มู่เวยเวยถอนหายใจ “จะไม่กังวลได้ยังไง? แค่แกล้งทำเป็นไม่กังวลก็เท่านั้น รออีกวันหนึ่ง ถ้าเขายังไม่ติดต่อฉัน ฉันจะติดต่อเขาไปก่อน ระหว่างคนสองคน ต้องมีคนคนหนึ่งที่ยอมให้ก่อนเสมอ
ฉู่เซวียนได้ฟังคำพูดนี้ เอนหัวพิงโซฟามองเพดานอย่างใจลอย ท่าทางหนักอกหนักใจ
มู่เวยเวยสนใจ จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ดูเหมือนคุณจะอารมณ์ไม่ดี? เรื่องงานเหรอ? หรือว่า……”
ฉู่เซวียนส่ายหัว “งานราบรื่นมาก” เขาแค่คิดว่า เรื่องที่ทำนี้คุ้มหรือไม่? ถึงแม้ว่าจะได้แผนที่สมบัติ พวกเขาก็จะหาสมบัติเจอจริงๆ เหรอ? ก่อนหน้านี้มีหลายคนที่ทั้งชีวิตก็หาไม่เจอ พวกเราจะเป็นข้อยกเว้นเหรอ?
ความคิดเห็นนี้เคยคุยกับเขาแล้ว แต่ว่าเขาดึงดันเหลือเกิน เดิมทีไม่ฟังความคิดเห็นใดๆ ทั้งนั้น
มู่เวยเวยเห็นเข้าไม่พูดจา จึงถามต่อว่า “งั้นก็……เรื่องความรักเหรอ? เพียงแค่……คุณบอกฉันได้นะ ปากของฉันนี่มั่นคงมาก จะไม่เปิดเผยออกไปอย่างแน่นอน”
ฉู่เซวียนยิ้มอย่างเหยียดหยาม นอกจากคนคนนั้นแล้ว เขาก็ไม่ไว้ใจใครอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเธอคนแปลกหน้าคนนี้ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่เดือน ต่างฝ่ายต่างหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
“ช่างเถอะ ไม่บอกก็ไม่บอก งั้นเมื่อสักครู่นี้คุณรีบวิ่งมาทำอะไร? ” มู่เวยเวยก็ไม่ไร้สาระต่อ ถามเขาไปตรงๆ
“หงุดหงิด เลยเข้ามานั่งเล่น”
มู่เวยเวยแทบจะพูดกับเขาไม่ออก “เฮ้ คุณนี่ก็แปลก คุณหงุดหงิด ฉันถามคุณ คุณก็ไม่บอก งั้นคุณก็หงุดหงิดต่อไป ฉันหิวแล้วนะ ฉันกินข้าวแล้ว”
ฉู่เซวียนยังไม่เคลื่อนไหว นั่งอยู่สักพัก มู่เวยเวยกินเกือบหมดแล้ว เขาจึงลุกขึ้นถามเธออย่างจริงจังว่า “มู่เวยเวย คุณบอกว่าบนโลกนี้มีสมบัติจริงๆ ใช่ไหม? แล้วก็บอกว่า นั่นเป็นเพียงเจตนาแอบแฝงจงใจสร้างสถานการณ์หลอกให้คนลุ่มหลง? ”
มู่เวยเวยมอง ที่แท้เขามีเรื่องในใจจริงๆ
หยุดคีบตะเกียบ มู่เวยเวยมองตาเขาแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ที่ฉันบอกกับคุณ ไม่สำคัญว่าจะมีสมบัตินี้หรือไม่ ฉันแค่ต้องการได้ลูกกลับมา แม้ว่าจะมีสมบัติเช่นนี้อยู่บนโลกจริงๆ พวกคุณใช้กลอุบายเช่นนี้เพื่อค้นหามัน ถ้าฉันเป็นพระเจ้านะ จะไม่ทำให้คุณสมหวังอย่างเด็ดขาด”
ฉู่เซวียนเงียบจ้องมองเธอ สักพักหลังจากนั้นจึงพูดว่า “ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ลูกของคุณปลอดภัย ภายใต้อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉัน”
“ฉันต้องขอบคุณไหม? ” มู่เวยเวยพูดจาถากถาง
“ไม่ต้อง” ฉู่เซวียนส่ายหน้า จากนั้นก็เดินออกไป มู่เวยเวยได้ยินเสียงปิดประตู
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่ทำไมจู่ๆ ถึงมีเมตตานัก เพียงแต่ได้รับการรับประกันนี้ ในใจเธอก็มีความสงบขึ้นมานิดหนึ่ง
หันกลับมาที่ห้องอาหาร จู่ๆ เย่ฉ่าวเฉินก็ปรากฏตัวข้างๆ โต๊ะอาหาร ในมือยังถือตะเกียบกับถ้วย มู่เวยเวยยิ้มออกมา “คุณไปซ่อนอยู่ที่ไหนมา? ”
“นอกหน้าต่าง” เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงแล้วทานข้าวต่อ แต่พบว่ากับข้าวเย็นแล้ว แป๊บเดียวก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ วางอุปกรณ์กินข้าว
มู่เวยเวยมองไปที่นอกหน้าต่าง มืดตึ๊ดตื๋อ “คุณห้อยอยู่บนอากาศขนาดนี้ ถ้าหากถูกคนเห็นเข้าไม่ตกใจตายเหรอ”
“งั้นก็ต้องโทษว่าเขาโชคไม่ดี แต่คนส่วนมากจะคิดว่าตนเองตาลาย” เย่ฉ่าวเฉินเดินไปข้างโต๊ะกินข้าว เดินไปที่ห้องรับแขกหยิบกระเป๋าของเธอ “ไปเถอะ ไปกินข้างนอก อาหารเย็นแล้ว”
มู่เวยเวยลังเลเล็กน้อย
“ไม่เรื่องบังเอิญขนาดนั้นที่จะพบกัน เมืองAใหญ่ขนาดนี้ กินข้าวแล้วเราไปดูหนัง สองวันนี้เราเครียดเหลือเกิน ต้องผ่อนคลายอย่างเร่งด่วน” เย่ฉ่าวเฉินทำลายความสงสัยของเธอ ไม่ให้เธอมีโอกาสปฏิเสธ “เปลี่ยนรองเท้า ฉันจะพาคุณไปที่โรงจอดรถชั้นใต้ดิน”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินมองขึ้นลงพินิจพิเคราะห์ เสื้อแขนสั้นลายดอกบัวสีขาว กระโปรงสั้นสีขาว รู้สึกสมถะมากสะดวกสบายมาก ดูดีมาก
“ไม่จำเป็น สวยมากแล้ว”
มู่เวยเวยยิ้ม เปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบ “โอเค ไปเถอะ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอ แล้วก้มมองตัวเองอีกครั้ง เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีดำและรองเท้าหนังสีน้ำตาล ดูมืออาชีพเหลือเกิน เขาควรสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนเพื่อให้เข้ากับมู่เวยเวย
“ยังมีปัญหาอะไรอีกไหม? ” มู่เวยเวยถาม
“คุณดูร่าเริงมีชีวิตชีวาเหลือเกิน ฉันคิดว่าฉันเลี้ยงดูเด็กมหาลัยที่ยังไม่จบการศึกษา” เย่ฉ่าวเฉินเผยความรู้สึกที่แท้จริงในใจของตนเองออกมา
มู่เวยเวยหัวเราะขึ้นมา “คุณไม่ต้องบอกก็รู้ ฉันก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน”
“ช่างเถอะ เลี้ยงดูก็เลี้ยงดู คุณก็เป็นภรรยาของฉันอยู่ดี” เย่ฉ่าวเฉินจับมือเธอแน่น จิตใจสงบลง หลังจากไม่กี่วินาที คนสองคนก็ปรากฏตัวอยู่บนรถในลานจอดรถ
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเป็นสีม่วงเหมือนองุ่นสุก เปล่งแสงแปลกๆ มู่เวยเวยเป็นห่วงเล็กน้อย วางมือลงบนไหล่ของเขา “คุณเป็นอย่างไรบ้าง? วันนี้คุณใช้ความสามารถมากเกินไปหรือเปล่า? ”
เย่ฉ่าวเฉินนอนอยู่บนพวงมาลัยและพักผ่อนสักพัก เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาก็กลับมาเป็นสีน้ำทะเลเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไร อาจจะเป็นก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บมากเกินไป ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่”
มู่เวยเวยคิด ช่วงก่อนหน้าเขานับว่ามีปัญหามากเจ็บช้ำมาก ตอนถูกลักพาตัวไปก็ถูกยิง อีกทั้งถูกยิงด้วยยาที่ทำลายเส้นประสาท เหตุการณ์แผ่นดินไหวก็ช่วยเธอจนบาดเจ็บที่หัวเข่า สุดท้ายยังถูกตนเองใช้มีดแทงที่หน้าอก ก็เช่นนี้ เขายังเร่งรีบไปตามหาลูกที่ต่างประเทศไม่หยุด แล้วไปทำงานต่อ จริงๆ คือร่างกายครึ่งหนึ่งไม่ได้รับการดูแลที่ดี
เย่ฉ่าวเฉินสตาร์ทรถ พูดหยอกล้อว่า “ทำไม สงสารเหรอ? ”
มู่เวยเวยโต้แย้งโดยสัญชาตญาณ “ชิ ฉันไม่ได้สงสารคุณ คุณมีเก้าชีวิต ตายง่ายๆ ซะที่ไหน”
“ในหนึ่งดวงจองฉันแตกสลายไปแล้ว คุณไม่ปลอบใจฉันหน่อยเหรอ” เย่ฉ่าวเฉินแสดงอาการว่าบาดเจ็บ
“คิดว่าฉันจะปลอบใจคุณอย่างไร? ให้ฉันเลี้ยงอาหารมื้อนั้นเหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินแค่พูดไปตามอำเภอใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงจะคิดจริง รีบหาโอกาสที่ดีใช้ให้เกิดประโยชน์ “เงินทั้งหมดของฉันคือของคุณด้วย คุณเลี้ยงกับฉันเลี้ยงมีอะไรต่างกันล่ะ? ”
“งั้นคุณคิดว่าต้องปลอบคุณยังไง? ” มู่เวยเวยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เย่ฉ่าวเฉินจับพวงมาลัยแน่น เอาปากเข้าใกล้หูของเธอ “เชื่อฟังฉันในตอนกลางคืน”
มู่เวยเวยหน้าร้อนผ่าว กดฝ่ามือลงบนปากเขาแล้วผลักเขาออกไป “ฝันไปเถอะ ตั้งใจขับรถ”
เย่ฉ่าวเฉินฟังน้ำเสียงของเธอ ยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
กินข้าวแล้วก็ไปโรงหนังที่อยู่ใกล้ๆ
“คุณไม่ได้ไปดูหนังที่โรงหนังมานานแค่ไหนแล้ว? ” มู่เวยเวยถามเขาตอนขึ้นบันไดเลื่อน
เย่ฉ่าวเฉินคิดอย่างถี่ถ้วนเล็กน้อย “จำไม่ได้แล้ว ตอนเรียนฉันเคยไปดูหนังที่โรงหนังหนึ่งครั้ง สภาพแวดล้อมไม่ได้ดีมาก ภายหลังถือโอกาสปรับปรุงในบ้านให้มีโรงหนังเล็กๆ แล้วก็ไม่เคยมาอีกเลย คุณล่ะ? ”
“ฉันก็สมัยที่เรียนอยู่ กับแฟนเก่า คุณก็รู้จักเคยเห็นชายชั่วนั่นหลายครั้งแล้ว”
ตอนนี้เอ่ยถึงลู่จื่อหาง มู่เวยเวยนอกจากคำว่าชายชั่วสองคำนี้ ในใจก็ไม่มีอะไรอีก เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เอ่ยถึงชื่อนี้ก็ระเบิดทันที ในความคิดของเขา ลู่จื่อหางคนนี้นอกจากจะเป็นแฟนเก่าของมู่เวยเวยแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก เป็นบุคคลที่ไม่มีอำนาจคนหนึ่ง
ออกจากลิฟต์ เย่ฉ่าวเฉินมองไป ทำไมคนเยอะขนาดนี้?
วันนี้เป็นวันอะไรเหรอ?
ผู้ชายหน้าตาดีและผู้หญิงสวยมักดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย มู่เวยเวยลดขอบหมวกลงโดยไม่รู้ตัว เธอเพิ่งเดินไปตามทางแล้วพบว่าในร้านหนึ่งมีหมวกที่สวยมาก จึงซื้อมาหนึ่งใบ ก็คือเพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนี้
เย่ฉ่าวเฉินเห็นเหตุการณ์จนเคยชิน เดินไปที่ไหนก็มักเป็นจุดสนใจของคน ดังนั้นอารมณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ เมื่อเขาเห็นใครบางคนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและแอบถ่ายรูปพวกเขา เย่ฉ่าวเฉินก็มองไปด้วยสายตาเย็นชา หญิงสาวคนนั้นตกใจกับสายตาเย็นชาของเขา รีบแกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์
คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น ที่ต้องการจะแอบถ่ายก็ไม่กล้าขยับเลย
เย่ฉ่าวเฉินมองข้อมูลบนหน้าจอขนาดใหญ่ที่เลื่อนไปไม่หยุดอย่างไม่น่าสนใจ ก้มไปถามมู่เวยเวยว่า “อยากดูอะไร? ”
มู่เวยเวยเงยขึ้นมา นัยน์ตาสีเข้มคู่หนึ่งเปล่งประกายภายใต้ปีกหมวก เธอกวาดสายตามองไปที่จอขนาดใหญ่ ไม่มีเรื่องที่ชอบเป็นพิเศษ
“ซื้อหนังที่ฉายในช่วงนี้เถอะ เวลาก็ดึกแล้ว”
“ก็ดี ไม่เช่นนั้นก็จองที่นั่งเถอะ คนเยอะเหลือเกิน ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกมาก” น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินดูมีอำนาจมาก
มู่เว่ยเว่ยเหลือบมองเขาเหมือนมนุษย์ต่างดาว “พี่ชาย คุณมาเหมาที่นั่งโรงหนังสู้ดูเองอยู่ที่บ้านดีกว่า”
พี่ชาย?
เรียกได้น่าสนใจมาก
เย่ฉ่าวเฉินกระซิบว่า “งั้นไปดูที่บ้านฉัน? ”
“ไม่ไป” มู่เวยเวยตัดความคิดของเขาโดยตรง ไปดูที่ตระกูลเย่เหรอ? พวกเขาสองคนจะสามารถดูหนังกันดีๆเหรอ?
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกดีมากที่ได้แกล้งเธอ
ทั้งคนสองคนเข้าแถว รายล้อมไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบของสาวน้อย ผ่านหูของเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยไม่หยุด
“ว้าว ผู้ชายคนนี้หล่อมาก หล่อเหลือเกิน”
“ผู้หญิงคนนี้ก็ดูดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นสายตา แต่รูปร่างก็ดูดี”
มีเจ็ดแปดคนอยู่ข้างหน้า เย่ฉ่าวเฉินกลัวว่าเธอจะหิวน้ำ จึงพูดเบาๆ ว่า “คุณต่อแถวอยู่นี่นะ ฉันจะไปซื้อเครื่องดื่มหน่อย”
“อืม ฉันต้องการน้ำผลไม้คั้นสด ไม่เอาเครื่องดื่ม”
“ฉันรู้แล้ว”
มู่เวยเวยเข้าแถวอย่างเงียบๆ เสียงชื่นชมไม่ขาดสาย หูของเธอเกือบจะแดงทะลุออกมาแล้ว
หกคน ห้า คน สี่คน……
มู่เวยเวยแค่ต้องการซื้อตั๋วแล้วรีบเข้าไป อันที่จริงทนไม่ไหวกับความงี่เง่าของผู้หญิงคนนี้ เย่ฉ่าวเฉินยังเข้าใจได้ เธอก็เป็นผู้หญิง มีอะไรที่น่าดูเหรอ? แน่นอน ผู้ชายบางคนก็สายตาร้อนรุ่มมาก
“เวยเวย? ”
น้ำเสียงของคนแปลกหน้าที่ดูคุ้นเคยทอดเข้ามาในหู มู่เวยเวยตกตะลึงเล็กน้อย ไม่ได้หันกลับไป ตอนนี้เธอคือฉู่เหยียน อีกทั้งเธอยังฟังออก คนที่เรียกเธอไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนนั้นที่เพิ่งเอ่ยถึงกับเย่ฉ่าวเฉินในลิฟต์ ลู่จื่อหาง
คนโบราณพูดถูก อย่าพูดถึงคนลับหลัง เพราะจะมาปรากฏตัวอย่างแน่นอน
“เวยเวย? ใช่คุณไหม? ” ลู่จื่อหางยังถามต่อ
มู่เวยเวยหันกลับไปอย่างแปลกประหลาดใจ มองคนรักที่หักหลังเธอในอดีตอย่างเย็นชา เขาไม่เปลี่ยนไปมาก เค้าโครงบนใบหน้าดูมีอายุขึ้น ระหว่างคิ้วดูผ่านโลกมามาก ในอ้อมแขนของเขายังมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวเปิดเผยมาก แต่ดูวัสดุและการตัดเย็บแล้วถือว่าคุณภาพดี เวลานี้เห็นเธอกำลังเตรียมปกป้อง ราวกับว่าเธอสามารถแย่งผู้ชายไปจากเธอได้ตลอดเวลา
มู่เวยเวยหัวเราะเยาะในใจ จับลูกสาวเศรษฐีที่ไหนมาอีกล่ะ?
ลู่จื่อหางเห็นว่าจำคนผิด ก็ขอโทษอย่างเก้อเขิน “ขอโทษ ขอโทษ ฉันจำคนผิด”
มู่เวยเวยไม่ได้พูดอะไร หันกลับไปต่อแถวต่อ ด้านหน้าเหลือแค่คนเดียว
ลู่จื่อหางเดินไปหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามครั้ง ไม่ได้สนใจจนชนคนข้างหน้า พอดีที่หันกลับไป คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา
“เย่ฉ่าวเฉิน ไม่เจอกันนานเลย” ลู่จื่อหางทักทายอย่างยิ้มเยาะ
เย่ฉ่าวเฉินสนใจแค่ว่าน้ำผลไม้และข้าวโพดคั่วในมือของเขาหกหรือไม่ ได้ยินเสียงนี้ ก็เงยขึ้นมอง ในใจมีความคิดเดียวกันกับมู่เวยเวย พูดถึงปุ๊ป ก็โผล่มาปั๊บเลย
“นานมากแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินไม่มีความปรารถนาที่จะคุยกับเขา เพราะว่าเห็นมู่เวยเวยซื้อตั๋วแล้วเดินเข้ามาแล้ว เขาเข้าไปหาแล้วนำผลไม้คั้นสดให้เธอ “น้ำเสาวรส เพิ่มน้ำผึ้ง ไม่งั้นจะเปรี้ยวเกินไป”
“เป็นรสชาติที่ฉันชอบเลย” มู่เวยเวยรับมาอย่างพอใจ
ดวงตาของลู่จื่อหางกลอกไปมาระหว่างทั้งสอง ก็มีความอิจฉาเล็กๆ ขึ้นมา “เย่ฉ่าวเฉิน ดูเหมือนว่าคนมีเงินอย่างพวกคุณจะมีนิสัยที่มีคุณธรรมนะ”
เย่ฉ่างเฉินสีหน้าเยือกเย็น ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณหมายความว่าอะไร? ”
“นี่คือเมียน้อยที่คุณเลี้ยงดูไม่ใช่เหรอ? คุณไม่ละอายใจต่อเวยเวยเหรอ? คุณยังไม่ได้หย่ากับเธอนะ” ลู่จื่อหางกล่าวด้วยความโกรธ เรื่องผ่านมาขนาดนี้แล้วเขาเพิ่งตกตะกอนภายหลัง จึงรู้สึกว่า ความรักที่บริสุทธิ์และมีค่าของมู่เวยเวยที่มีต่อเขานั้นบริสุทธิ์และมีค่าเพียงใด ต้องโทษที่เขาเลวเกินไป หักหลังเธอก็เพื่อเงิน จากนั้นทุกๆ ครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนดึก เขาอยากจะตบตัวเองสักสองสามทีด้วยความเสียดาย
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะกับคำพูดของเขา “ลู่จื่อหาง ถ้าพูดว่าคนที่ต้องขอโทษเวยเวย คุณควรจะเป็นอันดับแรก ฉันเย่ฉ่าวเฉินจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาชี้นำ”
“ฉันรู้ว่าฉันต้องขอโทษเธอ แต่เธอแต่งงานกับคุณแล้ว คุณควรรับผิดชอบต่อเธอ”
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกประหลาดใจและพูดไม่ออก ลู่จื่อหางกลายเป็นคนชอบธรรมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังพูดคุยเพื่อแฟนเก่า เขาไม่พบว่า แฟนสาวข้างๆ เขาโกรธมากๆ แล้วหรือเปล่า?
เย่ฉ่าวเฉินยังไม่พูดอะไร มู่เวยเวยก็ดึงมุมเสื้อของเขา พูดเบาๆ ว่า “เข้าไปได้แล้ว”
เวลานี้ ในวิทยุกระจายเสียงกำลังประกาศให้ผู้ชมรอบนี้เข้าโรงได้
เย่ฉ่าวเฉินต้องฟังภรรยาอย่างแน่นอน มองไปที่ลู่จื่อหางอย่างเหยียดหยาม เดินจูงมือมู่เวยเวย เดินไปทางประตูตรวจตั๋ว
ตอนที่ตรวจตั๋ว มู่เวยเวยหันกลับไปมองโดยจิตใต้สำนึก แฟนสาวของลู่จื่อหางกระหืดกระหอบพูดอะไรบางอย่าง แต่เขามีท่าทีไม่สนใจ สุดท้ายก็หันกลับออกไป แฟนสาวคนนั้นจึงก็รีบตามออกไป
เขาดูเหมือน……ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ไม่ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเช่นนั้น แล้วก็ไม่ได้รับปากแบบนั้นต่อหน้าลูกสาวเศรษฐี
เย่ฉ่าวเฉินใช้นิ้วมือเขี่ยหน้าของเธอ พูดอย่างน้อยใจว่า “ไม่ต้องมองหรอก ไม่เห็นใครแล้ว”
มู่เวยเวยถอนหายใจเบาๆแล้วพูดว่า “ชัดเจนว่าผ่านไปแค่หนึ่งปีกว่า แต่รู้สึกว่าเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดชีวิต”
“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของชาติปางก่อนหรอก” เย่ฉ่าวเฉินบ่นพึมพำ น้ำเสียงแฝวไปด้วยความน้อยใจเล็กน้อย มู่เวยเวยคือผู้หญิงคนแรกที่เขารัก แต่คนแรกที่มู่เวยเวยรักคือลู่จื่อหาง เขาจะไม่น้อยใจได้เหรอ?
มู่เวยเวยแปลกใจอย่างมาก เดินไปยังโรงหนังที่ห้าไปพลาง พูดในใจไปพลาง เมื่อก่อนเย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่เห็นลู่จื่อหางแล้วต้องระเบิดอารมณ์เหรอ? วันนี้ท่าทางของภรรยาตัวน้อยที่ถูกทำให้โกรธนี้คือกี่ความหมาย?
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่ใช้เย่ฉ่าวเฉินคนนั้นที่เธอรู้จัก
กล่าวได้อีกว่า แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยเข้าใจเย่ฉ่าวเฉินอย่างแท้จริง
เพราะซื้อภาพยนตร์ที่แสดงในช่วงนี้ ตรงกลางและด้านหน้าจึงไม่มีที่นั่งแล้ว ตั๋วสองใบที่มู่เวยเวยซื้อจึงอยู่ใกล้กับแถวสุดท้ายเล็กน้อย
เย่ฉ่าวเฉินแทบจะไม่เคยมาโรงภาพยนตร์ ไม่รู้ว่าโรงภาพยนตร์สุดสัปดาห์จะเป็นที่นิยมเช่นนี้ เพียงแต่ เกี่ยวกับที่นั่งนี้ เย่ฉ่าวเฉินพอใจเป็นอย่างมาก
ต้องการเพียงแค่มีเธออยู่ข้างๆ เขาจะนั่งที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
ภาพยนตร์เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คือบล็อกบัสเตอร์นิยายอเมริกัน3D มู่เว่ยเว่ยสวมแว่นตา3Dที่ส่งให้เมื่อตอนเดินเข้าประตู เริ่มดูภาพยนตร์อย่างเงียบสงบ
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับบล็อกบัสเตอร์แนวนี้มาก เขาชอบบล็อกบัสเตอร์ที่เป็นลักษณะสารคดีนองเลือดมากกว่า เช่น《The Godfather》《Schindler’s List》จำพวกนี้
มู่เวยเวยดื่มน้ำผลไม้อึกหนึ่ง แล้วก็นำแก้ววางไว้บนเก้าอี้ เมื่อกำลังจะดึงมือกลับไป ก็ถูกมือหนึ่งจับไว้ กุมไว้ในฝ่ามือโดยตรง
มู่เวยเวยหันไปมองเขา ในแสงไฟที่วูบวาบ เธอเห็นมุมปากของผู้ชายยกขึ้น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอรู้สึกว่าพอได้ดื่มรสชาติหวานๆ จากเสาวรสเข้าไปอีกหนึ่งนั้น ไหลตามเลือดไปที่หัวใจของตนเอง
เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอไม่ปฏิเสธ รอยยิ้มมุมปากก็ยิ่งกว้างขึ้น
ความอ่อนโยนที่ไม่สามารถอธิบายได้ทำให้ปลายนิ้วของคนทั้งสองพัวพันกัน สองนิ้วของเย่เฉาเฉินถูข้อต่อนิ้วชี้ของเธอเบาๆ เพราะการถือปากกาอีกครั้ง ผิวหนังกระด้างบนข้อต่อของเธอก็โตออกมาอีกครั้ง
เดิมเป็นสภาพแวดล้อมการรับชมภาพยนตร์ปกติ การต่อสู้และเทคนิคพิเศษบนหน้าจอก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แต่ความใกล้ชิดของคู่รักที่นั่งอยู่ด้านหน้าทำให้มู่เวยเวยอึดอัดขึ้นมา……
มู่เวยเวยกระแอมทีหนึ่งอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกำลังต้องการจะเตือนสติพวกเขาเล็กน้อย แต่เดิมทีก็พบว่าไม่มีประโยชน์ คนสองคนก็หมกมุ่น……
มู่เวยเวยก็ไม่ได้สนใจดูภาพยนตร์ในชั่วพริบตา ในใบหน้าที่คร่ำเครียดก็แดงขึ้นมาโดยไม่มีใครรู้ โอ้มายก็อด!
เย่ฉ่าวเฉินก็เห็นฉากนี้ ดวงตาคู่นั้นภายใต้แว่นสีดำก็มีพลังอันมหาศาล ระดับพลังการบดในมือก็ยิ่งมากขึ้น
มู่เวยเวยไม่มีวิธี ทำได้เพียงพยายามให้ความสนใจไม่บนหน้าจอขนาดใหญ่
พอดี เป็นฉากที่นักแสดงชายหล่อและนักแสดงสาวก็กำลังพัวพันกัน……
ในภาพยนตร์มีเสียงลมหายใจเล็กน้อย บนใบหน้าของมู่เวยเวยร้อนผ่าว แอบมองเย่ฉ่าวเฉินเล็กน้อย แต่ก็พบว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นถึงดวงตาของเขา แต่สามารถรู้สึกได้ถึงความเร่าร้อนของเขา
ในใจก็เต้น”ตุบๆๆ “ขึ้นมา มู่เวยเวยรีบหันหัวกลับแสร้งทำเป็นดูภาพยนตร์ ใครสามารถบอกเธอได้บ้าง ทำไมฉากแสดงบนเตียงถึงยังไม่ผ่านไป?
จู่ๆ ตรงหน้าก็มืด ริมฝีปากทั้งคู่ถูกสิ่งของที่อ่อนนุ่มมาปิด ตามด้วยการโจมตีที่ทรงพลัง
มู่เวยเวยถูกการกระทำของเขาทำให้ตกใจ ถึงอย่างไรนี่ก็อยู่ที่โรงภาพยนตร์ ด้านข้างยังมีคนที่ไม่รู้จักนั่งอยู่เยอะแยะแบบนี้ จึงค่อนข้างเขิน ค่อนข้างกลัว แล้วก็ค่อนข้าง……
เย่ฉ่าวเฉินยิ่งจูบยิ่งลึกซึ้ง…..
มู่เวยเวยได้ยินเพียงลมหายใจที่พุ่งเข้ามาอย่างไฟที่ลุกโชน “กลับไปตอนนี้เลยไหม? หืม? ”
คำว่าหืมนี้ราวกับตะขอ เกี่ยวใจของเธอให้สั่นอย่างรุนแรง
แต่ ยังดึงสติไว้ได้
“ไม่ ดูภาพยนตร์ให้จบ”
มู่เวยเวยยังสามารถรอให้เธอดูภาพยนตร์จนจบได้ที่ไหนกัน “กลับไปดีไหม? เวยเวย? ”
มู่เวยเวยกัดริมฝีปากล่าง
เย่ฉ่าวเฉินยังคงเติมเชื้อให้กับไฟต่อไป “ฉันต้องการคุณ เวยเวย ฉันต้องการคุณ”
มู่เวยเวยรู้สึกว่าใจตนเองกำลังสั่นสะท้าน สุดท้ายเธอก็ถูกทำให้สูญเสียความมีสติไปเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ
ไม่ลังเลใจอีก เย่ฉ่าวเฉินเก็บแว่นตาคว้ามือและกระเป๋าของเธอขึ้นรีบลงบันไดเดินไปยังด้านนอก…….
นำแว่นตาสองอันให้กับพนักงานโรงภาพยนตร์ เย่ฉ่าวเฉินจูงเธอออกมาแล้วเข้ามุมๆ หนึ่ง ยังไม่ทันได้ออกจากทางเดินโรงภาพยนตร์ ก็หันกลับไปกดเธอในเงามืด จูบ
เวลานี้ แต่ละห้องโถงภาพยนตร์ล้วนกำลังฉายภาพยนตร์ ในทางเดินของทางออกไม่มีคนสักคน
มู่เวยเวยรับความกดดันอันเร่งด่วนของเขา หลังจากผ่านพายุลมฝนที่พัดโหมกระหน่ำ มู่เวยเวยก็ไร้เรี่ยวแรงอยู่ในมือของเขา
“ฉันรอไม่ไหวแล้ว” พอเย่ฉ่าวเฉินพูดจบ ก็พามู่เวยเวยหายไปในเงามืด
เตียงใหญ่ของโรงแรม…..
……
เสียงมือถือที่วางอยู่ปลุกผู้ชายที่กำลังหลับลึกให้ตื่น เขากางแขนยื่นออกไปคลำมือถือที่อยู่บนหัวเตียง ลืมตาทั้งคู่ที่ขมุกขมัวเห็นเลขาฯ หลิวโทรมา กดปุ่มรับโทรศัพท์
“ประธานเย่ วันนี้ตอนเช้าคุณมีนัดกับผู้จัดการใหญ่ไมเคิลของมู่ซื่อ เวลาใกล้ถึงแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินมองมู่เวยเวยที่นอนหลับสนิทในอ้อมกอด พูดด้วยน้ำเสียงแหบๆ ว่า “ไม่ไปแล้ว ไว้ฉันว่างแล้วค่อยคุยกัน”
เลขาฯ หลิวแค่ฟังก็รู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินยังไม่ตื่นนอน รีบพูดว่า”โอเค”แล้วก็วางสาย
โยนมือถือทิ้ง เย่ฉ่าวเฉินก็หลับตานอนต่อ
ทำงานอย่างขยันหมั่นเพียรมาสิบกว่าปี ขณะนี้สาวสวยอยู่ในอ้อมกอด ไม่เกรงใจสักครั้งหนึ่งจะเป็นอะไร?
ยิ่งไปกว่านั้น เขาชอบความรู้สึกนี้มาก
นอนหลับไปจนบ่าย
มู่เวยเวยลืมตา ผู้ชายก็ตื่นแล้ว เธองุนงงอยู่ครู่หนึ่งก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนวาน กำลังจะพลิกตัวด้วยความรู้สึกอาย แต้ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินระงับไว้
“ทีหลังอย่านอนหันหลังให้ฉันนะ หืม? ”
“ฉันเคยชิน”
ในดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเล็ดลอดแสงที่เจ็บปวดเล็กน้อย “แต่หลังของคุณทำให้ฉันเจ็บมากเกินไป มักจะรู้สึกว่าคุณปฏิเสธฉัน”
มู่เวยเวยพูดอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อก่อนฉันปฏิเสธคุณอย่างแท้จริง”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดของเธอ “ตอนนี้คุณชอบฉันแล้ว ก็ไม่ต้องใช้ท่าทีในการนอนแบบนี้แล้ว”
ผู้หญิงเตือนสติเธอ “ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น เย่ฉ่าวเฉิน คุณไม่ต้องได้คืบจะเอาศอก”
“ฉันไม่สนใจ เล็กน้อยก็คือชอบ ตอนนี้เล็กน้อย ต่อไปก็จะมากขึ้น” เย่ฉ่าวเฉินดึงจิตวิญญาณขี้โกงของเขาออกมา “แบบนี้ไหม ปกติคุณนอนทางด้านขวา งั้นต่อไปฉันก็นอนทางด้านซ้าย แบบนี้พวกเราก็จะได้พบหน้ากัน”
มู่เวยเวยมองค้อนที่หนึ่ง ทำไมเธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ยิ่งนานวันยิ่งปัญญาอ่อน? ยาครั้งที่แล้วไม่มีผลข้างเคียงจริงๆ เหรอ?
“อย่าคิดเพ้อเจ้อเลย ฉันกำลังพูดกับคุณอยู่นะ”
“แล้วแต่คุณเลย” มู่เวยเวยไม่อยากสนทนาปัญหาปัญญาอ่อนนี้กับเขาจริงๆ
เย่ฉ่าวเฉินมีความสุข “หิวไหม? อยากทานอะไร? ฉันจะเรียกบริกรของโรงแรม? ”
มู่เวยเวยปวดเมื่อยไปทั้งตัว โดยเฉพาะที่เอวและขาทั้งสอง รู้สึกว่าเดินลำบาก แต่ทำไมเขานอนหลับไปตื่นหนึ่งก็กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิมล่ะ? ความแตกต่างทางกายภาพระหว่างชายและหญิงนั้นมากเกินไปจริงๆ
ผู้ชายคนนี้…….
“ฉันไม่อยากทานอะไร ทางที่ดีให้ฉันนอนหลับไปอีกทั้งวันเถอะ เมื่อคืนวานคุณบ้าคลั่งเกินไปแล้ว ฉันถูกจัดการจนจะตายอยู่แล้ว” มู่เวยเวยกล่าวต่อว่า
“เวยเวย คุณต้องเข้าใจความต้องการตลอดทั้งปีของผู้ชายคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นฉันไม่มีผู้หญิงมาปีกว่า ก็คึกคักอย่างนี้เล็กน้อย คุณก็ต้องให้อภัยฉัน”
มู่เวยเวยร้องเชอะอย่างเย็นชา “หว่านพืชหวังผล”
“หว่านพืชหวังผลก็พูดกับคุณแค่คนเดียว”
“เย่ฉ่าวเฉิน เมื่อก่อนคุณไม่ใช่ภาพวาดแบบนี้ ภาพการใช้อำนาจของประธานของคุณหายไปไหน? มู่เวยเวยกล่าวหยอกล้อ
“กับคนนอกฉันใช้อำนาจบาตรใหญ่ คุณคือภรรยาของฉัน จำเป็นต้องทะนุถนอม แน่นอนต้องอ่อนโยน”
มู่เวยเวยยอมรับโดยสิ้นเชิง คำพูดน้ำเน่าเหล่านี้ของเขาออกมาโดยไม่ได้ยั้งคิดจริงๆ หน้าไม่แดงเลยสักนิด
“วันนี้พวกเรากลับบ้าน” เย่ฉ่าวเฉินไม่เต็มใจให้เธออยู่โรงแรม ทานข้าวก็ไม่สะดวก
มู่เวยเวยยังไงก็ได้ “คุณไปจัดการฉู่เซวียน”
“มันไม่ง่ายไปหรอ? ” เย่ฉ่าวเฉินหยิบมือถือ กระแอมเสียง ต่อสายไปยังเบอร์ของฉู่เซวียน
ฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับกำลังยุ่ง รอนานมากจึงรับโทรศัพท์
“ประธานฉู่ ฉันคือเย่ฉ่าวเฉิน” เขารายงานตนเอง
“ฉันรู้ ประธานเย่มีธุระเหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เวยเวยในอ้อมกอด ถามว่า “อืม คุณรู้ไหมว่าอาเหยียนอยู่ที่ไหน? ฉันโทรติดต่อเธอไม่ได้”
“สองสามวันมานี้อยู่ที่โรงแรม” ฉู่เซวียนหยุดชะงักไปสักพักแล้วพูดว่า “ประธานเย่ เดิมทีนี่เป็นเรื่องราวระหว่างพวกคุณ ฉันไม่ควรพูดมาก แต่อาเหยียนเป็นน้องสาวของฉัน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ได้รับความน้อยใจอะไร ฉันหวังว่าหลังจากนี้คุณจะพูดหรือทำอะไรควรจะผ่านสมองสักรอบหนึ่ง อย่าทำผิดแล้วมาแต่งเรื่องเพื่อโกหกเธอ”
เย่ฉ่าวเฉินถูกสั่งสอนอยู่พักหนึ่ง ยากที่จะโกรธเคืองกลับไป เพียงแค่พูดเรียบๆ ว่า “ฉันรู้แล้ว ครั้งนี้ฉันใจร้อนเกินไป ฉันจะไปกล่าวขอโทษกับเธอด้วยตนเอง คุณสามารถบอกฉันได้ไหมว่าเธออยู่โรงแรมไหน? ”
ฉู่เซวียนแจ้งชื่อโรงแรม ชายทั้งสองวางสายกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เรียบร้อย กลับบ้านเถอะ”
“ตอนนี้ไม่อยากขยับ”
……
การต่อสู้กับบริษัทมู่ซื่อผ่านไปไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ก็เกิดเรื่องหนึ่งที่ทำให้เย่ฉ่าวเฉินไม่คาดคิด
เพราะแผ่นดินไหวครั้งที่แล้ว พืชสีเขียวในเมืองA ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เพื่อรักษาชื่อเสียงที่สวยงามของสวนเหม่ยเมืองใหญ่
จึงตัดสินใจเปลี่ยนพืชสีเขียวทั้งหมดรอบหนึ่ง เรื่องเป็นเรื่องสวยงามของผลกำไรจำนวนมากที่ไม่ขาดทุน มีบริษัทจำนวนมากในเมืองAต่างก็ต้องการคว้าโครงการนี้
เนื่องจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของเย่ฉ่าวเฉินในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งที่แล้ว เบื้องบนจึงแจ้งล่วงหน้า แม้ว่าจะเปิดประมูลต่อไป แต่บนพื้นฐานการกำหนดภายในเย่ฮวางกรุ๊ปแล้ว ก็รอเซ็นสัญญา จู่ๆ วันนี้ได้รับข่าวมาว่า แผนกบริหารจัดการเทศบาลเมืองAได้เซ็นข้อตกลงร่วมือกันกับบริษัทมู่ซื่อ
“เป็นบริษัทมู่ซื่อไปได้ยังไง? ” เย่ฉ่าวเฉินราวกับฟ้าผ่า ปลูกป่าคือหน้าตาของเมืองA เย่ฮวางทำเพื่อโครงการนี้อย่างดี ต้นไม้ที่ไหน ดอกไม้ที่ไหน พวกเขาหยิบแผนการที่ดีเลิศออกมา แผนกเทศบาลก็ดูพอใจอย่างมาก จากนั้นเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็วิ่งไปหลายที่ หาบริษัทพืชพันธุ์ไม้จำนวนมาก สัญญาก็เซ็นแล้ว ก็เกือบจะจ่ายเงินส่งของแล้ว ตอนนี้มาบอกเขา เนื้อชิ้นงามนี้ถูกมู่ซื่อขโมยไปเหรอ? เขาคิดอยากที่จะฆ่าคนทั้งหมด
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่ชัดเจน การกระทำของมู่ซื่อสองครั้งนี้คือเพื่อจัดการเขาโดยเฉพาะ แต่พวกเขามีกำลังเงินทุนสนับสนุนขนาดนี้ซะที่ไหนกัน? จะจับเครื่องใช้ไฟฟ้าฮวาหยางสักเครื่องสำหรับพวกเขาแล้วก็ยากมาก แล้วยังบวกกับป่าเขียวสวนหย่อมอีกหนึ่งสวน ฉันเกรงว่าโควตาการประกอบกิจการในหนึ่งถึงสองปีนี้ของพวกเขาก็จะชดใช้ค่าเสียหายได้ไม่พอ
“เลขาฯ หลิว ไปตรวจสอบทันที แหล่งที่มาเงินทุนของมู่ซื่อช่วงนี้ พวกเขาไม่สามารถกัดเนื้อติดมันทั้งสองชิ้นนี้ได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากภายนอก”
“ค่ะ ประธานเย่”
เย่ฉ่าวเฉินหมุนไปมาอยู่ในห้องทำงานอยู่นานมาก โทรศัพท์ไปหาอธิบดีหลี่ของแผนกเทศบาล พอติดต่อได้เขายังไม่ทันได้พูดจา ทางด้านอธิบดีหลี่นั้นก็กล่าวขอโทษ “ประธานเย่ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ฉันก็กำลังจะโทรไปคุยกับคุณเรื่องนี้ ฉันก็จนปัญญา เบื้องบนแจ้งล่วงหน้ามา ฉันก็ทำได้เพียงจัดการตามคำสั่ง”
“เบื้องบน? เบื้องบนไหน? เลขานุการจางเหรอ? ”
“ไม่ใช่ เลขานุการจางแนะนำให้คุณมาทำ แต่เลขานุการจางก็ไม่สามารถฝ่าฝืนความหมายของคำสั่งผู้นำได้ คุณเข้าใจใช่ไหม? “