เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก
ชายหนุ่มรูปหล่อนั่งอยู่บนโซฟาสุดหรูกำลังเล่นกับเด็กทารกในรถเข็นเด็ก ทันใดนั้นก็มีสาวสวยเดินเข้ามา
“เจ้านาย ดูเหมือนว่าช่วงนี้ข้างนอกจะวุ่นวาย”
สายตาของชายคนนั้นยิ้ม เขาถามขึ้นโดยไม่เงยหน้าว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
“มีคนกำลังสอบสวนจางเหิง”หญิงสาวกล่าวอย่างเย็นชา
“ใครล่ะ ?”
“คุณชายสี่ตระกูลเซี่ย”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป “เซี่ยเซียว ? เขากำลังตรวจสอบว่าจางเหิงทำอะไร ?”
“ดูเหมือนว่าเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับแผนที่ขุมทรัพย์ อยากติดต่อคุณผ่านจางเหิง”
ใบหน้าของชายคนนั้นมืดมนลง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ข่าวแพร่กระจายไปเร็วจัง แต่ใครเป็นคนปล่อยข่าวกัน ? คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีไม่มากนี่นา
“เจ้านาย ตอนนี้ควรทำยังไงดี ?”
กลัวอะไร ? หรือว่าฉันยังต้องกลัวเซี่ยเซียว ? อยากได้แผนที่ขุมทรัพย์ ถ้างั้นก็ต้องดูว่าเขามีความสามารถหรือไม่ หลังจากชายคนนั้นพูดจบ ก็ลดสายตาลงไปมองร่างเด็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเร่งมู่เวยเวยแล้ว ทางที่ดีต้องรีบเอาแผนที่ขุมทรัพย์มาในตอนที่เซี่ยเซียวยังไม่มาหา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กลัวเซี่ยเซียว แต่ก็ไม่อยากเป็นศัตรู
ณ เมือง A
ในตอนที่มู่เวยเวยเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อวิ่งไปดูก็พบว่าเป็นชายหน้ากากเงิน
เมื่อทำใจให้สงบลงแล้ว มู่เวยเวยก็กดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล ?”
คุณมู่ เมื่อไหร่คุณจะทำภารกิจเสร็จ ? ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงโกรธที่หาได้ยาก เพราะที่ผ่านมาเขามักจะยิ้มเยาะอย่างช้าๆ
มู่เวยเวยพูดด้วยเสียงที่เรียบสงบ “ยังเหลือเวลาอีกสองตั้งสองเดือนไม่ใช่เหรอ ?”
“ได้ สองเดือน ถ้ากล้าเลื่อนแม้แต่วันเดียว ชั่วชีวิตนี้คุณก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นลูกชายคุณอีกเลย”
มู่เวยเวยได้ยินว่าเขาจะวางสาย จึงรีบพูดขึ้นว่า “รอเดี๋ยว ฉันต้องการเห็นหน้าลูกฉัน”
“หึ อยากเห็นหน้าลูกก็รีบเอาของที่ฉันต้องการมา”ชายคนนั้นอารมณ์เสีย และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมรับเงื่อนไขของเธอ ไม่รอเธอพูดอะไร เขาก็กดวางสายไป
มู่เวยเวยจ้องมองไปที่โทรศัพท์ และโทรออกไปด้วยความไม่พอใจ แต่โทรศัพท์ฝ่ายนั้นปิดไปแล้ว
ไอ่เลว !ไอ่ตัวร้าย !
มู่เวยเวยตัวสั่นไปด้วยความโกรธ กัดฟันและเดินไปที่ห้องหนังสือของเย่ฉ่าวเฉิน และผลักประตูออก
“มีอะไรเหรอ ?” เย่ฉ่าวเฉินตกใจเธอ และวางเอกสารในมือลง
มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ไอ่เลวนั่นเพิ่งโทรศัพท์มาหาฉัน ด้วยอารมณ์ไม่ดี ฉันขอเจอหน้าลูกก็ถูกเขาปฎิเสธ”
เย่ฉ่าวเฉินตระหนักถึงคำพูดของมู่เวยเวยว่าใครคือ “ไอ่เลว” และลุกขึ้นมาปลอบเธอ “เขาอาจจะรู้ว่าคุณชายสี่ของตระกูลเซี่ยกำลังหาเขา ดังนั้นจึงรู้สึกโกรธขึ้นมา”
“เขาจะทำร้ายลูกรึเปล่า ?”มู่เวยเวยขมวดคิ้วแน่นและถามด้วยความเป็นห่วง
เย่ฉ่าวเฉินไม่กล้าสะกิดเธอ จึงพูดเบาๆว่า “นี่มันทั้งน่ากลัวและเลวทราม แต่ข้อดีเดียวของเขาก็คือการรักษาสัญญา ภายในระยะเวลาครึ่งปีนี้เขาจะไม่แตะต้องเด็ก”
มู่เวยเวยรู้ลึกโล่งใจลง และพึมพำว่า “พระเจ้าช่วยอวยพรด้วย ขอให้เขารักษาความดีนี้ไว้”
เย่ฉ่าวเฉินแตะไหล่ของเธอและพูดว่า “เมื่อครู่ผมก็ได้รับข่าวมา คนของผมเข้าไปในตระกูลเซี่ยแล้ว และไม่กี่วันมานี้คนนามสกุลเซี่ยกำลังตามหาจางเหิง ถ้าหากทางนั้นมีข้อมูลเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปทันที”
“ถ้างั้นก็ดี มู่เวยเวยสงบลงอย่างมาก เธอก้มศีรษะลงและพบว่าตัวเองอยู่ในชุดนอน ผมก็ยังไม่ได้เป่า สวมรองเท้าแตะรีบวิ่งมาเลย เธอพูดอย่างเขินอายว่า คุณทำงานเถอะ ฉันกลับล่ะ ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รั้งเธอไว้ เพราะเขายังมีการประชุมผ่านวิดิโอรออยู่
มู่เวยเวยเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นก็คิกเรื่องอะไรขึ้นได้ จึงหยุดและถามเขา “องค์กรของคุณเก็บไพลินสีน้ำเงินไว้ตลอดเลยเหรอ ?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ในตอนแรกใส่แผนที่ขุมทรัพย์ไว้ หลังจากฉู่ซวนเข้ามา ผมถึงเปลี่ยน”
“ถ้างั้นหลังจากนั้นคุณเอาแผนที่สมบัติไปไว้ที่ไหน ?”
“ตู้เซฟ”
“เชี่ย” มู่เวยเวยอดไม่ได้ระเบิดออกมา ต่อมาเธอได้หาในตระกูลเย่หลายรอบ แต่ก็ไม่ได้ไปหาที่ตู้เซฟนิรภัย “เย่ฉ่าวเฉิน คุณนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่พูดอะไร สีหน้าแสดงรอยยิ้มที่ลึกซึ้ง “ถ้าหากว่าไม่ทำแบบนี้ คุณคงหนีไปพร้อมกับแผนที่ขุมทรัพย์ แล้วผมจะไปตามหาคุณจากที่ไหน ?”
มู่เวยเวยไม่พูดอะไร เปิดประตูและเดินออกไป
เขาไม่ใช่หมาป่า เป็นเพียงแค่จิ้งจอกแก่ แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีใดแล้ว นอกจากพึ่งพาเขา หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เย่ฉ่าวเฉินพูด หาลูกชายให้พบอย่างปลอดภัย
……
เช้าตรู่
มู่เวยเวยเอนตัวขึ้นพิงหัวเตียงด้วยความงุนงง ไม่ขยับเป็นเวลานาน
เย่ฉ่าวเฉินล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็เห็นเธอยังคงอยู่ท่าเดิมตาของเธอลอย เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วง “คุณเป็นอะไร ? อยู่ท่าเดิมตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงตอนนี้ เมื่อคืนฝันถึงอะไรรึเปล่า ?”
มู่เวยเวยมีสติอีกครั้ง เสียงของเธอแหบแห้งเล็กน้อย “ฝันถึงคุณพ่อคุณแม่”
เธอไม่ได้ฝันถึงคุณพ่อคุณแม่มานานมากแล้ว จู่ๆเมื่อคืนก็ฝันถึงเรื่องราวสมัยเด็ก คุณแม่พาเธอไปเรียนเต้นรำ คุณพ่อก็ซื้อตุ๊กตาหมีพูห์ตัวโปรดให้เธอ ในทุกฉากเหมือนเรื่องจริงราวกับเธอเจอประสบกาณณ์อีกครั้ง แต่ที่น่าแปลกก็คือ เธอไม่ฝันถึงพี่ชายเธอ
หรือว่า….พี่ชายยังไม่ตาย ?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ทันทีที่ผุดขึ้นในใจของมู่เวยเวย พี่ชายเธอจะยังมีชีวิตอยู่จริงเหรอ ? แต่ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ทำไมถึงไม่กลับมาหาเธอล่ะ ?
เย่ฉ่าวเฉินดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่าในหัวเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดขัดจังหวะขึ้นมาว่า “ดูเหมือนคุณคิดถึงพวกท่าน ถ้างั้นวันนี้พวกเราไปเยี่ยมพวกท่านกัน”
คำพูดของเย่ฉ่าวเฉินความคิดของมู่เวยเวยให้กลับมา เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูวันที่วันนี้ และพูดอย่างงงๆว่า “พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพวกท่าน ฉันลืมไปเลย ไม่แปลกใจเลย…..ไม่แปลกใจเลยว่าฉันฝันถึงพวกเขา ไม่แปลกเลย…..”
เย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่ขอบเตียงและโอบไหล่เธอไว้ “ไม่โทษคุณ เพียงแค่ช่วงนี้คุณยุ่งมาก ถึงลืมวันครบรอบ”
มู่เวยเวยยกมือไปสัมผัสใบหน้าของตัวเอง “ฉันไม่อยากใช้ใบหน้านี้ไปพบพวกท่าน ฉันกลัวว่าพวกท่านจะไม่รู้จักฉัน”
“พรุ่งนี้ผมจะไปกับคุณ ใช้รูปร่างของคุณนี่แหล่ะ ไม่มีใครรู้หรอก” ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้ เขายังไม่ได้ไปไหว้พ่อตาแม่ยายเลย ตอนแรกก็ดูแคลน หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาศ ครั้งนี้ควรไปไหว้สวัสดีทักทาย
“อืม”
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนกับฝนจะตกได้ทุกเวลา มู่เวยเวยตื่นมาแต่เช้า แต่งตัวเรียบๆและสวมรองเท้าส้นแบนสีขาว
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ไม่มีอะไรกีดขวางในกระจก มู่เวยเวยก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย ปรากฎว่าเธอใส่หน้ากากเป็นเวลานานจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว และอารมณ์ทั้งหมดก็สามารถซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนี้ได้
เย่ฉ่าวเฉินเคาะประตู “ไปกันเถอะ”
มู่เวยเวยสวมแว่นกันแดดกับหมวกใบใหญ่ ซ่อนใบหน้าทั้งหมดของเธอไว้ในเงา ถึงเดินลงไปด้วยความมั่นใจ
จางเห่อเป็นคนขับรถ
“เดี๋ยวไปแวะเอาดอกไม้ที่ร้านดอกไม้ก่อน ของอย่างอื่นผมเตรียมไว้ที่ท้ายรถแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินบอก
มู่เวยเวยพูดเบาๆว่า “อืม”และก็หันออกไปมองนอกหน้าต่างด้วยอารมณ์ที่หดหู่
เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ว่าจะพูดอะไร อยากจะจับมือของเธอ แต่ก็ถูกมู่เวยเวยหลีกเลี่ยงอย่างเงียบๆ
ในวันแบบนี้ เธอคงจะคิดถึงมู่เทียนเย่ เย่ฉ่าวเฉินจึงตัดสินใจว่ายังไม่ควรไปยุ่งกับเธอ
เมื่อรถมาจอดอยู่ที่หน้าร้านดอกไม้ เย่ฉ่าวเฉินก็ลงไปเอาดอกไม้ด้วยตัวเอง เมื่อกลับมาเขาถือดอกคาร์เนชั่นช่อใหญ่และดอกเดซี่ช่อใหญ่
เอาดอกไม้วางไว้ที่นั่งข้างคนขับ และรถก็มุ่งหน้าขับไปยังสุสาน
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย
เย่ฉ่าวเฉินยกกล่องไม้จากท้ายรถออกมา จางเห่อเอื้อมมือมาจะหยิบไป เขาพูดขึ้นว่า “ไม่ต้อง คุณรออยู่ที่นี่”
ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ มู่เวยเวยถือดอกคาร์เนชั่นค่อยๆเดินไป ลมร้อนพัดผมยาวของเธอ ทั้งสวยงามและปนความเศร้า
เมื่อถึงหลุมฝังศพของพ่อแม่เธอ มู่เวยเวยก็วางดอกคาร์เนชั่นไว้ที่สุสาน และพูดขึ้นว่า “คุณพ่อ ฉันมาหาคุณแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินคุกเข่าลงข้างๆเธออย่างมีสติ เขาหยิบกระถางธูป ธูป เทียนสีขาว และไวน์ขวดเล็กออกมา
เขาจุดไฟอย่างจริงจังและไม่รีบร้อน จากนั้นก็จุดธูปสามดอก
ในที่สุดก็ปิดฝากระถางธูป รินไวน์ลงพื้น และพูดอย่างสงบว่า “ไม่รู้ว่าคุณจะรู้จักลูกเขยคนนี้ไหม แต่วันนี้ผมอยากบอกว่า คุณพ่อครับ หลังจากวันนี้ ผมจะดูแลเวยเวยเป็นอย่างดี จะให้เธอไม่ต้องเจอกับความเจ็บปวดจากเรื่องร้ายและโรคภัยต่างๆ ขอให้คุณโปรดวางใจ” เมื่อพูดจบ เขาก็ก้มศีรษะลง
มู่เวยเวยเฝ้าดูการกระทำของเขาอย่างเงียบๆ มีความสะเทือนและอึดอัดอยู่ภายในใจ
ในความเป็นจริง เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่รู้ว่าจะมีวันที่เขาจะทำอย่างนี้ เมื่อก่อนเขาเคยยิ่งยโสแค่ไหน ตอนนี้เขาถ่อมตัวลงมาก เพียงเพื่อที่จะได้รับความรักจากเธอ
หลังจากก้มศีรษะเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็เดินมาที่สุสานของแม่มู่เยเวย และวางดอกเดซี่ลง จุดธูป และหยิบขนมที่ละเอียดอ่อนออกมาจากกล่องไม้
“คุณแม่ ผมขออนุญาติเรียกคุณว่าคุณแม่ ผมไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร แต่มู่เวยเวยชอบของหวาน ผมคิดว่าคุณก็คงจะชอบเหมือนกัน ก่อนอื่นผมต้องขอโทษด้วย ผมทำผิดกับลูกสาวสุดที่รักของคุณไปมาก แต่นับตั้งแต่วันนี้ ผมจะรักเธอเหมือนกับที่คุณรัก และจะไม่ปล่อยให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน คุณอวยพรให้เธอปลอดภัยอยู่บนฟ้า ”เมื่อพูดจบ ก็ก้มศีรษะลง เช่นเดียวกับมู่เวยเวยที่รู้สึกหนักใจก็ดีขึ้นมากในเวลานี้
เย่ฉ่าวเฉินหันศีรษะมองไปที่มู่เวยเวยสักพัก ลุกขึ้นและพูดกับเธอว่า “คุณคงจะมีเรื่องที่จะพูดกับพ่อแม่ ถ้างั้นผมไม่รบกวนแล้ว ผมจะรอคุณอยู่ที่ข้างถนน”
มู่เวยเวยพยักหน้า
ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ เมฆพัดมาทางทิศตะวันออกเป็นคลื่นๆ เย่ฉ่าวเฉินยืนจุดบุหรี่อยู่ข้างทาง และมองไปที่ร่างบางที่คุกเข่าอยู่ไกลๆ
เขาไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไร แต่เห็นไหล่ของเธอเริ่มสั่นแรงขึ้น และน้ำตาก็ไหลหยดลงพื้น……
เขาหยิบบุหรี่ขึ่นมา ในใจก็รู้สึกอึดอัด
ถ้าหากเขารู้ว่าวันหนึ่งเขาจะรักผู้หญิงคนนี้มากขนาดนี้ เขาจะปฎิบัติต่อเธออย่างดีตั้งแต่แรกพบ
แต่น่าเสียดาย ที่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก เขาต้องแบกรับผลกรรมอันข่มขื่นที่เขาได้ก่อขึ้นเอง ดังนั้น ไม่ว่าทัศนคติของมู่เวยเวยที่มีต่อเขาจะแย่แค่ไหน เขาก็ต้องยอมรับมัน
เสียงร้องไห้ของหญิงสาวพร้อมกับเสียงสายลมดังเข้าหูของเขา เย่ฉ๋าวเฉินรู้สึกว่าใจของเขากำลังจะแตกสลาย
ในเวลานี้เมฆดำทะมึนเต็มท้องฟ้า ลมพัดฝุ่นละอองลอยฟุ้งไปทั่วอากาศ วินาทีต่อมา ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมา เย่ฉ่าวเฉินเห็นมู่เวยเวยยังนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ที่พื้น เขากำลังจะเดินไปหา แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินจางเห่อวิ่งมา ในมือถือร่มอยู่คันหนึ่ง “คุณชาย”
เย่ฉ่าวเฉินหยิบร่มและวิ่งไปหามู่เวยเวย ใช้เวลาเพียงครึ่งนาที ก็มีร่มกั้นระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดินแล้ว
มู่เวยเวยที่กำลังสะอื้นอยู่ในโลกของตัวเอง โดยแทบไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอก
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รบกวนเธอ แต่เอาร่มไว้เหนือศีรษะเธอ โดยที่ตัวเองเปียกฝนไปมากกว่าครึ่งตัว
“คุณแม่ ครั้งหน้าฉันจะพาลูกมาเยี่ยมคุณกับคุณพ่อ พวกคุณต้องชอบเขาแน่นอน” เสียงของมู่เวยเวยเงียบหายไป “ลาก่อนค่ะ คุณแม่”
มู่เวยเวยเช็ดน้ำตาออกจากหน้าของเธอ และจะลุกขึ้นมา แต่ขาก็ไร้ความรู้สึกเพราะว่าเธอคุกเข่านานเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะเย่ฉ่าวเฉินรีบดึงเธอขึ้นมา เธอก็แทบจะล้มลงพื้น
“ถือร่ม ผมแบกคุณไป ”เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างอ่อนโยน
มู่เวยเวยปฎิเสธ “ไม่ต้อง คุณพยุงฉันก็พอ”
ในใจเธอคิดบางอย่างออกมา เธอไม่อยากให้พ่อแม่ของเธอเห็นฉากนี้ ไม่ต้องการให้พวกท่านรู้สึกว่าเธอให้อภัยผู้ชายคนนี้
เย่ฉ่าวเฉินเห็นหน้าที่ดูเข้มแข็งของเธอ จึงโอบตัวเธอมาไว้ในอ้อมแขนเขา โดยใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวไว้ “ค่อยๆเดิน ถ้าเจ็บก็บอก”
ขาทั้งสองข้างดูเหมือนจะเจ็บและชา มู่เวยเวยล้มลงอยู่ที่พื้น ก่อนจะค่อยๆฟื้นคืนสติกลับมา ในการช่วยเหลือของเย่ฉ่าวเฉิน จึงค่อยๆเดินออกไป
การเดินช้ามาก ข้างนอกร่มคือฝนตกหนักและมีลมแรง ฝนกระหน่ำลงมาใส่เย่ฉ่าวเฉิน แต่เขาก็เอาร่มขยับไปทางมู่เวยเวย
เขาเพิ่งสัญญากับพ่อตาว่าจะไม่ให้เธอได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เขาไม่สามารถกลับคำได้
จางเห่อนั่งอยู่ในรถมองไปที่ถนนอย่างใจจดใจจ่อ ใช้เวลาสักพักกว่าจะเห็นเงาของทั้งสองอยู่ใต้ร่ม รอบทิศล้อมรอบไปด้วยต้นสนสีเขียวและสุสานที่มืดมน ในตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความหนาวเย็น
ในรถไม่มีร่มแล้ว จางเห่อจึงทำได้เพียงมองเย่ฉ่าวเฉินที่ครึ่งตัวเขาเปียกฝน
เมื่อมาถึงที่รถ จางเห่อก็รีบลงมาเปิดประตูรถ เย่ฉ่าวเฉินพามู่เวยเวยเข้าไปก่อน เขาเก็บร่มแล้วก็เข้าไปนั่ง
“คุณชาย คุณหนู รีบเช็ดตัว” จางเห่อยื่นผ้าขนหนูสะอาดสองผืนมาให้
มู่เวยเวยไม่ได้ยินการเรียกแบบนี้มานานแล้ว ขณะที่อยู่ในความงุนงง เย่ฉ่าวเฉินก็เอาผ้าขนหนูมาเช็ดคลุมหน้า และเช็ดน้ำฝนออกจากหน้าเธอเบาๆ “หนาวไหม ? จะเปิดแอร์รึเปล่า ?”
“ไม่ต้อง”มู่เวยเวยหยิบผ้าขนหนูออกมาจากมือเขา ก็พบว่าร่างกายของเขาครึ่งหนึ่งชุ่มชื้น เสื้อเชิ้ตสีดำแนบชิดกับผิวหนัง และยังมีหยดน้ำไหลลงมาจากมุมเสื้อเขา ในทางกลับกัน นอกจากรองเท้า ขาและใบหน้าของเขาที่โดนละอองฝน ส่วนอื่นก็สะอาดหมดจด
เขาคงเอาร่มทั้งหมดมาบังเธอสินะ
“คุณก็เช็ดตัวเองด้วย”
เย่ฉ่าวเฉินก้มลงไปมองตัวเองอย่างอายๆ เขายิ้มและพูดว่า “สภาพแบบนี้เกรงว่าจะเช็ดไม่แห้ง ร่างกายผมแข็งแรง ไม่เป็นไรหรอก ”
มู่เวยเวยเกลียดท่าทางที่เฉยเมยของเขา ถ้าเกิดว่าป่วยขึ้นมาล่ะ เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดและกังวล
“คุณคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากเหรอ ?”ยังไงก็ตามเช็ดผมของคุณให้แห้ง พูดแล้วก็โยนผ้าขนหนูไปให้เขา
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินว่าเธอเป็นห่วง ในใจก็มีความสุขเล็กน้อย ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่ยุ่งเหยิงสองสามที ผมเขาชี้ฟูขึ้นเหมือนขนสิงโตยาว มู่เวยเวยแทบจะอดไม่ได้ที่จะลูบหัวของเขา
“ร้องไห้จนตาบวมแล้ว วันนี้อย่าเพิ่งไปทำงานเลย อยู่ที่บ้านพักผ่อนเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินพูด
“อืม”
ฝนที่ตกหนักในตอนเช้าทำให้พวกพนักงานออฟฟิศจำนวนมากตื่นตระหนก ทั้งเมือง A ติดเหมือนไพ่นกกระจอก รถของเย่ฉ่าวเฉินกำลังขับเข้ากลางเมือง A ก็ติดจนขยับไปไหนไม่ได้
“ในเมืองนี้บางครั้งก็เกลียด อย่างเช่นตอนนี้ แค่ฝนตกรถก็ติดแล้ว แต่บางครั้งก็ทำให้คนชอบ” เย่ฉ่าวเฉินมองออกไปข้างนอกหน้าต่างและพูดเบาๆเหมือนกำลังคุยอยู่กับตัวเอง
มู่เวยเวยกับเขาก็เหมือนกันก็คือเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่ เธอเองก็รักเมือง A ไม่น้อยไปกว่าเขาเลย
นอกหน้าต่างมีรถเบนท์ลีย์ที่คุ้นเคยจอดอยู่ในสายตาของเธอ ในมุมนี้มองเห็นทะเบียนรถพอดีเลย มู่เวยเวยขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่รถของฉู่ซวนเหรอ ? ตอนที่เขามาเมือง A ยังพาเธอไปซื้อด้วยกันเลย
“รถของฉู่ซวน” มู่เวยเวยหันไปพูดกับเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินโน้มตัวเข้าไปหาเธอและยื่นศีรษะออกไปดูป้ายทะเบียน “เป็นเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเขาจะเห็นเธอไหม ?”มู่เวยเวยถามด้วยความกังวล เธอไม่ได้สวมหน้ากาก ถ้าหากว่าฉู่ซวนเห็นเธอ ทุกอย่างก็จบ
มู่เวยเวยคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเศร้า ตอนใส่หน้ากากก็กลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะจับได้ ในตอนที่ไม่สวมหน้ากากก็กลัวฉู่ซวนจะมองเห็น
“ไม่ต้องกลัว เขามองจากหน้าต่างรถมาไม่เห็นคุณหรอก”
สิ้นคำพูดของเย่ฉ่าวเฉิน รถก็ถูกชนจากด้านหลัง เขาโอบกอดมู่เวยเวยไว้โดยไม่รู้ตัว เพื่อกันไม่ให้เธอชนกับเบาะข้างหน้า
รถคันหลังชนท้าย
เดิมทีรถเดินช้าเป็นหอยทาก แต่ยังชนท้ายได้ และด้วยแรงขนาดนี้ น่าจะชนไม่เบาเลย
“คุณชาย ผมจะลงไปดู”
“อืม รีบจัดการให้เสร็จ” เย่ฉ่าวเฉินสั่ง ถ้าเกิดพัวพันขึ้นมา ก็จะถูกฉู่ซวนเจอเข้า เขาเองก็รู้จักจางเห่อด้วย
พายุฝนเพิ่งผ่านไป ในตอนนี้ฝนตกลงเบามากแล้ว
เมื่อจางเห่อมาที่รถ
เมื่อดูจากกันชนไม่มีอะไรผิดปกติ มีไฟท้ายแตกทั้งสองข้าง นอกจากนั้นยังมีสีถลอกเป็นจุดๆ
รถคันนี้เป็นรถที่คุณชายชอบมากที่สุดของรถ Phaeton เสียงต่ำที่มีความหมายแฝง
จางเห่อกอดอกมองไปที่คนขับผู้หญิงในรถ BMW และทำท่าให้เธอลงมา
เห็นได้ชัดว่าคนขับรถ BMW ตกใจมาก แต่เมื่อมองรถที่ชนแล้ว เธอก็ลงมาด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย
“เฮ้ คุณขับรถยังไงเนี่ย ทำไมถึงเบรกกะทันหัน จนฉันขับไปชน” คนขับรถ BMW หญิงพูดออกมาก่อนอย่างชั่วร้าย
จางเห่อพูดไรไม่ออกจริงๆ “คุณผู้หญิง พวกเราขับรถความเร็วปกติ ไม่ได้เบรกกะทันหัน และก็ไม่ได้หยุดรถ แต่เป็นคุณที่ขับมาชนเอง รถมันควรเว้นระยะห่างจากคันหน้าให้เหมาะสม ตอนคุณเรียนขับรถคนสอนขับเขาไม่ได้บอกคุณเหรอ ?”
เมื่อคนขับรถหญิงโดนพูดอย่างนั้นใส่สีหน้าก็ไม่โอเค ที่จริงเป็นเพราะเธอจะเหยียบเบรกในขณะที่เหยียบคันเร่ง เธอมองไปที่รถของจางเห่อและพูดอย่างเหยียดหยามว่า “ก็แค่ชนรถ Volkswagen Passat ไม่ใช่เหรอ ?” พี่สาวจ่ายคุณไหว พูดจบเธอก็หันกลับไปหยิบกระเป๋าเงินในรถ และหยิบเงินห้าร้อยหยวนยื่นให้จางเห่อ “ให้ คงพอเอาไปซ่อมรถนะ”
สีหน้าจางเห่อทำอะไรไม่ถูก ในช่วงหลายปีมานี้มีคนจำนวนมากคิดว่ารถ Volkswagen Phaeton เป็นรถ Volkswagen Passat จำนวนไม่น้อยเลย เดิมทีเขาอยากจะสอนบทเรียนที่ดีให้กับผู้หญิงคนนี้ แต่คุณชายบอกว่าให้รีบแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด ในขณะเขากำลังลังเลที่จะรับเงิน ชายหนุ่มที่อยู่ในรถข้างๆก็ตะโกนออกมาว่า “คนสวย คุณเบิดตาดูกว้างๆนะ รถคันนี้คือ Volkswagen Phaeton ราคาไม่ต่ำกว่า 2.8 ล้านหยวน คุณให้แค่ห้าร้อยหยวนที่ทาสียังไม่พอเลย”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เชื่อ คุณพูดบ้าอะไร เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรถ Volkswagen Passat คุณแกล้งฉันที่ไม่รู้จักโลโก้เหรอ ?
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง “พี่สาว คุณไปเรียนรู้เกี่ยวกับรถหรูก่อนค่อยขับออกถนนนะ แม่เจ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนบอกว่ารถ Volkswagen Phaeton เป็น รถ Volkswagen Passat ขำจะตายอยู่แล้ว”
คนขับรถ BMW ผู้หญิงหงุดหงิดกับคำพูดของเขา เธอไม่ยุ่งกับจางเห่อ เธอวิ่งตรงไปที่รถของชายคนนั้นและถีบประตูรถสองสามครั้ง “คุณเรียกใครพี่สาว ? คุณลงรถมานะ ”
รถของชายคนนั้นโดนถีบ เขารีบลงมาตรวจสอบรถด้วยความกังวล มีรอยรองเท้าส้นสูงอยู่หลายจุด
“คุณจะบ้าเหรอถีบรถผมทำไม ? ป่วยเหรอ” ชายคนนั้นตะโกนด่า
“คุณสิที่ป่วย ฉันได้ไปชนรถคุณเหรอ ? คุณพูดไร้สาระอะไรอยู่ ?”
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณจำรถ Volkswagen Phaeton เป็น Volkswagen Passat ทำไม พูดแค่สองคำนี้คุณถึงกับต้องถีบประตูรถผม ?”
การได้เห็นสองคนนี้ทะเลาะ ในเวลารถติดที่น่าเบื่อนี้ ทำให้คนหลายคนว่างมาที่นี่
จางเห่อปวดหัว รีบเกินไป “ตกลง ผมกำลังรีบ ห้าร้อยหยวนก็ห้าร้อยหยวน”
ผู้หญิงคนนั้นหยิ่งผยองโดยสิ้นเชิง เธอโยนเงินห้าร้อยหยวนใส่มือจางเห่อ และหันไปพูดกับชายหนุ่มว่า “เห็นแล้วใช่ไหม รถ Volkswagen Phaeton อะไร เห็นได้ชัดว่าเป็นรถ Volkswagen Passat”
จางเห่อรับเงินละหันหลังจากไป แต่ก็ถูกชายอายุน้อยคนนี้ดึงไว้ “พี่ชาย คุณจะบ้าเหรอ ไม่ได้ คุณยังไปไม่ได้ และรถติดขนาดนี้ใครก็ไปไม่ได้ ทุกคนต้องพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
จางเห่อไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จึงผลักมือของชายคนนั้นออก “พวกคุณสองคนทะเลาะกันเถอะ ผมยังมีธุระ เพียงแต่ คุณผู้หญิงคนนี้ รถของผมเป็น Volkswagen Phaeton แน่นอน และการันตีได้ว่าที่คุณชนตรงนี้ สามารถซื้อรถที่คุณขับได้เลย”
น้ำเสียงที่เฉยเมยของจางเห่อทำให้คนขับ BMW หญิงสงบลง แต่ในขณะที่เขากำลังจะออกจากที่เกิดเหตุ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็เกิดขึ้น
น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา “จางเห่อ เป็นคุณจริงด้วย”
จางเห่อก้มหน้าลงเล็กน้อยแสร้งหันไปทางเขาและพูดว่า “คุณฉู่ ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ ?”
ฉู่ซวนเดินมา “ผมกำลังจะไปบริษัท”
ในรถ เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมองหน้ากัน เมื่อเห็นสายตาตื่นตระหนกของหญิงสาว เย่ฉ่าวเฉินก็กระซิบที่ข้างหูเธอว่า “ไม่ต้องกลัว ผมจะลงไปแก้สถานการณ์ คุณรออยู่ในรถอย่าส่งเสียง”
มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ฉู่ซวนมองไปที่จุดโดนชน และเหลือบมองไปที่กระจกหลัง “เย่ฉ่าวเฉินอยู่ข้างใน ?”
จางเห่ออยากจะบอกว่า “ไม่อยู่” แต่มองจากมุมตรงนี้ เห็นได้ชัดว่ามีเงาคนที่เบาะหลัง
ในขณะเดียวกัน ประตูหลังก็เปิดออก ร่างสูงของเย่ฉ่าวเฉินก็ออกมาจากข้างใน ยิ้มมองไปที่ฉู่ซวน “ช่างบังเอิญจริงๆ คุณก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“ใช่บังเอิญจริงๆ” ฉู่ซวนเหลือบมองไปที่กระจกหลังอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนไม่มีคนแล้ว “อาเหยียนไม่ได้อยู่กับคุณเหรอ ?”
เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยสีหน้าเดิมว่า “ไม่ ตอนออกบ้านฝนตกหนักเกินไป เธอบอกว่าไม่อยากไปทำงาน”
“เอาแต่ใจจริงๆ”
ในขณะที่คนขับรถ BMW หญิงเห็นฉู่ซวนก็รู้สึกท้องฟ้าสว่างสดใสขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยดาว แต่เมื่อมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน ดวงดาวทั้งหมดก็หายไป
ครอบครัวเธอก็ถือว่าเป็นคนมีฐานะ แน่นอนว่าเธอต้องรู้จักคนรวยอันดับต้นๆของเมือง A แต่ใครๆก็รู้ดีว่า เย่ฉ่าวเฉินจะไม่มีวันแสดงความเมตตากับผู้หญิง
เมื่อนึกถึงค่าซ่อมที่จางเห่อพูดเมื่อครู่ สีหน้าเธอก็ซีดเซียวลง ทัศนคติเปลี่ยนไปหันกลับไปร้อยแปดสิบองศา และรีบเดินไปขอโทษเย่ฉ่าวเฉิน “คุณเย่ ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันขับรถไม่ระวังทำให้ชนรถของคุณ ฉันขอโทษค่ะขอโทษค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเธอ “ไม่ต้องขอโทษ เบอร์โทรศัพท์คุณคืออะไร ?”
ผู้หญิงคนนั้นตะลึง “อะไรนะ ?”
“เบอร์โทรศัพท์ ?”
ผู้หญิงคนนั้นหวาดกลัวกับสายตาเย็นชาของเย่ฉ่าวเฉิน จึงรีบพูดตัวเลขออกมาโดยไม่รู้ตัว
“จำได้แล้วใช่ไหม ? ”เย่ฉ่าวเฉินถามจางเห่อ
“จำได้แล้วครับคุณชาย ”
“หลังจากซ่อมรถเสร็จก็ส่งบิลไปให้ผู้หญิงคนนี้ ห้ามขาดแม้แต่แดงเดียว”
“ครับ”