วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 207 ข่าวฉาวของเย่ฉ่าวเฉิน

“ทำไมผมต้องไว้หน้าคุณด้วย?” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยท่าทีไม่สุภาพ เขาอยากรีบเอาปิ่นหยกนี้กลับไปให้มู่เวยเวยดู ผู้หญิงคนนี้หลีกทางเสียทีได้ไหม

“ประธานเย่คะ นี่คือคำพูดที่ใช้กับผู้หญิงหรือ? หยาบคายเกินไปหรือเปล่า?” คุณซูโกรธมากกับการกระทำของเขา ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่มีผลประโยชน์กับเธอ แต่ในวงการนี้เธอก็มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย และไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหน ก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่นี่อะไรเขาใช้สายตาเย็นชาแบบนั้นมองเธอได้อย่างไร เธอคิดว่าที่เขาเลือกเธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพราะเขาจะน่าชอบเธอไม่น้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือใคร เย็นชาเกินไปแล้ว

เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากทะเลาะกับเธอต่อ จึงพูดกับเธอว่า “ผมก็เป็นของผมแบบนี้” จากนั้นก็เดินขึ้นรถไป

สาวสวยซู ยืนโกรธอยู่ตรงนั้น เธอไม่รู้เลยว่าเรื่องเมื่อสักครู่นี้มีคนแอบถ่ายไว้

เมื่อกลับถึงบ้านตระกูลเย่ เย่ฉ่าวเฉินเดินถือปิ่นหยกตรงดิ่งไปที่ห้องของมู่เวยเวย

มู่เวยเวยสวมชุดนอน พลางนั่งจัดระเบียบตู้เสื้อผ้าอยู่ ผมที่เพิ่งสระ ถูกปล่อยยาวสลวยลงบนไหล่ เธอได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง จึงถามว่า “ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจังคะ?”

เธอพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็ยื่นกล่องเครื่องประดับโบราณให้เธอ

มู่เวยเวยตกใจเล็กน้อย พร้อมถามว่า “นี่คืออะไรคะ?”

“ลองเปิดดูซิ”

มู่เวยเวยรับมันมา และค่อยๆเปิดดู เห็นว่าข้างในมีปิ่นหยกโบราณอยู่ เธอตะลึงในความสวยของมันและเอ่ยปากว่า “ว้าวสวยมากเลยค่ะ”

เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเธอต้องชอบแน่ๆ เพราะถ้าดูจากการออกแบบสไตล์เสื้อผ้าของเธอ ก็ต้องรู้ว่าเธอสนใจของโบราณและคลาสสิกมาก

“มาผมทำให้” เย่ฉ่าวเฉินดันเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นค่อยๆมวยผมให้เธอทีละช่อทีละช่อ แล้วค่อยๆบรรจงปักปิ่นลงไป

มู่เวยเวยมองืางซ้ายทางขวา ชื่นชมความงามของผมเธอ ดูๆแล้ว เหมือนนางในละครทีวีโบราณเลย

“คุณทำเป็นด้วยหรือ?” มู่เวยเวยถามด้วยความสงสัย เย่ฉ่าวเฉินดูแมนมาก ทำไมเขาถึงทำเรื่องพวกนี้เป็นด้วย?

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างพออกพอใจ “ตอนผมนั่งรถกลับมา ลองหาวิธีทำดูทางเน็ต เหมือนกับว่าไม่เลวเลย”

“ใช่ ดูไม่เลวเลย” มู่เวยเวยตอบกลับรับทราบ ดูในอินเตอร์เน็ตแล้วก็ทำตามได้เลยงั้นหรือ? เป็นเธอเธอคงทำไม่ได้แน่ๆ

เย่ฉ่าวเฉินวางคางลงบนไหล่เธอ จากนั้นมองตาเธอผ่านทางกระจกว่า “ผมให้คุณ คุณชอบไหม?”

“ฉันชอบมันมากค่ะ แต่ว่าจะให้ฉันใส่ของมูลค่าเป็นแสนๆนี่ทุกวัน คงจะไม่ได้” ถ้าเป็นแบบนั้น เธอคงจะกดดันมาก

“ทำไมคุณรู้ว่ามันราคาเป็นแสน?”

มู่เวยเวยหยิบปิ่นที่ปักผมอยู่ออกมาวิเคราะห์เล็กน้อยและพูดว่า ” นี่คือหยกขาวน้ำดีที่ผลิตในซินเจียง คุณดูลายสลักของเขา บริเวณขอบของมันถูกขัดให้เรียบเงา ดูก็รู้เลยว่าเป็นงานฝีมือที่ประณีตมาก นี่น่าจะเป็นของโบราณมาก ถึงงานชิ้นนี้จะไม่ได้ขาย แต่ก็สามารถประเมินราคาได้ว่า น่าจะหลายแสน และถ้าเอาไปประมูล พวกเขาก็คงโก่งราคาขึ้นอีก เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะพวกคุณ แลดูแล้วน่าจะเป็นล้านเลย”

เย่ฉ่าวเฉินอึ้งเล็กน้อยกับสิ่งที่เธอวิเคราะห์ “ไม่คิดเลยว่าคุณจะรู้ลึกขนาดนี้”

“แน่นอนอยู่แล้ว ตอนฉันเด็กๆ…..” มู่เวยเวยรีบหุบปาก เกือบเผลอพูดไปแล้ว

เย่ฉ่าวเฉินมองเธอและขำ “ตอนเด็กทำไมหรือ?”

มู่เวยเวยมองปิ่นในมือและพูดโกหกปนความจริงว่า “ตอนเด็ก พวกผู้ใหญ่ในบ้านฉัน ชอบเล่นพวกเครื่องหยกน่ะ” ผู้ใหญ่ที่มู่เวยเวยหมายถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือปู่ของเธอเอง คุณปู่ชอบหยกมากท่านเก็บหยกราคาแพงน้ำดีไว้เยอะมาก และถ้าวันไหนว่างๆ ท่านก็จะพามู่เวยเวยเข้าไปดูพร้อมกับบอกเคล็ดลับและความรู้ต่างๆเกี่ยวกับหยกให้เธอ

เย่ฉ่าวเฉินตอบรับ “อ่อ” จากนั้นโน้มตัวลงจุ๊บที่ไหล่ของเธอ พร้อมกับพูดว่า “ถ้าคุณชอบคุณก็ใส่ ถ้าคุณไม่ชอบคุณก็ทิ้งได้เลย เพราะผมคือเย่ฉ่าวเฉิน ผมเลี้ยงผู้หญิงของผมได้อยู่แล้ว”

“ของดีแบบนี้ต้องเก็บรักษาให้ดีซิ โชคชะตาฟ้าลิขิต ให้ฉันได้เจอมันแล้ว ถ้าทิ้งไปคงเสียดายแย่”

โชคชะตาฟ้าลิขิตของมู่เวยเวย หมายถึงชะตาของเธอกับหยกเท่านั้น แต่เย่ฉ่าวเฉิน กลับเข้าใจไปว่าเธอกำลังพูดเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิตของเธอกับเขา เขาดีใจและตอบกลับว่า “เมื่อวานนี้คุณปิดประตูให้ผมนอนข้างนอก แล้ววันนี้ผมยังนอนข้างนอกอยู่ไหม?”

มู่เวยเวยมองตาขวาง จากนั้นตอบกลับว่า “ฉันปิดอยู่หรือ?”

“ไม่อยู่ครับ” เย่ฉ่าวเฉินพูดและโยนเธอขึ้นบนเตียง

“คุณไปอาบน้ำก่อน บนตัวคุณมีแต่กลิ่นน้ำหอมอะไรก็ไม่รู้” มู่เวยเวยกล่าวขณะดมตามตัวของเขา

เย่ฉ่าวเฉินลองดมดู ก็ได้กลิ่นน้ำหอม เขาลุกขึ้นและค่อยๆถอดชุดของเขาออก จากนั้นพูดว่า “วันนี้ตอนผมขึ้นอภิปราย มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะล้ม ผมเลยช่วยประคองเธอ กลิ่นคงติดมาตอนนั้นแน่ๆ”

มู่เวยเวยตอบกลับด้วยท่าทีทะเล้นว่า “สาวสวยล่ะซิ”

เย่ฉ่าวเฉินยักคิ้วเล็กน้อย ตอบกลับว่า “จริงๆ คุณน่าจะรู้จักกับเธอ”

“ฉันหรือ? ฉันมาที่นี่ไม่รู้จักผู้หญิงคนไหนสักคน” มู่เวยเวยตอบกลับ

เย่ฉ่าวเฉินถอดเสื้อเชิ้ตออก จากนั้นก็เริ่มถอดเข็มขัดออก ความเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้ทำให้มู่เวยเวยรู้สึก ผิดปกติ

“คุณจำครั้งก่อนที่ผมหาพรีเซนเตอร์คนใหม่ได้ไหม ก็คือเธอแหละ”

“อ๋อ~ ดาราหญิงชื่อดังคนนั้นนี่เอง” หลังจากเธอพูดจบก็สังเกตเห็นว่าเย่ฉ่าวเฉินสวมแค่กางเกงชั้นในตัวเดียว เธอรีบมุดหัวเข้าไปในผ้าห่มและพูดกับเขาว่า “คนลามก ทำไมคุณมาแก้ผ้าตรงนี้ไปห้องน้ำนู่น”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างชั่วร้ายและพูดว่า “เห็นไม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ยังอายอยู่อีก”

มู่เวยเวยรีบขว้างหมอนไปแล้วพูดว่า “คุณรีบเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย”

เย่ฉ่าวเฉินรับหมอนและ และเอามันกลับไปวางไว้บนเตียง “โอเคๆ ผมไปแล้ว”

รุ่งเช้าพวกเขาตื่นขึ้นมา โดยไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าจะเจอเรื่องอะไรบ้าง

ขณะที่ทั้งสองกำลังกินอาหารเช้าอยู่นั้น จางเห่อก็เดินถือหนังสือพิมพ์ และพูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “คุณชายครับ มีข่าวเกี่ยวกับคุณครับ”

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินดังนั้น เกือบพ่นนมที่อยู่ในปาก พร้อมถามกลับด้วยความงงว่า “คุณพูดอะไรนะ?”

จางเห่อยื่นหนังสือพิมพ์ให้เขา “นี่ครับคุณชาย เพิ่งลงเมื่อวันนี้ตอนเช้า พาดหัวข่าวบันเทิงครับ”

มู่เวยเวยตกใจคิดว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับตัวเอง รีบเข้าไปดู เห็นพาดหัวข่าวว่า “ที่มาของความดังเปรี้ยงปร้างของซูเฉินเซวี่ย ที่แท้คือเย่ฉ่าวเฉิน

รูปในข่าวคือรูปคืนวานตอนเขาประคองเธอไว้ อีกรูปเป็นรูปที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ โดยที่ซูเฉินเซวี่ยมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน แต่สายตาของเย่ฉ่าวเฉินไม่มีอะไร ช่างภาพถ่ายภาพได้อย่างรู้มุมกล้องทำให้รูปที่ออกมาดูเหมือนเขาทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก

เย่ฉ่าวเฉินอ่านคร่าวๆ ในเนื้อข่าวยังกล่าวอีกว่า ที่ซูเฉินเซวี่ยได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของเย่ฮวาง เพราะว่าเธอคือผู้หญิงของเขา”

ผู้หญิงของฉัน? เย่ฉ่าวเฉินยิ้มออกมาอย่างเย็นชา เขาจะชายตาแลเธอ?

เย่ฉ่าวเฉินหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นมาอ่านอีกซึ่งเนื้อข่าวเขียนคล้ายๆกัน เขากล่าว “ฉันแค่เข้าไปประคองเธอตอนเธอจะล้ม ประชุมเสร็จออกมาได้พูดคุยกับเธอไม่กี่ประโยค ฉันก็กลายไปเป็นแบ็คเธอแล้วหรือ? คนพวกนี้สมองกลวงจริงๆ คิดจะเขียนอะไรก็เขียน”

“ไม่เพียงแค่ในหนังสือพิมพ์นะครับ ในเว็บไซต์ทางอินเตอร์เน็ตต่างก็เขียนข่าวนี้กันทั้งนั้นเลยครับ” จางเห่อพูดต่อ

มู่เวยเวยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกลับกันเธอรู้สึกเหมือนเรื่องนี้น่าขำ พร้อมกับพูดว่า “มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอต้องการใช้คุณเป็นเครื่องมือเพื่อให้เธอเป็นที่รู้จัก”

เย่ฉ่าวเฉินเงยมองมู่เวยเวย “คุณไม่เชื่อมันใช่ไหม?”

มู่เวยเวยมองเขาแล้วขำ “เย่ฉ่าวเฉิน ฉันก็ยังพอมีสมองอยู่บ้างนะ ช่วงนี้คุณก็อยู่แต่กับฉัน และอีกอย่างนะ ถึงเธอจะหน้าตาดี แต่ถ้าเทียบกับฉันล่ะก็ เธอสู้ไม่ได้หรอก” มู่เวยเวยทำหน้ามั่นใจ

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินดังนั้น ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นดึงมือเธอมาจับเบาๆด้วยความโล่งอก ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะเชื่อข่าว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเธอไม่เชื่อสักนิด ถ้าอย่างนั้นเขาก็ขี้เกียจจะสนใจข่าวนี้เหมือนกัน เขาโยนหนังสือพิมพ์ทิ้งกินข้าวต่อ

“คุณชายครับ คุณชายไม่สนใจสักหน่อยหรือครับ?”

“จะสนใจข่าวพวกนี้ไปทำไม ไม่มีผลกระทบอะไรกับฉัน”

จางเห่อรู้สึกเป็นกังวล และพูดต่อว่า “คุณชายครับ ลองดูในอินเตอร์เน็ตหน่อยไหมครับ มันค่อนข้าง…..”

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้สนใจ แต่กลับกัน มู่เวยเวยรู้สึกอยากรู้อยากเห็นจึงไปเปิดเว็บไซต์ข่าวดูพบว่า มีแต่ข่าวของเย่ฉ่าวเฉิน

แต่ที่ต่างกันคือ ในเน็ตได้ขุดคุ้ยเรื่องเขา

มู่เวยเวยรีบเปิดดูหน้าต่อไป เห็นเนื้อหาในข่าวก็พูดถึงเธอ

เย่ฉ่าวเฉินเห็นหน้าตาแปลกๆของเธอ ก็ถามว่า “ในอินเตอร์เน็ตเขาพูดอะไรมั่วๆกันอีก?”

มู่เวยเวยกระแอมเล็กน้อย “เดี๋ยวฉันอ่านให้ฟัง ตามแหล่งข้อมูล กล่าวว่าเย่ฉ่าวเฉินหนุ่มนักธุรกิจผู้ร่ำรวยและหล่อเหลา ภายนอกเขาเหมือนผู้ที่จงรักภักดีต่อคนรัก แต่หลังจากที่ภรรยาของเย่ฉ่าวเฉินได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศและหายตัวไป ตัวตนของเย่ฉ่าวเฉินก็เปิดเผยออกมาและไม่ได้ดีอย่างที่ทุกคนคิด กลับกันเขามีเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงมาตลอด และซูเฉินเซวี่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น….”

มู่เวยเวยยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกขำ จนไม่สามารถอ่านประโยคสสุดท้ายได้ เธอวางโทรศัพท์และหันไปพูดยียวนกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “ประธานเย่คะ คุณมีผู้หญิงมากรายล้อมหรือ? ไหนเรียกออกมาให้ฉันดูสักคนได้ไหมคะ?”

เย่ฉ่าวเฉินขำไปกับเธอ พร้อมกับตอบว่า “ฉันไม่ใช่คนกินไม่เลือกนะ……” เขายังไม่ทันพูดจบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายคือเลาขาหลิว

“สวัสดีค่ะประธานเย่ รบกวนเวลาอาหารเช้าสักครู่ค่ะ”

“มีเรื่องอะไรหรือครับ?” เขาถามพลางเอามือของเวยเวยมาจับเล่น

“เกี่ยวข้องกับข่าวในอินเตอร์เน็ตค่ะ คุณเห็นแล้วใช่ไหมคะ?”

“เห็นแล้วครับ”

คืออย่างนี้ค่ะ เมื่อสักครู่คุณซูเฉินเซวี่ยโทรหาฉัน บอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเธออย่างแน่นอน และเธอก็ไม่ทราบว่าเป็นผีมือของใคร หวังว่าคุณจะไม่เข้าใจเธอผิดค่ะ”

“โอเคครับ” เย่ฉ่าวเฉินวางสาย ท่าทีเปลี่ยนไปเคร่งขรึม

“มีอะไรอีกหรือคะ?” มู่เวยเวยถาม

“ซูเฉินเซวี่ยโทรหาเลขาหลิว บอกว่าเรื่องนี้เธอไม่รู้เรื่อง” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบง่าย

มู่เวยเวยงงไปชั่วขณะ “ไม่ใช่เธอ? แล้วเป็นใคร? ตอนนี้มีใครต้องการทำเรื่องแบบนี้?”

เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆ วิเคราะห์ “ซูเฉินเซวี่ยเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเย่ฮวางกรุ๊ป ถ้าเธออยากใช้ฉันเป็นเครื่องมือ เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันกำจัดเธอทิ้ง แล้วถ้าไม่ใช่เธอ…….” พูดจบ เขาใช้ความคิดครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มออกมาอย่างเย็นยะเยือก “ฉันพอจะรู้แล้วว่าใครเป็นคนทำ”

“ใครคะ?”

“หนานกงเฮ่า”

“ทำไมเป็นเขาอีก?” มู่เวยเวยตกใจ

“เมื่อวาน ตอนเขาประมูลสร้อยมุกเส้นหนึ่งเกือบจะได้ประมูลได้ในราคา 3-4 ล้าน แต่ผมประมูลสู้ จนเขาซื้อไปในราคา10ล้าน”

มู่เวยเวยขำกับการกระทำของเขา “คุณนี่ร้ายกาจนักนะ ไม่กลัวเขาหยุดประมูลหรือ ถ้าเป็นแบบนั้นคุณก็ต้องเอาสร้อยเส้นนั้นนะ”

เย่ฉ่าวหยิบกระดาษให้เธอเช็ดปาก และพูดต่อว่า “คุณไม่รู้อะไร แม่ของหนานกงเฮ่าคลั่งไคล้ไข่มุกมาก ตอนนี้เขากำลังถูกที่บ้านกดดันเรื่องแต่งงานอยู่ ถ้าเขาไม่อยากแต่งเขาก็ต้องพยายามเอาใจแม่ของเขา และสร้อยมุกเส้นนั้นก็เหมาะสมมากๆ ที่จะเอาไปเป็นของขวัญให้แม่เขา อีกอย่างนะ ถ้าสุดท้ายแล้วเขาจะไม่ประมูลต่อ ผมก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร เพราะคุณใส่สร้อยมุกก็สวยดี”

มู่เวยเวยรีบตอบกลับ “อย่าๆแม้แต่จะคิดเลยนะ เครื่องประดับไข่มุกพวกนั้นรอฉันอายุ 35 ไปก่อนค่อยว่ากัน แล้วตอนนี้คุณรู้ว่าเป็นฝีมือหนานกงเฮ่าแล้ว คุณคิดจะจัดการอย่างไรต่อคะ?”

“ไม่ทำยังไง ก็แค่ข่าวลือ ทำอะไรผมไม่ได้” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยสีหน้าเรียบง่าย แต่ก่อนเขาเคยโดนเฉียวซินโยวปล่อยข่าวเสียหายแบบนี้และทำให้ยอดขายเครื่องประดับของบริษัทตกต่ำมาก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เพราะถึงแม้เขาจะยุบธุรกิจเครื่องประดับทิ้งซะ ก็ไม่ได้ทำให้เขาสิ้นไร้ไม้ตอก

จางเห่อเห็นท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของเย่ฉ่าวเฉิน คิดว่าเขาจะเดือนแทนเขาทำไม จึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ

ณ แผนกออกแบบ บริษัทเย่ฮวาง

เสียวลี่กับลีน่า กำลังเม้ามอยข่าวที่เกิดขึ้นวันนี้ เมื่อเห็นมู่เวยเวยเดินเข้ามา ก็รีบหุบปาก ทั้งสองไม่กล้าเปิดเผยกับฉู่เหยียนมากเกินไป เพราะพวกเขาไม่รู้จักฉู่เหยียนมากพอ

มู่เวยเวยรู้สึกทำตัวไม่ถูก จึงถามออกไปว่า “พวกคุณกำลังคุยอะไรอยู่หรือ? ดูสนุกเชียว”

เสียวลี่ปากไว ตอบว่า “กำลังคุยเรื่องข่าวของประธานเย่กับซูเฉินเซวี่ยครับ ดูปลอมมาก”

มู่เวยเวยประหลาดใจเล็กน้อย ถามกลับส่า “ทำไมพวกคคุณรู้ว่าเป็นข่าวปลอมล่ะคะ ในข่าวรูปขนาดนั้น”

ทั้งสองมองฉู่เหยียน คิดไม่ถึงว่าเธอน่าจะเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องาวบ้านเหมือนกัน รู้อย่างนั้นก็ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายไปเยอะเลย

ลีน่า ตอบว่า “รูปถ่ายแค่ไม่กี่รูปเอง ก็แค่พวกเขายืนคุยกัน แค่ประธานเย่ประคองเธอเฉยๆ พวกที่บอกว่าประธานเย่กำลังเลี้ยงเธอก็ต้องมีรูปอย่างว่าซิ ไม่ก็มีรูปจูบรูปหอมอะไรพวกนี้ซิ แล้วดูรูปพวกนี้ซิ มันบอกอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”

เสียวลี่รีบพูดต่อ “ใช่ ในเน็ตยังเม้าอีกนะว่า ที่ซูเฉินเซวี่ยได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของบริษัท เพราะเธอมีซัมติงกับประธานเย่ แต่ฉันได้ยินมานะว่า เมื่อวันก่อนตอนที่มีประชุมชั้นผู้ใหญ่ของบริษัท ประธานเย่เอาแต่โทรศัพท์…..”

เสียวลี่รีบหุบปากไม่กล้าพูดต่อ และหันไปมองทางมู่เวยเวย

มู่เวยเวยพูดต่อแบบไม่รู้สึกอะไร “ประธานเย่โทรหาฉัน ฉันเป็นคนเลือกเอง เพราะตอนที่อยู่ฮ่องกงฉันเคยได้ยินชื่อเสียงเธออยู่บ้าง เหมือนตอนนั้นเธอจะมีหนังฉายที่ฮ่องกง”

เสียวลี่เห็นเะอไม่ได้โทษตัวเอง ก็โล่งใจ พูดต่อว่า ” ใช่ๆ เพระงั้นข่าวพวกนี้เชื่อไม่ได้ ต้องเป็นซูเฉินเซวี่ยแน่ๆที่อยากดัง เลยใช้ประธานมาเป็นเครื่องมือ แต่ก่อนฉันชอบเธฮมากเลยนะ แต่ตอนนี้เธออยู่ในรายชื่อคนที่ฉันแบล็คลิสต์แล้วล่ะ”

มู่เวยเวยฟังจบ แต่ไม่ได้บอกอะไรกับพวกเขา

ไม่นาน เหอเหม่ยหลิงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปทำงานของตัวเอง มีแต่มู่เวยเวยที่เอ่ยอรุณสวัสดิ์ทักทายเธอ

เหอเหม่ยหลิงตอบกลับเะอและเดินเข้าห้องทำงานไป

ในที่สุดวันยุ่งเหยิงก็จบไป ในสายตาของมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินมองว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไร แต่วันที่สองข่าวกลับฉาวโฉ่ออกมาหนักกว่าเดิม

พาดหัวข่าวว่า ประธานเย่ฉ่าวสุดอื้อฉาว แอบย่องหากรรมการสาวสวยของ mk กรุ๊ป

ครั้งนี้มีรูปถ่ายหลายใบ ในภาพเห็นว่าทั้งสองแอบย่องไปกินข้าวสองต่อสอง อีกทั้งตอนที่ทั้งสองเดินเล่นอยู่ริมถนนนั้นแขนของเย่ฉ่าวเฉินก็ได้โอบอยู่บนไหล่ของเธอ

ในข่าวไม่ได้พูดถึงฉู่เหยียนมาก พูดเพียงแค่เธอคือลูกของเจ้าของบริษัทนายทุนใหญ่ในฮ่องกง ตอนนี้กำลังร่วมมือทำโปรเจ็คกับเย่ฮวางกรุ๊ป

ครั้งนี้เย่ฉ่าวเฉินจริงจังมากกว่าเดิม พูดว่า เขายังไงก็ได้ จะด่าจะว่าเขาอย่างไรเขาไม่สน แต่อย่ามาทำร้ายคนในครอบครัวเขา นี่คือขีดจำกัดของเขา

“หนานกงเฮ่าอยากเล่นสนุกกับฉันหรือ? งั้นก็ลองทำให้เรื่องนี้สนุกกว่าเดิมดีไหม เหอจ่าง คุณไปหานักข่าวซุบซิบบันเทิงนะ ให้ข่าวว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลหนานกงยังไม่แต่งงาน และสาเหตุที่เขายังไม่แต่งเพราะว่า เพราะว่าเขาเป็นไบเซ็กชวล ผู้หญิงที่เคยคบกับเขาก็มีไม่น้อย ถ้าผู้ชาย คุณก็เอารูปที่เขาเคยกินเหล้าสังสรรค์กับผู้ชายมาสักรูป”

มู่เวยเวยอึ้งกิ่มกี่ แบบนี้ก็ได้หรือ?

“คนอื่นจะเชื่อหรือ?”

เย่ฉ่าวเฉินตอบ “บางคนไม่ได้สนใจหรอกว่าข้อเท็จจริงของมันเป็นอย่างไร ขอแค่ได้ซุบซิบสนุกปากก็พอ แต่ก็ถึงยังไงนะ มันก็จะมีครึ่งนึงแหละที่เชื่อ”

มู่เวยเวยยิ้มและตอบกลับ “หนานกงเฮ่าต้องเกลียดคุณมากแน่ๆ”

เย่ฉ่าวเฉินกล่าวด้วยสายตาเยือกเย็น “เรื่องระหว่างผมกับเขา มันบาดหมางกันมานานแล้ว ไปได้แล้ว” เขาหันไปพูดกับจางเห่อ

“ครับ” จางเห่อได้รับคำสั่ง ก็รีบวิ่งออกไป

เย่ฉ่าวเฉินกลัวว่าเธอจะกังวล จึงกุมมือเธอปลอบเธอว่า “ไม่ต้องกลัวนะ มันจะไม่มีอะไร”

“ฉันไม่ได้กลัวหรือกังวลอะไรค่ะ มันก็แค่ข่าวลือไม่ใช่หรือ มันไม่มีมีอะไรเลย” มู่เวยเวยรู้สึกเฉยๆกับเรื่องนี้ เวลามีคนด่าว่า เธอก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะอย่างไรซะ คนที่โดนว่าคือฉู่เหยียน ไม่ใช่มู่เวยเวย

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกประหลาดใจมาก รู้สึกว่าเธอไม่เหมือนเมื่อก่อน เธอเข็มแข็งขึ้นมาก

เมื่อถึงบริษัท มู่เวยเวยยิ้มให้ทุกคนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทุกคนสังเกตเห็นสายตาเธอมีบางอย่างไม่ปกติ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะเธออยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีใครกล้ายุ่ง

10โมงกว่า มู่เวยเวยเตรียมจะดันประตูห้องน้ำออกมา บังเอิญได้ยินเสียงคุยกันของพวกผู้หญิงข้างนอกว่า

“นี่ พวกเธอว่าฉู่เหยียนมีซัมติงกับประธานเย่ไหม?” หญิงคนหนึ่งยกประเด็น

“ฉันไม่มั่นใจอะ แต่ฉันว่าไม่น่าจะจริง เมื่อวานลือว่าประธานมีอะไรกับซูเฉินเซวี่ย วันนี้บอกว่ามีซัมติงกับฉู่เหยียนอีก ดูก็รู้แล้วว่าต้องการจะใส่ร้ายประธานเย่” ฟังดูก็รู้ว่านี่คือเสียวลี่

“ที่เธอพูดก็ถูก ประธานเย่ปฏิบัติกับผู้หญิงค่อนข้างเย็นชา เรื่องนี้ทุกคนในบริษัทก็รู้ดี” นี่เหมือนจะเป็นลีน่าพูด

“อย่างไรซะ ฉันก็ยืนอยู่ฝั่งท่านประธาน” เสียวลี่กล่าว

ลีน่าขำเล็กน้อยและพูดต่อว่า “ฮ่าๆ เธอเป็นพนักงานผู้จงรักภักดีของประธานจริงๆเลยนะ ฉันก็คิดเหมือนกัน ฉู่เหยียน หน้าตาก็ดี ฐานะทางบ้านก็ดี ถูกปลุกฝังมาอย่างดี ช่วงที่เธออยู่บริษัท ฉันก็ไม่เห็นว่าเธอจะวางมาดหรือวางฟอร์ม ผู้ชายที่จะจีบเธอคงต่อคิวยาวเป็นห่างว่าว เธอคงไม่ลดตัวมาเป็นเมียน้อยหรอก”

“ก็ว่าอย่างนั้นแหละ”

สิ้นเสียงพวกเธอเดินออกไป มู่เวยเวยก็ค่อยๆเดินออกมา พลางล้างมือพลางคิดในใจว่า ขอโทษนะที่ทำให้พวกเธอผิดหวัง แต่ฉู่เหยียนเป็นเมียน้อยจริงๆ

เวลา 4 โมงเย็น ข่าวฉาวของหนานกงเฮ่าก็ระเบิดออกมา พาดหัวข่าวว่า เพลล์บอยชื่อดังของเมืองเอ หนานกงเฮ่า เป็นพวกมีรสนิยมทางเพศแบบไบเซ็กชวล ได้ทั้งชายและหญิง รูปภาพที่แนบมาทำเอาทุกคนอึ้งไปเลย

ออฟฟิศแผนกออกแบบแตกตื่น

พวกเขาค่อนข้างจะสนิทกับหนานกงเฮ่า เพราะเขาเป็นเพื่อนกับเย่ฉ่าวเฉิน แต่ก่อนเขามาที่บริษัทบ่อยๆ เวลามองเห็นพนักงานสวยๆก็ชอบเข้าไปหยอกล้อ แต่หลังจากที่ได้ยินว่ามีเรื่องกับประธานเย่ เขาก็ไม่ค่อยได้มาอีกเลย

ถึงตอนนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องของเย่ฉ่าวเฉิน ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นของหนานกงเฮ่าหมด

“ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะเป็นคนประเภทนี้ อย่างว่าแหละเขารวย”

“มองไม่ออกเลยว่ารสนิยมเขาเป็นแบบนี้”

บ้านตระกูลหนานกง

“เพล้ง!” ขวดแก้วขวดสวยแตกกระจายอยู่ที่พื้น แต่นั่นไม่เพียงพอสำหรับระบายความโกรธของเขา เขาตวาดลั่น “ไอ้ระยำนั่นมันอยู่ไหน? ทำไมยังไม่กลับมา?”

พ่อบ้านเก้ๆกังๆ ไม่กล้าพูดโกหก “คนของเขาบอกว่า เหมือนเขาจะไปที่บาร์ครับ”

“เพล้ง!” แก้วอีกใบถูกซัดลงบนพื้น “ฉันคิดไว้ไม่ผิด รีบเรียกคนไปลากตัวมันกลับมา วันนี้ฉันจะฆ่ามัน มันจะได้ไม่มีโอกาสทำให้ชาติตระกูลขายหน้าอีก!”

เฉินซูฮว่าพูดกับเขาน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณใจเย็นๆก่อน เดี๋ยวความดันขึ้นค่ะ”

“เป็นเพราะเธอคนเดียว” คุณหนางกงโบ้ยความผิดให้ภรรยา “เป็นเพราะเธอคนเดียวที่ปกป้องมันตลอด ถ้าครั้งก่อนเธอไม่ขวางไว้ ฉันก็ได้ฆ่ามันแล้ว มันก็จะไม่มีหน้ามาทำให้วงศ์ตระกูลอับอาย!”

หนานกงพูดถึงครั้งที่แล้ว หมายถึงช่วงที่หนานกงเฮ่าทำมู่เวยเวยหลุดมือ

เฉินซูฮว่าไม่กล้าพูดต่อ

ขณะนั้น หนานกงเฮ่าก็ถึงบ้าน ทันทีที่เข้ามาเห็นบรรยากาศภายในห้อง เขาก็หันหลังเตรียมจะวิ่งหนี หนานกงรีบตะโกนเสียงดังว่า “จับมันมาให้ฉัน!”

บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินดังนั้น รีบจับหนานกงเฮ่าแน่น

หนานกงเฮ่ารู้ว่าเขาหนีไม่รอดแน่ จึงพูดกับบอดี้การ์ดทั้งสองว่า “ปล่อย เดี๋ยวฉันเดินเข้าไปเอง”

แต่บอดี้การ์ดทั้งสองฟังเพียงคำสั่งของหนานกงเท่านั้น จับเขาไปปล่อยต่อหน้าหนานกง

หนานกงเห็นหน้าเขาแล้วโกรธจ้ด มือคว้าม้านั่งที่อยู่ข้างๆเขวี้ยงไปทางเข้า หนานกงเฮ่าไม่กล้าหลบจึงโดนขาเก้าอี้กระแทกเข้าอย่างจัง เขาเจ็บจนต้องกัดฟัน

เขารู้จักนิสัยของพ่อเขาดี ยิ่งเขาหลบ พ่อเขายิ่งโกรธ

“คุกเข่า!” หนานกงตวาดลั่น

หนานกงเฮ่ารีบคุกเข่าลง โชคยังดีที่ตรงนั้นไม่มีเศษแก้วอยู่

“ฉันให้โอกาสแกพูด เรื่องในเน็ตมันเรื่องจริงไหม!!?”

หนานกงเฮ่าเงยหน้าขึ้นและรีบตอบว่า “ไม่จริงแน่นอน ผมชอบผู้หญิงครับ”

หนานกงเป็นคนที่หัวโบราณมาก เขารับไม่ได้กับอะไรพวกนี้ หน้าเขาแดงด้วยความโกรธถามต่อว่า “ถ้าไม่จริง แล้วทำไมถึงมีรูปแกเดินกอดเอวกันอยู่!?”

“พ่อครับ ผมแค่เมา อีกอย่างพวกนั้นเป็นแค่เพื่อนผมจริงๆ ” หนานกงเฮ่อกล่าว

“โอเค งั้นฉันถามแก แกไปทำอะไรที่ไทย?”

หนานกงเฮ่อรีบตอบกลับ “ผมแต่ไปเที่ยว ไม่ได้ไปเข้าร่วมปาร์ตี้มั่วสุมอะไรอย่างที่ข่าวเขียนเลย”

“แล้วทำไมในข่าวบอกแกเป็นพวก…..” หนานกงกัดฟันกรอด จงข้ามคำนั้นไม่พูดออกมา จากนั้นตวาดต่อว่า “แกรู้ไหม เมื่อกี้พวกลุงป้าน้าอาแกโทรมาถามฉันเรื่องข่าวว่าจริงไหม ชื่อเสียงหน้าตาของตระกูลหนานกงพังชิบหายหมดเพราะแก”

“พ่อครับ ผมสาบานเลยก็ได้ ผมชอบแค่ผู้หญิงจริงๆ” หนานกงเฮ่อพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ครั้งนี้ มีคนตั้งใจแกล้งผม”

หนานกงหรี่ตา ถามกลับว่า “ใครแกล้งแก?”

หนานกงเฮ่อมองตาของพ่อ ชั่งใจเล็กน้อยก่อนพูดออกมาว่า “เย่ฉ่าวเฉินครับ”

หนานกงตกใจและถามว่า “เย่ฉ่าวเฉิน? มันจะทำแบบนั้น…..” หนานกงพูดได้ครึ่งนึง ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าวันสองวันนี้มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉิน จากนั้นหันมองหน้าลูกชาย และถามว่า

“วันสองวันมานี่ ข่าวของเย่ฉ่าวเฉินคือฝีมือแกใช่ไหม?”

หนานกงเฮ่อไม่กล้าจะสบสายตาพ่อเขา ก้มหน้าตอบว่า “ครับ”

หนานกงได้ยินดังนั้น ความโกรธระเบิดออกมาอีกครั้ง และถีบไปที่ไหล่ของลูกชาย พร้อมกับตวาดด่าว่า “ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ให้แกอยู่ห่างๆมัน แกไม่เคยฟังฉันเลยใช่ไหม!?”

หนานกงเฮ่อได้แต่ยอมรับ และตอบว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ผมก็คงไม่ต้องจ่ายค่าสร้อยของแม่แพงขึ้นสี่ห้าหรอกครับ”

“เงินแค่นั้น? ตระกูลหนานกงขาดแคลนเงินหรือ? แกเป็นต้นเหตุที่ทำให้เมียมันหายไปแกจะไม่ให้มันระบายอารมณ์หน่อยหรือ? บ้าเอ้ย!” พูดจบหนานกงเตรียมจะขว้างเก้าอี้ใส่เขาอีกรอบ แต่ก็ถูกภรรยาของเขารั้งไว้

“พอแล้วค่ะ คุณใจเย็นๆก่อนดีมั้ยคะ ตอนนี้เรารู้แล้ว ว่าลูกไม่ได้เป็นเหมือนในข่าว คุณควรที่จะดีใจไม่ใช่หรือคะ” เฉินซูฮว่าพูดเกลี้ยกล่อม จากนั้นหันไปมองทางลูกชาย “ยังไม่ขอโทษพ่อแกอีก”

“ขอโทษครับ” หนานกงเฮ่อรีบพูด

“แกขอโทษฉันแล้วได้อะไรขึ้นมา แกควรไปขอโทษบรรพบุรุษแกนู้น” หนานกงพูดด้วยอารมณ์โกรธ “ผู้หญิงที่ฉันกับแม่แกหามาให้ แกรีบไปเลือกมาสักคนแล้วจัดการแต่งงานซะ”

หนานกงเฮ่อเงยหน้าขึ้นเตรียมจะต่อต้านคำของคนเป็นพ่อ แต่ก็เห็นสายตาห้ามปรามของผู้เป็นแม่มองอยู่ เขากัดฟันและก้มหน้ายอมรับ

………….

เรื่องเก่ายังไม่ซา เรื่องใหม่ก็เข้ามาแทรก

เมืองเอเกิดแผ่นดินไหว เมื่อเวลาประมาณ 11 โมงครึ่ง

ขณะที่มู่เวยเวยกำลังจะกดน้ำที่ห้องพักผ่อน เธอรู้สึกเหมือนว่าถังน้ำกำลังเอนไปปเอนมา เธอคิดว่าเธอตาลาย แต่ไม่นานพื้นห้องก็เริ่มมีรอยแตก

“แผ่นดินไหว!!” เสียงจากใครไม่อยู่ดังอยู่ข้างนอก สิ้นเสียงนั้นทุกคนก็กรี๊ดร้องและชุลมุน

มู่เวยเวยอยากออกไปข้างนอกแต่เหมือนจะทำได้ยาก เพราะส้นสูงที่เธอสวมอยู่ทำให้เธอทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงบนพื้น จากนั้นเธอก็เห็นพวกอาหารว่างและแก้วที่วางอยู่บนชั้น ค่อยๆตกลงมาและกลิ้งมาทางเธอ

เธอใช้แรงดันตัวเองไปอยู่ติดมุมห้อง “เพล้ง!” เสียงโคมไฟที่ติดอยู่บนเพดานแตกและตกลงมา เธอได้ยินเสียงกระจกแตก จากนั้นไม่นานตู้กดน้ำกับตู้ล็อกเกอร์ก็จะล้มลง

มู่เวยเวยตกใจมากมองดูตู้ล็อกเกอร์ที่กำลังจะหล่นมาทับเธอ

“กึ้ก” เสียงตู้ล็อกเกอร์ติดขอบหน้าต่าง โชคดีที่มันไม่ได้ล้มมาทับเธอ เธอคิดแค่ว่าเธอไม่อยากตาย เธอยังมีลูกที่รอเธออยู่

พื้นเริ่มสั่นอีกครั้ง เสียงตู้ไหลลงมากับพื้น มู่เวยเวยร้องไห้ตัวสั่นด้วยความกลัว เธอรีบเข้าาไปหลบอีกมุมของห้อง แต่ทันใดนั้นก็มีกล่องๆหนึ่งตกกระะแทกหัวเธอ เธอรู้สึกมึนมากจนมองเห็นภาพลูกน้อยลอยอยู่ตรงหน้า

สัญญาณเตือนความปลอดภัยดังต่อเนื่องมาค่สองนาที แต่สองนาทีนี้ก็ได้สร้างความพังพินาศได้ไม่น้อย

ที่บริษัทเย่ฮวางกรุ๊ป นอกจากพนักงานชั้น 1กับ2แล้ว ภายในตึกชั้นอื่นๆก็ไม่มีใครสามารถออกมาได้ เพราะลิฟต์ไม่สามารถทำงานได้ในช่วงเวเลาแผ่นดินไหว บวกกับพื้นที่กำลังแตกแยก ยิ่งทำให้ยากที่จะวิ่งหนีลงมาจากตึก

สองนาทีผ่านไป แผ่นดินหยุดไหว

ภายในออฟฟิศชุลมุนวุ่นวายมาก ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเก้าอี้ หรือแฟ้มเอกสารต่างก็กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

เสียงกรี๊ดร้องและความวุ่นวายหยุดลง มีเสียงหนึ่งเอ่ยถามออกมาว่า “แผ่นดินหยุดไหวแล้วหรือ?”

หลังจากสิ้นเสียงถาม แผ่นดินเริ่มไหวอีกครั้ง แต่ความรุนแรงน้อยกว่าเมื่อกี้มาก

“อ่า”

หลังจากทุกอย่างสงบ ก็ได้มีคนหนึ่งพูดว่า “ทุกคนไม่ต้องกลัวนะ ตึกที่เราอยู่ถูกออกแบบมาให้รับแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 8 ริกเตอร์ อย่างไรซะตึกก็จะไม่ถล่ม”

พูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็รีบวิ่งเข้ามาในแผนก ตะโกนลั่นว่า “ฉู่เหยียน!”

“ประธานเย่คะ” เหอเหม่ยหลิง ค่อยๆมุดออกมาจากใต้โต๊ะ

เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เหอเหม่ยหลิงส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไรค่ะ”

ทุกคนเมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินลงมา ก็เริ่มออกมาจากที่หลบซ่อนของตัวเอง

เย่ฉ่าวเฉินกดความกังวลเอาไว้ ทุกคนกำลังมองเขาอยู่ เขาจะทำให้ทุกคนกังวลไม่ได้ “ตอนนี้แผ่นดินไหวหยุดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะมีขึ้นมาอีกไหม กรรมการเหอ คุณรีบพาทุกคนอพยพออกจากที่นี่ เพื่อนผู้ชายช่วยเพื่อนผู้หญิง ทุกคนรีบเคลื่อนย้ายเถอะ”

“รับทราบ” เหอเหม่ยหลิงรับคำ “ทุกคนรีบไปกันเถอะ ของมีค่าต่างๆวางไว้ก่อน รอเวลาแผ่นดินไหวสงบค่อยกลับมาเอา”

ตอนนี้ทุกคนต้องรักชีวิตก่อน ใครจะสนใจเงินล่ะ

เย่ฉ่าวเฉินสแกนดูรอบๆห้อง ไม่เห็นแม้เงาของมู่เวยเวย รีบวิ่งไปถามเหอเหม่ยหลิงว่า “ฉู่เหยียนล่ะ?”

“ฉันไม่เห็นนะคะ” เหอเหม่ยหลิงหันไปมองดูรอบๆห้องและตะโกนถามว่า “ใครเห็นฉู่เหยียนบ้าง?”

เย่ฉ่าวเฉินรีบวิ่งไปทางห้องพักผ่อน เขาดันของให้พ้นทาง เมื่อเขาถึงหน้าห้องพักผ่อน ก็เห็นร่างหมดสติของผู้หญิงคนหนึ่งนอนสลบอยู่

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset