“เทียนแย่ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เทียนเย่หายไปทันที “ลองพูดขอบคุณอีกครั้งดูสิ?”
เสี่ยวซีหร่านตกใจ ทำให้ตาของเขารู้สึกเมื่อยและอยากร้องไห้อีกครั้ง
น้ำตาในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่เธอร้องไห้มีมากกว่าในรอบยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาซะอีก
มู่เทียนเย่ไม่เคยเห็นเสี่ยวซีหร่านที่บอบบางเช่นนี้มาก่อน เขานั่งข้างๆเธอและกอดเธอด้วยแขนข้างเดียว “พอแล้ว ฉันไม่ควรดุคุณ แต่ต่อจากนี้ห้ามพูดคำว่าขอบคุณกับผมอีก ”
เสี่ยวซีหร่านพยักหน้าอย่างหนัก ในช่วงที่มู่เทียนเย่ล้มลงหัวใจของเธอแทบหยุดเต้น โชคดีที่เขายังมีชีวิตอยู่
“ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว โอเค? เป็นเด็กดีนะ” มู่เทียนเย่ลูบหัวของเธอ
เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ฉันคิดว่าคุณจะไม่ฟื้นแล้ว”
“เจ้าโง่ ผมสัญญากับคุณว่าจะมีชีวิตอยู่ ผมก็จะไม่ผิดสัญญา” มู่เทียนเย่เอือมมือไปเช็ดน้ำตาจากหางตาของเธอ “อีกอย่าง ผมจะทิ้งคุณลงได้ไงล่ะ?”
เสี่ยวซีหร่านยิ้มแล้วเอือมมือไปโอบเอวเขาและพึมพำ“ พรุ่งนี้เรากลับบ้านกันเถอะ”
“โอเค”
ดอกไม้ที่เธออยากเห็นก็ได้เห็นแล้วและเธอก็รู้สึกพอใจกับมัน มู่เทียนเย่ยังมีงานที่ต้องทำ เธอไม่สามารถใช้เวลาอยู่กับเขาอย่างสิ้นเปลืองได้
หลังจากพักที่โรงแรมหนึ่งคืนร่างกายก็เกือบจะหายดีแล้ว ทั้งสองก็นั่งเครื่องบินกลับไปที่เมืองA ก่อนที่จะไปสนามบิน มู่เทียนเย่หาชายหนุ่มที่ใช้รถสามล้อเพื่อไปส่งพวกเขาที่คลินิกและให้รางวัลเขา แม้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะโบกมือไปมาทำท่าทีว่าไม่รับและพูดว่าไม่เป็นไร แต่มู่เทียนเย่ก็ยังคงยัดเงินเข้าไปในมือเขา
มู่เทียนเย่ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้สึกหรือเรื่องเงิน
ยกเว้นเสี่ยวซีหร่านเพราะเธอเป็นผู้หญิงของเขาไม่ใช่คนอื่นไกล
กลับไปถึงเมืองA มู่เทียนเย่พาเสี่ยวซีหร่านไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีพิษอยู่ในร่างกายเธอก่อนที่เขาจะไปทำงานอย่างเป็นทางการ
ฟ้าคลึ้มและอากาศที่ร้อนอบอ้าว
หลังจากที่มู่เวยเวยเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันรอบที่สอง เนื่องจากเซี่ยเซียวเสียชีวิตแล้ว มู่เวยเวยรู้สึกอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด เธอนั่งอยู่ในห้องทำงานอย่างหงุดหงิดจึงบอกลาเพื่อนร่วมงานของเธอและเดินออกไปที่ถนน
เธอไม่ได้บอกเย่ฉ่าวเฉิน เพราะถ้าเธอบอกต้องมีบอดี้การ์ดคอยตามเธอแน่ๆ เธอรู้สึกไม่ชินกับมัน
เดินจากร้านในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง เมื่อออกมาด้านนอกฝนก็ตกหนักหนัก มู่เวยเวยจึงเดินเข้าไปในร้านขนมหวานที่อยู่ข้างๆทันที
เธอสั่งน้ำผลไม้คั้นสดหนึ่งแก้วและเค้กหนึ่งชิ้น จากนั้นมู่เวยเวยมองออกไปนอกหน้าต่าง
ฝนตกกะทันหันผู้คนบนถนนต่างไม่มีใครพกร่ม จึงทำให้วิ่งกระจัดกระจายไปทั่วทิศทางเพื่อหลบฝน ทันใดนั้นร่างที่คุ้นเคยก็กระทบเข้ากับดวงตาของเธอ เขาเอาเสื้อสูทบังศีรษะของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาสองคนเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ ใบหน้าของผู้หญิงอยู่ภายใต้เสื้อผ้า เธอจึงมองไม่เห็นแต่ ร่างของชายคนนี้มู่เวยเวยสามารถรู้ได้ในพริบตา
ทันใดนั้นสมองก็ว่างเปล่า ดวงตาของเธอจ้องมองไปที่ชายคนนั้น เมื่อชายคนนั้นหันหน้ามากระซิบกับผู้หญิงคนข้างๆ หัวของมู่เวยเวยก็มีเสียง“วิ้ง”ขึ้น พี่ชาย เป็นพี่ชายจริงๆด้วย
แม้แต่กระเป๋ามู่เวยเวยก็ไม่ทันได้หยิบ เธอลุกขึ้นวิ่งออกจากร้านขนมหวานแล้ววิ่งพุ่งไปที่ชายคนนั้น
ฝนข้างนอกตกหนักเกินไป ทันทีที่เธอออกไป มู่เวยเวยก็กลายสภาพเป็นลูกหมาตกน้ำทันที เธอจ้องไปที่ชายคนนั้นและเท้าของเธอก็ก้าวไปยังทางม้าลายที่มีรถสัญจรไปมา
“ตี๊ดๆๆๆ ” เสียงแตรอันเกรี้ยวกราดดังขึ้น ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็ได้สติขึ้นมาทันที มองดูรถที่ขับผ่านสายฝนเข้ามาหาเธอ เธอก้าวถอยหลังไปสองก้าวและกลับไปที่ทางเท้า เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ผู้ชายที่ดูเหมือนพี่ชายของเธอกำลังเปิดประตูรถที่จอดอยู่ข้างทาง เขาให้ผู้หญิงเข้าไปในรถก่อน แล้วเดินอ้อมไปด้านหน้ารถแล้วขึ้นรถฝั่งที่นั่งคนขับ
ครั้งนี้มู่เวยเวยได้เห็นอย่างชัดเจนจริงๆ รูปร่างนั้น ลักษณะนั้น ชาตินี้เธอไม่มีวันลืม เป็นพี่ชายของเธอ มู่เทียนเย่
“พี่ชาย ” มู่เวยเวยตะโกนเสียงดัง แต่เพราะเสียงฝนและเสียงรถที่แล่นผ่านไปมาทำให้เสียงของเธอจมหายไป
“พี่ชาย ” มู่เวยเวยใช้แรงทั้งหมดที่เธอมีตะโกนอีกครั้ง แต่ชายคนนั้นไม่ได้ยินอะไรเลย เขาเปิดประตูและเข้าไปนั่งในรถ
ไฟรถกะพริบสองครั้ง มู่เวยเวยรู้ว่ารถกำลังจะออกไป เธออยากข้ามทางม้าลายอย่างใจจดใจจ่อ แต่ทันทีที่เธอก้าวเข้าสู่พื้นถนน เธอก็ถูกเสียงบีบแตรที่ดังลั่นไล่กลับไปยืนที่เดิม
“พี่ชาย ”
มู่เวยเวยเฝ้ามองรถที่กำลังสตาร์ทและจากไป หัวใจของเธอเหมือนมดที่กำลังถูกเผาไหม้บนหม้อไฟ เธอวิ่งตามรถบนทางเท้า ผู้คนที่สัญจรไปมามองเธอด้วยสายตาประหลาด
“ผัวะ” เท้าของเธอก้าวไม่ทันมู่เวยเวยจึงล้มลงไปท่ามกลางสายฝน เมื่อเธอลุกขึ้นรถสีดำก็หายไปจากสายตาของเธอ
มู่เวยเวยยืนเหม่อท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งกลับไปที่ร้านอย่างรวดเร็ว กระเป๋าของเธอยังอยู่ในร้านขนมหวาน
เจ้าของร้านขนมหวานคิดว่าเธอหนีไปหลังจากกินอิ่มแล้ว แต่ทันทีที่เห็นกระเป๋าของเธอยังอยู่ ก็รู้ว่าเธอจะต้องกลับมาแน่นอน ไม่กี่นาทีต่อมาหญิงสาวก็กลับมาด้วยความเปียกโชก
มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาด้วยความสั่นเทาและโทรหาเย่ฉ่าวเฉิน
“ฮัลโหล? เย่ฉ่าวเฉินฉันเห็นพี่ชายฉัน” น้ำเสียงของมู่เวยเวยสั่นไปหมด
เย่ฉ่าวเฉินอึ้งไปสองวินาทีและถามเธอว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?คุณเห็นเขาที่ไหน?”
“ ฉันอยู่ร้านขนมหวานตรงถนนเฉินซี พึ่งเมื่อกี้เลยที่ฉันเห็นเขา ต้องเป็นเขาแน่ๆ” มู่เวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและพูดด้วยอารมณ์ค่อนข้างตื่นเต้น“ พี่ชายยังไม่ตาย เขายังไม่ตาย”
“ส่งตำแหน่งมาให้ผม ผมจะไปเดี๋ยวนี้” เย่ฉ่าวเฉินไม่รีรอแล้ววางสายไป
มู่เวยเวยส่งตำแหน่งให้เขา เธอกำโทรศัพท์มือถือแล้วนั่งเงียบๆสักพัก ก่อนที่เธอจะกลับสู่สภาวะปกติ พี่ชายยังไม่ตายจริงๆ
โอ้พระเจ้านี้เป็นข่าวดีมากๆ ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
“คนสวย รีบเช็ดน้ำออกเถอะจะได้ไม่เป็นหวัด” เจ้านายเอาผ้าขนหนูผืนใหม่มาให้เธอจากนั้นมู่เวยเวยก็กล่าวขอบคุณ ขณะที่กำลังคิดถึงฉากเมื่อกี้เธอก็เช็ดน้ำฝนออกจากใบหน้าและแขนของเธอ
ขนมหวานร้านนี้อยู่ห่างจากเย่ฮวางเพียงถนนสองสาย ดังนั้นเขาจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นมู่เวยเวยกระอักกระอ่วนสีหน้าของเธอดูกลัว“คุณอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง?”
ดวงตาของมู่เวยเวยสว่างไสวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เธอคว้ามือของเย่ฉ่าวเฉินมาจับไว้แล้วพูดว่า “ฉันเห็นเขา ต้องเป็นเขา ฉันไม่มีทางมองผิดคนแน่ๆ”
เย่ฉ่าวเฉินหันกลับไปขอน้ำร้อนจากพนักงานและเริ่มปลอบเธอ “คุณไม่ต้องรีบ ค่อยๆพูด”
มู่เวยเวยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เธอเห็นให้เย่ฉ่าวเฉินฟังอย่างตื่นเต้น
“คุณเห็นหน้าเขาไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างสงสัย
“ เห็น ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่กล้าแน่ใจขนาดนี้” มู่เวยเวยพูดอย่างหนักแน่น
“คุณเห็นป้ายทะเบียนรถไหม?รถอะไร?”
มู่เวยเวยส่ายหัว“ ฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นป้ายทะเบียนรถ หลังล้มลงรถก็ขับไปไกลแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินสะดุ้งและรีบก้มลงมองที่หัวเข่าของเธอ ปรากฏว่ามีรอยแผลแดงและบวมอย่างมาก“ เจ็บไหม?”
มู่เวยเวยยิ้ม“ ไม่รู้สึก”
เย่ฉ่าวเฉินเคาะที่หน้าผากของเธอเบาๆ เมื่อไหร่ที่เห็นมู่เทียนเย่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่สนใจความเจ็บปวดอะไรอีกเลย
แต่ว่าคนๆนั้นคือมู่เทียนเย่จริงๆหรือ? ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงนี้บริษัทมู่ซื่อมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ถ้ามู่เทียนเย่กลับมาจริง ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องทั้งหมดนี้ก็สามารถอธิบายได้
มู่เวยเวยเห็นเขาขมวดคิ้ว เธอคิดว่าเขาไม่เชื่อใจเธอและรีบเถียงอย่างกระวนกระวาย “ทั้งหมดที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง คุณไม่เชื่อฉันเหรอ?”
“ไม่ใช่ ผมต้องเชื่อคุณแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่า” เย่ฉ่าวเฉินหยุดชั่วคราวและพูดด้วยโทนเสียงต่ำ “ผมกังวลว่าถ้าคุณสามารถแปลงร่างเป็นฉู่เหยียนได้ จะเป็นไปได้ไหมว่ามีใครจะแอบอ้างเป็นมู่เทียนเย่?อีกอย่างจู่ๆเขาก็กลับมาทำไมเขาไม่มาหาคุณ?”
มู่เวยเวยตัวแข็งทื่อ สิ่งที่เย่ฉ่าวเฉินพูดดูสมเหตุสมผลเธอจึงสงบลง “ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ เพียงแค่หาเขาเจอ ฉันก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นเขาจริงหรือเปล่า”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าและพูดว่า “เพียงแค่เขาอยู่ในเมือง A ผมก็สามารถหาเขาเจอ” แต่เย่ฉ่าวเฉินกังวลเล็กน้อย ถ้าเป็นมู่เทียนเย่จริง เขาจะพามู่เวยเวยไปอีกไหม?
“ฮัดชิ้ว” เสียงจามดังขัดจังหวะความคิดของเย่ฉ่าวเฉิน เขาอุ้มมู่เวยเวยไว้ในอ้อมแขนและกระซิบว่า “เป็นยังไงล่ะ เป็นหวัดเลย”
มู่เวยเวยมองเขาอย่างไม่พอใจ“ท่าทีของคุณหมายความว่าไง? ฉันเห็นพี่ชายฉันจะให้ฉันนั่งอยู่ที่นี้เงียบๆโดยไม่วิ่งไปหาเขา?
“โอเคๆ ผมไม่เถียงคุณ กลับบ้านไปอาบน้ำอุ่นก่อนค่อยคุยกัน”
“อืม”
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เย่ฉ่าวเฉินก็ไปหาทีมตำรวจจราจรเพื่อตรวจสอบถนนส่วนนี้ แต่ฝนตกหนักเกินไปจึงมองเห็นแค่ร่างของผู้ชายและผู้หญิงเพียงรางๆเท่านั้น ส่วนป้ายทะเบียนมองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง
คฤหาสน์ในเขตชานเมืองทางทิศตะวันออก
มู่เทียนเย่วางสายจากลูกน้องแล้วไปที่โรงยิม เสี่ยวซีหร่านกำลังวิ่งบนลู่วิ่ง
“เป็นอะไรรึเปล่า?สีหน้าคุณดูไม่ค่อยโอเค”
“เย่ฉ่าวเฉินกำลังตามหาผม” มู่เทียนเย่ไม่ได้ปกปิดเธอ “ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาได้ข่าวมาจากไหน”
เสี่ยวซีหร่านรู้สึกว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร“ในเมือง A น่าจะมีคนไม่น้อยเลยที่รู้จักคุณ ไม่ช้าก็เร็วยังไงเขาก็ต้องรู้ เจอก็เจอสิคุณกังวลอะไร?”
“ก็ไม่ได้กังวลอะไร แต่บางครั้งการซ่อนตัวในที่มืดทำอะไรมันรู้สึกสะดวกกว่า” มู่เทียนเย่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเธอและถามเบา ๆ “คุณอยากกินอะไร?ดึกๆผมทำให้คุณกิน”
เสี่ยวซีหร่านมองเขาอย่างคาดไม่ถึง“คุณทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่หรอ?”
“ ผมดูตำราอาหารได้” มู่เทียนเย่รู้สึกภูมิใจเล็กน้อย
“ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ลำบากคุณแล้ว คุณทำอะไรฉันก็กินอันนั้นแหละ ฉันไม่เรื่องมาก” เสี่ยวซีหร่านวิ่งมาครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ลมหายใจของเขาก็ยังนิ่งมาก
มู่เทียนเย่หยิกแก้มเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม“ เลี้ยงง่ายจริงๆ”
เสี่ยวซีหร่านแตะมือเขาเบา ๆ และพูดว่า “ไว้หน้าคุณเฉยๆ”
“ ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ถอยไปเลย”
เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป
ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องมู่เทียนเย่ เย่ฉ่าวเฉินจึงไปพัวพันกับบริษัทมู่ซื่ออีกครั้ง
เรื่องเป็นแบบนี้พื้นที่หมู่บ้านในเมืองAมีหลังคาครัวเรือนในเขตหมู่บ้านและใจกลางเมืองจำนวนมาก หลังจากแผ่นดินไหวในเขตหมู่บ้านแทบจะไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ อย่างไรก็ตามใจกลางเมืองเกือบจะพังทลายลง โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นฟูรูปลักษณ์เก่าๆให้คืนกลับมา
ด้วยคลื่นลูกใหญ่ บ้านในเขตหมู่บ้านและใจกลางเมืองทั้งหมดได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยในเชิงพาณิชย์ บางส่วนขายให้กับฝ่ายขายภายนอกและบางส่วนก็แจกจ่ายให้กับผู้อยู่อาศัยที่นี่ตามทะเบียนบ้านและพื้นที่ดั้งเดิม
เนื่องจากในประเทศมีกองทุนพิเศษสำหรับการฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ ตราบใดที่วิศวกรรมไม่มีปัญหา การหาเงินหนึ่งร้อยล้านก็ไม่ใช่ปัญหา
เย่ฉ่าวเฉินเคยไปรับประทานอาหารกับผู้นำที่เกี่ยวข้องกับผู้ดูแลภายในเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง และให้ของขวัญไปไม่น้อยเช่นกัน ก่อนที่จะตกลงกับเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปเป็นการส่วนตัวเพื่อดำเนินโครงการใหญ่ในครั้งนี้
หลังจากได้รับการตอบรับจากเลขาจาง เย่ฉ่าวเฉินก็กลับมาประชุมกับฝ่ายวิศวกรรมอย่างเร่งรีบทันที เขาออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าต้องวางแผนโปรแกรมทั้งหมดให้เสร็จภายในสิบวัน
พนักงานทุกคนในแผนกวิศวกรรมยุ่งอยู่ในบริษัทเป็นเวลาสิบวันเต็มและวางแผนโปรแกรมได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับการสร้างชุมชนขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะมีกี่ครัวเรือน ประเภทบ้านเป็นแบบไหน สิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชนต่างๆ ในภาพวาดการออกแบบมีระบุไว้อย่างชัดเจน
แม้ว่าเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปจะได้รับข้อตกลงก่อนแล้ว แต่ขั้นตอนในการดำเนินการก็ยังคงดำเนินต่อไป ในวันที่มีการประมูลมีบริษัทหลายแห่งได้เข้าภายร่วมในงาน ตอนไมเคิลปรากฏตัวพร้อมกับทีมงานของเขา เย่ฉ่าวเฉินก็มีความกังวลเล็กน้อย
เมื่อแผนกก่อสร้างในเมืองประกาศบริษัทที่ได้รับชัยชนะการประมูล ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา แต่เขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์ของเขาเอาไว้จนถึงที่สุด
มู่ซื่อ มู่ซื่อ ครั้งสองครั้งถือเป็นเรื่องบังเอิญแต่นี้มันครั้งที่สามแล้ว ถ้าเขายังเชื่อว่านี้เป็นเรื่องบังเอิญ เขาก็คงเป็นคนที่โง่มาก
ไมเคิลเดินไปหาเย่เฉาเฉินด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขายิ้มและพูดภาษาจีนอย่างกวนประสาทว่า “ประธานเย่ ยอมรับได้แล้ว”
ในตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินอยากปาข้อมูลทั้งหมดลงบนใบหน้าเขา เขาพยายามทำตัวสุภาพและพูดว่า “ในช่วงเวลาสั้นๆแค่เดือนเดียวมู่ซื่อกินไปมากขนาดนี้ ไม่กลัวจะติดคอตายหรอ?”
ไมเคิลทำตัวซื่อบื้อและแสร้งทำเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องพร้อมกับถามว่า “ติดคอตายเหรอ?จะเป็นไปได้ไง ความกระหายของผมก็ปกติดีนิ แต่แค่กินไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยติดคอนะ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกโมโหอย่างมากจึงคว้าคอเสื้อไมเคิลไว้และถามด้วยสีหน้าที่เกรี้ยวกราด “ใครอยู่เบื้อหลังนาย? มู่เทียนเย่? เขายังไม่ตายนิ ทำไมไม่กล้าปรากฏตัวออกมา ทำตัวอย่างกับเต่าหัวหด”
ไมเคิลทำตาโตและถามอย่างไม่คาดคิดว่า “มู่?เขายังมีชีวิตอยู่หรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินโกรธมาก “มึงเสแสร้งให้มันน้อยๆหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะมันกลับมา งบกระแสเงินสดเยอะขนาดนี้ มึงมีปัญญารับผิดชอบหรอ?”
ไมเคิลแสร้งทำหน้างง “ประธานเย่ นายกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่?ผมฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่ดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายสักพัก จากนั้นก็ปล่อยมือออกไปด้วยความรอยยิ้มที่เยาะเย้ย “กลับไปบอกมู่เทียนเย่ ถ้าอยากรู้ข่าวเกี่ยวกับมู่เวยเวยน้องสาวของเขาทำตัวให้เหมือนผู้ชายแล้วมาหาฉันตรงๆ เลิกแอบๆซ่อนๆได้ละ”
ไมเคิลส่ายหัวและพูดอย่างโต้แย้งว่า “ประธานเย่ ผมว่าคุณต้องไปหาหมอแล้วแหละ อาการหลอนของคุณดูร้ายแรงมาก”
เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระกับเขาอีก จึงเดินออกไปด้วยความโกรธ
“ประธานเย่ ถ้าเจ้านายผมยังมีชีวิตอยู่และถ้าคุณหาเขาเจอรบกวนช่วยบอกเขาว่ารีบกลับมู่ซื่อ ยังมีอีกหลายเรื่องที่รอให้เขาตัดสินใจ”
เสียงตอบรับมีเพียงเสียงปิดประตูดังปัง
ไมเคิลยักไหล่แล้วเดินออกไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงานสองสามคนด้วยรอยยิ้ม
มู่เทียนเย่ฟังสิ่งที่ไมเคิลเล่าและเขย่าแก้วไวน์ในมือของเขาพร้อมกับพูดว่า “เขากำลังใช้วิธีก้าวร้าวเพื่อบังคับให้ฉันปรากฏตัว ฉันแค่อยากให้เขาใจร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใจร้อนมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีช่องโหว่มากขึ้นเท่านั้นและผลประโยชน์ของเราก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน”
“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ทำโครงการปัจจุบันให้ดี ห้ามมีข้อบกพร่องในส่วนที่ทำกำไรในการซื้อขาย รักษาสภาพที่เป็นอยู่เอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง”
“ได้ครับมู่”
เสี่ยวซีหร่านกระโดดขึ้นบนโซฟาพร้อมกับแก้วไวน์แล้วรอเขาวางสายจึงถามว่า “คนที่ฉันแนะนำให้รู้จักใช้งานง่ายไหม?”
มู่เทียนเย่และเธอชนแก้วไวน์เบา ๆ “ คุณเป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมจริงๆ คนนั้นใช้งานง่ายมาก บดขยี้เย่ฉ่าวเฉินด้านหลังเวทีได้อย่างราบคาบ”
“ ฉันแค่เป็นคนเชื่อมสะพานให้พวกคุณแค่นั้น เป็นเพราะคุณมีความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนอื่น ทำให้เขายอมรับในตัวคุณ” คนที่เสี่ยวซีหร่านพูดถึงเป็นผู้นำของจังหวัด
ผู้นำไม่ชอบดื่มเหล้า ไม่ชอบผู้หญิงสวยๆ เขาอายุมากแล้วแต่กลับชอบผจญภัย มีครั้งหนึ่งในระหว่างปีนหน้าผา ผู้นำเกือบตกหน้าผาเป็นเพราะเสี่ยวซีหร่านคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเขาตลอดทางและในที่สุดก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาสำเร็จ
ดังนั้นเขาจึงสัญญาว่าหากเสี่ยวซีหร่านมีปัญหาอะไรในอนาคต สามารถมาหาเขาได้หากเขาสามารถช่วยได้ก็ยินดีที่จะช่วย
ตอนนั้นเป็นแค่เรื่องตลกที่พูดขึ้นมาเท่านั้น ไม่คิดมาก่อนว่าคำสัญญานี้จะได้ใช้ขึ้นมาจริงๆ มู่เทียนเย่เคยได้ยินจากคนรอบตัวว่าผู้นำชอบการประดิษฐ์ตัวอักษรอย่างมาก คืนก่อนนั้นเขาได้กลับไปที่คฤหาสน์แล้วพบต้นฉบับของหวังซีจือด้านล่างกล่องจึงส่งไปให้เขา
ด้วยวิธีนี้ที่ว่างระหว่างการจัดสวนในเมืองและการสร้างที่อยู่อาศัยในงบประมาณประหยัดสองส่วนนี้จึงตกอยู่ในมือของมู่เทียนเย่
เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป
เลขาหลิวยืนตัวสั่นอยู่ที่ประตูหน้าห้องทำงานของประธาน เสียงข้าวของแตกกระจุยกระจายดังมาจากข้างในไม่หยุด เย่ฉ่าวเฉินกำลังระบายความโกรธเพื่อไม่ให้เกิดลูกหลง เลขาหลิวจึงหยุดการรายงานของหลายคนเอาไว้
รองประธานและผู้อำนวยการหลายคนมองดูเลขาหลิวส่ายหัว จากนั้นก็ฟังเสียงที่ดังออกมาจากในห้องพวกเขาก็พากันวิ่งหนีกันหมด ทุกคนต่างไม่ใช่คนโง่ เย่ฉ่าวเฉินกำลังโมโหอย่างสุดขีด ไม่ว่าใครก็ตามที่มาขัดจังหวะก็ต้องตายอย่างราบคาบ
เขาปาข้าวของเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เลขาหลิวคิดอย่างเศร้าๆว่าเย็นนี้จะต้องวิ่งหาเฟอร์นิเจอร์ต่างๆจนขาลากอีกแล้ว
เลขาหลิวไม่มีทางเลือกจึงโทรหาฉู่เหยียน “คุณฉู่ ต้องขอโทษจริงๆรบกวนคุณมาที่สำนักงานของประธานสักครู่ได้ไหม?”
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เวยเวยถาม
ในความไม่แยแสของเลขาหลิวมีความกังวลใจเล็กน้อยปนอยู่ “ เมื่อเช้าประธานเย่และคนอื่นๆไปประมูล แต่เดิมกำหนดไว้แล้วว่าเย่ฮวางเป็นฝ่ายชนะ ไม่คิดเลยว่าตอนเปิดประมูลวันนี้ เขาให้ส่วนที่เป็นประโยชน์มากที่สุดกับบริษัทมู่ซื่อ ประธานเย่กลับมาด้วยความโกรธ เริ่มลงมือปาข้าวของทันทีที่เข้ามาในสำนักงาน ตอนนี้ก็ยังปาไม่หยุด … ”
“อ้อ ฉันรู้แล้วจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้”
ไม่กี่นาทีต่อมา เมื่อเลขาหลิวเห็นมู่เวยเวยเขาก็โล่งใจ “คุณฉู่ มาแล้ว” ทันทีที่ทักทายเสร็จ เขาก็ได้ยินเสียง “ปัง” ไม่รู้ว่ามีอะไรพังอีกแล้ว
มู่เวยเวยถอนหายใจแล้วพยักหน้าให้เลขาหลิว จากนั้นก็เคาะประตูห้องทำงานของประธานสองสามครั้ง
“ออกไป!” เย่ฉ่าวเฉินตะโกนอย่างรุนแรง
มู่เวยเวยพูดเบาๆว่า “ฉันเอง ฉันเข้าไปนะ”
พอผลักเปิดประตูเข้าไปก็พบกับข้าวของข้างในที่ยุ่งเหยิงไปหมด เศษชิ้นส่วนต่างๆกระจักกระจายอยู่เต็มพื้น เมื่อวานนี้ยังมีเอกสารวางอยู่เต็มโต๊ะแต่ตอนนี้ทุกอย่างว่างเปล่า เอกสารทั้งหมดปลิวไปทั่วพื้นจนเกือบคลุมพื้นทั้งหมด แม้กระทั่งคอมพิวเตอร์เองก็นอนอยู่บนพื้น
“คุณไม่ต้องสนใจผม ผมระบายความโกรธออกมาหมดทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง” เย่ฉ่าวเฉินเอนหลังอยู่บนเก้าอี้เจ้านายและกำลังหลับตาพร้อมกับพูดอย่างหดหู่
มู่เวยเวยเดินผ่านชิ้นส่วนและแฟ้มเอกสารต่างๆแล้วเดินไปหยุดลงตรงหน้าเขา จากนั้นก็วางมือลงบนขมับของเขาแล้วค่อยๆนวด “ได้ยินมาว่าเสียไปสองโครงการ?”
“อืม” เย่ฉ่าวเฉินยังคงโมโห เขาไม่อยากให้มู่เวยเวยเห็นตัวเองเป็นแบบนี้
ผู้หญิงคนนั้นถามอีกครั้งว่า “ถูกมู่ซื่อฉวยไปหรอ?”
“อืม”
“ แล้วคุณโกรธอะไร?นั่นมันบริษัทของเรา”
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ “ถ้าคุณเป็นประธานบริษัท ผมจะเสนอโครงการเหล่านี้ด้วยมือทั้งสองข้างเลย แต่ตอนนี้มู่ซื่ออยู่ในมือของใคร?”
“ อยู่ในมือใครแล้วมันแตกต่างกันยังไง?ตราบใดที่ชื่อนี้และบริษัทนี้ยังอยู่ ใครเป็นผู้จัดการหรือใครเป็นประธานแล้วยังไง?ต่างก็เป็นการสร้างมูลค่าเหมือนกันหมด”
เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจยิ่งขึ้น“จู่ๆคุณก็คิดแบบนั้นได้?”
“ เพราะฉันไม่มีความคิดทางธุรกิจและฉันไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ดังนั้นก็ต้องคิดได้อยู่แล้วนิ” มู่เวยเวยจำบางอย่างได้และพูดต่อ“ ฉันคิดว่าทีมที่พี่ชายฉันหามาได้ถือว่าไม่เลว แม้ว่าฉันจะหายตัวไปแต่ทุกๆเดือนก็ยังมีเงินจำนวนหนึ่งเข้ามาในบัญชีของฉันตลอด ”
“หืม?ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“อืม อีกอย่างจำนวนก็น่าทึ่งทีเดียว น่าจะจัดการตอนที่พี่ชายฉันส่งฉันไป … ”
พอพูดถึงอดีต ทั้งสองคนก็เงียบลงเล็กน้อย ความโกรธของเย่ฉ่าวเฉินก็ลดลงมาก เขาพูดเบาๆว่า“ จริงๆแล้วผมไม่โกรธที่ไม่ได้สองโครงการนี้มาครอบครอง ผมไม่สามารถครอบครองให้อยู่ภายใต้อำนาจของผมอยู่แล้ว ถ้าแผนของพวกเขาดีกว่าผม ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดและเต็มใจที่จะยอมแพ้ แต่พนักงานของผมทำงานอย่างหนักมากว่าครึ่งเดือน แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์เท่าคำพูดของคนอื่นแค่ไม่กี่คำ คุณว่าโลกนี้มันเลวร้ายขนาดไหนล่ะ ”
มู่เวยเวยยิ้มอ่อนๆ “ ตอนนี้คุณเริ่มถึงช่วงที่ต้องปล่อยวางจิตใจบ้างแล้ว นักธุรกิจอย่างพวกคุณเพียงเพื่ออยากมีอำนาจในมือแค่นั้น พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่ออยากมีมิตรภาพที่ดีกับคนอื่นๆ กลับกันตอนนี้ทุกอย่างบนโลกกลับแปลกประหลาดไป ฉันว่าโลกนี้ถูกทำลายโดยนักธุรกิจอย่างพวกคุณนั้นแหละ”
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึงกับคำพูดของเธอและกุมมือเล็กๆของเธอไว้ “คุณมาปลอบผมหรือมาต่อต้านผมกันแน่?ทำไมฟังดูเหมือนกำลังหลอกด่าผม?”
มู่เวยเวยหันกลับมาและเอนตัวลงบนโต๊ะแล้วแกล้งเขา“ คุณทุบข้าวของไปมากมายขนาดนี้แล้ว ยังไม่สบายใจขึ้นมาเหรอ?เอาล่ะ ฉันว่าตอนนี้คุณคงจะทำอะไรไม่ได้แล้วแหละ เลิกงานก่อนเวลาแล้วกัน หรือไม่ฉันไปดื่มเบียร์ที่ร้านเหล้าเป็นเพื่อนคุณ? ”
“ระดับการดื่มของคุณ ผมกลัวว่าคุณจะร้องเพลงถนนโค้งที่สิบแปดบนภูเขาอีกนะสิ” เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ มันดูร้ายแรงกว่าแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดอีก เขาขยี้คิ้วอย่างหงุดหงิดและพูดว่า “ไป ผมจะพาคุณไปขับรถขึ้นบนยอดเขา”
“ถ้าอย่างนั้นฉันต้องคาดเข็มขัดนิรภัยดีๆแล้วแหละ ถ้าคุณเป็นบ้าขึ้นมา ฉันอาจจะรอดพ้นก็ได้”
เย่ฉ่าวเฉินโน้มตัวไปข้างหน้าเธอพร้อมกับจ้องตาเธอแล้วพูดว่า “ถ้าผมอยากตาย ผมจะพาคุณไปด้วยแล้วจัดงานศพพร้อมกัน ผมไม่ทิ้งคุณแล้วปล่อยให้คุณไปหาผู้ชายคนอื่นหรอก”
มู่เวยเวยตกตะลึงกับความดุร้ายในดวงตาของเขา เขายังคงพูดต่อและฟังเขาพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่ชีวิตนี้เพิ่งเริ่มต้น วันดีๆของเรากำลังจะมาถึง ผมไม่ยอมตายง่ายๆหรอก”
มู่เวยเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดันเขาให้ห่างออกไปและพูดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบว่า “ไปกันเถอะ”
หลังจากออกจากที่ทำงาน เย่ฉ่าวเฉินอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาเดินไปที่ห้องทำงานของเลขาและพูดว่า “เลขาหลิว ทำความสะอาดด้านในหน่อย”
“ค่ะ” เลขาหลิวตะโกนในใจ ในที่สุดเจ้านายก็เป็นปกติแล้ว คุณฉู่ออกโรงคนเดียวแต่ปราบได้ตั้งสาม ต่อไปคงต้องดูให้ดีว่าใครต่างหากที่เป็นคนที่เก่งจริง
ตั้งแต่เห็นมู่เทียนเย่ในวันนั้น มู่เวยเวยก็มีความคิดในใจ สัญชาตญาณของผู้หญิงบอกเธอว่าคนนั้นต้องเป็นพี่ชายของเธอแน่ๆ
เธอรีบร้อนอย่างมากเพราะต้องการหาพี่ชายให้เจอ เธอจึงขอให้เย่ฉ่าวเฉินหารถให้
“คุณไปคนเดียวไม่ปลอดภัย ผมให้จางเห่อไปกับคุณ” เย่ฉ่าวเฉินไม่ปฏิเสธ การตามหามู่เทียนเย่ก็เป็นความปรารถนาที่เร่งด่วนของเขาเช่นกัน ถ้าเขายังชีวิตอยู่จริงๆ สิ่งที่เวยเวยไม่พอใจเขาก็คงจะลดน้อยลงเช่นกัน
เขารู้ดีแม้ว่ามู่เวยเวยจะเคยบอกว่าความคับแค้นใจของเธอถูกกำจัดไปแล้ว แต่นั้นมันพี่ชายแท้ๆของเธอ ปมในใจของเธอยังไม่คลี่คลาย
“ก็ดีเหมือนกัน บอกตามตรงว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่นานแล้ว ฉันไปคนเดียวก็กลัวเหมือนกัน” มู่เวยเวยจะไปหาตามคฤหาสน์และอพาร์ตเมนต์หลายๆแห่ง บางทีอาจจะพบเบาะแสบางอย่างก็ได้
“มีเรื่องอะไรก็โทรหาผม”
“โอเค ฉันรู้แล้ว”
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ มู่เวยเวยออกเดินทางไปพร้อมกับจางเห่อ
…
ในเมือง A ตระกูลมู่มีอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก เพียงคฤหาสน์ก็มีถึง 4 หลัง ภายใต้ชื่อพ่อแม่ของพวกเขาสองหลังและชื่อมู่เทียนเย่กับมู่เวยเวยอย่างละหนึ่งหลัง หลังจากพ่อแม่ของพวกเขาจากไปคฤหาสน์ทั้งสองหลังก็ตกเป็นของทั้งสองพี่น้อง บ้านที่มู่จางรุ่ยเคยครอบครองอยู่ก่อนหน้านี้เป็นของมู่เทียนเย่และมันก็ถูกต้องแล้วที่จะไล่พวกเขาออกไป
เธอยืนอยู่ในสถานที่ที่เธอเกิดและเติบโตมา มู่เวยเวยเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันเพราะตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว สนามหญ้ารกเต็มไปหมดและใต้ชายคาบ้านก็เต็มไปด้วยใยแมงมุม
นี้ก็พึ่งไม่นาน สถานการณ์ทุกอย่างก็ดูร้างไปหมด
“ คุณฉู่ คุณจะเข้าไปไหม?” จางเห่อถาม
เมื่อมองเข้าไปข้างในผ่านประตูเหล็กเล็กๆ มู่เวยเวยก็ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ต้องเข้าไปหรอก เห็นมอสบนบันไดขึ้นหนามากขนากนี้ ถ้าพี่ชายฉันเข้าออกที่นี้บ่อยๆเขาก็ต้องทิ้งรอยเท้าไว้”
จางเห่อมองตามเธอและเห็นว่ามอสสีเขียวขึ้นหนาแน่นมากอีกทั้งยังไม่มีร่องรอยของการถูกเหยียบ
ต่อมาก็ไปดูตามคฤหาสน์และอพาร์ทเมนท์อื่นๆ ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเลย แม้ว่าจะมีก็ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นที่ตกลงมาใหม่
มู่เวยเวยรู้สึกใจหายเล็กน้อย
“ คุณฉู่ เป็นไปได้ไหมว่าคุณไม่รู้ว่าพี่ชายคุณซื้อทรัพย์สินเป็นการส่วนตัว”
มู่เวยเวยถอนหายใจ “ฉันก็เคยคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่คุณพูดถึง แต่ถ้าเป็นการซื้อแบบส่วนตัวฉันจะรู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ที่ไหน?”
“ค่อยๆหาเถอะ ตราบใดที่เขายังอยู่ในเมืองA ยังไงก็หาเจอ”
ประโยคนี้ของจางเห่อฟังดูอ่อนแรง มู่เวยเวยจ้องมองออกไปที่ทิวทัศน์นอกรถอย่างเหม่อลอย
พี่ชายอยู่ที่ไหนกันแน่?
“ฮัดชิ้ว” มู่เทียนเย่ขับรถและจามโดยไม่มีสาเหตุ เสี่ยวซีหร่านนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับกำลังเล่นเกมมือถือและยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “ฉันได้ยินคนพูดกันว่า จามหนึ่งครั้งคือมีคนกำลังคิดถึงคุณ มู่เทียนเย่สาวน้อยคนไหนที่กำลังคิดถึงคุณนะ”
“ ไม่ใช่คุณเหรอ?” มู่เทียนเย่ถามเธอกลับ
“คุณอยู่ข้างๆฉันนี้เอง ฉันจะคิดถึงคุณทำไมล่ะ?เยส!” เสี่ยวซีหร่านส่งเสียงไชโย
มู่เทียนเย่เหลือบมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ของเธอ “ชนะแล้ว?”
เสี่ยวซีหร่านขยับกระดูกสันหลังส่วนคอของเธอ“ แน่นอนสิ ชนะพวกมือใหม่นั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อย”
“ คุณผู้หญิงเสี่ยว ผมว่าคุณเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเกมจนคำพูดคำจาฟังดูแย่ขึ้นเยอะเลยนะ”
เสี่ยวซีหร่านหัวเราะและพูดว่า “ไม่มีทางเลือก พวกนี้พูดจาสกปรกจนทำให้ฉันดูดซึมคำพูดของพวกเขามาหมดแล้ว”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของเธอ มู่เทียนเย่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เดิมเธอเป็นนกฟีนิกซ์ที่รักอิสระเธอไปได้ทุกที่ที่เธอต้องการ แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นนกขมิ้นที่อยู่ในกรงกับเขาอย่างเต็มใจ
“คุณเอาแต่มองฉันแบบนี้ทำไม?มองไปที่ทางข้างหน้าสิ”
มู่เทียนเย่ละสายตาจากเขาและถามอย่างจริงจัง“อาหร่าน เป็นไปได้ไหมที่คุณจะคิดว่าอยู่เคียงข้างผมมันทำให้รู้สึกน่าเบื่อเกินไป?
“ฉันว่ามันดีออก ชีวิตแบบนี้ดูธรรมดามากแต่ฉันมีความสุขได้ด้วยตัวเอง นอนหลับและตื่นเองตามธรรมชาติ วิ่งออกกำลังกาย เล่นเกม ฉันรู้สึกสนุกกับชีวิตแบบนี้มาก ถ้าวันไหนฉันเบื่อคุณก็แค่พาฉันออกไปบ้างทุกอย่างก็จะฟื้นกลับมาทันทีเหมือนได้ชาร์จพลังอย่างเต็มเปี่ยม”
“มันก็จริง” ยังไงเขาก็ไม่ยอมทิ้งเธออยู่ดี
เมื่อรถแล่นผ่านร้านขนมหวานเสี่ยวซีหร่านรีบพูดว่า “จอดรถ ฉันอยากกินเค้ก”
มู่เทียนเย่จอดรถไว้ข้างทางและพูดว่า “คุณอยากกินรสอะไร?ผมไปซื้อให้คุณ”
“ไม่ต้อง ฉันจะไปเลือกเอง เดี๋ยวก็กลับมา” ระหว่างที่เสี่ยวซีหร่านพูดก็ปลดเข็มขัดนิรภัยของเขาและลงจากรถ
ทันทีที่เดินเข้าไปในร้านขนมหวานเสี่ยวซีหร่านก็เห็นคนรู้จัก “อาหร่าน ทำไมคุณมาอยู่ที่นี้ได้?”
มู่เวยเวยหันกลับไปอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจึงทักทายด้วยความยินดี”ซีหร่าน เธอมาที่เมือง A ตั้งแต่เมื่อไหร่?”