“ออกรถ”
ฉู่เซวียนรีบหันหน้ารถมุ่งหน้าเข้าทางหลวงที่อยู่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ชายที่อยู่ข้างหลังก้มหยิบแผนที่สมบัติขึ้นสักครู่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมาก และตะโกนเสียงดังว่า “หยุดพวกมันไว้”
เมื่อสิ้นเสียงคําสั่ง ชายชุดดําเจ็ดแปดคนพร้อมอาวุธปืนก็วิ่งออกมาจากป่าและรัวยิงไปยังรถที่กำลังเร่งความเร็ว
ฉู่เซวียนยังคงควบคุมสติได้ดี เขากำพวงมาลัยแน่นและมองตรงไปข้างหน้า แต่มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
มู่เวยเวยหมอบอยู่ที่เบาะหลังอย่างมีสติ ในเมื่อช่วยอะไรไม่ได้ เธอก็จะปกป้องตัวเอง เธอไม่อยากจะถูกกระสุนยิงจนพรุนเป็นตะแกรง
เย่ฉ่าวเฉินหยิบปืนออกมาและยิง ชายชุดดําสองคนล้มลงไปทันที แต่ยังไม่ตาย เพราะเขาเล็งไปที่ขา
กระจกรถนั้นกันกระสุน ดังนั้นเมื่อถูกยิงมา จึงทิ้งไว้เพียงรอยใยแมงมุม แต่ไม่ได้ทะลุผ่าน
เมื่อเห็นว่ารถกําลังจะขับขึ้นบนทางหลวง ยางล้อหลังก็เกิดเสียงดัง “ปัง” จุดศูนย์ถ่วงของรถไม่คงที่ทำให้รถสะบัดโค้ง มู่เวยเวยถูกเหวี่ยงไปที่ประตูรถ ศีรษะได้รับการกระแทกอย่างแรง
เย่ฉ่าวเฉินก็กระแทกเข้ากับร่างของเธอเพราะแรงเฉื่อยเช่นกัน แต่เขารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและถามอย่างร้อนรนว่า “คุณเป็นอะไรไหม?”
มู่เวยเวยส่ายหัวด้วยสีหน้าที่แย่มาก เย่ฉ่าวเฉินมองคนที่ไล่ตามมาข้างหลัง ขณะที่กำลังปลดเชือกให้มู่เวยเวยเขาก็พูดกับฉู่เซวียนว่า “รถขับต่อไปไม่ได้แล้ว คุณรีบพาอาเหยียนหนีไป”
“แล้วคุณล่ะ?” มู่เวยเวยถามอย่างเป็นกังวล
“ผมจะไม่เป็นอะไร”
“ไม่ คุณไปกับพวกเรา”
“สามคนหนีไปด้วยกันไม่พ้นหรอก ผมจะอยู่ขวางทางพวกเขาไว้ ไม่ต้องพูดแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินเปิดประตูด้านที่เขานั่งแล้วลงจากรถ ก่อนที่จะดึงมู่เวยเวยลงมา “รีบไปซะ ไม่งั้นพวกเราคงหนีไม่รอดกันสักคน”
“ฉ่าวเฉิน” มู่เวยเวยจับมือเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยมือ
“ไม่ต้องห่วงผม คุณลืมความสามารถของผมไปแล้วหรือไง?” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มปลอยโยนให้เธอสบายใจ
มู่เวยเวยนิ่งไป แม้ว่าเขาจะมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ แต่หากได้รับบาดเจ็บ การใช้พลังพิเศษก็จะยากลําบากมาก
“อย่าได้รับบาดเจ็บ อย่าได้รับบาดเจ็บนะ ตกลงไหม?” ดวงตาของมู่เวยเวยดูเศร้าหมอง เธออยากจะร้องไห้
เย่ฉ่าวเฉินใจสั่น เขาโอบเอวของเธอและจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ จากนั้นก็ผละออกมา “ผมสัญญา จะไม่บาดเจ็บ” จากนั้นเขาก็ผลักเธอให้กับฉู่เซวียนที่เพิ่งกระโดดออกมาจากรถ “พาเธอออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย ผมจะปกป้องพวกคุณเอง รีบไป”
ฉู่เซวียนเหลือบมองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน เขาคว้าแขนของมู่เวยเวยแล้ววิ่งไปตามถนน เสียงปืนดังมาจากด้านหลัง มีกระสุนหลายนัดพุ่งเฉียดข้างหูไป แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถหยุดได้ ทําได้เพียงวิ่งไปข้างหน้า
เสียงปืนดังขึ้นทีละนัด ทั้งสองวิ่งฝ่าดงหญ้าที่รกชัฏ ข้ามป่าทึบ แล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปจนถึงถนน ตอนนั้นเองที่มู่เวยเวยสังเกตเห็นว่ารองเท้าส้นสูงข้างหนึ่งได้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เสียงปืนเริ่มดังไกลออกไป รถบรรทุกคันหนึ่งกําลังขับผ่านมาพอดี ฉู่เซวียนโบกมือส่งสัญญาณให้คนขับหยุดรถ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนขับที่ไหนจะกล้าหยุดรถ มีแต่จะรีบเหยียบคันเร่งเท่านั้น
มู่เวยเวยไม่ได้กินอาหารมาตั้งแต่เมื่อคืน เธอไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย และหลังจากที่วิ่งมานาน ขาของเธอก็อ่อนแรงจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
“คุณเป็นยังไงบ้าง?” ฉู่เซวียนดึงเธอขึ้นมา และเห็นว่าสีหน้าของเธอดูไม่ดีเลย
มู่เวยเวยหอบและพูดว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
สายตาของฉู่เซวียนเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ขณะนั้นก็ได้มีรถเล็กคันหนึ่งกําลังแล่นมา ฉู่เซวียนหยิบปืนออกมาจากเอวและเล็งไปที่คนขับที่อยู่ด้านใน คนขับตกใจรีบเหยียบเบรค รถหยุดกึกที่ปลายเท้าของทั้งสองคน
ฉู่เซวียนเปิดประตูด้านหลัง ทั้งสองคนเข้าไปนั่งในรถ คนขับพูดอย่างสั่นเครือว่า “อย่าทําร้ายผม อย่าทําร้ายผม”
“พาเราไปที่ใจกลางเมือง A” ฉู่เซวียนกล่าวอย่างเย็นชา
“ได้ ได้” คนขับจับพวงมาลัยด้วยมือที่สั่นเทา สตาร์ทรถอยู่สองสามครั้ง แต่ก็สตาร์ทไม่ติด
ฉู่เซวียนกลัวว่าคนข้างหลังจะตามมาทัน จึงปลอบอารมณ์ของคนขับ “ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ทําอะไรคุณหรอก แค่อยากติดรถไปด้วยเท่านั้น”
บางทีประโยคนี้อาจจะได้ผล ทันใดนั้นรถก็ส่งเสียงหึ่ง ๆ แล้วพุ่งทะยานออกไป
มู่เวยเวยเหนื่อยมาก แต่เธอยังคงขมวดคิ้วและถามฉู่เซวียนว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทําไมเรื่องถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้?”
ฉู่เซวียนรู้สึกงุนงง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“คุณไม่รู้? เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ฝีมือคุณหรอกเหรอ?” มู่เวยเวยถามด้วยความประหลาดใจ
“เป็นฝีมือผมเอง แต่ขั้นตอนไม่ใช่แบบนี้” ฉู่เซวียนก็สับสนเช่นกัน
“หมายความว่าอย่างไร?”
ฉู่เซวียนมองไปที่คนขับรถก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ผมวางแผนให้พวกเขาจับตัวคุณไป แต่ไม่ได้ให้พวกเขาลงมือ และยิ่งไม่มีการยิงกันเหมือนในวันนี้”
“คุณแน่ใจไหมว่าคนที่คุณใช้เป็นเจ้าพวกนี้?”
ฉู่เซวียนไม่แน่ใจ “ผมไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาโดยตรง พูดให้ชัดก็คือเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกวางแผนโดยเพื่อนของผม”
“เพื่อนของคุณ?” มีใบหน้าหนึ่งแวบเข้ามาในความคิดของมู่เวยเวย เธอถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ใช่เขาหรือเปล่า?”
ฉู่เซวียนมองเข้าไปในดวงตาของเธอและพยักหน้า
มู่เวยเวยไม่อยากจะเชื่อ “ฉู่เซวียน คุณ…… ใช่สิ ฉันลืมไปว่าคุณเป็นเพื่อนกับเขา พวกคุณเป็นพวกเดียวกันตั้งแต่แรก”
ชายสวมหน้ากากคนนั้นต้องการเพียงแค่แผนที่สมบัติ ส่วนใครจะเป็นตายร้ายดียังไง เขาจะไปสนใจได้อย่างไร?
“ฉู่เหยียน” ฉู่เซวียนไม่พอใจกับน้ำเสียงของเธออย่างมาก “คุณจะโกรธผมเรื่องอะไร? ในเมื่อคิดจะบรรลุเป้าหมายก็ย่อมต้องมีการเสียสละบ้างเป็นธรรมดา หากคุณปรากฏตัวต่อหน้าเย่ฉ่าวเฉินอย่างไม่มีอะไรเสียหาย ไม่กลัวว่าเขาจะสงสัยเหรอ?”
“ที่ฉันโกรธ ไม่ใช่เพราะพวกเขาทุบตีด่าว่าฉัน พวกเขาจะทำยังไงกับฉัน ฉันไม่สน แต่เย่ฉ่าวเฉินล่ะ? เขาจะทำยังไง? เมื่อคนเหล่านั้นได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว คุณคิดว่าจะปล่อยตัวเขาไปไหม?”
ฉู่เซวียนก็รู้สึกหดหู่ใจมากเช่นกัน “ฉู่เหยียน ผมก็ไม่อยากให้เขาตายเหมือนกัน ถ้าเขาตายไป แล้วจะดีต่อผมยังไง? ตระกูลฉู่ของเรายังจะทำธุรกิจต่อหรือไม่?”
มู่เวยเวยจ้องเขาและพูดไม่ออก เมื่อคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินอาจจะตายได้ทุกเมื่อ หัวใจของเธอราวกับถูกบดด้วยหินจนหายใจไม่ออก
เธอเกลียดเขา และเคยคิดอยากจะฆ่าเขา แต่ครั้งนี้เธอเป็นคนวางแผนใส่เขา แต่เขากลับไม่ลังเลที่จะช่วยเธอ หากเย่ฉ่าวเฉินต้องเสียชีวิตไปในสถานการณ์เช่นนี้ เธอคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ทั้งที่เย่ฉ่าวเฉินมอบแผนที่สมบัติที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้เขาไปแล้ว ทําไมเขาถึงยังสั่งให้ลูกน้องมาหยุดพวกเขาไว้ด้วย?
แผนที่สมบัติมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? หรือเขาคิดจะฆ่าปิดปาก?
หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ สถานการณ์ของเย่ฉ่าวเฉินก็จะยิ่งอันตราย
“เอาโทรศัทพ์ให้ฉัน” มู่เวยเวยยื่นมือออกไป โทรศัพท์มือถือของเธอน่าจะตกอยู่ในบ้านที่เธอถูกขัง
ฉู่เซวียนหยิบโทรศัพท์ออกมาและวางลงในมือของเธอ มู่เวยเวยนึกเบอร์โทรศัพท์บ้านของบ้านตระกูลเย่ แล้วกดโทรออก สัญญาณรอสายดังอยู่เพียงสองครั้งก่อนที่โทรศัพท์จะเชื่อมติด
“ฮัลโหล สวัสดีครับ บ้านตระกูลเย่ครับ” เสียงราบเรียบของพ่อบ้านหวังดังขึ้น
“คุณอาหวัง ฉันคือฉู่เหยียนค่ะ”
“คุณฉู่? คุณ…… คุณชายช่วยคุณออกมาได้แล้ว?” พ่อบ้านหวังรู้สึกยินดี
ฉู่เหยียนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และหลับตา “อาหวังคะ เย่ฉ่าวเฉินอาจตกอยู่ในอันตราย คุณช่วยบอกให้จางเฮ่อรีบส่งคนไปช่วยเขาด้วยค่ะ” จากนั้นน้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาจากตาของเธอ
“ที่ไหนครับ? เกิดอะไรขึ้นกับคุณชาย?” พ่อบ้านถามขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่ดีใจเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
“เขาอยู่ในที่เกิดเหตุเพื่อช่วยฉัน ฉัน…… ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง” มู่เวยเวยนึกถึงภาพที่เขาจูบตัวเอง น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้น
“คุณฉู่ครับ อย่าเพิ่งร้องไห้เลย บอกสถานที่ให้ผมก่อน ผมจะให้จางเฮ่อพาคนไปเดี๋ยวนี้”
“ที่ทางเชื่อมระหว่างเมือง A และเมือง S ที่นั่นมีทะเลสาบอยู่ใกล้ ๆ” มู่เวยเวยพยายามควบคุมเสียงของเธอ
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” พ่อบ้านหวังหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “คุณฉู่ครับ เมื่อวานคุณถูกขังที่ไหนยังจําได้หรือไม่? หากคุณชายถูกจับตัวไปจริง ๆ นี่จะเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาของจางเฮ่ออย่างมาก”
“ฉันถูกพวกเขาปิดตามาตลอดทาง ตอนกลางคืนบ้านหลังนั้นเงียบมาก เหมือนกับว่าเป็นบ้านเดี่ยวที่แยกออกมา ส่วนเรื่องอื่น ๆ ฉันไม่ทราบแล้วค่ะ”
“ผมเข้าใจแล้วครับ คุณฉู่ตอนนี้อยู่ที่ไหน? ต้องการให้ผมส่งรถไปรับคุณไหม?” ”
“ไม่จําเป็นค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่กับฉู่เซวียน และเขาจะพาฉันกลับไปที่บ้านตระกูลเย่ค่ะ”
“เดินทางปลอดภัยครับคุณฉู่”
หลังจากที่พ่อบ้านหวังวางสายแล้ว จึงได้รีบไปแจ้งให้จางเฮ่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้
ฉู่เซวียนเองก็รู้สึกกังวลเช่นกัน เขารับโทรศัพท์กลับมาและโทรหาเพื่อนของเขา เขาต้องการจะรู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นตรงไหนกันแน่
เมื่อปลายสายรับขึ้นแล้ว ฉู่เซวียนก็ถามขึ้นทันทีว่า “ทําไมอีกฝ่ายถึงได้ยิง? นายอยากให้ฉันตายในที่เกิดเหตุด้วยเหรอ?
“อาเซวียน ฉันขอโทษ มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น” ชายหน้ากากเงินกล่าวขอโทษ
“มีปัญหา? ปัญหาอะไร?”
“เจ้าสารเลวนั่นคิดจะฮุบสมบัตินั่นไปคนเดียว ก็เลย……”
“บัดซบ!” คนที่สุภาพอย่างฉู่เซวียนถึงกับอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “แล้วเราจะทํายังไงกันดี? นายรีบส่งคนไปหาไอ้สารเลวคนนั้นสิ เราเหนื่อยยากกันมาตั้งนานเพื่อจะให้คนอื่นมาชุบมือเปิปไปอย่างนั้นเหรอ?”
“อาเซวียน นายใจเย็น ๆ ฉันได้ส่งคนออกไปตามหาแล้ว”
ฉู่เซวียนวางสายด้วยความโกรธและมองไปที่มู่เวยเวย “คุณได้ยินแล้วใช่ไหม?”
มู่เวยเวยพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ที่ตรากตรำมาทั้งหมดก็เพื่อให้คนอื่นได้ไปงั้นเหรอ?
แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อ? แผนที่สมบัติถูกมอบให้คนอื่นไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะอยู่เคียงข้างเย่ฉ่าวเฉินอีก หากชายหน้ากากเงินหน้าด้านพอ จะต้องให้เธอไปหาแผนที่สมบัติอีกแน่นอน มู่เวยเวยรู้สึกว่าเขาสามารถทําเรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้ได้
……
ที่ริมทะเลสาบ เย่ฉ่าวเฉินต่อสู้อยู่คนเดียว ต่อให้เขาจะเก่งกาจแค่ไหน ก็ต้องมีช่วงเวลาที่ลูกกระสุนถูกยิงจนหมด ดังนั้น เมื่อปืนมากกว่าสิบกระบอกเล็งไปที่ศีรษะของเขา เย่ฉ่าวเฉินก็ยกสองมือขึ้น
คนฉลาดย่อมหลีกเลี่ยงความเสียเปรียบตรงหน้า
ชายคนนั้นชกเข้าไปที่หน้าอกของเขาด้วยความโกรธ “ทําไมแผนที่จึงไม่สมบูรณ์?” ”
เย่ฉ่าวเฉินเอามือกุมหน้าอก “ตอนที่พ่อฉันให้มา แผนที่สมบัติก็ไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว”
ชายคนนั้นขว้างหมัดเข้ามาอีกครั้ง แต่เย่ฉ่าวเฉินกลับหลบหลีกได้อย่างชํานาญ ชายคนนั้นก็สบถคําหยาบออกมา จากนั้นทั้งสองคนจึงต่อสู้กันภายใต้ปากกระบอกปืนที่จ่ออยู่นับสิบ
เย่ฉ่าวเฉินนั้นฝึกศิลปะการต่อสู้มาอยู่แล้ว ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะเย่ฉ่าวเฉินได้ ชายคนนั้นโกรธมาก จึงได้หยิบปืนออกมาและยิงไปที่เย่ฉ่าวเฉิน เย่ฉ่าวเฉินหลบไม่พ้น กระสุนนัดนั้นยิงเข้าไปถูกที่หัวไหล่ของเขา
“เก่งนักไม่ใช่หรือไง?” สู้ต่อสิ” ชายคนนั้นยกเท้าขึ้นเตะไปที่หน้าอกของเย่ฉ่าวเฉิน เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ขณะที่กําลังจะลุกขึ้นก็ถูกชายคนนั้นจ่อปืนไปที่หัว “ฉันคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะแกร่งสักแค่ไหน ที่แท้ก็มีปัญญาแค่นี้”
เย่ฉ่าวเฉินกุมบาดแผลที่เลือดไหลไว้แน่น และเยาะเย้ยเขา “พวกแกมีตั้งมากมายขนาดนี้ ส่วนฉันเพียงคนเดียว แกคิดว่าเป็นการชนะที่สมศักดิ์ศรีมากเหรอ?”
“แล้วยังไง ตราบใดที่ชนะ ฉันก็ไม่สนใจกฎกติกาอะไรมากมาย พูดมา ชิ้นส่วนแผนที่ที่ขาดหายไปอยู่ที่ไหน? ถ้าไม่พูด ฉันจะยิงแกทิ้งซะ”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเยาะและมองไปที่เขา “ได้สิ ถ้าแกฆ่าฉัน ก็อย่าฝันว่าจะได้ส่วนที่เหลือ”
ขณะที่ชายคนนั้นชูกําปั้นขึ้นและกำลังจะต่อยลงไปนั้น ก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา จึงถามเขาว่า “พูดอย่างนี้หมายความว่า ชิ้นส่วนที่หายไปอยู่ในมือของแก?”
“แกคิดว่ายังไงล่ะ?” คําพูดของเย่ฉ่าวเฉินมีความคลุมเครือ
ชายคนนั้นจ้องเขม็งไปที่เขาอย่างโกรธแค้น ก่อนจะพูดกับลูกน้องว่า “พามันกลับไป ฉันจะค่อย ๆ ถามมัน ฉันไม่เชื่อว่ามันจะไม่ยอมพูดถึงที่เศษที่เหลือ”
เย่ฉ่าวเฉินถูกดึงขึ้นมาจากพื้นอย่างหยาบคาย ทำให้เลือดที่หัวไหล่ไหลออกมาเร็วขึ้น เลือดสีแดงสดย้อมเสื้อเชิ้ตสีขาวไปครึ่งตัว ดูน่ากลัวมาก
ชายคนนั้นกลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะเสียเลือดมากจนตาย จึงพูดกับคนข้าง ๆ อย่างหงุดหงิดว่า “ตามหมอมา เกรงว่าเขาจะตายซะก่อนที่เราจะได้รู้อะไร”
“ครับ ลูกพี่”
เย่ฉ่าวเฉินถูกปิดตาทันทีที่ขึ้นรถ มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดไว้ด้านหน้า และโทรศัพท์มือถือของเขาก็ถูกยึด
เบื้องหน้าของเขามืดสนิท เย่ฉ่าวเฉินถึงได้มีเวลาคิดถึงมู่เวยเวย ไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ถูกจับตัวได้หรือไม่ ที่จริงแล้ว ขอเพียงเธอปลอดภัย เขาก็ไม่สนใจว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ตราบใดที่ยังไม่ตาย เขาก็สามารถหนีจากเงื้อมมือของคนกลุ่มนี้ได้แน่
ยิ่งไปกว่านั้น เขาอยากรู้มากว่าคนเหล่านี้เป็นใคร และรู้เรื่องแผนที่สมบัติได้อย่างไร ตั้งแต่ที่พ่อแม่จากไป ความลับนี้ก็ถูกฝังอยู่ในดินไปพร้อมกับพวกเขา หากมีใครสักคนหวังดีเปิดเผยความลับนี้ออกมา ตระกูลเย่ของพวกเขาก็คงจะไม่สงบสุขแล้ว คงจะมีผู้คนมากมายแวะเวียนมารบกวน เพราะความมั่งคั่งที่เหลือคณานับมันมีแรงดึงดูดมากเหลือเกิน
รถแล่นไปทางทิศใต้และหยุดลงหลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เย่ฉ่าวเฉินถูกลากลงจากรถ
“เดินไป” มีคนผลักไหล่เขา เย่ฉ่าวเฉินสะดุดจนเกือบจะล้มลง จึงมีคนจับเขาไว้ทั้งซ้ายและขวาและพาเขาเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ได้แก้มัดผ้าสีดําออกจากตาของเขา
เย่ฉ่าวเฉินลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ มันเป็นบ้านหรู ปูพื้นด้วยกระเบื้องหินอ่อน โซฟาหนังแท้ โต๊ะและเก้าอี้ไม้โรสวูด ทั้งยังมีการประดับตกแต่งด้วยการปิดทอง เป็นบรรยากาศสไตล์อาร์ตนูโว
“ดูอะไร?” ชายคนนั้นตะโกนใส่เขา “พามันไปที่ห้องเมื่อวาน แล้วก็พาหมอไปด้วย”
ดังนั้นเย่ฉ่าวเฉินจึงถูกนําตัวไปที่ห้องชั้นหนึ่ง ภายในห้องนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่ายมีเพียงเตียงนอน และห้องน้ำ บนพื้นยังมีกระเป๋าที่ถูกโยนทิ้งไว้ใบหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินจําได้ว่าเป็นกระเป๋าของมู่เวยเวย
ที่นี่คือที่ที่มู่เวยเวยถูกขังไว้เมื่อวาน?
“อยู่ที่นี่ไป เดี๋ยวหมอก็มา”
ประตูถูกปิดลง เย่ฉ่าวเฉินเดินไปที่หน้าต่าง ด้านนอกมีเหล็กดัดติดอยู่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหนี เขามองทะลุกระจกไปก็เห็นเพียงต้นไม้ที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น
ที่นี่คือเมือง S เหรอ? ดูจากระยะเวลาการขับรถ ที่นี่น่าจะเป็นชานเมืองของเมือง S บริเวณโดยรอบเงียบสงบมาก ไม่มีเสียงของยานยนต์ใด ๆ
ประตูถูกผลักให้เปิดออกจากด้านนอก มีชายสวมแว่นตาเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาในมือ ตามมาด้วยบอดี้การ์ดในชุดสีดําสองคน
“นั่งบนเตียง ผมจะดูแผลให้คุณ” หมอพูด
เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงและเอามือที่กุมบาดแผลไว้ออก หมอค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าเขาออกอย่างเบามือ เลือดบนไหล่ของเขายังคงไหลออกมา เผยให้เห็นเนื้อสดสีแดงที่ดูน่ากลัว
เมื่อหมอตรวจเช็คจนละเอียดแล้วจึงกล่าวว่า “กระสุนยิงไม่ถูกหลอดเลือดแดง สามารถเอาออกตอนนี้ได้เลย แต่ว่าไม่มียาชานะ มีเพียงยาแก้ปวดเท่านั้น ดังนั้นตอนที่เอากระสุนออก คุณต้องอดทน ห้ามขยับตัว”
“ฉันขอผ้าผืนหนึ่ง” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
บอดี้การ์ดเดินเข้าไปหยิบผ้าขนหนูสีขาวในห้องน้ำ ยังถือว่าสะอาดดี จากนั้นพันเป็นก้อนยื่นให้เขา
เย่ฉ่าวเฉินรับมาถือไว้ในมือ และเงยหน้าขึ้นพูดกับคุณหมอว่า “คุณจัดการเถอะ รีบเอามันออกจะได้รีบหาย”
คุณหมอมองเขาอย่างชื่นชมและพูดว่า “ผมจะพยายามทำให้เร็วที่สุด คุณจะได้ทุกข์น้อยลง”
แม้ว่าจะฉีดยาแก้ปวดแล้ว แต่ฤทธิ์ยาเพียงเล็กน้อยแค่นั้นก็ไม่อาจจะทุเลาความเจ็บปวดจากปลายคมมีดที่เข้าสู่กระดูกได้ เย่ฉ่าวเฉินกัดผ้าขนหนูไว้ เหงื่อที่หน้าผากของเขาก็ไหลลงมาเป็นทาง อีกมือก็จับที่ขอบเตียงไว้แน่นจนนิ้วแทบบิด
มันเจ็บกว่าที่คิดไว้หลายพันเท่านัก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เย่ฉ่าวเฉินจึงคิดถึงแต่มู่เวยเวยกับลูกของเขา ราวกับว่าความเจ็บปวดจะสามารถลดน้อยลงได้
ไม่รู้ว่าการผ่าตัดดําเนินไปนานแค่ไหน ในขณะที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะทนไม่ไหว ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น กระสุนถูกดึงออกมาแล้ว
แต่ความเจ็บปวดยังไม่ได้ลดลง เพราะหมอกำลังทายาฆ่าเชื้อลงบนแผล
หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น ความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ ลดลงเล็กน้อย เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกขอบคุณฉู่เซวียนที่บอกให้เขากินบะหมี่เนื้อชามนั้น ถ้าเขาไม่ได้กินบะหมี่ชามนั้น เขาคงเป็นลมหมดสติไปแล้วในตอนนี้
ผ้าพันแผลถูกพันเป็นชั้น ๆ และผูกปมไว้ที่ด้านหลัง
“พรุ่งนี้เช้าผมจะมาเปลี่ยนยาให้” คุณหมอไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ และออกไปหลังจากที่ได้กําชับแล้ว
ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินคายผ้าขนหนูออกจากปากของเขา เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ให้ตายเถอะ เขาเกือบจะสูญเสียเลือดมากเกินไป
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่กระเป๋าที่หล่นอยู่ที่พื้น เขาพยายามลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าขึ้นมา เขานั่งลงบนเตียงและเปิดมันออก ข้างในนั้นมีแต่ของกระจุกกระจิกของมู่เวยเวย หวีน้อย กระจกน้อย ลิปสติก มาสคาร่า และของอื่น ๆ ส่วนกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ น่าจะถูกเจ้าบ้านั่นเอาไปแล้ว
มันง่ายมากที่จะหนีออกจากที่นี่ แต่เขาต้องการที่จะรู้ตัวตนของคนกลุ่มนี้
หลังจากพักผ่อนไปพักหนึ่ง ประตูก็ถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง คนที่เข้ามาก็คือคนที่เขาอยากพบพอดี
เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงบนเตียงอย่างสงบและมองไปที่เขาอย่างเย็นชา
เมื่อชายคนนั้นเห็นท่าทีของเขาก็อดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังเพิ่งได้ยินจากลูกน้องมาว่า ตอนที่เอากระสุนออกนั้นเขาไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเลย ช่างเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง
“เย่ฉ่าวเฉิน พวกเรามาทําธุรกิจร่วมกันดีไหม?”
“ไม่มีปัญหา ฉันเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว สิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือการทําธุรกิจ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวอย่างเรียบเฉย “แต่ก่อนที่จะคุยเรื่องธุรกิจ ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าแกเป็นใคร?”
ชายคนนั้นหัวเราะและพูดว่า “ทำไม? อยากแก้แค้นฉันภายหลังใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินกล่าวด้วยใบหน้าที่สงบ “ฉันอยากรู้ว่ากำลังตกอยู่ในมือของใคร อีกอย่าง ในวงการนี้แกจัดการฉัน ฉันเอาคืนแก ตอบโต้กันไปมาก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง? หรือว่าแกคิดว่าคนอย่างเย่ฉ่าวเฉินจะเป็นคนยอมคนง่าย ๆ”
“เหอะ แกช่างกล้าตรงไปตรงมาซะเหลือเกิน ไม่กลัวว่าฉันจะฆ่าแกทิ้งซะที่นี่หรือไง?”
เย่ฉ่าวเฉินเย้ยหยัน “ฆ่าฉัน? งั้นแกก็ไม่มีวันจะหาสมบัติเจอ แถมยังจะต้องเผชิญกับผู้คนนับไม่ถ้วนที่คอยตามไล่ล่าแก มีประโยชน์อะไรที่จะทำธุรกิจที่ขาดทุนเช่นนี้?”
ชายคนนั้นจ้องมองเขาด้วยสายตาอำมหิตและพูดว่า “แกพูดถูก ฉันจะยังไม่ฆ่าแกตอนนี้ แต่ฉันจะค่อย ๆ ทรมานแกอย่างช้า ๆ ทำให้แกจะอยู่ก็ไม่มีความสุขจะตายก็ไม่ได้”
“ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งไม่คุ้ม เพราะฉันอาจจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ทุกเมื่อ เมื่อนั้นแกก็จะสูญเสียทั้งคนทั้งทรัพย์สมบัติ จะให้มันเป็นแบบนั้นทำไมกันเล่า?”
คําพูดของชายคนนั้นถูกเขาปิดกั้นทั้งหมด “ตามที่แกพูด งั้นฉันก็ไม่สามารถทําอะไรแกได้เลยงั้นสิ?”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างใจเย็นว่า “ทำได้สิ เมื่อกี้แกบอกว่าจะทําธุรกิจร่วมกันไม่ใช่เหรอ? แสดงความจริงใจของแกออกมา ฉันจะให้แผนที่แก และแกจะปล่อยฉันไป จากนั้นก็ทางใครทางมัน ถ้ามีโอกาสมาพบกันอีก แกกับฉันค่อยมาคิดบัญชีกัน”
ชายคนนั้นหัวเราะเยาะ “ความจริงใจเหรอ? เย่ฉ่าวเฉิน อย่าลืมว่าตอนนี้แกตกอยู่ในมือของฉัน”
“ตกอยู่ในมือของแกแล้วยังไง? ฉันก็ถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดี แกก็ฆ่าฉันไม่ได้ และฉันก็ยิ่งไม่กลัวการทรมานของแก ดังนั้น ทำตามที่ฉันพูด เป็นวิธีที่วินวินกันทั้งสองฝ่าย”
เย่ฉ่าวเฉินกล่าวอย่างสงบและผ่อนคลาย แม้ผิวเผินจะดูกระอักกระอ่วน แต่พลังของเขายังคงกดดันอีกฝ่ายไว้อย่างสมบูรณ์
“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าแผนที่ที่แกให้เป็นของจริง?” ชายคนนั้นถาม
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่ฉ่าวเฉิน “แกไม่เชื่อฉัน ต่อให้ฉันจะให้แผนที่ตัวจริง แกก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี”
ชายคนนั้นเงียบ เขารู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินพูดถูก มีเพียงไม่กี่คนในโลกที่เคยเห็นแผนที่ตัวจริง เขาเองก็ได้รู้จากคนที่เคยใกล้ชิดกับข้อมูลวงในมาก่อนว่า ในแผนที่สมบัติตัวจริงจะมีเครื่องหมายพิเศษอยู่ และเขาก็ได้เห็นเครื่องหมายนั้นในแผนที่ครึ่งหนึ่งที่เยฉ่าวเฉินให้มา ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่ามันเป็นของจริง
“แกอยากรู้อะไร?” เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นมีความตื่นเต้นอยู่บ้างและน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงมาก
เย่ฉ่าวเฉินมีความปีติขึ้นในใจ แต่ท่าทีของเขากลับไม่ได้เปลี่ยนไป “แกรู้ได้อย่างไรว่าแผนที่สมบัติอยู่ในมือของฉัน?”
“แน่นอนว่ามีคนบอกฉันมา แต่คน ๆ นั้นเป็นใคร ฉันบอกไม่ได้”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า “อืม แล้วแกมีแซ่ว่าอะไร?”
“แซ่เฉา เฉาเดียวกับโจโฉ”
เย่ฉ่าวเฉินนึกคิดอยู่ในหัว เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเกี่ยวกับคนแซ่เฉานี้ หรือว่าสองปีมานี้จะมีกองกำลังใหม่ ๆ เกิดขึ้น?
“ตอนนี้แกจะบอกฉันได้หรือยังว่าแผนที่สมบัติส่วนที่เหลืออยู่ที่ไหน?”
เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาลอย ๆ “มันถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยแห่งหนึ่งในเมือง A ”
“ห้องนิรภัยไหน?” ชายคนนั้นถาม
“ฉันไม่สามารถบอกแกได้ในตอนนี้ ฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ แม้ว่าแกจะปล่อยให้ฉันหนีไป ฉันก็หนีไปได้ไม่ไกลอยู่ดี ถ้าหากแกได้แผนที่สมบัติมา แล้วคิดจะผิดสัญญามาฆ่าฉัน แล้วฉันจะทํายังไง?”
“แล้วแกคิดจะบอกเมื่อไหร่?” ชายคนนั้นมีท่าทีโกรธ
แต่เย่ฉ่าวเฉินกลับไม่กลัวเขาเลยสักนิด “วันมะรืนก็แล้วกัน วันมะรืนอาการบาดเจ็บของฉันน่าจะดีขึ้นมากแล้ว”
ดวงตาของชายแซ่เฉาฉายแววเป็นประกาย ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ฉันว่าแกกําลังถ่วงเวลาอยู่”
“ฮ่า ๆ แกมองออกจนได้?”
ชายคนนั้นบีบแผลที่ไหล่ของเขา เย่ฉ่าวเฉินปวดจนต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ และยกเท้าขึ้นเตะเขาอย่างแรง ชายคนนั้นก็ละมือจากไหล่ของเขาและกระโดดไปด้านข้าง “เย่ฉ่าวเฉิน แกอย่ามาเล่นลูกไม้กับฉันนะ แกมีเวลาเพียงหนึ่งคืนในการพักฟื้นเท่านั้น ถ้าพรุ่งนี้แกไม่ยอมพูด ฉันก็ไม่ต้องการส่วนที่เหลือนั่นแล้ว ถือว่าฝังไปพร้อมกับแกแล้วกัน”
เย่ฉ่าวเฉินตอบตกลงไป “ได้ ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้ฉันจะให้คําตอบแก แกสามารถส่งคนไปเอาที่ห้องนิรภัยได้เลย แต่แกต้องเตรียมรถไว้ให้ฉันด้วย”
“ได้ ฉันจะเชื่อแกสักครั้ง ถ้าแกบังอาจโกหก เย่ฉ่าวเฉิน ฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่” ชายคนนั้นพูดอย่างชั่วร้าย
เย่ฉ่าวเฉินคิดกับตัวเอง ไอ้เลว นี่เป็นสิ่งที่ฉันอยากพูดกับแกเหมือนกัน
ชายคนนั้นเปิดประตูและกำลังจะออกไป เย่ฉ่าวเฉินตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน”
“แกต้องการอะไรอีก?”
“เอาอาหารมาให้ฉัน ฉันหิวแล้ว” พลังงานจากบะหมี่เนื้อชามนั้นถูกใช้หมดไปนานแล้ว และในตอนนี้เขาก็หิวจนตาลาย
คำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือเสียงปิดประตูดัง
ไม่นานนัก ชายร่างกํายําก็เดินเข้ามาพร้อมกับชามอาหาร บนข้าวราดด้วยผัดบร็อคโคลีเบคอนกับเต้าหู้เย็น ๆ และกับข้าวอย่างอื่น ที่ดูก็รู้ว่าเหลือจากอาหารกลางวัน ยังดีที่ตอนนี้เป็นหน้าร้อน แม้ว่าอาหารจะเย็นแล้วก็ยังพอฝืนกลืนลงไปได้
ปกติแล้วเย่ฉ่าวเฉินเป็นคนพิถีพิถันเรื่องกินมาก เมื่อก่อนมู่เวยเวยเคยพาเขาไปทานอาหารแถวโรงเรียน เขายังรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่นั่นสกปรกไปหน่อย แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว เขาต้องการพลังงาน
……
อีกด้านหนึ่ง จางเฮ่อพาคนกลุ่มหนึ่งมาถึงริมทะเลสาบ มีเพียงรอยเท้าที่วุ่นวายและคราบเลือดที่สาดอยู่บนพื้น
“คุณชายน่าจะถูกพาขึ้นรถไป” ชายคนหนึ่งชี้ไปที่รอยเลือดสีแดงบนพื้นและกล่าวว่า “ดูสิ รอยเลือดหายไปจากตรงนี้”
แววตาของจางเฮ่อเต็มไปด้วยความกังวล แต่เขาก็ยังสงบนิ่ง “ดูจากรอยล้อแล้ว คุณชายน่าจะถูกพาตัวไปที่เมือง S” แต่เมือง S นั้นใหญ่มาก และไม่ใช่ถิ่นของเย่ฉ่าวเฉิน การจะตามหารถให้เจอนั้นยากมาก
ขณะที่จางเฮ่อกําลังกลัดกลุ้มใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ถึงคําพูดที่พ่อบ้านหวังเล่าให้ฟัง สถานที่ที่ฉู่เหยียนถูกขังเมื่อวานนั้นอยู่ห่างไกลมาก ทั้งยังเป็นบ้านพักตากอากาศ ถ้าเป็นเช่นนั้นขอบเขตก็จะเล็กลงมาก
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นายพาคนไปกลุ่มหนึ่ง ฉันจะพาคนอีกกลุ่มหนึ่งไป พวกเราแยกย้ายกันค้นหาในแถบชานเมืองของเมือง S โดยเฉพาะพวกประเภทบ้านเดี่ยว”
“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”
ตกกลางคืน
เย่ฉ่าวเฉินพยายามอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถรวบรวมพลังได้ เพียงแค่เขาขยับเล็กน้อย บาดแผลที่ไหล่ของเขาก็เจ็บปวดราวกับถูกฉีกขาด
อย่ารีบร้อน อย่ารีบร้อน ยิ่งรีบร้อนยิ่งแย่ลง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาบาดแผลให้หายเร็วที่สุด
เย่ฉ่าวเฉินนั้นมีร่างกายที่พิเศษ ไม่ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะรุนแรงแค่ไหน เพียงแค่ได้นอนหลับพักผ่อนสักคืนหนึ่งเขาก็จะสามารถฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะนอนก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะอย่างไรก็ตามคนแซ่เฉาคนนั้นก็ยังไม่กล้าที่จะฆ่าเขาในตอนนี้
ตั้งแต่บ่ายเมื่อวานนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็ตกอยู่ในสภาวะจิตใจที่ตึงเครียด นอกจากนี้เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน อีกทั้งวันนี้ยังยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งวัน เขารู้สึกเพลียมาตั้งนานแล้ว ทันทีที่หลับตาลง เขาก็ผล็อยหลับไป
ในเวลาเดียวกัน มู่เวยเวยที่อยู่ที่บ้านตระกูลเย่กลับไม่รู้สึกง่วงเลย
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเป็นกังวลเกี่ยวกับความเป็นความตายของเย่ฉ่าวเฉิน เธอถอดหน้ากากออกและนอนลงบนเตียง นึกถึงความหยาบคายของคนกลุ่มนี้เมื่อวานนี้ พวกเขาสามารถลงมือกับผู้หญิงอย่างเธอได้ แล้วนับประสาอะไรกับเย่ฉ่าวเฉิน”
มู่เวยเวยลืมตาโพรงอยู่แบบนั้นจนกระทั่งกลางดึกเธอถึงได้นอนหลับไปอย่างยากเย็น
วันรุ่งขึ้น เมฆครึ้ม ลมแรง
ขณะที่เย่ฉ่าวเฉินยังคงหลับฝันหวานอยู่นั้น ก็มีเสียง “ปัง” ของประตูที่ถูกผลักเปิดออก คุณหมอคนเมื่อวานเดินเข้ามา แน่นอนว่ายังมีบอดี้การ์ดตามมาคุมอยู่ด้านหลัง
“ผมมาทำแผลให้คุณ” คุณหมอพูดอย่างเย็นชา
เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นนั่งบนเตียง เสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขายับย่นและรอยเลือดบนนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสนิม
“คุณหมอเข้างานเร็วจังเลย” เย่ฉ่าวเฉินพยายามคุยกับคุณหมอ
คุณหมอไม่ได้ตอบโต้และเริ่มแก้ผ้าพันแผลให้เขา
สายตาที่หลุบลงของเย่ฉ่าวเฉินจับจ้องไปที่กระเป๋าเสื้อใบกว้างของคุณหมอ ข้างในนั้นมีโทรศัพท์มือถืออยู่เครื่องหนึ่ง กําลังขยับไปมาตามการเคลื่อนไหวของเขา
เขาขยับนิ้วอย่างคันไม้คันมือ อยากจะคีบโทรศัพท์ออกมา แต่บอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าประตูกําลังจ้องเขม็งมายังเขา ส่วนคุณหมอที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้ว่าถูกพวกเขาจับมา หรือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
ผ้าพันแผลถูกเปิดออกทีละชั้น ๆ จนเผยให้เห็นรอยแผล บาดแผลฉกรรจ์เมื่อวานได้หายไปแล้ว คุณหมอก็ประหลาดใจมาก และรอบ ๆ ของแผลกำลังตกสะเก็ด
เย่ฉ่าวเฉินสังเกตเห็นสีหน้าประหลาดใจของคุณหมอ เขาก็ก้มลงมองไปที่บาดแผล แผลสมานได้ไม่เลวเลย ดูเหมือนระดับความสามารถของตัวเองจะพัฒนาขึ้นอีกแล้ว
“แผลของคุณ……” คุณหมอไม่เคยเห็นบาดแผลของใครที่ฟื้นฟูเร็วขนาดนี้มาก่อน
เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัวเบา ๆ ส่งสัญญาณไม่ให้เขาพูดออกไป คุณหมอมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา ดูเหมือนกำลังตัดสินใจอย่างยากลำบาก
“แผลของเขาเป็นอะไร?” บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลังถามขึ้นอย่างห้วน ๆ หลังจากได้ยินคําพูดของคุณหมอ
คุณหมอดึงสติแล้วกล่าวว่า “โอ้ อากาศร้อนเกินไป ทำให้แผลของเขาอักเสบเล็กน้อย”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินคําพูดของคุณหมอ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
คุณหมอไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ทำเป็นเปลี่ยนยาทำแผลให้เขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
เย่ฉ่าวเฉินใส่เสื้อและลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ เพียงคืนเดียว ผู้ชายในกระจกก็ดูซีดเซียวลงมาก เคราเขียวแข็ง ๆ ก็ผุดขึ้นเป็นตอราวกับหน่อไม้
เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บล้างหน้า และรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที
นับว่าคนกลุ่มนี้ยังมีคุณธรรมอยู่บ้าง มีการนำอาหารเช้ามาให้เขา แต่ก็เป็นเพียงหมั่นโถวกับข้าวต้มธรรมดา ๆ เท่านั้น ไม่มีแม้แต่กับข้าวอย่างอื่น เย่ฉ่าวเฉินดื่มข้าวต้มอย่างพิถีพิถัน แต่ไม่ได้แตะต้องหมั่นโถว เพราะเขาไม่ชอบกินหมั่นโถว
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ คนแซ่เฉาก็เข้ามา
เย่ฉ่าวเฉินรวบรวมสติเพื่อจะต่อกรกับเขา สิ่งที่เย่ฉ่าวเฉินต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา
“วันที่สองแล้ว ฉันหวังว่าแกจะจําสิ่งที่พูดไว้เมื่อวานตอนบ่ายได้” คนแซ่เฉากล่าวอย่างเย็นชา
เมื่อเทียบกับความเย็นชาของเขาแล้ว เย่ฉ่าวเฉินกลับรู้สึกผ่อนคลายกว่ามาก เขาเดินไปมารอบ ๆ ห้องพลางพูดขึ้นว่า “จำได้แน่นอน แต่แกเตรียมรถให้ฉันพร้อมแล้วหรือยัง?”
“จอดอยู่ข้างนอก แถมยังเติมน้ำมันให้เต็มแล้วด้วย”
“งั้นเหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินยืดเส้นอย่างเกียจคร้านแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เห็นแก่ความซื่อสัตย์ของพวกแก ฉันจะบอกให้ก็ได้ แผนที่สมบัติอีกส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้ในบริษัทจินตุ้นในเมือง A แต่คงจะค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อยสำหรับพวกแกถ้าจะไปเอาออกมา”
“ทําไม?”
“บริษัทจินตุ้นเป็นคลังธนารักษ์แห่งหนึ่ง ที่มีการรักษาความปลอดภัยดีที่สุดในเมือง A ถ้าจะเบิกสิ่งของออกมา ก็ต้องมีการยืนยันตัวตนจากเจ้าตัว หลังจากสแกนใบหน้าและลายนิ้วมือด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ถึงจะนำของออกมาได้” สาเหตุที่เย่ฉ่าวเฉินรู้ชัดเจนถึงกระบวนการนี้ ก็เพราะเขาได้เก็บของบางอย่างไว้ข้างในนั้นจริง ๆ
ชายคนนั้นมีสีหน้าโกรธแค้น คิดจะพุ่งเข้ามาทำร้ายเย่ฉ่าวเฉิน “แม่งเอ๊ย แกบังอาจหลอกฉัน?”
เย่ฉ่าวเฉินกางมือออก “ฉันไม่ได้หลอกแก แกลองคิดดูสิ ถ้าใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปเบิกของที่ลูกค้าฝากไว้จากห้องนิรภัยได้ กิจการก็คงจะล้มละลายในวันรุ่งขึ้น
คนแซ่เฉาโมโหจนจะระเบิดแล้ว หรือจะต้องพาเขากลับไปเมือง A? เป็นไปไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไป หากเข้าไปที่เมือง A แล้ว ที่นั่นก็คือถิ่นของเย่ฉ่าวเฉิน เมื่อถึงเวลาต่อให้เขาติดปีกก็ไม่สามารถบินหนีออกมาได้
“สิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง ถ้าไม่เชื่อ แกสามารถโทรเช็คดูว่าเป็นอย่างที่ฉันพูดหรือไม่”
คนแซ่เฉาถลึงตาใส่เขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา เมื่อตรวจสอบพบบริษัทจินตุ้นที่เขาพูดถึงแล้ว ก็โทรออกไปที่เบอร์โทรสํานักงาน เปิดแฮนด์ฟรีแล้วยื่นให้เขา “ฉันคิดว่าแกน่าจะรู้ว่าต้องพูดอะไร”
“โอเค ฉันรู้”
โทรศัพท์ดังอยู่เพียงครั้งเดียวก็ถูกรับสาย มีเสียงอ่อนโยนของผู้หญิงดังออกมาจากปลายสาย “สวัสดีค่ะ ที่นี่คือจินตุ้น มีอะไรให้รับใช้คะ?”