนี้ไม่ได้กำเริบนานแล้ว อีกทั้งฉันก็ตะกละ อยากดื่มสักหน่อย” มู่เวยเวยวางศีรษะไว้บนไหล่ของเขา ความร้อนจากมือของชายหนุ่มถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง มู่เวยเวยรู้สึก ร้อนเล็กน้อย
“ต่อไปอย่าทำอย่างนี้อีกนะ ดื่มไม่ได้ก็อย่าดื่ม”
“อืม รู้แล้ว ฉันเรียกคุณออกมาอย่างนี้ ไม่เสียมารยาทมากเหรอ? ” มู่เวยเวยถามอย่างระมัดระวัง
เย่เฉ่าเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นไร ฉันก็รู้สึกเบื่อนิดหน่อย ถือโอกาสอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่สักพัก คุณไม่ต้องเรียกหมอหานมาแล้วจริงๆ นะ? ”
มู่เวยเวยส่ายหัว “ไม่ต้องแล้วจริงๆ ร่างกายฉัน ฉันรู้”
เย่เฉ่าเฉินเห็นว่าเธอยืนยันแบบนี้ ก็ปิดปากอย่างจนปัญญา อยู่ตากอากาศด้วยกันกับเธอ เทียบกับเสียงอึกทึกจากไกลๆ เขาเต็มใจที่จะนั่งสงบๆ อยู่ที่นี่มากกว่า
ทางด้านนี้ เย่เฉ่าเฉินเพิ่งจะออกไป ฉู่เซวียนก็เข้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ทันที อาศัยการกระทำที่ว่องไวเฉียบแหลมและคุ้นเคยกับห้อง สิบกว่าวินาทีก็ค้นหาห้องหนังสือชั้นสามเจอ
บิดประตู เป็นไปอย่างที่คิดประตูล็อก ฉู่เซวียนหยิบลวดเส้นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เสียบเข้าด้านในแล้วขยับๆ อย่างเบาๆ ได้ยินเสียงดังแกรก ประตูเปิดออก
ฉู่เซวียนเข้าไปห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว แล้วปิดประตู
ห้องหนังสือของเย่เฉ่าเฉินไม่ใหญ่ ไม่ได้เปิดไฟ มืดมากๆ ฉู่เซวียนปรับตัวอยู่ชั่วขณะ จึงพอมองออกว่าชั้นหนังสืออยู่ที่ไหน โต๊ะหนังสืออยู่ที่ไหน
ไม่ได้ เช่นนี้จะมองสิ่งของไม่เห็น ถึงแม้ว่าจะมีแผนการ เขาก็หาไม่เจอ อีกทั้งยังเปิดไฟไม่ได้อีก ฉู่เซวียนได้แต่หยิบโทรศัพท์ออกมาส่องไฟ
มู่เว่ยเว่ยค้นดูชั้นวางและลิ้นชักแล้ว ด้วยเหตุนี้ ฉู่เซวียนจดจ่ออยู่กับการค้นหาประตูลับบนผนังเท่านั้น คลำไปเคาะไป ในที่สุดหลังภาพวาดประเทศจีนผืนหนึ่ง ฉู่เซวียนก็ได้ยินเสียงที่แตกต่าง
ดีใจ ลองเคาะๆ อีกที ไม่ผิด ด้านในนี้ไม่ใช่ผนังทึบแต่เป็นผนังกลวง แต่ว่าแผนการอยู่ที่ไหนล่ะ?
สัญชาตญาณของฉู่เซวียนบอกเขาว่า แผนการอยู่ด้านบนชั้นวางหนังสือ แต่อยู่ในแถวไหนนะ?
ตรงกลางหาง่ายเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ตรงกลาง สามารถอยู่ในจุดที่ไม่เด่นไปด้านบนหรือด้านล่างเท่านั้น ฉู่เซวียนพลางคิดพลางลงมือ ก่อนอื่นหยิบหนังสือชั้นล่างสุดทั้งหมดขึ้นมาอ่าน ก็ไม่มี
จึงเริ่มที่ชั้นบนสุดอีกครั้ง เวลานี้ มีเสียงฝีเท้าด้านนอกทอดออกมา
พ่อบ้านหวังตรวจตราคฤหาสน์ทั้งหมด รู้สึกว่าในห้องหนังสือมีแสงรำไร ก็ตกใจ หยิบกุญแจมาเปิดประตู แต่พบว่าประตูเปิดอยู่ เขาผลักประตูเปิดทันที ไม่มีคน ไฟก็ไม่ได้เปิด
แต่ว่า เขาจำได้ว่าตนเองล็อกประตูห้องหนังสือแล้ว หรือคุณชายเข้ามาในภายหลัง?
พ่อบ้านหวังมองไปรอบๆ ห้องหนังสือ พบว่าไม่มีใคร ไม่รู้ว่าหน้าต่างเปิดอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เดินไปดูด้านนอกอย่างระมัดระวัง มีเพียงงานเลี้ยงที่เปิดไฟสว่างไสวอยู่ไม่ไกล
“ทำไมหน้าต่างจึงเปิด? ” พ่อบ้านหวังสงสัยว่ามีคนแอบเข้ามาในห้องหนังสือ จึงปิดหน้าต่างและประตูห้องหนังสือทันที จากนั้นก็แจ้งจางเฮ่อให้ทราบ “ฉันสงสัยว่ามีคนร้ายเข้ามา คุณจับตาดูทางนั้นหน่อย อย่าทำให้แขกตกใจ”
“รับทราบ”
พ่อบ้านหวังยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ คิดอย่างจริงจังอีกครั้ง เมื่อตอนเย็นเขาปิดหน้าต่างและประตูห้องหนังสือแล้ว ตอนนี้เปิดอยู่ ถ้าไม่ใช่คุณชาย แน่นอนว่าต้องมีคนเข้ามา
มีคนคิดจะหาอะไรในห้องหนังสือนะ?
เกาะอยู่บนหน้าต่างแน่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก กระโดดสองสามที ซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ครั้งนี้ก็ไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยก็รู้ว่าเย่เฉ่าเฉินซ่อนแผนการเอาไว้จริงๆ ครั้งต่อไปก็ให้มู่เวยเวยมาหาเอง ห้องหนังสือไม่ได้ใหญ่โต ถึงอย่างไรก็ต้องหาเจอ
……
ริมชายหาด
มู่เวยเวยดูเหมือนจะมีความสุขอยู่ในโลกของคนสองคนอย่างสงบสุข แต่ใจกลับวิ่งไปถึงทางด้านของฉู่เซวียน ไม่รู้ว่าการดำเนินการทางด้านนั้นจะราบรื่นหรือไม่
เวลานี้ พ่อบ้านหวังก็เดินเข้ามา ส่งเสียงร้องเรียกมาตั้งแต่ไกล “คุณชาย”
เย่ฉ่าวเฉินหันหน้ากลับไปมอง พ่อบ้านหวังอยากที่จะพูดแต่ก็หยุดท่าทีไว้ เย่ฉ่าวเฉินก็เข้าใจในทันที ตบเบาๆ ที่มือของเธอ “ฉันมีเรื่องที่ต้องจัดการนิดหน่อย คุณนั่งรออยู่ตรงนี้สักครู่หนึ่งนะ”
มู่เวยเวยยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า แต่ในใจก็เต้นมาถึงลำคอ
เธอมองพ่อบ้านหวังพูดอะไรบางอย่างกับเย่ฉ่าวเฉิน สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา แล้วก็พูดสองสามคำ พ่อบ้านหวังพยักหน้าแล้วออกไป
มู่เวยเวยกำมือทั้งคู่แน่น เหยื่อเย็นๆ กระจายออกมาเป็นชั้นๆ พอเย่ฉ่าวเฉินเข้ามา เธอก็รีบปล่อย นำมือไปเช็ดที่กระเป๋าจนแห้งโดยไม่แสดงสีหน้า
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ? ทำไมคุณดูไม่มีความสุขเลย? มู่เวยเวยยังคงยิ้มแล้วกล่าวถาม มีเพียงเทวดาเท่านั้นที่จะรู้ว่าเธอกังวลมากขนาดไหน
“เรื่องเล็กน้อย มีโจรเข้ามาน่ะ” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
“โจร? คาดไม่ถึงว่าจะมีโจรเข้ามาบ้านตระกูลเย่? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? จับคนได้แล้วหรือยัง? ”
“เปล่า ฉันให้พ่อบ้านหวังจับตาดูเอาไว้ก็พอ สถานที่เกิดเหตุคนเยอะมากแบบนี้ ทำเอะอะไปจะเป็นการไม่เหมาะสม”
มู่เวยเวยแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ในใจ จับไม่ได้ก็ดีแล้ว
“เวลาก็ดึกแล้ว ฉันต้องไปส่งแขกแล้ว คุณ…..”
“ฉันไปพักที่ห้องก่อน คุณไม่ต้องห่วงฉัน” มู่เวยเวยรีบกล่าวตัดบทคำพูดของเขา
“อืม รออีกสักพักแล้วฉันจะไปหาคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินก้มลงมาจูบที่หน้าผากของเธอ แล้วหันกลับไปส่งแขก รอให้เขาเดินไปไกลแล้ว มู่เวยเวยจึงหยิบโทรศัพท์ต่อสายไปยังเบอร์ของฉู่เซวียน
“ฮัลโหล ทางด้านของคุณยังปกติดีไหม? ” มู่เวยเวยกระซิบถาม
“วันนี้ตอนเย็นมีความสุขดีมาก ไม่ต้องกังวล” อีกคนทางโทรศัพท์นั้นยังคลุกเคล้าไปด้วยน้ำเสียงที่ดีใจ
มู่เวยเวยรู้ว่าเวลานี้จะถามอะไรก็ไม่เหมาะสม จึงพูดไปคำนึงว่า “ภายหลังจะติดต่อกลับไป” แล้วจึงวางสายโทรศัพท์
เขาพูดว่า คืนนี้มีความสุขดีมาก คือประสบผลสำเร็จหรือว่าเพราะมีบางคนพูดจัดฉากอยู่ข้างๆ เขากันนะ?
ในสมองสับสนยุ่งเหยิง
……
หลังจากส่งแขกกลับไปแล้ว คฤหาสน์ตระกูลเย่ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เย่ฉ่าวเฉินยกซุปปลาที่ฉินหม่าตุ๋นเสร็จแล้วขึ้นไปชั้นสอง เดินไปยังห้องของมู่เวยเวย กำลังจะเคาะประตู แต่ได้ยินเสียงพูดเบาๆ มาจากด้านใน
เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเธอกำลังโทรศัพท์ จึงไม่รบกวน หันตัวจะเดินไป แต่ก็จับคำว่าห้องหนังสือในประโยคได้อย่างว่องไว ฝีเท้าของเขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ทันที
บังเอิญขนาดนี้เลยเหรอ? วันนี้ตอนเย็นห้องหนังสือเกิดเรื่องขโมยขึ้น แต่ตอนนี้เธอพูดเกี่ยวกับห้องหนังสือ……
จิตใจของเย่ฉ่าวเฉินรวมตัวกัน จิตวิญญาณทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่ใบหูของเขา ต่อจากนั้นก็รับเสียงที่ค่อนข้างชัดเจนของมู่เวยเวยเข้ามาที่หูทีละน้อยๆ
“ที่ห้องหนังสือฉันไม่พบส่วนสำคัญอะไรนะ…..ได้ ฉันรู้แล้ว…..ฉันจะลองหาโอกาสเข้าไปลองค้นหาอีกครั้ง……”
โทรศัพท์วางสายไป เสียงของมู่เวยเวยก็หยุดลง เย่ฉ่าวเฉินจึงพบว่าถ้วยซุปในมือของเขานั้นจะหกลงมาแล้ว
เวลาชั่วพริบตา เขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ฉู่เซวียนได้รับบาดเจ็บพักอยู่ที่บ้าน ขอไปหาหนังสือที่ห้องหนังสือ ครั้งนั้น อาจจะกำลังมองหาสิ่งของอะไรบางอย่าง
ครั้งนี้ เธอวิ่งมาขอให้เขาจัดงานเลี้ยงในบ้าน จะเรียกให้ดูดีก็คือเพื่อติดต่อชักใยอยู่เบื้องหลังให้กับฉู่เซวียน แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ฉู่เซวียนแอบย่องเข้าไปหาของที่ห้องหนังสือ ด้วยเหตุนี้ เธอยังแสร้งทำเป็นปวดท้องดึงให้เขาออกมาจากข้างๆ ของฉู่เซวียน……
ความโกรธอย่างรุนแรงในใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาพูดไม่ได้ว่าจริงใจกับฉู่เซวียนมาก แต่ตลอดมาก็ไม่เคยคิดร้ายกับเธอ แต่เธอกลับพยายามทุกวิถีทางที่จะทำร้ายตนเอง
ผู้หญิงคนนี้ แสดงละครกับเขามาตั้งแต่แรกเริ่มเลยใช่ไหม แม้กระทั่งมีอะไรกันกับตนเองเหรอ?
เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงใช้ประโยชน์จากความคล้ายคลึงกับมู่เวยเวยเพื่อมาดึงดูดตนเอง หลอกลวงตนเอง ตอนนี้ก็แทบอยากจะถีบประตูเปิดแล้วถามให้รู้เรื่องไปเลย
บังคับตนเองให้สงบลงมา หูก็ได้ยินเสียงน้ำซ่าๆ เข้ามา เธอเข้าห้องน้ำไปแล้ว
ตกลงเธอยังมีเรื่องราวที่ปิดบังตนเองอีกมากน้อยแค่ไหน?
เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากถูกหลอกลวงอีก ก็อยากจะแน่ใจในการคาดการณ์ของตนเอง ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงในชั่วพริบตาแล้วก็เคลื่อนเข้าไปในห้อง มือถือของเธอวางอยู่บนเตียง เพราะเธอเพิ่งวางสายโทรศัพท์ จึงยังอยู่ในตำแหน่งที่พูดคุยสนทนา
เย่ฉ่าวเฉินหยิบขึ้นมาดู ทางด้านบนสุดที่ติดต่อกันเป็นฉู่เซวียนจริงๆ
พวกเขาสองพี่น้องสมรู้ร่วมคิดกันจริงๆ ร่วมมือจากภายในเพื่อเข้าโจมตีภายนอก
เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันแน่น กำลังจะโยนมือถือลงบนเตียง เหมือนกับจับพลัดจับผลู มือก็ไปกดที่ตรงกลางแป้น หน้าจอมือถือก็คืนค่าเป็นหน้าแรก ภาพพื้นหลังเป็นสีฟ้าบริสุทธิ์ ทุกอย่างเป็นปกติอย่างมาก
สายตาของเย่ฉ่าวเฉินจับไปที่คำว่าภาพถ่ายสองคำ กดเปิดโดยไม่คิด ด้านในมีรูปภาพเพียงหนึ่งรูป นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งวิดีโอ
กดเปิดภาพอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินก็แข็งทื่อไปทั้งตัว เลือดทั้งหมดก็พุ่งไปยังสมองอยู่รวดเร็ว ช็อกจนหมดหมดทางที่จะหายใจ
นี่คือลูกของเขา
คำนี้โผล่ออกมาจากในสมอง อย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็กๆ นี้ ดวงตาที่แตกต่างคู่นี้ ไม่มีผิด นี่ก็คือลูกของเขา
มือของเย่ฉ่าวเฉินสั่น ทำไมมือถือของฉู่เหยียนถึงได้มีรูปของลูก?
เขาอยากจะเปิดวิดีโอนี้ดูอย่างมาก แต่สติปัญญาที่ยังคงมีอยู่บอกเขาว่าตอนนี้ไม่ได้
สูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งแล้วระงับการสั่นสะเทือนในการพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในใจ เย่ฉ่าวเฉินใช้มือที่สั่นนำรูปภาพนี้และวิดีโอส่งไปยังมือถือของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากส่งเสร็จเรียบร้อย เขาก็ลบบันทึกเรื่องราวทั้งหมดทิ้ง หลังจากนั้นก็เลื่อนไปยังบันทึกการสนทนา
ไม่กล้าอยู่อีกต่อไป วินาทีต่อมาเย่ฉ่าวเฉินก็หายไปจากในห้อง แยกออกมาอย่างสับสนวุ่นวาย กลับถึงห้องของตนเอง เขาแทบจะโยนซุปปลาในมือลงบนโต๊ะ คว้าโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ เปิดวิดีโอที่ส่งเข้ามาเมื่อกี้
ภาพสั่นเล็กน้อย ต่อจากนั้นก็ปรากฏภาพรถเข็นเด็กอ่อนคันหนึ่ง ด้านในมีเด็กเอนกายอยู่หนึ่งคน คือเด็กที่เขาเห็นในรูปเมื่อกี้นี้
“เป่าเป้ย หัวเราะหน่อย” เสียงของเด็กผู้ชายก็แทรกออกมา
หลังจากนั้น เย่ฉ่าวเฉินก็ได้เห็นรอยยิ้มที่งดงามที่สุดบริสุทธิ์ที่สุดบนโลกใบนี้…..
ดูวิดีโอนี้เสร็จแล้ว เย่ฉ่าวเฉินจึงพบว่า ดวงตาของเขาเหมือนกับมู่เวยเวย เขามองลูกยิ้มอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
ดีใจแทบบ้า ตื่นเต้น มีความสุข ไม่ว่าถ้อยคำอะไรก็ไม่สามารถ บรรยาความรู้สึกตอนนี้ของเขาได้
เย่ฉ่าวเฉินกระสับกระส่าย เขาหยิบมือถือมายังหน้ากระจก นำรูปภาพนั้นแปะติดที่กระจก มองตนเอง แล้วก็มองเด็ก นี่คือเย่ฉ่าวเฉินฉบับเด็กจริงๆ แล้วยังดวงตาคู่นั้นอีก ดวงหนึ่งสีฟ้า ดวงหนึ่งสีม่วง เขาเชื่อว่า บนโลกนี้คงไม่มีเด็กคนที่สองที่เป็นแบบนี้
นี่คือลูกของเขา คือลูกชายของเขา
พระเจ้า เขาไม่นึกเลยว่าจะงดงามแบบนี้ ราวกับทูตแห่งสวรรค์
เย่ฉ่าวเฉินมองรูปภาพไม่กะพริบตา ใจที่แข็งกระด้างยับเยินในเวลานี้ คล้ายกับว่าโอบกอดเขาเข้าไปในอ้อมกอดที่รักและทะนุถนอมอย่างสุดซึ้ง นำสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ให้กับเขา ให้ความรักที่อบอุ่นที่สุดกับเขา
หลังจากผ่านความดีใจอย่างสุดซึ้ง เย่ฉ่าวเฉินก็เอนกายลงบนเตียง ปากยิ้มไม่หุบ ในสายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ตอนนี้ เรื่องบางเรื่องก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า ฉู่เหยียนก็คือมู่เวยเวย ดังนั้นตอนเธอเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า เห็นเสื้อผ้าเด็กจึงตื่นเต้น พื้นฐานการออกแบบทั้งหมดล้วนเป็นเสื้อผ้าเด็ก รับรู้ถึงความสามารถเฉพาะตัวของตนเองก็ยิ้มไปชั่วขณะ และตาต่อตาฟันต่อฟันกับมู่อี้เหยา…..
ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปิดเผยแล้ว เธอก็คือมู่เวยเวย
และที่เธอต้องปลอมเป็นฉู่เหยียน ก็คือชายคนนั้นในวิดีโอต้องการให้เธอมาตระกูลเย่เพื่อขโมยของ ไม่มีอะไรให้น่าสงสัยอีกแล้ว ของสิ่งนั้นต้องเป็นแผนที่สมบัติอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องรบกวนตระกูลฉู่ เพื่อให้ฉู่เซวียนม่พิสูจน์และยืนยันฐานะทางสังคมของเธอ
เย่ฉ่าวเฉินพลิกตัวลุกขึ้น เขาต้องการไปถามให้ชัดเจน เดินก้าวเท้าไปยังด้านนอก แต่พอเดินไปถึงหน้าประตู เย่ฉ่าวเฉินก็หยุดลง
ไม่ได้ เขาไม่สามารถซักถามต่อหน้าได้ ตามนิสัยเมื่อก่อนแล้ว มู่เวยเวยจะต้องหาเหตุผลมาเถียงข้างๆ คูๆ อย่างแน่นอน ถ้าหากว่า เธอวิ่งหนีไปอีก หรือถูกบังคับให้ออกไปล่ะ?
เขาไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ครั้งนี้เขาจะต้องดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ ควบคุมการกระทำในมือของตนเอง จากนั้นก็ช่วยลูกและเวยเวยออกมาจากเงื้อมมือของชายแปลกหน้าคนนั้น
บางที เขาสามารถนำแผนที่สมบัติให้มู่เวยเวยโดยตรงเลยก็ได้ แต่ใครจะรับประกันว่าชายคนนั้นจะไม่ทำร้ายลูกของตนเอง? ศัตรูของเขาเยอะมากเกินไป
ครั้งแรก ที่เย่ฉ่าวเฉินเสียใจกับการกระทำที่เย่อหยิ่งโอหังอวดดี
มู่เวยเวยพูดถูก โลกนี้มีกงเกวียนกำเกวียน เขาไม่อยากให้เหตุที่ตนเองก่อไว้ ตามสนองที่ลูกชายของตนเอง เขาไม่สามารถรับความเสี่ยงนี้ได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือเขาจะยืดเวลาให้มู่เวยเวยค้นหาแผนที่สมบัติต่อไป ฉวยโอกาสตอนที่ทางด้านนั้นไม่ได้เตรียมป้องกัน ช่วยลูกชายกลับมา
เย่ฉ่าวเฉินเปิดประตูลงตะโกนเรียกไปยังด้านล่างสองคำว่า”จางเห่อ” ในเสียงปิดบังความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
จางเห่อออกมาจากห้องเขาอย่างรวดเร็ว
อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินเวลานี้สงบลงมากแล้ว “ไปตรวจสอบกลุ่มการเข้าสังคมของฉู่เซวียนหน่อย ดูว่าในระหว่างนี้มีการเฉลิมฉลองกับฉันหรือไม่ แล้วก็แล้วก็ตรวจสอบการเข้าสังคมของฉู่เหยียนที่ฮ่องกงให้ละเอียดสักหน่อย การเคลื่อนที่จากทวีปยุโรปกลับฮ่องกงของเธอ จะต้องละเอียดรอบคอบเพียงพอ ห้ามปล่อยรายละเอียดปลีกย่อยใดๆ ไปทั้งสิ้น”
จางเห่อได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็รับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง และไม่ได้ซักถามข้อสงสัยขึ้นมา “ครับ คุณชาย”
“ระมัดระวัง การกระทำจะต้องเป็นความลับ ยังไงก็ห้ามถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้” เย่ฉ่าวเฉินเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเมื่อเย็นนี้ “แล้วก็เรื่องราวเมื่อเย็นนี้ ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว เรื่องนี้ทำเป็นโจมตีแล้วก็ถอยทัพก็พอ ก่อกวนสักสองวันแล้วก็รามือ”
“คุณชาย คุณรู้แล้วเหรอว่าเป็นใคร? ” จางเห่อยิ่งตกใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“รู้แล้ว คือฉู่เซวียน” เย่ฉ่าวเฉินไม่จำเป็นต้องปิดบังผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์คนนี้
จางเหอเบิ่งตาอ้าปากอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเขาได้ยังไง?
“เรื่องนี้มันซับซ้อนมาก คุณรู้เพียงแค่ผลสรุปก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องถามมาก ไปทำตามที่ฉันบอก วันหนึ่งฉันจะบอกมูลเหตุของเรื่องกับคุณ”
“ครับ คุณชาย” จางเห่อปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไขกับเย่ฉ่าวเฉินตลอดมา เพราะเขารู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินคงไม่ให้เขาตรวจสอบฉู่เซวียนและฉู่เหยียนโดยไม่มีที่มาที่ไป
หลังจากจางเห่อออกไป เย่ฉ่าวเฉินก็หมุนไปมาอยู่ในห้องสองสามรอบ สายตาก็เหลือยไปมองซุปปลาเมื่อเย็นที่เย็นหมดแล้ว จึงยกมันลงไปชั้นล่าง
ฉินหม่าไม่อยู่ในห้องครัว แต่ซุปปลายังตุ๋นอยู่ เย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนเป็นถ้วยที่ร้อนแล้ว ก็ยกมันไปที่ห้องมู่เวยเวยอีกครั้ง
ด้านหลังประตูก็คือคนคนนั้นที่เขาคิดถึงทั้งกลางวันกลางคืน ในของเย่ฉ่าวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเต้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เขาไม่สามารถตื่นเต้นดีใจแบบนี้ได้ ไม่สามารถทำให้เธอระแคะระคายได้
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกมือเคาะประตู “ก๊อกๆๆ ”
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ประตูเปิดแล้ว ผู้หญิงที่เพิ่งล้างหน้า มีสีแดงระเรื่อเผยออกมาจากในใบหน้าที่ขาวช่างดูดี ดวงตาคู่นั้นก็ใสสะอาด
“เย่ฉ่าวเฉิน? คุณยังไม่นอนเหรอ” มู่เวยเวยจงใจพูด แน่นอนว่าเธอไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าความหมายแฝงที่ทิ้งไว้คืนนี้คืออะไร
ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วโมง เย่ฉ่าวเฉินมองฉู่เหยียน มองเวยเวยผ่านเธอ ตอนนี้เขาก็มองมู่เวยเวยอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ ดวงตาสีฟ้าก็ยิ่งอ่อนโยน
“ตอนเย็นคุณไม่ได้ทานข้าว ซุปปลาที่ฉินหม่าตุ๋น ดื่มสักหน่อยจะได้อุ่นกระเพาะ”
“ว้าว ได้กลิ่นหอมเชียว” มู่เวยเวยหลีกทางให้ เย่ฉ่าวเฉินเข้ามา เวลาเดินผ่านเธอ กลิ่นอายทั้งหมดอยู่ที่ปลายจมูกของเธอ แรงกระตุ้นก็เพิ่มขึ้นมาจากเท้า
เขาเคยบอกแล้วว่า หลังจากที่เขายืนยันอะไรแน่ชัดในเรื่องนี้แล้ว เขาจะไม่ปล่อยเธอ คืนนี้ อารมณ์ความรู้สึกของเขาเต็มที่มาก จะต้องระบายออกให้เต็มที่สักหน่อย
“รีบดื่ม อีกเดี๋ยวจะเย็น” เย่ฉ่าวเฉินนำถ้วยซุปให้เธอ บังเอิญสัมผัสกับปลายนิ้วมือของเธอ ในใจก็อ่อนระทวยทันที
มู่เวยเวยไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขา รับซุปปลามาแล้วก็ดื่มจนหมด
รู้ซะที่ไหนว่า พอวางถ้วยบนโต๊ะด้านข้าง แรงอันมหาศาลแรงหนึ่งก็โผเข้ามา มู่เวยเวยถูกเย่ฉ่าวเฉินกดไว้บนเตียง ริมฝีปากถูกปิดทันที
มู่เวยเวยมองค้อนทีหนึ่ง เขารีบร้อนจนรอไม่ไหวจริงๆ
“เดี๋ยวก่อน คุณไปอาบน้ำ……”
เวลานี้เย่ฉ่าวเฉินสนใจซะที่ไหนกัน “ตอนบ่ายเลิกงานกลับมาฉันอาบแล้ว”
“อา——คุณ คุณ——”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ลดกำลังลงเลยแม้แต่น้อย เขาคิดถึงเธอมานานมากขนาดนี้ ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว แต่เผชิญหน้ากับเขาด้วยใบหน้าอื่น ทำให้เขาต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน ทำให้เขาจมดิ่งอยู่กับความสงสัย คิดถึงตรงนี้แล้ว เขาคิดเพียงว่าต้องจัดการเธอให้ยิ่งเจ็บ จึงจะสามารถกำจัดความเจ็บปวดในใจของเขาที่มีมาอย่างยาวนานนี้ได้สักเล็กน้อย……
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณบ้าไปแล้วเหรอ? ” มู่เวยเวยถามเขาอย่างหายใจหอบ
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้น ในดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน แทบจะกัดฟันพูดว่า “ฉันบ้า ถูกคุณบังคับจนจะเป็นบ้าแล้ว”
พอมู่เวยเวยกำลังจะครุ่นคิดถึงความหมายในครึ่งคำพูดหลังของเขา ก็ถูกเขา…….อย่างโหดเหี้ยม
ค่ำคืนนี้……
ในที่สุด มู่เวยเวยก็อดทนต่อเขาไม่ไหว หมดสติหลับไป หลังจากเย่ฉ่าวเฉินปลดปล่อยออกมาแล้ว ก็กอดเธอแล้วจ้องมองอย่างสงบ
เวยเวย ทำไมหน้าของคุณเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้?
ถึงแม้ใบหน้านี้จะงดงามมาก แต่คุณรู้ไหม? ฉันชอบใบหน้าก่อนหน้านั้นมากกว่า ดูไม่เบื่อ ไม่อวดดี ในความสง่างามแฝงไปด้วยความอ่อนโยน ทำให้คนมองแล้วผ่อนคลายอย่างมาก