“ คุณชาย คุณเป็นยังไงบ้าง?” ชายที่ถือปืนชำเลืองมองไปทางคนของจางเหิงที่อยู่ในรถ แต่ด้วยสายตานี้จางเหิงจึงฉวยโอกาสบิดข้อมือของเขาแล้วหยิบปืนที่ตกลงมา ในขณะที่เขากำลังจะชักปืนออกเสียงปืนก็ดัง”ปัง” จางเหิงล้มลงกับพื้นเพราะโดนยิงเข้าที่แขนขวา
เมื่อหันหน้าไปดูตำรวจจราจรที่เพิ่งมาขอความช่วยเหลือเมื่อกี้ เขาวิ่งมาพร้อมปืนในมือ เมื่อเขาวิ่งผ่านจางเหิงก็หยิบปืนในมือไปด้วย ส่วนอีกคนกำลังจะขัดขืนและถูกลูกน้องเย่ฉ่าวเฉินกระแทกเข้าที่ท้ายทอย ดวงตาของเขาค่อยๆมืดลงและล้มลงไป
ตำรวจจราจรตรวจสอบเบาะหลัง เมื่อเห็นเสื้อของเย่ฉ่าวเฉินที่เปื้อนไปด้วยเลือดของเมื่อวานและใบหน้าซีดเซียวของเขาจึงถามอย่างกังวลว่า “คุณชาย คุณบาดเจ็บหรือ?อดทนไว้ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
เย่ฉ่าวเฉินจับแขนของเขาอย่างอ่อนแรง “จางเห่อ ฉันไม่เป็นไรพาพวกเขากลับไป ฉันอยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“ครับ คุณชายคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?ทำไมดูอ่อนแรงขนาดนี้?”
“พวกเขาฉีดยาใส่ฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร … ”
“แล้วคุณบอกว่าไม่เป็นไร?ไม่ได้การแล้ว ผมจะโทรหาพ่อบ้านหวังแล้วให้เขาส่งเฮลิคอปเตอร์มาเดี๋ยวนี้” จางเห่อหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและโทรหาพ่อบ้านวัง “คุณอาหวัง คุณชายบาดเจ็บ รีบส่งเฮลิคอปเตอร์มาที่นี่ … อยู่ทิศทางเมือง A เดี๋ยวผมส่งที่อยู่ให้ ”
จางเห่อตัดสายแล้วช่วยประคองเย่ฉ่าวเฉินออกมาจากรถแล้วปล่อยให้เขานั่งในรถฮัมเมอร์ “คุณชายที่นี้ผมจัดการเอง คุณไม่ต้องห่วง เสี่ยวฟาง นายกับอาหลงคุ้มกันคุณชายแล้วกลับไปที่เมืองA คอยติดต่อกับพ่อบ้านหวังตลอดเวลาด้วย”
“รับทราบครับ” เสี่ยวฟางขึ้นรถแล้วได้ยินเย่ฉ่าวเฉินพูดว่า “มีกล่องยาอยู่ในรถคันนั้น เอามันติดตัวไปด้วยอาจเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยของแพทย์ แล้วก็โทรศัพท์ของฉันกับฉู่เหยียนไม่รู้ว่าอยู่ในรถคันไหน ด้านในมีข้อมูลที่สำคัญมากห้ามหายเด็ดขาด”
จางเห่อได้ยิน เขาเลยหยิบกล่องยาออกมาจากรถและส่งให้อาหลง “คุณชาย วางใจเถอะ ผมจะหาโทรศัพท์ให้เจอ” จากนั้นก็แตะคนขับรถที่นั่งอยู่เบาะคนขับเบาๆ”ระวังด้วย มีปัญหาติดต่อกับฉันได้ตลอดเวลา”
“ครับ”
รถฮัมเมอร์เป็นเหมือนเสือดาววิ่งพุ่งไปข้างหน้าโดยเหยียบเส้นขอบถนนและลูกพีชที่เต็มพื้น
จางเหิงมองไปที่ด้านหลังรถที่ค่อยๆไกลออกไปในใจก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา บอกแล้วว่าเมือง A เป็นถิ่นของเย่ฉ่าวเฉิน เขาก็ยังไม่เชื่อและอยากลอง แค่นี้ก็พอแล้วครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนราคาแพง และเมื่อกี้เขาก็ไม่คิดว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นคนของเย่ฉ่าวเฉิน แถมยังคิดว่าถ้าพวกเขาต้องการซ่อนแผนที่ขุมทรัพย์ ก็จะโยนไปให้เย่ฉ่าวเฉินแล้วบอกเขายังมีอีกส่วนอยู่ ตอนนี้ดูๆแล้วเหมือนเขาจะคิดมากเกินไป
แต่เขาไม่เข้าใจ ลูกน้องของเย่ฉ่าวเฉินรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะกลับไปที่เมือง อีกทั้งพวกเขายังรู้ถึงเวลาที่แน่ชัด พวกเขาโจมตีแบบขนาบเข้าประกบทั้งสองด้าน ไม่เปิดโอกาสให้ได้ต่อต้านแม้แต่น้อย นอกจากเวลาหลับตอนกลางคืน ความเคลื่อนไหวของเย่ฉ่าวเฉินก็อยู่ในสายตาของเขาตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีข่าวการแจ้งเบาะแสให้เขา เขาไม่มีท่าทีจะรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไร?
จางเห่อสั่งให้ลูกน้องยี่สิบถึงสามสิบคนมัดพวกเขาสิบกว่าคนไว้และโยนพวกเขาขึ้นรถบรรทุกที่มีลูกพีชครึ่งคัน ส่วนจางเหิงแน่นอนว่าจางเห่อจะต้องเผ้าดูเขาด้วยตัวเอง
หลังจากทำเก็บกวาดที่เกิดเหตุเสร็จ ก็มีรถบรรทุกนำหน้าและมีรถอีกหลายคันขับไปที่ฐานฝึกของตระกูลเย่
…
ทางฝั่งนี่พ่อบ้านหวังเพิ่งวางสายจากจางเห่อ ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นใบหน้าที่กังวลของ ฉู่เหยียน “มีข่าวจากฉ่าวเฉินแล้วใช่ไหม?เขาบาดเจ็บหรอ?”
“คุณฉู่ไม่ต้องกังวล คุณชายได้รับบาดเจ็บ ผมจะไปจัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ไปรับคุณชาย”
“ฉันไปด้วย” มู่เวยเวยเดินตามพ่อบ้านหวัง
พ่อบ้านหวังอธิบายอย่างเคร่งขรึม “คุณฉู่ ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้คุณไป แต่เฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ที่สนามบิน ถ้าผมไปส่งคุณที่นั่นจะต้องใช้เวลานานมาก ผมกลัวว่าการรักษาของคุณชายจะล่าช้า”
มู่เวยเวยกะวนกะวาย “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปรอเขาที่โรงพยาบาล”
เมื่อพ่อบ้านหวังเห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าเธอเป็นห่วงคุณชาย คำพูดของเธอก็ดูอ่อนแรงลงมาก“คุณฉู่ รอผมสักครู่ หลังจากจัดเตรียมเรื่องนี้เสร็จผมจะไปโรงพยาบาลพร้อมกับคุณ ”
“อ้อ โอเค”
“แล้วก็ คุณฉู่ถ้าตอนนี้คุณไม่มีเรื่องอะไร คุณช่วยจัดเตรียมเสื้อผ้าของคุณชายที่ใช้สำหรับเปลี่ยนประมาณสองสามชุดได้ไหม?ผมคิดว่า … ” ก่อนที่พ่อบ้านหวังจะพูดจบมู่เวยเวยก็พูดขึ้นมา “โอเค ฉันไปเตรียมเดี๋ยวนี้”
มู่เวยเวยคุ้นเคยกับรูปแบบห้องนอนของเย่ฉ่าวเฉินเป็นอย่างดี เพราะหลังจากเธอแต่งงานก็ใช้เวลาอยู่ในห้องนี้เป็นส่วนใหญ่ ในห้องแต่งตัวเธอพบกระเป๋าที่สวยหรูสำหรับสูทอาร์มาและเริ่มหยิบเสื้อผ้าจากไม้แขวน เสื้อเชิ้ตสองตัวและเสื้อยืดอีกสองตัวแล้วกัน แล้วก็กางเกง … เดี๋ยวก่อน ต้องเอากางเกงในไปด้วยสองสามตัวใช่ไหม?
มู่เวยเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดลิ้นชัก ในลิ้นชักวางกางเกงบ็อกเซอร์ใหม่เอี่ยมอย่างเรียบร้อยไล่ระดับสีจากสีดำไปจนถึงสีเทา
แม้ว่าทั้งสองจะเคยเห็นอีกฝ่ายเปลือยกายมาหลายครั้ง แต่มู่เวยเวยก็ไม่เคยแตะต้องสิ่งของส่วนตัวของเขาเลย เธอก้มศีรษะและหยิบกางเกงบ็อกเซอร์สามตัวออกมาแล้วยัดลงในกระเป๋า
หลังจากมาถึงโรงพยาบาลประชาชนในเขตเทศบาล หลังจากสื่อสารกับผู้อำนวยการ พ่อบ้านหวัง มู่เวยเวย คุณหมอหาน และแพทย์ที่เข้าร่วมหลายคนจากโรงพยาบาลก็มารอที่ลานด้านบนของโรงพยาบาล
หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์ของพ่อบ้านหวังก็ดังขึ้น “อาหวัง ผมคือเสี่ยวฟาง คุณชายอาการโคม่า”
“นายว่าไงนะ?” พ่อบ้านหวังได้ยินไม่ชัดเพราะเสียงในโทรศัพท์ถูกเสียงของใบพัดรบกวน
“ ผมบอกว่าคุณชายอาการโคม่าแล้ว” เสี่ยวฟางตะโกนใส่โทรศัพท์
แต่เสียงนั้นก็ยังเบาเกินไป พ่อบ้านหวังตัดสายทิ้งด้วยความกะวนกะวายและเปลี่ยนเป็นส่งข้อความแทน แต่มือของเขาสั่นโดยไม่รู้ตัวและไม่สามารถพิมพ์ให้เป็นคำๆได้
เมื่อมู่เวยเวยเห็นเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือในมือของเขาและพูดว่า “อาหวัง ฉันบอกว่าฉันส่งข้อความให้เอง”
พ่อบ้านหวังหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ขอบคุณครับคุณฉู่ คุณถามเสี่ยวฟางว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชาย?”
มู่เวยเวยพิมพ์เสร็จอย่างรวดเร็วและคลิกส่ง หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ได้รับข้อความจาก เสี่ยวฟาง คำบนหน้าจอปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน คุณชายอาการโคม่าและถูกยิงด้วยยา
ยังมีรูปถ่ายสองรูปติดมาด้วย รูปแรกเป็นรูปเย่ฉ่าวเฉินที่หลับตาสนิท ใบหน้าของเขาซีดเซียวและเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดอย่างน่าตกใจ
อีกรูปเป็นรูปที่ไม่สามารถมองเห็นร่องรอยของเข็มฉีดยาใดๆได้เลย
ในตอนนี้มู่เวยเวยไม่สามารถสงบลงได้อีก จู่ๆเขาก็ได้รับบาดเจ็บและในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอรู้สึกมีลางสังหรณ์ที่รุนแรง เพราะถ้าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บด้วยทักษะความสามารถของเย่ฉ่าวเฉินเขาคงจะกลับมาที่เมืองAนานแล้ว
อย่างไรก็ตามพ่อบ้านหวังมีเรื่องหลายเรื่องมากมาย แต่เมื่อได้เห็นรูปถ่ายของเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าเหมือนเมื่อกี้อีก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือจากมู่เวยเวยและพิมพ์ว่าพวกเราอยู่ที่ลานชั้นบนสุดของโรงพยาบาลประชาชนในเขตเทศบาลหมอก็อยู่ที่นี้ด้วยพวกนายรีบมา หลังจากส่งข้อความออกไป พ่อบ้านหวังก็ยื่นโทรศัพท์ให้หมอหลายคนเพื่อทำการวิจัย
มู่เวยเวยรู้สึกขาอ่อนแรงลงเล็กน้อยและเมื่อเริ่มสั่นไปสองครั้งจากนั้นเธอก็ยืนพิงเข้าที่กำแพง
พ่อบ้านหวังเห็นความผิดปกติของเธอและเดินเข้าไปปลอบเธอเบา ๆ “ไม่ต้องห่วง คุณชายเป็นคนโชคดีมาก เขาจะต้องไม่เป็นไรแน่”
ใบหน้าของมู่เวยเวยเย็นไปหมดและตอนนี้ความคิดเดียวในหัวของเธอคือถ้าเขาตายจะเป็นอย่างไร? ถ้าเขาตายก็ถือว่าเขาได้แก้แค้นให้พี่ชายของเขาแล้ว นี้น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีแต่ทำไมตัวเองถึงไม่สามารถรู้สึกดีได้เลย
“ คุณฉู่ คุณโอเคไหม?” พ่อบ้านหวังมองเธออย่างห่วงใย“รูปถ่ายทำให้คุณตกใจสินะ ก่อนหน้านี้คุณชายได้รับบาดเจ็บหนักกว่านี้อีก มีหลายครั้งที่เขาต้องแข่งกับความตายแต่ในที่สุดเขาก็ยังพึ่งพาพลังใจที่เหนียวแน่นแล้วผ่านมันมาได้ ทุกคนเอาแต่มองว่าตอนนี้ตระกูลเย่มีแต่สิ่งเรื่องดีๆที่เพียบพร้อม แต่ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากคุณชาย ”
ขณะที่พ่อบ้านหวังพูดคุยอยู่ข้างๆเขา ความกังวลใจของมู่เวยเวยก็คลายลงอย่างมาก“เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้สืบทอดเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปจากพ่อแม่ของเขาหรือ?”
พ่อบ้านหวังถอนหายใจ “สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอดีตแล้ว เย่ฮวางก่อตั้งขึ้นโดยคุณท่านก็จริงแต่ต่อมาเนื่องจากการจัดการที่ไม่ดีและหนี้สินจำนวนมากและด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้คุณท่านไม่สนใจบริษัทแล้วโยนเรื่องทั้งหมดไปให้คุณชาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคุณชายประคับประคองครอบครัวนี้เพื่อปลดหนี้ ไม่รู้ว่าเขาต้องสูญเสียกับเรื่องต่างๆและต้องทนทุกข์ทรมานมาแล้วกี่ครั้ง โชคดีที่เขาผ่านมันมาได้ ”
ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็จำญาติอีกคนของเย่ฉ่าวเฉินได้และถามอย่างระมัดระวัง“ ฉันได้ยินฉ่าวเฉินบอกว่าเขายังมีคุณปู่อีกคนที่กำลังรักษาอยู่ต่างประเทศ”
พ่อบ้านหวังมองเธอด้วยความประหลาดใจ “คุณชายบอกเรื่องนี้กับคุณแล้วหรือ?”
“เขาเคยพูดแค่ครั้งเดียว ไม่ได้พูดอะไรมากมาย”
“อ้อ เขากำลังรักษาอยู่ต่างประเทศจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ แม้แต่หลายๆคนในเมือง A ก็คิดว่าคุณท่านจากไปแล้ว” พ่อบ้านหวังก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณท่านเป็นความลับมาก เย่ฉ่าวเฉินแทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับคนนอกเลย ไม่คิดเลยว่าเขาจะบอกกับฉู่เหยียน
ดูเหมือนว่าความสำคัญในหัวใจของคุณชายที่มีต้องผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนคนทั่วไป
“มาแล้ว” ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาและสายตาของทุกคนก็จ้องไปไกล เฮลิคอปเตอร์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าของเมือง A และบินมาทางโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
“ทุกคนถอยไปที่บันไดก่อน” พ่อบ้านหวังพูดกับทุกคนในนั้น ลมของใบพัดนั้นแรงเกินไปและที่นี่ก็เป็นชั้นบนสุดซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดอันตรายขึ้นได้
ทุกคนไปยืนด้านบนสุดของบันไดตามที่พ่อบ้านหวังพูดแต่สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่เฮลิคอปเตอร์
เฮลิคอปเตอร์เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่ลานด้านบน ใบพัดก็ทำให้เกิดพายุขนาดใหญ่
เฮลิคอปเตอร์จอดสนิท พ่อบ้านหวัง คุณหมอหานและมู่เวยเวยวิ่งฝ่ากระแสลมเข้าไป เมื่อประตูเปิดออกใบหน้าที่กังวลของเสี่ยวฟางและอาหลงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
มู่เวยเวยรู้ดีว่าเธอไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพื่อไม่เพิ่มความวุ่นวาย เธอก็เลยยืนอยู่ด้านหลัวฝูงชน ดูพวกเขายกเย่ฉ่าวเฉินออกจากเครื่องบินและวางไว้บนเปลที่เตรียมไว้แล้ว
ท่ามกลางฝูงชน เธอยังคงมองเห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปื้อนเลือดและใบหน้าซีดเซียวราวกับหิมะ หัวใจเหมือนถูกกุมไว้ด้วยสองมือทำให้เธอแทบจะหายใจไม่ออก
หมอหานหยิบเข็มที่เสี่ยวฟางส่งให้แล้วตามหมอและพยาบาลหลายคนไปที่ชั้นล่าง พ่อบ้านหวังวิ่งไปที่บันไดแล้วหันหน้าไปเห็นมู่เวยเวยที่ยืนอยู่ในพายุราวกับว่าเธอสูญเสียวิญญาณไปแล้ว ดวงตาของเธอนั้นว่างเปล่า
แล้ววิ่งกลับไปหาเธอพร้อมกับตะโกนเสียงดัง“ คุณฉู่ ไปกันเถอะ”
ในที่สุดมู่เวยเวยก็ได้สติขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่บันไดพร้อมกับพ่อบ้านหวัง เมื่อเธอลงบันไดเธอก็ก้าวลงไปด้วยความไม่ระมัดระวัง โชคดีที่เหลือเพียงสองขั้นและทันใดนั้นข้อเท้าของเธอก็พลิก
“เป็นอย่างไรบ้าง?” พ่อบ้านหวังถาม
มู่เวยเวยอดทนกับความเจ็บปวดและส่ายหัว“ ไม่เป็นไร อาหวังไปดูแลเย่ฉ่าวเฉินก่อน เดี๋ยวฉันจะค่อยๆลงไป”
“ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”
“ไม่มีปัญหา คุณรีบไปเถอะ ”
ตอนนี้ในใจของพ่อบ้านหวังเอาแต่กังวลเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉิน เมื่อเห็นว่าเธอไม่เป็นไรมากจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณค่อยๆเดิน ถ้าเห็นพยาบาลก็ให้เธอช่วยประคองคุณ”
“ฉันรู้แล้ว”
หลังจากที่พ่อบ้านหวังจากไป มู่เวยเวยก็พิงเข้ากับกำแพงแล้วหอบ อาการไม่ได้ร้ายแรงนักแต่มันก็เจ็บพอสมควร
เธอเดินลงไปทีละขั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะไปให้ถึงหน้าลิฟต์ ในตอนนี้เสื้อผ้าด้านหลังของเธอก็ชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ
เธอขึ้นลิฟต์ไปชั้นห้องผ่าตัด บนเก้าอี้นั้นมีเพียงพ่อบ้านหวังที่นั่งอยู่คนเดียว เขาหลังแอ่นเล็กน้อย เมื่อมองไปไกลๆ เขาดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว
เขาใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตกับครอบครัวตระกูลเย่ ถ้าเย่ฉ่าวเฉินตาย เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะไปไหนหรือควรทำอะไรต่อ
เสียงฝีเท้าของมู่เวยเวยปลุกความทรงจำของเขาให้ตื่นขึ้น เขาเดินไปที่มู่เวยเวย ประคองแขนของเธอให้นั่งลง เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย“ คุณฉู่ ยังเช้าเกินไปสำหรับการผ่าตัด หรือไม่คุณไปแผนกศัลยกรรมกระดูกก่อน ให้หมอจัดยาให้สักหน่อย ”
“บาดเจ็บเล็กน้อยไม่เป็นไรหรอก ฉันนวดเองเดี๋ยวก็ดีขึ้น อาหวังคุณนั่งลงก่อนเถอะ”
ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดทางร่างกายที่เข้ามาแทนที่ความเจ็บปวดในหัวใจหรือว่าความไว้วางใจที่มีต่อเย่ฉ่าวเฉินอย่างอธิบายไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกของมู่เว่ยเว่ยนั้นดีขึ้นมาก
“ อาหวัง หมอพูดอะไรตอนเข้าไปหรือเปล่า?”
พ่อบ้านหวังส่ายหัว “ไม่”
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งและผ่านไปช้ามาก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก พ่อบ้านหวังรีบเดินเข้าไปถาม
แพทย์พูดอย่างใจเย็นว่า“ คุณเย่ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนที่ไหล่ แม้ว่าเขาจะได้รับการรักษาแต่ยาก็ยังคงอยู่และไม่เปลี่ยนตามเวลา บางส่วนมีอาการอักเสบ นอกจากนี้ยาที่ฉีดเข้าไปยังเข้าไปทำลายเส้นประสาท ตอนนี้หมอกำลังพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่ เรียนญาติทำใจล่วงหน้าเอาไว้”
พ่อบ้านหวังสะดุ้งในใจ“ ทำใจล่วงหน้าทำไม?”
“ผลที่ร้ายแรงที่สุดคือไอคิวของเย่ฉ่าวเฉินได้รับความเสียหายอย่างนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามักเรียกกันว่าภาวะสมองเสื่อม ถ้าไม่รุนแรงเขาจะตื่นขึ้นมาด้วยอาการโคม่าอย่างน้อยสองสามวัน”
“โรคสมองเสื่อม?” พ่อบ้านหวังทวนคำพูดด้วยความไม่เชื่อ “โรคสมองเสื่อม?”
“แน่นอนว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่”
มู่เวยเวยอึ้ง เย่ฉ่าวเฉินเป็นโรคสมองเสื่อม? จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาคือเย่ฉ่าวเฉินนะ เย่ฉ่าวเฉินที่มีพลังเหนือธรรมชาติ นี้มันเรื่องตลกชัดๆ
พ่อบ้านหวังถอยกลับไปมาที่เก้าอี้และยิ้มอย่างเยาะเย้ย”คุณพระคุณเจ้า คนอย่างคุณชายถ้าคุณทำให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น ฆ่าฉันเลยดีกว่า”
มู่เวยเวยเองก็คิดแบบนั้น แต่ก็ยังปลอบเขา“ อาหวัง คุณไม่ได้บอกว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นคนโชคดีเหรอ เขาทั้งฉลาดและมีความสามารถมากขนาดนั้น พระเจ้าไม่ปล่อยให้เขากลายเป็นคนแบบนั้นหรอก ไม่ต้องกังวล”
พ่อบ้านหวังถอนหายใจและไม่พูดอะไร
หลังกังวลขึ้นมู่เวยเวยก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ คนพวกนั้นได้แผนที่สมบัติแล้ว ทำไมพวกเขาถึงยังมารบกวนเย่ฉ่าวเฉินแถมยังฉีดยาใส่เขาอีก? ถ้าอยากให้เขาตายก็สามารถยิงเขาได้เลย ทำไมต้องทำอะไรที่มันซับซ้อนแบบนี้?
สองวนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูเหมือนจะทำได้แค่รอให้เย่ฉ่าวเฉินฟื้นขึ้นมา
พระอาทิตย์ค่อยๆตกดิน เมื่อตกดึกไฟในห้องผ่าตัดก็หรี่ลง แต่มู่เวยเวยรู้สึกขาของเธอแทบชาไปหมด
คุณหมอหานเดินออกมาอย่างหมดแรง เขาถอดหน้ากากออกและพูดว่า “การผ่าตัดถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี แต่ปริมาณเส้นประสาทของเขาที่เสียหายไปมากแค่ไหนเรายังไม่ทราบ เราต้องรอให้เขาฟื้นและสังเกตการณ์อีกที”
“แล้วคุณชายล่ะ?” พ่อบ้านหวังถาม
“ได้รับการย้ายไปยังห้องไอซียูแล้ว หากไม่มีอาการใดๆเช่นมีไข้หรือความดันโลหิต ภายในสิบสองชั่วโมงก็สามารถย้ายไปห้องผู้ป่วยทั่วไปได้”
“แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง?”
“มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ประจำอยู่ในห้องไอซียู เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อข้ามสายพันธุ์ พวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างในได้” คุณหมอหานมองไปที่มู่เวยเวยแล้วกล่าวว่า “คุณกับคุณฉู่กลับไปก่อนเถอะ ค่อยมาพรุ่งนี้เช้า ที่นี้มีผมดูอยู่ ”
พ่อบ้านหวังไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน“ คุณฉู่กลับไปเถอะ เด็กผู้หญิงอยู่ในโรงพยาบาลไม่สะดวก ส่วนผมไม่กลับไปแล้วแหละ ถึงกลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดีสู้ดูเขาอยู่ที่นี้ดีกว่า”
มู่เวยเวยอยากอยู่ด้วย แต่คืนนี้ถึงเวลาที่ต้องถอดหน้ากากเธอจึงจำเป็นต้องกลับไป
“ งั้นฉันกลับไปก่อนนะ จะได้ทายาบริเวณเท้าด้วยพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาใหม่”
หมอหานได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณเป็นอะไรไป?”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเชื่องช้า “เมื่อกี้ตอนฉันเดินลงบันไดบังเอิญข้อเท้าพลิก”
คุณหมอหานนั่งยองๆและดู“ ไม่ได้เป็นอะไรมาก กลับไปประคบเย็นสักหน่อย ในบ้านตระกูลเย่น่าจะมียาแก้ฟกช้ำอยู่ ลองถามฉินหม่าแล้วเอายาทา พักผ่อนสักคืนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว แต่สองสามวันนี้คุณต้องระวังอย่าใส่ส้นสูง เวลาเดินก็เดินช้าๆ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันจำไว้หมดแล้ว”
คุณหมอหานเห็นว่าเขาเดินไม่สะดวกนัก จึงพูดกับพ่อบ้านหวังว่า “ผมจะไปส่งคุณฉู่เรียกรถ เดี๋ยวผมกลับมา”
“อ้อ โอเค”
คุณหมอหานช่วยประคองมู่เวยเวยเข้าไปในลิฟต์และลงไปชั้นล่าง เธอถามว่า “คุณหมอหาน อาการของเย่ฉ่าวเฉินร้ายแรงไหมคะ?”
“เรื่องนี้ยังไม่สามารถตอบได้”
“ พวกคุณหมอไม่เคยพูดอะไรจริงเลย ที่ตอบไม่ได้อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่เคยตอบอะไรบางอย่างที่แน่นอนได้เลยต่างหาก”
คุณหมอหานยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “นี้ก็ไม่สามารถตำหนิเราได้ ในโลกนี้จะมีสิ่งที่แน่นอนแบบนั้นได้ยังไง อีกอย่างร่างกายของมนุษย์นั้นซับซ้อนมาก ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า แม้ว่าแพทย์จะทำการผ่าตัดนั้นสำเร็จไปได้ด้วยดีและไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ แต่การฟื้นตัวของผู้ป่วยยังคงต้องการความปรารถนาของตัวเองที่พยายามจะอยู่รอด หากผู้ป่วยไม่ต้องการมีชีวิตอยู่และไม่มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด แม้ว่าแพทย์ของเราจะเป็นฮัวโต๋ที่กลับชาติมาเกิดก็ไม่สามารถทำอะไรได้”
“โอเค เป็นเพราะฉันที่มีไม่ค่อยมีความรู้เอง”
“อันที่จริงคนไข้หลายคนก็มีความคิดเหมือนคุณ พวกเราเองก็ชินกับมันแล้ว”
ทั้งสองเดินมาจนถึงทางเข้าโรงพยาบาลและกำลังจะขึ้นแท็กซี่ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนว่า “หมอหาน คุณฉู่”
เมื่อเงยหน้าขึ้นจางเห่อเพิ่งออกจากรถด้วยความรีบร้อน “แล้วเจ้านายล่ะ?เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
คุณหมอหานพูดว่า “พึ่งผ่าตัดเสร็จตอนนี้อยู่ในห้องไอซียูมีอาหวังอยู่ด้านบนด้วย”
จางเห่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็เห็นหมอหานจับแขนของฉู่เหยียนและถามอย่างอธิบายไม่ถูกว่า “คุณฉู่เป็นอะไรไปหรอครับ?”
“ตอนลงบันไดฉันรีบไปหน่อย ข้อเท้าเลยพลิก”
จางเห่อก้มมองลงไปที่ข้อเท้าที่บวมและพูดอย่างรีบร้อน“ รถที่บ้านอยู่ตรงนั้น คุณรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ในโรงพยาบาลยังมีผมกับอาหวัง คุณฉู่ไม่ต้องกังวล”
มู่เวยเวยกล่าวขอบคุณและเดินไปที่รถอีกคันโดยมีหมอหานที่ยังประคองอยู่
จู่ๆจางเห่อก็นึกอะไรบางอย่างได้เลยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและรีบเดินตามมาพร้อมกับพูดว่า “คุณฉู่นี้โทรศัพท์มือถือของคุณ”
ดวงตาของมู่เวยเวยเปล่งประกายขึ้นมาทันทีและถามด้วยความประหลาดใจ “ของฉันเอง นายไปหามาจากที่ไหน”
“คุณชายเป็นคนหาเจอและเขากำชับให้ผมเอากลับมาให้คุณโดยเฉพาะ”
ทันใดนั้นหัวใจของมู่เวยเวยก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที “ขอบคุณนะ โทรศัพท์เครื่องนี้สำคัญมากสำหรับฉัน” เนื่องจากด้านในมีรูปถ่ายและวิดีโอของเด็กๆอยู่
จางเห่อรู้สึกทำตัวไม่ถูกที่เธอเอาแต่ขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงกล่าวคำอำลาและวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล
คฤหาสน์ตระกูลเย่
ทันทีหลังจากที่ฉินหม่าเห็นเธอกลับมาก็ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรงพยาบาล มู่เวยเวยอธิบายอย่างละเอียด จากนั้นฉินหม่าก็รู้สึกโล่งใจ
มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจต่อการมองโลกในแง่ดีของเธอ”ฉินหม่า คุณไม่กลัวผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดหรือ?”
ฉินหม่าส่ายหัวอย่างมีความสุข“คุณชาย ไม่เคยผ่ายแพ้ต่อปัญหาใหญ่ การบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยนี้เขาจะสามารถต้านทานมันได้อย่างแน่นอน พูดถึงแม้ว่าคุณชายจะสมองเสื่อมแล้วทำไม? เขายังคงเป็นคุณชายของตระกูลเย่ เมื่อถึงเวลาพวกเราและคุณชายรองก็จะดูแลเขาอย่างดี ”
หลังจากฟังคำพูดของฉินหม่า ตาของมู่เวยเวยก็สว่างขึ้นมาทันที จริงด้วยแม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนสมองเสื่อมแล้วยังไง ในเมื่อครอบครัวของเขาที่ร่ำรวยเช่นนี้ ยังไงก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาต้องทนอดอยากหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยังไงเธอก็ไม่ได้อยู่ร่วมกับเขาอยู่ดี
เมื่อคิดเช่นนี้มู่เวยเวยก็ผ่อนคลายขึ้นมาก เดินกลับไปทายาที่ห้องและชาร์จแบตโทรศัพท์
ในโรงพยาบาล
สำหรับพ่อบ้านหวังและจางเห่อ คืนนี้ถือเป็นคืนที่ยากลำบากมาก พวกเขายืนอยู่หน้าหน้าต่างกระจกบานใหญ่ของห้องไอซียู จ้องมองไปที่ชายคนนั้นที่มีสายระโยงระยางเต็มตัวอย่างไม่กระพริบตา
“อาหวังคุณไปพักผ่อนในห้องผู้ป่วยข้างๆสักหน่อยเถอะ คุณอายุมากแล้วอย่าหักโหมจนป่วย” จางเห่อมองไปที่ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆเขาและทนไม่ได้ที่จะโน้มน้าวเขา
“ ฉันอยู่บ้านตระกูลเย่มาเกือบสี่สิบปีแล้ว คอยดูคุณชายค่อยๆเติบโตขึ้น ตั้งแต่เรียน ทำธุรกิจ แต่งงาน เขาได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขากระอักกระอ่วนแบบนี้” พ่อบ้านหวังถอนหายใจเบา ๆ
“คุณวางใจเถอะ คุณชายจะต้องไม่เป็นไรเพราะเขาอยากมีชีวิตอยู่มากกว่าใคร” เขายังต้องการคุณหนูและเด็กยังมีอีกหลายเรื่องที่เขายังไม่ได้ทำ
พ่อบ้านหวังตบไหล่เขา “ฉันจะไปนอนพักสักหน่อย ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกฉัน”
“ อืม ไปเถอะ”
ในห้องไอซียูแพทย์และพยาบาลกำลังตรวจสุขภาพตามปกติ จางเห่อพูดในใจเบาๆว่าคุณชาย คุณต้องดีขึ้นมาให้ได้
คนที่จางเห่อพากลับมาล้วนถูกขังอยู่ในสนามฝึกของบ้านตระกูลเย่ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นสนามฝึกของลูกน้องเย่ฉ่าวเฉิน เป็นสถานที่ที่ไกลจากตัวเมืองอย่างมาก สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยจะเป็นเรื่องยากมากกับการหาสถานที่แห่งนี้
แท้จริงแล้วเขาต้องการหาหมอเพื่อรักษาแผลของจางเหิง แต่หลังจากได้รู้เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเย่ฉ่าวเฉิน เขาแทบอยากจะฆ่าจางเหิงทิ้ง แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เย่ฉ่าวเฉินอาจต้องการถามคำถามบางอย่างกับเขา ก็โยนยาแก้อักเสบง่ายๆและยาห้ามเลือดให้เขา เพื่อให้แน่ใจว่าในสองวันนี้เขาจะยังตายไม่ได้
ทางทิศตะวันออกสว่างขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุดค่ำคืนที่ยากลำบากก็ผ่านไปได้ เย่ฉ่าวเฉินไม่แสดงอาการฉับพลันใดๆ ความดันโลหิตการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิของร่างกายและสัญญาณชีพอื่นๆเป็นปกติมาก
ทันทีที่ครบสิบสองชั่วโมง เย่ฉ่าวเฉินก็ถูกย้ายไปที่ห้องผู้ป่วยทั่วไป
“ ยาในร่างกายเขาเจือจางไปเกือบหมดแล้ว ถ้าไม่เกิดเหตุใดๆ วันนี้เขาก็น่าจะฟื้นได้แล้ว” แพทย์ที่เข้าร่วมการรักษาพูดอย่างใจเย็น
มู่เวยเวยมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่ พ่อบ้านหวังและจางเห่อต่างก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก พวกเขาจึงผลัดกันเฝ้าเย่ฉ่าวเฉินทั้งวัน จากความตื่นเต้นในตอนเช้าไปจนถึงช่วงบ่ายที่หนักหน่วง จากนั้นพอตกดึกก็เริ่มมีความวิตกกังวล ดูเหมือนวันนี้กำลังจะผ่านไปแต่เย่ฉ่าวเฉินกลับไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย
“คุณหมอ คุณไม่ได้บอกว่าเย่ฉ่าวเฉินจะฟื้นวันนี้เหรอ?ทำไมตอนนี้เขาก็ยังไม่ฟื้น?” ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว จางเห่อก็อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายแล้ววิ่งไปถามหมอ
หมอเองก็ยังรู้สึกหดหู่มาก ข้อมูลทั้งหมดของเขาดูปกติมาก ไม่มีเหตุผลว่าเขาจะไม่ฟื้นเลย?
“เรื่องนี้ผมก็แค่อ้างอิงจากประสบการณ์ หรือไม่ก็รออีกสักหน่อย พรุ่งนี้เขาอาจจะฟื้นก็ได้”
จางเห่อพูดไม่ออก นี้มันคำพูดไร้สาระชัดๆ?
ในตอนกลางคืนมู่เวยเวยได้รับโทรศัพท์ทางไกลที่เธอตั้งตารอแต่ก็รู้สึกไม่อยากรับสาย
“ คุณฉู่ ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก แม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้างแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าพอใจอย่างมาก”
มู่เวยเวยกำโทรศัพท์แน่น เมื่อรู้ว่าแผนที่สมบัติไปถึงมือเขาแล้ว“แล้วนายจะปล่อยลูกฉันเมื่อไหร่?”
“อ้อ ไม่สิ เรื่องยังไม่จบ”
มู่เวยเวยโกรธ“คุณได้แผนที่สมบัติแล้ว ยังอยากทำอะไรอีก?”
ชายหน้ากากเงินหัวเราะและพูดอย่างเสียใจ“น่าเสียดายที่แผนที่สมบัตินี้ยังไม่สมบูรณ์ ยังมีบางส่วนถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยของเย่ฉ่าวเฉิน คุณต้องหาทางช่วยฉันเอามาให้ได้ เรื่องนี้ถึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์”
“ ยังมีบางส่วนอีกหรือ?” มู่เวยเวยประหลาดใจ เย่ฉ่าวเฉินเจ้าเล่ห์จริงๆที่แยกเก็บแผนที่สมบัติไว้
“ใช่ เพียงแค่คุณเอาแผนที่สมบัติที่เหลือมา ลูกของคุณถึงจะกลับไปหาคุณได้”
มู่เวยเวยยืนอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมกับแสงพระจันทร์ที่ไร้ขอบเขต
“ฉันหวังว่าคุณจะทำตามที่พูด”
“แน่นอน ถึงฉันจะชอบเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนนี้มากแต่เขาก็ไม่ใช่ลูกฉัน ฉันจะให้เขาอยู่กับฉันทำไมล่ะ?”
มู่เวยเวยกัดฟันและพูดว่า “ฉันจะไปเอาแผนที่สมบัติที่เหลือมาให้”
“ใช่แล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่ง” ชายหน้ากากเงินพูดช้าๆ “เย่ฉ่าวเฉินจับคนของฉันไปไม่กี่คน คนอื่นฉันไม่สนใจจะตายก็ปล่อยให้พวกมันตายไป แต่หนึ่งในนั้นชื่อจางเหิง เธอต้องไปช่วยเขาออกมาให้ได้”
มู่เวยเวยพูดไม่ออก“ ฉันแค่สัญญากับนายว่าจะไปเอาแผนที่สมบัติ ไม่ได้บอกว่าจะช่วยคนของนาย”
เสียงหัวเราะของชายหน้ากากเงินมีคำขู่แฝงอย่างชัดเจน “คุณมู่ คุณมีสิทธิ์ต่อรองหรือ?”
“นาย … ” มู่เวยเวยโกรธจนพูดไม่ออก
“เอาล่ะ ดูเหมือนเธอจะไม่มีกำลังมากพอ เธอแค่ถามที่อยู่ที่เขากักขังคนของฉันแล้วเอาไปบอกฉู่เหยียนก็พอ แบบนี้คงเป็นเรื่องง่ายๆ” ชายหน้ากากเงินเอ่ยเบา ๆ
“ ง่ายก็บ้าแล้ว นายคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นคนที่โง่มากหรือไง?” มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะสบถด่าออกมา
ชายหน้ากากเงินตกตะลึง“คุณมู่ หญิงสาวที่ด่าคนอื่นเป็นสิ่งที่หยาบคายมากนะ ครั้งหน้าก็อย่าทำอีกนะ”
“นายมันเชี้ย ไปไกลๆ!” มู่เวยเวยวางสายด้วยความโกรธที่รุนแรง
โกรธก็โกรธ แต่ก็ยังต้องทำ ใครให้เด็กอยู่ในมือของเขาล่ะ?
…
หมอบอกว่าคืนแรกเย่ฉ่าวเฉินก็สามารถฟื้นได้แล้ว แต่ทุกคนรอเขาจนถึงเที่ยงของอีกวัน เขาก็ยังคงหลับสนิท
“ในสถานการณ์ของเขา มีโอกาสอย่างมากที่เส้นประสาทสมองจะได้รับความเสียหาย ทำให้เขาหลับลึกจึงไม่สามารถฟื้นกลับมาได้” หมออธิบาย
“หมายความว่าไง?” จางเห่อถาม
หมอพูดอย่างจริงจังว่า “บางทีอาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดขึ้นก็ได้”
ทันใดนั้นบรรยากาศก็นิ่งไป จางเห่อและพ่อบ้านหวังขมวดคิ้วและในดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยที่ปรากฏขึ้นพร้อมกัน
“ ตอนนี้ทำได้แค่รอเขาฟื้นขึ้นมาเอง หรือไม่พวกคุณลองคุยกับเขาเพื่อกระตุ้นเขาสักหน่อย เขาอาจจะฟื้นก็ได้” หมอหานพูดประโยคนี้จบก็หันหลังจากไป
แม้ว่ามู่เวยเวยเอาแต่บอกตัวเองว่าอย่าสนใจว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน แต่เมื่อเธอได้ยินข่าวนี้ด้วยตัวเองก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
พ่อบ้านหวังนั่งข้างเตียงผู้ป่วยด้วยใบหน้าเศร้าและพูดว่า “คุณชาย คุณรีบฟื้นเร็วๆเถอะ บ้านตระกูลเย่ยังมีงานใหญ่รอคุณอยู่ ถ้าคุณไม่ฟื้นขึ้นมา ค่าเล่าเรียนในยุโรปของคุณชายรองก็จะไม่มี……”
คุณชายรอง ดวงตาของพ่อบ้านหวังสว่างขึ้นจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดกับจางเห่อว่า“ เราขอคุณชายรองกลับมาเถอะ พวกเขาสองพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ให้เขาอยู่กับคุณชายสักหน่อยอาจจะทำให้เขาฟื้นขึ้นมาก็ได้”
ช่วงนี้จางเห่อเองก็ไม่ทันได้คิด ตอนนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลเย่ ทำไมพวกเขาถึงพูดว่าเป็นเรื่องของลูกน้อง ไม่ใช่เรื่องของเจ้านาย
“หรือไม่ เราโทรหาคุณชายรองก่อนไหม?”
“ฉันจะไปโทรเดี๋ยวนี้” พ่อบ้านหวังรีบลุกจากเตียงผู้ป่วยอย่างเร่งรีบ
จางเห่อก้มมองลงบนเตียงผู้ป่วย เขาเป็นคนที่จางเห่อชื่นชมอย่างมากที่สุด ตั้งแต่ตอนที่เขาช่วยจางเห่อออกจากนรกขุมนั้น จางเห่อก็สาบานว่าชีวิตนี้จะขอติดตามเขาตลอดไป
“คุณชาย ขอให้ไม่มีอะไรผิดปกติกับคุณ คุณตั้งหน้าตั้งตารอคุณหนูกับลูกๆไม่ใช่หรือ? ถ้าวันหนึ่งพวกเขากลับมา แต่คุณมองไม่เห็นหรือจำพวกเขาไม่ได้ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากใช่ไหม? ยังมีเย่ฮวางที่คุณทำงานอย่างหนักเพื่อรักษามันไว้ คุณชายรองไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจ แม้ว่าคุณจะต้องการพักผ่อน คุณควรสอนงานให้เขาก่อนถึงจะถูก… “จางเห่อกระซิบกับตัวเอง
มู่เวยเวยยืนอยู่ข้างหลังเขา เมื่อฟังสิ่งที่เขาพึมพำก็ทำให้เธอรู้สึกเมื่อยบริเวณจมูกเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน พ่อบ้านหวังก็เปิดประตูเข้ามาและพูดขณะที่ยังถือโทรศัพท์มือถือของเขาในมือ “คุณฉู่ คุณชายรองบอกว่าเขามีเรื่องบางอย่างที่ต้องคุยกับคุณ”
มู่เวยเวยตกใจมาก เย่ฉ่าวเหยียนจะพูดอะไรกับเธอ?
หลังจากรับโทรศัพท์มาจากมือพ่อบ้านหวัง มู่เวยเวยก็หายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “สวัสดีค่ะ”
อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็มีเสียงผู้ชายที่คุ้นเคยและอ่อนโยนพูดขึ้นมาว่า “สวัสดีครับคุณฉู่ ผมคือเย่ฉ่าวเหยียนเอง ลุงหวังบอกผมเกี่ยวกับเรื่องพี่ชายผมแล้ว”
“ขอโทษนะ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะฉัน”
“เรื่องนี้ผมไม่โทษคุณ คุณพึ่งมาเมืองAแต่ทำไมถึงมีคนจ้องเล่นงานคุณ คุณถูกลักพาตัว คุณต้องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ชายผมแน่ๆ”
มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เย่ฉ่าวเหยียนยังคงเป็นวัยรุ่นที่ฉลาดและละเอียดรอบคอบ
“ช่วงนี้ผมกำลังทำโปรเจ็กต์กับศาสตราจารย์ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ อีกสองวันผมจะจ้องตั๋วเครื่องบินกลับไป” เย่ฉ่าวเหยียนหยุดชั่วคราวและกล่าวขอโทษ “ผมรู้ว่ามันอาจจะหยาบคายที่พูดแบบนี้ แต่เสียงของคุณฉู่คล้ายเสียงพี่สะใภ้ผมมาก ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม? ”
“เชิญพูดได้เลยค่ะ”
“ พี่ชายผมกับพี่สะใภ้มีเรื่องที่เข้าใจผิดกันเยอะมาก พี่ชายผมเอาแต่รู้สึกเสียใจมาตลอด ถ้าคุณฉู่มีเวลาช่วงสองวันนี้รบกวนคุณอยู่กับเขาให้มากๆและคอยพูดคุยกับเขาได้หรือไม่?
“ได้เลยค่ะ” มู่เวยเวยตอบรับเขา อันที่จริงแม้ว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะไม่ขอ เธอเองก็จะทำเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ฟื้นขึ้นมา เขาจะได้รับแผนที่สมบัติที่เหลือได้อย่างไร?
“ขอบคุณมาก” เย่ฉ่าวเหยียนหยุดชั่วขณะ “คุณฉู่ ลาก่อน”
“ลาก่อน” มู่เวยเวยไม่รู้ว่าในช่วงไม่กี่วินาทีที่เขาหยุดพูดเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอเดาว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับตัวเธอเอง หรือเป็นเพราะเสียงของเธอหรือเปล่าที่ทำให้เขาคิด?
ในความเป็นจริง บางครั้งเธอก็จะนึกถึงผู้ชายคนนี้เพราะตอนเธออยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดเขาเป็นคนที่ยื่นมือช่วยเหลือเธอ ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและมอบความไว้วางใจให้กับเธอ เพียงแต่เธอไม่สามารถรักเขาได้
“อาหวัง คุณกับจางเห่ออยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะวันนี้ฉันอยู่ที่นี้เป็นเพื่อนเขาเอง”
จางเห่อกำลังจะพูด แต่ถูกพ่อบ้านหวังขัดไว้ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนคุณฉู่แล้ว พวกผมจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าค่อยมาเปลี่ยนคุณตอนกลางคืน”
“อืม”
พ่อบ้านหวังดึงจางเห่อออกจากห้องผู้ป่วย
“อาหวัง คุณฉู่อยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร?ผมจะเฝ้าคุณชาย ” จางเห่อพูดด้วยความงุนงง
พ่อบ้านหวังยกมือขึ้นและตบหลังศีรษะ“ ทำไมหัวของนายถึงเข้าใจอะไรยากนัก?คุณฉู่คือใคร?เธอเป็นคนที่คุณชายพยายามปกป้องอย่างเต็มที่และบทบาทของเธอตอนนี้ยิ่งใหญ่กว่านายอีก”