“ฉัน……ตอนบ่ายฉันพึ่งมาถึง”เสี่ยวซีหร่านมีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ น้อยครั้งมากที่เธอจะพูดโกหกโดยเฉพาะกับเพื่อน
“อย่างนั้นหรอ?ถ้างั้นตอนเย็นวันนี้มาเจอกันหน่อยไหม?ตอนเย็นพวกเรามาทานข้าวกัน ครั้งก่อนนี้ขอโทษมากๆ ที่ฉัน……”
เสี่ยวซีหร่านได้พูดตัดประโยคของเธอ“เย็นวันนี้ไม่ได้ ฉันมีนัดคุยธุระกับคนอื่นแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ฉันมาเมืองAและอยู่ที่นี่นานหน่อย ประมาณสองวันจากนี้ ฉันก็ทำธุระเสร็จเกือบหมดแล้วไว้ฉันจะโทรหาเธอนะ”
มู่เวยเวยรู้สึกดีใจมากๆ และดูเหมือนว่าเรื่องที่หดหูใจของวันนี้จะถูกกลืนหายไปจดหมด“ก็ได้ๆ เธอต้องไม่ลืมนะ”
“แน่นอน เธอซื้ออะไรหนะ?”เสี่ยวซีหร่านมองพนักงานขายหยิบเอาของขวัญกล่องเล็กๆส่งมาให้กับมู่เวยเวย เธอจึงถามด้วยความสงสัย
“เค้กเกาลัด เธอล่ะจะซื้ออะไร?”
เสี่ยวซีหร่านก้มหน้าลงมองดูสินค้าหลากหลายอย่างที่อยู่ในตู้กระจกใส ทุกชิ้นชวนให้น้ำลายไหล แต่เลือกไม่ถูกเลยว่าต้องการชิ้นไหน “เธอแนะนำให้สักอย่างสิ กับร้านนี้ฉันไม่ค่อยมีความรู้เท่าไร”
มู่เวยเวยถือว่าเป็นผู้มีความชำนาญทางด้านขนมหวาน เธอชี้ไปที่เค้กที่ดูประณีตที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับพูดว่า“นี่คือเค้กช็อกโกแล็ต รสชาติเข้มข้นมีความขมฝาดปนอยู่เล็กน้อย นี่คือชีสเค้ก ทานไปแล้วให้ความรู้สึกละมุนอยู่ในปาก ส่วนชิ้นนี้เป็นเค้กผลไม้ เธอลองดูสิที่ด้านในของมันมีสตอเบอรี่ ลูกท้อ คุกกี้และอื่นๆมากมายแทรกอยู่เป็นชั้นๆ เมื่อเอาช้อนตักลงไปในหนึ่งคำก็จะรวมส่วนผสมทั้งหมดไว้ด้วยกัน……”
ตอนที่มู่เวยเวยพูดแนะนำเค้กไปสี่ถึงห้าอย่าง เสี่ยวซีหร่านที่ฟังอยู่ก็รู้สึกว้าวๆขึ้นมาด้วยความเซอร์ไพรส์ แม้แต่เจ้าของร้านก็มีความรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าจะมีลูกค้าที่เข้าใจขนมหวานของร้านได้ดีขนาดนี้
“เป็นอย่างไรบ้าง?อยากทานอันไหน?”มู่เวยเวยมีความรู้สึกเต็มไปด้วยความสนใจ
เสี่ยวซีหร่านชี้ไปในตู้และพูดขึ้นว่า“ต้องการเค้กช็อกโกแล็ตและเค้กผลไม้กลับบ้านค่ะ”
“ตกลง กรุณารอสักครู่”
เสี่ยวซีหร่านมองมู่เวยเวยด้วยความสงสัย “ไม่นึกเลยว่าเธอจะเข้าใจเรื่องขนมหวานได้มากถึงเพียงนี้”
มู่เวยเวยรู้สึกเขินๆอยู่นิดๆ“ฉันชอบทานขนมหวาน ดังนั้นจึงมีความรู้เรื่องนี้อยู่มาก”
“ช่วงนี้เธอกำลังยุ่งอยู่กับงานอะไรอยู่?”
“ไม่มีนะ อ่อใช้แล้ว ฉันเข้าร่วมการแข่งขันงานออกแบบเสื้อผ้าระดับประเทศ ตอนนี้ผ่านรอบการคัดเลือกแล้ว จึงยุ่งๆอยู่กับการคิดออกแบบอยู่”
“ยินดีด้วย ” เสี่ยวซีหร่านพูดชื้นชมด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจ
ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ขนมเค้กก็ห่อเสร็จ เสี่ยวซีหร่านทำการจ่ายเงิน จากนั้นก็ออกจากร้านขนมเค้กพร้อมกัน
“ฉันไปก่อนล่ะ มีอะไรก็ติดต่อมา”เสี่ยวซีหร่านโบกมือลาเธอ
มู่เวยเวยมองเห็นรถเก๋งคันสีดำที่จอดอยู่ข้างทาง เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมกับถามขึ้นว่า“เป็นเพื่อนคนนั้นของเธอหรือเปล่า?”
เสี่ยวซีหร่านยอมรับอย่างเต็มอก“อืม เขานั่นแหละ”
“ฉันเจอเขาได้ไหม?อยากเห็นชัดๆว่าเขามีรูปร่างหน้าตายังไง”มู่เวยเวยขอร้องเขย่าไปที่แขนของเธอพร้อมกับเอาศีรษะคลอเคลียที่ไหล่ของเธอ
แน่นอนว่าเสี่ยวซีหร่านต้องปฏิเสธ“อย่างนี้เกรงว่าจะไม่ได้ เขาไม่ชอบเจอคนแปลกหน้า ถ้าหากว่าเธอปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างกะทันหัน เขาก็คงจะโกรธมากแน่ๆ,”
มู่เวยเวยมองเธอด้วยรู้สึกตกใจ “ซีหร่าน นึกไม่ถึงว่าเธอจะกลัวผู้ชายคนหนึ่งโกรธ?”
เสี่ยวซีหร่านค่อยๆใช้สองมือของเธอตบเบาๆที่ใบหน้าของมู่เวยเวย“เอาล่ะ อย่างมาพูดหว่านล้อมฉันเลย รอให้เวลาเหมาะสม เธอก็จะพบเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติเอง”
มู่เวยเวยรู้สึกผิดหวังพร้อมกับทำท่ายักไหล่ “อย่างนั้นฉันจะรอเธอโทรมานะ ไปก่อนล่ะ บายๆ”
“บายๆ”
เมื่อกลับถึงรถ เสี่ยวซีหร่านเอาขนมเค้กที่ซื้อมาวางไว้ตรงที่นั่งทางด้านหลัง พอรถเคลื่อนที่มู่เทียนเย่จึงถามเธอขึ้นว่า“เมืองAเล็กมากๆเลยหรอ มาที่นี่ก็สามารถเจอได้”
เสี่ยวซีหร่านยิ้มพร้อมกับตอบกลับว่า“ใช้แล้ว ฉันก็รู้สึกว่ามันช่างบังเอิญจริงๆ สาวน้อยยังเอะอะที่อยากจะมาดูความเทพของคุณด้วยนะ แต่ถูกฉันหยุดไว้ได้ก่อน”
“อะไรคือความเทพล่ะ?”
“รูปร่างหน้าตา”เสี่ยวซีหร่านยื่นมือออกไปจับที่ปลายคางของเขาพร้อมกับยิ้ม “อันที่จริงที่ฉันชอบคุณก็เพราะใบหน้านี้ของคุณ”
“หา? อย่างนั้นฉันต้องขอบคุณพ่อแม่ของฉันที่ให้ใบหน้านี้กับฉันมาและทำให้เกิดเธอเกิดความชื่นชอบขึ้น ”
“ดังนั้นก็ต้องดูแลมันดีๆนะ หากว่าวันไหนเกิดดูไม่หล่อขึ้นมาล่ะก็ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะไปชอบผู้ชายคนอื่นก็เป็นได้”
มู่เทียนเย่ฉีกยิ้มเล็กน้อย “เธอยอมแพ้ซะเถอะ เธอหาไม่เจอแล้วล่ะ”
“อวดดีนะ”
ไม่ไกลจากตรงนั้น มู่เวยเวยใช้สายตามองรถคันนั้นค่อยๆจากๆไป สมองของเธอค่อยๆนึกขึ้นมาได้ว่าวันที่ฝนตกหนักวันนั้นดูเหมือนว่าเคยเห็นรถที่รูปร่างลักษณะแบบนี้……
บ้าแล้วๆ มู่เวยเวยส่ายหน้าไปมา เธออาจจะคิดมากไป รถเล็กสีดำที่ลักษณะแบบนี้บนท้องถนนก็มีมากมายถมเถไป
ตอนที่กลับมาถึงคฤหาสน์ เย่ฉ่าวเฉินก็เลิกงานและกลับมาบ้านแล้ว
เรื่องที่เธอเล่ามาวันนี้เป็นเรื่องที่เย่ฉ่าวเฉินพอจะเดาได้ เพราะว่าวันนั้นที่ฝนตก เขาให้คนไปที่บ้านตระกูลมู่ตรวจดูทุกๆห้องแล้ว ดังนั้นจึงอนุญาตให้เธอไปดูที่บ้านได้ด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากให้เธอเข้าใจผิดในตัวเขาเอง
แต่แปลกตรงที่ นึกไม่ถึงว่าท่าทางของเธอจะไม่ได้ดูว่าเศร้าเสียใจเท่าไหร่ เมื่อถามถึง จึงรู้ว่าเธอพบกับเสี่ยวซีหร่านแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินเม้มปากแน่นไม่พูดไม่จาอะไร ผู้หญิงที่น่ารำคาญคนนี้ทำไมถึงได้มาที่เมืองAอีกแล้วล่ะ?
ผ่านการลงมือก่อสร้างมาแล้วห้าเดือน สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดของเมืองAกำลังจะสร้างเสร็จแล้ว เพื่อเป็นการส่งมอบงานที่สมบูรณ์แบบ เกือบจะทุกวันที่เย่ฉ่าวเฉินและฉู่เซวียนหมกมุ่นอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้าง
ถึงอย่างนั้น เรื่องที่เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกกังวลใจมากที่สุดวันนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
คนงานคนหนึ่งได้ตกลงมาจากนั่งร้านสูง แล้วเสียชีวิตคาที
เย่ฉ่าวเฉินและฉู่เซวียนรีบบึ่งไปยังสถานที่เกิดเหตุ ศพล้วนมีแต่เลือดเต็มไปหมด สมองกระแทกพื้นเละ น่าสยดสยอง
เย่ฉ่าวเฉินรีบตัดสินใจโดยทันที เขาเรียกคนงานทั้งหมดมารวมตัวกัน และพูดกับหัวหน้าผู้ดูแลว่า“รีบติดต่อครอบครัวของคนที่ประสบเหตุ พวกเรามาร่วมปรึกษาหารือกันอย่างส่วนตัว ยังมีอีก อย่าให้ลูกน้องของคุณพูดมากไป ไม่ว่าใครจะมาถาม ก็ตอบไปว่าไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะพวกสื่อมวลชน”
“ทราบแล้วประธานเย่”
เย่ฉ่าวเฉินพูดกับหัวหน้าแผนกวิศวกรรมเฉินข่าย“ใครก็ไม่สามารถให้เข้ามาได้ อีกเรื่องก็คือให้แจ้งกับห้องจัดงานศพทราบและรีบเคลื่อนย้ายศพออกไป”
“ครับ ประธานเย่”
ฉู่เซวียนรอให้เขาจัดการขั้นตอนต่างๆเสร็จเรียบร้อย จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า“หรือว่าไม่ควรจะแจ้งตำรวจให้ทราบเรื่องหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินชำเลืองตามองเขาหนึ่งครั้ง“ตำรวจยุ่งจะตาย พวกเราไม่อยากให้เขามีงานยุ่งมากยิ่งขึ้น”
“แต่ว่า เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องชีวิตของคน……”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเย็นชาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ประธานฉู่ คุณไม่เข้าใจในการจัดการตามขั้นตอนของที่นี่ ที่นี่หนะ หากว่าปกปิดให้เป็นส่วนตัวได้ก็ต้องปกปิด หรือว่าที่โรงพยาบาลมีคนตายหนึ่งคนก็ต้องแจ้งให้ตำรวจทราบล่ะ?อีกแค่สามวันสวนสนุกแห่งนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว มาจนถึงขั้นนี้แล้วฉันไม่อยากจะให้มันเป็นข่าวใหญ่ ชั่งอัปมงคลเสียจริงเลย”
ฉู่เซวียนจำใจ เพราะเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆนั้นแหละ แต่ว่าเขากับเย่ฉ่าวเฉินก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ก่อนที่จะทำการเปิดสถานที่นี้ ไม่อยากให้มีข่าวเชิงลบออกมา
เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่ในที่เกิดเหตุอยู่สักพัก ประกันได้เข้ามาพบ จากนั้นเขาได้โทรศัพท์หาเพื่อนที่เป็นนักตรวจสอบ
“เว่ยจื่อ คนที่ไซต์งานก่อสร้างของผมเสียชีวิตหนึ่งราย ผมอยากแจ้งให้คุณทราบก่อน หากว่ามีคนเข้าไปหาคุณทางนั้น ช่วยส่งข้อความบอกผมด้วย”
“เสียชีวิตยังไง?”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่นั่งร้านที่มีความสูงสิบกว่าเมตรและพูดว่า“ตกลงมาจากที่สูง ตายคาที่”
“ได้ ฉันทราบแล้ว”
คนที่เสียชีวิตไม่ใช่คนในพื้นที่ ญาติของเขาหลังจากที่ได้ทราบข่าวก็รีบมาจากบ้านเกิดเข้ามาที่เมือง A เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ทำการออกหน้า แต่จัดการให้เฉินข่ายไปรับหน้าพูดคุย ไม่ว่าจะต่อรองอะไร หากว่าไม่เป็นการมากเกินไป ก็สามารถรับข้อเสนอไว้ได้ทั้งหมด
เย่ฉ่าวเฉินกับฉู่เซวียนนั่งรอข่าวที่ไซต์งานก่อสร้าง สามชั่วโมงหลังจากนั้น เฉินข่ายก็โทรศัพท์มาหา
“ประธานเย่ ทางครอบครัวเขาได้เรียกร้องเงินชดเชยเป็นจำนวนหกล้านบาท นอกจากนั้นก็ยังต้องการที่ให้เราหางานให้กับลูกชายของเขาด้วย”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยจะชอบการที่มาถ่วงเวลา และปัญหาที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น
“บอกพวกเขาว่า ชดเชยให้ทั้งหมดเจ็ดล้านห้า เรื่องอื่นไม่ขอยุ่งเกี่ยว นี่เป็นข้อเสนอสุดท้าย”
“ตกลง”
และเมื่อเฉินข่ายกลับไปคุยกับทางครอบครัวผู้เสียชีวิตอยู่นาน เขาก็ได้โทรศัพท์กลับมาว่า ทางครอบครัวตกลงรับข้อเสนอนี้
“ได้ รีบจัดการเผาศพคนตายได้เลย และรีบส่งครอบครัวผู้เสียชีวิตกลับไป ขอเลขที่บัญชีหนึ่งบัญชี ฉันต้องการที่จะโอนเงินให้พวกเขาไปวันนี้เลย”
นับตั้งแต่เกิดเรื่องจนจัดการเรื่องเสร็จเรียบร้อย ใช้เวลาเพียงแค่สิบชั่วโมง เรื่องของคนงานผู้นี้ราวกับว่าระเหยไปเหมือนกับไอน้ำ ร่องรอยอะไรก็ไม่ได้หลงเหลือไว้
คิดว่าเรื่องนี้จะผ่านเลยไปได้โดยเรียบง่ายอย่างนั้นหรอ
ไม่นึกเลยว่าตอนเช้าของวันที่สอง ข่าวโด่งดังในอินเตอร์เน็ตเรื่องคนในไซต์งานก่อสร้างของสวนสนุกเสียชีวิตจะเป็นข่าวดัง ยังมีรูปแปะมาด้วยหนึ่งรูปแถมไม่ได้ทำการเซ็นเซอร์ ทำให้คนที่เห็นภาพรู้สึกเกิดความหวาดเสียวไปตามๆกัน
เย่ฉ่าวเฉินเห็นข่าวนี้ตอนที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ ทันใดนั้นเขาก็เกิดโมโหขึ้นจนกินข้าวไม่ลง
“จางเห่อ”เย่ฉ่าวเฉินตะโกนร้องเรียงเสียงดัง จางเห่อรีบวิ่งเข้ามา
“ไปตรวจสอบหน่อยว่า ใครเป็นคนเอาข่าวพวกนี้แพร่ออกไป”เย่ฉ่าวเฉินกำมือแน่จนเห็นเส้นเลือดและเส้นเอ็นที่แขน จางเห่อตอบรับจากนั้นก็รีบออกไป
ยังดีที่ศพถูกเผาในคืนนั้น และญาติผู้เสียชีวิตก็ถูกส่งกลับหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ
มู่เวยเวยไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย รู้เพียงว่าที่ไซต์งานก่อสร้างเกิดเรื่องที่มีคนงานเสียชีวิต แต่เย่ฉ่าวเฉินจัดการปกปิดเรื่องพวกนี้อย่างดีแล้ว
“จะเป็นไปได้ไหมว่ามีคนตั้งใจอยู่เบื้องหลังและเป็นคนทำเรื่องพวกนี้?”มู่เวยเวยถามเขา
เย่ฉ่าวเฉินมีสายตาเย็นชาและแผงไปความคิดชั่วร้ายอยู่ข้างใน“เชอะ ตอนที่สวนสนุกถูกสร้างขึ้นมา ไม่รู้ว่าขัดผลประโยชน์ของนักธุระกิจกี่คนต่อกี่คน แน่นอนว่าพวกเขาต้องหวังเป็นอย่างยิ่งว่าก่อนเปิดสวนสนุกอย่างเป็นทางการก็จะอยากให้มันเสียชื่อเสียงเละเทะ คนที่ต้องการจะยื่นแขนขาเข้ามาขัดแน่นอนว่ามีจำนวนไม่น้อยเลย”
“อย่างนั้นคุณเตรียมจะจัดการทำยังไง?”
เย่ฉ่าวเฉินยืดอกมั่นใจ“คนที่เสียชีวิตไปเราได้ทำการส่งญาติเขากลับบ้านไปแล้ว หากว่าไม่มีคำพูดของพวกเขาออกมา ก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าจะอาศัยเพียงรูปภาพๆเดียวทำให้สวนสนุกมีชื่อเสียงมัวหมอง อย่างนั้นมันจะไม่เป็นการฝันหวานไปหน่อยหรอ ”
“อย่างนั้นคุณเลือกวันที่จะทำการเปิดแล้วหรอ?”
“ยังเลย ยังมีคนงานกว่าร้อยคนที่ทำการฝึกอบรมงานอยู่ในสวนสนุก และตอนนี้ก็มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือว่าฉันต้องรีบหาคนมากำหนดฤกษ์เปิดงานในเร็วๆนี้ซะแล้ว”
มู่เวยเวยครุ่นคิดอยู่สักพักจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“ เอาเป็นเลื่อนไปอีกสักเดือนจะดีไหม หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไปค่อยทำการตัดริบบิ้นเปิดงาน”
“เพราะอะไร?”เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความสงสัย
มู่เวยเวยมีท่าทางเคร่งขรึม“อีกหนึ่งเดือน ฉันกับชายหน้ากากสีเงินก็จะถึงกำหนดเวลานัดแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ฉันคิดว่าต้องดึงฉู่เซวียนเอาไว้จะเป็นการดีที่สุด หากว่าสวนสนุกแห่งนี้เปิดทำการแล้ว ฉู่เซวียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป เมื่อเขาไป ในมือของพวกเราก็จะขาดน้ำหนักไปอีกหนึ่ง”
เย่ฉ่าวเฉินเกือบจะลืมเรื่องนี้แล้ว เมื่อมู่เวยเวยพูดเตือนสติ เขาจึงได้นึกถึงความสำคัญของฉู่เซวียนขึ้นได้
“เธอพูดถูก อันที่จริงฉู่เซวียนเดินเข้ามาหาเราเอง พวกเราก็จะไม่ยอมให้เขาไปโดยเปล่าประโยชน์”
“และการยืดเวลาออกไปอีกหนึ่งเดือนก็จะทำให้คุณทำงานสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ การเปิดกิจการที่ลวกๆแบบนี้ ก็ไม่เท่ากับการรอเวลาให้ทุกอย่างเตรียมพร้อมจนเสร็จเพื่อให้แขกและลูกค้าได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุด”
เย่ฉ่าวเฉินใช้สายตาที่แปลกประหลาดมองไปที่มู่เวยเวย รู้สึกว่าระยะเวลาเพียงคืนเดียวเธอก็กลับมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
มู่เวยเวยเห็นสายตาของเขา เธอจึงยิ้มและพูดออกมาว่า “คุณอย่ามามองฉันแบบนี้นะ อันที่จริงความคิดนี้ก็เหมือนกับการออกแบบเสื้อผ้า ใช้เวลาสามวันทำเสื้อผ้าออกมาก็คงไม่สวยดูดีเท่าใช้เวลาหนึ่งเดือน ดังนั้นทำอย่างช้าๆย่อมทำออกมาได้อย่างละเอียดอ่อนกว่า”
“ถูกต้อง”เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ และจ้องไปที่ตาของเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ฉันรู้สึกว่าเธอจะเปลี่ยนไปมากเลย”
“จริงหรอ?คนย่อมโตขึ้นจริงไหม นั่นถึงจะเป็นรื่องปกติ ”มู่เวยเวยไม่เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับทานโจ๊กที่อยู่ในชาม
เธอโตขึ้นจริงๆ แต่ก็เสียอะไรไปมาก
หากว่าเลือกได้ เธอคงยอมที่จะเป็นเด็กตลอดไป
……
รถกำลังอยู่ระหว่างทางวิ่งไปที่บริษัท เลขาหลิวก็โทรศัพท์มาบอกว่ามีกองทัพนักข่าวกว่าสิบคนปิดล้อมที่หน้าบริษัทเพื่อรอสัมภาษณ์เขา ให้เย่ฉ่าวเฉินขึ้นลิฟท์มาจากที่จอดรถเลย
“นักข่าวพวกนี้วันๆว่างมากหรือยังไง ?ปีนี้มาตั้งกี่ครั้งแล้ว?”เย่ฉ่าวเฉินบ่น
น้อยครั้งมากที่มู่เวยเวยจะอธิบาย“ไม่ใช่ว่าพวกเขาชอบมาหาคุณ แต่เป็นเพราะคนที่มีเงินและอยู่เบื้องหลังของพวกเขาชอบที่จะมาหาคุณ ตอนนี้พวกสื่อมวลชนล้วนแล้วแต่พึ่งเงินจากผู้ประกอบการโฆษณาในการเลี้ยงชีพ ใครจ่ายเงินเดือนให้กับพวกเขา พวกเขาก็จะขายข่าวให้คนนั้นเพื่อให้พวกคนเหล่านั้นได้หน้า ประกอบกับที่คุณเป็นคนที่มีชื่อเสียง ยิ่งจะดึงดูดสายตาของประชาชนมากมาย นักข่าวเล็กๆพวกนี้ก็จำใจที่จะต้องทำ ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาที่แปลกๆ“ทำไมเธอถึงได้เข้าใจอาชีพนี้ล่ะ?”
“เมื่อก่อนตอนที่เรียนพวกเรามีอาจารย์ที่เคยทำอาชีพสื่อมวลชนมาก่อน ตอนอยู่ในชั่วโมงบางครั้งก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันคิดว่ามันน่าสนใจจึงจำได้”
เมื่อถึงบริษัท เย่ฉ่าวเฉินได้เรียกให้หัวหน้าฝ่ายโฆษณาเข้ามาพบ“ลงไปเรียกนักข่าวพวกนั้นขึ้นมา ตอนเก้าโมงครึ่ง ผมจะยอมรับการให้สัมภาษณ์”
“ประธานเย่?คุณไม่ได้บอกว่าให้เหยียบข่าวเอาไว้หรอ?”หัวหน้าแผนกคนสวยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ “ตอนที่ข่าวยังไม่ได้หลุดออกไป แน่นอนว่าจะต้องเหยียบเอาไว้ แต่ตอนนี้เรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว คิดว่าต้องเผชิญหน้าจัดการกับมันจึงจะถูก เพื่อเป็นการป้องกันว่าจะมีคนใส่ไฟเข้าไปอีก”
“อ้อ ทราบแล้ว”
ภายในหนึ่งเดือนมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ข่าวที่ดังในสังคมตอนนี้คือเรื่องที่มีคนงานก่อสร้างคนหนึ่งเสียชีวิตมันก็เหมือนกับพายุที่พัดมาระลอกหนึ่ง หากวันนี้พัดผ่านไปได้แล้ว พรุ่งนี้ก็อาจจะไม่เห็นเงาของมันเลยก็เป็นไปได้
ถ้าเหยียบเอาไว้ก็ยิ่งจะทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังไม่หยุดที่จะสุ่มไฟ ไม่เท่ากับยอมรับไปตรงๆ และทำให้คนที่ทำการปลุกปั่นเงียบปากไปในที่สุด
พอถึงตอนเก้าโมงครึ่ง เย่ฉ่าวฉินมาถึงยังห้องประชุม กล้องถ่ายภาพ แสงสีเสียง ไมโครโฟนล้วนเตรียมพร้อมวางอยู่ต่อหน้าของเขา
เย่ฉ่าวเฉินมองไปรอบๆ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มและพูดขึ้นว่า“ได้ยินมาว่าเพื่อนๆพี่ๆนักข่าวมากันตั้งแต่เช้าไม่ทันได้ทานข้าวก็รีบมากันแล้ว ลำบากทุกท่านจริงๆ”
พวกนักข่าวที่ได้ฟังรู้สึกเหมือนกับว่าพูดเสียดสีพวกเขา
“ประธานเย่ คุณสามารถอธิบายเรื่องเมื่อวานตอนบ่ายที่ไซต์งานก่อสร้างให้ฟังโดยละเอียดได้ไหม?”นักข่าวหญิงคนหนึ่งยิงคำถามยาก
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เธอจากนั้นก็มีท่าทีเมินเฉย“ผมมาที่นี่ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ ทุกท่านนั่งลงก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นกับข่าวสารที่ได้รับเป็นข้อมูลเดียวกัน คนงานหนึ่งคนตกลงมาจากนั่งร้านสูง และพวกเราก็รีบทำการติดต่อญาติของเขาพร้อมกับให้เงินเยียวยาในจำนวนที่มากพอ ญาติของผู้เสียชีวิตก็รู้สึกพอใจ ”
“อย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าไซต์งานของพวกคุณความปลอดภัยไม่ได้มาตรฐาน?”และเป็นอีกครั้งที่นักข่าวคนเดิมถาม
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างใจเย็น“เรื่องนี้ผมรับรองได้ สำหรับหัวข้อนี้สวนสนุกของพวกเรามาตรฐานความปลอดภัยไม่มีปัญหาแน่นอนหากว่าทุกท่านยังมีข้อสงสัย รอสักครู่สามารถไปดูที่ไซต์งานของเราได้ ผมจะไม่ทำการขัดขวางใดๆอย่างแน่นอน”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมถึงยังเกิดเรื่องที่น่าสยดสยองแบบนี้ขึ้นมาได้ล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆคลายมือออก “สำหรับเรื่องนี้ผมก็รู้สึกเสียใจมาก แต่จากที่ญาติของผู้เสียชีวิตได้เล่ามาว่าคนงานท่านนี้มีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูงและเป็นหนักมาก บางครั้งก่อนที่จะเกิดเรื่องเขาอาจจะมีสภาพร่างกายไม่พร้อมจึงเกิดเรื่องโศกเศร้าเช่นนี้ขึ้น ”
พวกนักข่าวมองหน้ากันไปมาพร้อมกับมีเสียงโต้งแย้งกันไปมาเบาๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ?
“อย่างนั้นขอถามประธานเย่หน่อยว่าสามารถที่จะให้ช่องทางการติดต่อของญาติผู้ประสบภัยได้ไหม พวกเราอยากจะทำการสัมภาษณ์ ”นักข่าวท่านหนึ่งถามขึ้น
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มที่จะเย็นชาขึ้น “ผมให้ความเคารพต่อจิตวิญญาณที่พวกคุณต้องการจะสืบหาความจริง แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามมันจะต้องมีขอบเขต ฝ่ายนั้นญาติสนิทพึ่งจะจากไป มีความโศกเศร้าเสียใจ แต่พวกคุณก็จะวิ่งไปที่นั้นเพื่อทำการถามนู่นถามนี่ ผมของถามพวกคุณหน่อยว่าพวกคุณคิดว่าแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ ?”
นักข่าวคนที่ถามคำถามถึงกลับทำตัวไม่ถูกและเอาแต่ก้มหน้า แต่ก็มีนักข่าวคนอื่นๆที่ยังถามแทรกเข้ามาเพื่อให้ได้ข้อสรุป “แต่นี้เป็นเพียงคำพูดของคุณฝ่ายเดียว ไม่สามารถสรุปได้ว่าประธานเย่พูดอะไรออกมาเรื่องก็จะเป็นแบบนั้น”
เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มอย่างเย็นชา“ที่พวกคุณมาขวางผมตั้งแต่เช้า ก็ไม่ใช่ว่าต้องการถามเรื่องนี้หรอ ตอนนี้ผมพูดออกไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่พวกคุณกลับพูดว่าเป็นแค่คำพูดของผมฝ่ายเดียว?ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ อันที่จริงก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เข้าใจยากอะไร แต่ก็อยากที่จะเอาเรื่องเน่าๆมาโยนใส่หัวผม ?ที่จริงแล้วพวกคุณกำลังหาข้อเท็จจริง หรือว่าทำตัวเป็นกระบอกปืนให้กับคนอื่นอยู่?”
เย่ฉ่าวเฉินเปิดเผยความจริงของพวกเขาออกมา ทำให้นักข่าวจำนวนหนึ่งที่อยู่ในสถานที่นั้นเกิดความไม่พอใจจนหน้าดำหน้าแดง
“ยังมีอีก หากว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตมีความขัดข้องใจ พวกเขาคงจะรีบไปหาสื่อมวลชนและคงบอกเรื่องนี้กับพวกคุณถึงที่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เพียงแค่ต้องการที่จะจัดการเรื่องอย่างเงียบๆอยู่ที่บ้าน และนั่นก็คือทีท่าของพวกเขา”
ฉากในห้องประชุมดูเงียบเหงา เย่ฉ่าวเฉินเอาสองแขนกอดไว้ที่หน้าอก ใช้สายตาเย็นชามองไปที่แขกในห้องประชุม จากนั้นจึงรีบถามขึ้นว่า“พวกคุณยังมีเรื่องที่ต้องการจะถามอีกไหม?”
ในห้องไม่มีใครพูด มีเพียงแค่ส่ายหน้าไปมา
“ลำบากทุกท่านแล้ว ผมยังมีงานที่ต้องไปทำ คงจะไม่สามารถส่งพวกคุณได้ไกลถึงด้านล่าง ”เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่หัวหน้าแผนกโฆษณา“คุณส่งพวกเขาแทนผมด้วย”
“ได้ ประธานเย่”
เย่ฉ่าวเฉินเดินออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว หัวหน้าคนสวยของแผนกโฆษณาได้ล้วงยิบเอาซองอั๋งเปาออกมาจากกระเป๋ากว่าสิบซอง ส่งมอบให้ถึงมือของนักข่าวทุกๆคน “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆ ประธานเย่ของพวกเราเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ขออภัยทุกท่านด้วย”
แขกทุกคนหัวเราะเหอะๆออกมา หยิบซองอั๋งเปาเสร็จแล้วก็แยกย้ายจากกันไป
เป็นเพราะท่าทีที่ดูเผด็จการและอั๋งเปาซองโตของเย่ฉ่าวเฉิน ทุกสำนักข่าวเขียนรายงานออกมาค่อนข้างมีความระมัดระวัง ตรงไหนที่มีข้อมูลไม่ชัดเจนก็บอกว่าไม่ชัดเจน ตรงไหนควรเน้นย้ำก็เน้นย้ำ ตอนบ่ายหลังจากที่มีรายงานข่าวออกมาหลายฉบับ ความคิดเห็นของประชาชนก็ค่อยๆกระจายส่งต่อกันไปเรื่อยๆ
และเวลานี้เอง ก็ได้มีข่าวส่งมาจากจางเห่อว่า ข่าวที่ลั่วไหลออกมาเป็นฝีมือของสวนสนุกแห่งหนึ่งเป็นคนทำจริงๆ บริษัทอื่นๆก็ยื่นขาเข้ามาเหยียบเล็กน้อย แต่ที่เล่นแรงก็เห็นจะเป็นบริษัทมู่ซื่อ
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะด้วยความโมโห แต่ก่อนไม่ว่าจะเรื่องอะไรๆก็จะเป็นหนานกงเฮ่า แต่มันได้ค่อยๆหยุดลงไปแล้ว ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นมู่ซื่อที่เริ่มยื่นแขนยื่นขาเข้ามาแล้ว เขาอยากรู้จริงๆว่าคนที่อยู่เบื้องหลังใช่มู่เทียนเย่หรือไม่
ถ้าหากว่าใช่ล่ะก็ เขามีชีวิตรอดกลับมาได้ยังไง?และทำไมถึงได้ยอมซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดมาตั้งนาน ?รู้สึกว่านี่ไม่ค่อยจะใช่นิสัยของเขาเลย
ฉู่เซวียนค่อยๆคุ้นชินอากาศบริสุทธ์ของที่นี่ และก็รู้สึกนับถือในความสามารถของเย่ฉ่าวเฉิน แต่จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็พูดถึงเรื่องที่ต้องการเลื่อนวันเปิดงานออกไป ฉู่เซวียนแสดงทีท่าสงสัย
“ทำไมต้องเลื่อนเวลาออกไป ?ตอนนี้เรื่องราวไม่ใช่ถูกจัดการลงอย่างเรียบร้อยแล้วหรอ?”
“ที่ไซต์งานพึ่งจะเกิดเรื่องขึ้น ยังไม่ทันไรก็จะทำการเปิดสวนสนุก ดูแล้วไม่ค่อยเป็นมงคลเลย และพูดอีกอย่างคนงานของพวกเราที่มาฝึกฝนยังไม่ค่อยมีความชำนาญ การออกแบบตกแต่งภายในยังไม่ค่อยสวยงามสมบูรณ์แบบ เป็นแบบนี้แล้วทำไมถึงต้องรีบร้อนเปิดกิจการ ไม่กลัวว่าแขกที่เข้ามาจะพูดให้พวกเราเสียๆหายๆอย่างนั้นหรอ”เย่ฉ่าวเฉินหาข้อแก้ตัวต่างๆนานามาเป็นข้ออ้าง
ฉู่เซวียนคิดทบทวนอยู่สักครู่ ถอยหนึ่งก้าว“อย่างนั้นคุณวางแผนว่าจะเลื่อนออกไปนานแค่ไหน?”
“ตอนนี้คือปลายเดือนสิงหาคม อย่างนั้นพวกเราเลือกวันที่สามสิบเดือนกันยายนเป็นวันเปิดงาน”
“เลื่อนไปหนึ่งเดือน?”
เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มเบาๆ“ใช่ วันที่สองของการเปิดงาน ถึงตอนนั้นคนจะต้องทำการจองอย่างถล่มทะลายอย่างแน่นอน ระยะเวลาก่อนเปิดงานฉันยังมีเรื่องอีกมากมายต้องทำ อย่างเช่นเตรียมการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ออกมากๆ ตรวจงานออกแบบติดตั้งในส่วนต่างๆและอีกมากมาย เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างออกมาเพอร์เฟคสมบูรณ์ทุกประการ”
ฉู่เซวียนไปคุยโทรศัพท์ทางด้านนั้นอยู่นาน เขากำลังชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย
ฉู่เซวียนไม่มีข้อโต้แย้ง เย่ฉ่าวเฉินกำหนดวันชั่งเป็นเวลาที่ดีเหลือเกิน แต่ระยะเวลาเฉลี่ยที่เขาต้องอยู่ที่เมืองA ก็ต้องยืดออกไปอีกหนึ่งเดือน
โอ้ย——คิดแล้วก็รู้สึกกลุ้มใจ
แต่เรื่องโชคร้ายก็ไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียว
เรื่องของคนงานพึ่งจะจัดการเสร็จ ทางด้านมู่เวยเวยกลับเกิดปัญหาขึ้น
เย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ในห้องทำงานกำลังดูแฟ้มเอกสารชิ้นสุดท้ายของวันนี้ มู่เวยเวยตกใจกลัวแถมยังดึงประตูผิดเพื่อที่จะเข้ามาในห้อง
เขาตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงได้รีบวิ่งเข้าไปประคองเธอไว้ “เป็นอะไรไป?เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?”
มู่เวยเวยไม่พูดไม่จาน้ำตาไหลล้นออกมา“มันจะทำร้ายลูกของเรา มันเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยมอำมหิต”
“มันโทรมาหาเธอหรอ?ไม่ต้องรีบร้อนไป ค่อยๆพูด”เย่ฉ่าวเฉินประคองเธอไปนั่งที่โซฟา
มู่เวยเวยตัวสั่นไปหมดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้เย่ฉ่าวเฉิน เย่ฉ่าวเฉินเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู ด้านในมีวีดีโอ จากนั้นเขาก็กดเปิดขึ้น วีดีโอเผยให้เห็นถึงใบหน้าอันน่ารักน่าชังของลูกชายพวกเขา จากนั้นลูกชายของเขาถูกมือคู่หนึ่งอุ้มโยนลงไปในอ่างอาบน้ำที่มีน้ำเต็มจนล้นออกมาและไม่มีขอบที่จะเกาะได้ เสียง“ตุ้ม”ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ลูกของพวกเขาดูเหมือนลูกระเบิดที่ถูกโยนลงไปในอ่างน้ำ
เย่ฉ่าวเฉินเกือบจะหยุดหายใจ สายตาเขาจ้องไปที่ลูกชายคนโตของเขาเอง เขามองเห็นลูกชายที่อยู่ในน้ำดิ้นอย่างทุรนทุราย ปากมีฟองอากาศเต็มไปหมด ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นมือคู่นั้นก็ล้วงลงไปจับที่ขาข้างหนึ่งของเด็กชายและลากขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับตบๆไปที่หลังของเด็กเพื่อให้สำลักเอาน้ำออกมา “วา——”ร้องขึ้นเสียงดัง
เสียงร้องทะลุหน้าจอออกมาเข้าที่หูของเขาเต็มๆ และทะลุถึงหัวใจของเขา ตาของเขาเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ มือทั้งสองข้างจับโทรศัพท์แน่นด้วยความแค้นยังกับจะสับมันออกเป็นชิ้นๆ
จากนั้นก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมา“คุณมู่ นี่เป็นเพียงแค่การลงโทษเล็กๆน้อยๆ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน ความอดทนของฉันตอนนี้ยังดีอยู่”
“ไอ้สารเลว!ไอ้นอกคอก!”เย่ฉ่าวเฉินโมโหระเบิดออกมาจนเกือบจะโยนโทรศัพท์ที่อยู่ในมือทิ้งไป
มู่เวยเวยน้ำตาไหลทะลักออกมา หัวใจของเธอกำลังจะแตกสะลายกลายเป็นเศษแก้วแล้ว
“ทำยังไงดี?เอาแผนที่ขุมทรัพย์ไปให้พวกเขาเลยไหม ขอร้องล่ะ ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าไอ้โรคจิตนั่นมันจะทรมานลูกของพวกเรายังไงอีก?”มู่เวยเวยร้องขอเขาด้วยน้ำตาแห่งความทรมาน
เย่ฉ่าวเฉินเกิดความโกรธแค้นมากจนเส้นเลือดที่อยู่ด้านข้างขมับทั้งสองขยับเต้นออกมาตุบๆๆ เขาอยากจะร้องตะโกนเพื่อเป็นการระบาย แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาควรจะทำคือการสงบสติอารมณ์ เขาเดินอย่างคนไร้สติเข้าไปในห้องพัก จากนั้นก็เอาน้ำเย็นล้างหน้า ตาทั้งสองมีน้ำซึมไหลออกมา
มองเห็นลูกของตัวเองร้องขอชีวิตจากในน้ำ ในใจของเขาก็ทุกข์ทรมานไม่ต่างกับมู่เวยเวยเลยสักนิด แต่ความแค้นดูเหมือนว่าจะมีมากกว่า
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจอย่างแรงพร้อมเดินออกมาจากห้องพักไป เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดน้ำตาให้กับเธอด้วย มืออีกข้างโอบกอดเธอไว้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า“ถ้ามันอยากจะได้ ฉันก็จะให้มันไป”
มู่เวยเวยรู้สึกช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน เธอมองอย่างนิ่งๆไปที่ชายผู้มีรอบตาสีแดงก่ำเหมือนกับเธอ
เขาพยักหน้าพร้อมกับพูดด้วยทีท่าที่เอาจริงเอาจัง“ที่พูดฉันจะทำจริงๆ ให้มันไป แต่ทว่าต้องทำตามคำขอของเราหนึ่งข้อ คือเธอต้องเป็นคนไปส่งให้ด้วยตัวเองและต้องได้เห็นลูกก่อน”
“แล้วตอนไหน?”
เย่ฉ่าวเฉินพูด“สิบห้าวันหลังจากนี้ หากว่าเธอเอาลูกกลับมาไม่ได้ ก็ยังพอมีเวลาคิดทางหนีทีไล่อีกครึ่งเดือนหลัง เพียงแค่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคือใคร แล้วอยู่ที่ไหน ฉันจะใช้ชีวิตของฉันเพื่อช่วยลูกกลับมาให้ได้ ”แม้ว่าความลับของเขาจะถูกคนรู้ เขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียดาย
มู่เวยเวยได้ฟังความคิดเห็นของเขา น้ำตาของเธอก็ยิ่งไหลออกมา เธอพูดด้วยความสะอึกสะอื้น“ฉ่าวเฉิน ขอบคุณมากๆ”
“เด็กโง่”เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆลูบที่ศีรษะของเธอ “ขอบคุณฉันทำไม?ในเมื่อเขาก็เป็นลูกของฉันด้วย”
มู่เวยเวยซบไปที่หน้าอกของเย่ฉ่าวเฉินและอารมณ์ของเธอก็ค่อยๆสงบลง
เมื่อเข้าสู่เดือนกันยายน อากาศยังคงร้อนอยู่
มู่เทียนเย่พาเสี่ยวซีหร่านมาที่สุสาน เขามองเห็นหน้าหลุมฝังศพพ่อกับแม่มีช่อดอกไม้สองช่อและของเซ่นไหว้อื่นๆที่แห้งแล้ว เขารู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นมัน
“ดูเหมือนว่าจะมีคนมาไหว้เคารพก่อนแล้ว”เสี่ยวซีหร่านพูด
มู่เทียนเย่คุกเข่าลง มองดูช่อดอกไม้ทั้งสองอย่างละเอียด เสียงหัวใจก็เต้นตึกตักๆแรงขึ้น
“มีอะไรไม่ถูกต้องหรอ?”เสี่ยวซีหร่านก็นั่งคุกเข่าลงพร้อมกับถามด้วยความสงสัย
“คุณมองที่ช่อดอกไม้ทั้งสองช่อนี้แล้ว มันสามารถบอกอะไรคุณได้อย่างนั้นหรอ?”
เสี่ยวซีหร่านพูดขึ้นอีกรอบว่า“ช่อนี้คือดอกคาร์เนชั่น ส่วนช่อนี้คือดอกเดซี่”
มู่เทียนเย่หัวเราะเหอๆ“เป็นดอกเดซี่จริงๆหรอ?”
เสี่ยวซีหร่านหักกิ่งดอกไม้แห้งขึ้นมาดมที่ปลายจมูกและพูดว่า“ไม่ผิดแน่ นี่ก็คือดอกเดซี่ ปกติดอกเก็กฮวยกลีบดอกจะงอยืดออกไปและจะลีบยาว แต่ดอกเดซี่กลีบดอกจะสั้นและตรง”
“ดอกเดซี่?นึกไม่ถึงว่าจะเป็นดอกเดซี่?”มู่เทียนเย่พูดซ้ำไปมาพร้อมกับสีหน้าท่าทางที่ดูประหลาด
เสี่ยวซีหร่านหันไปมองเขาพร้อมกับยังไม่หยุดถาม“ดอกเดซี่มีเรื่องราวอะไรอย่างนั้นหรอ?”
มู่เทียนเย่ลดสายตาลงมองที่รูปของแม่สมัยที่ยังเป็นสาวๆ“ดอกเดซี่เป็นดอกไม้ที่แม่ของฉันชอบมากที่สุด ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เธอปลูกดอกไม้ชนิดนี้ไว้ที่สวนข้างบ้านเต็มไปหมด”
“อาจเป็นญาติสนิทของครอบครัวคุณเอาดอกเดซี่มาไหว้เคารพก็ได้”
มู่เทียนเย่ส่ายหน้า“ไม่มีทาง ญาติพี่น้องของบ้านเราเป็นพวกชอบประจบสอพลอ ตอนที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่พวกเขาก็จะมาที่บ้านของเราบ่อยๆ แต่ตอนที่พ่อกับแม่ของเราจากไปก็ไม่มีใครมาดูดำดูดีกับชีวิตความเป็นอยู่ของเราพี่น้องเลย และจะมาสนใจอะไรกับคนทั้งสองคนที่ตายไปแล้ว?”
เสี่ยวซีหร่านได้ฟังเรื่องราวของครอบครัวมู่เทียนเย่ และก็ไม่มีการพูดขัดจังหวะแต่อย่างใด ได้แต่นั่งฟังอย่างสงบๆอยู่ด้านข้าง
รูปภาพของแม่ที่ดูงดงาม ดูไม่เหมือนอย่างที่มู่เทียนเย่พูดสักนิดว่าดุดันและขี้โมโห ราวกับหญิงสาวที่อยู่ในห้องสมัยโบราณ ระหว่างคิ้วทั้งสองมองแล้วทำให้รู้สึกว่าเธอดูอ่อนโยนและมีบุคลิกที่ดี
“ก่อนหน้านี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อกับแม่ เธอว่า เวยเวยจะเป็นคนมาที่นี่เพื่อเคารพพวกเขาหรือเปล่า ?”มู่เทียนเย่พูดความคิดที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดที่อยู่ในหัวของเขาออกมา
เพราะนอกจากมู่เวยเวยแล้ว เขาคิดไม่ออกจริงๆว่าจะเป็นใครที่จะมาเคารพพ่อกับแม่ของเขา ครอบครัวคุณลุงนั่นหรือ เหอะๆ ยิ่งไม่ต้องไปนึกถึง
เสี่ยวซีหร่านขมวดคิ้วพร้อมกับมองเขา “เวยเวยไม่ใช่หายตัวไปอย่างลึกลับแล้วหรอ?เธอจะมาที่นี่ได้อย่างไร?”
“บางครั้ง หรือว่าเธอจะเป็นเหมือนกับฉัน ที่มีตัวตนอยู่ในมุมมืดที่ไหนสักที่บนโลกใบนี้ เพียงแต่ฉันหาตัวเธอไม่พบ ”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ มู่เทียนเย่ก็คิดแล้วคิดอีก และไม่นานก็คิดได้ว่า“ก็ยังไม่ใช่ หากว่าเธอทำอย่างนั้นล่ะก็ เธอต้องมีค่าใช้จ่าย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่บัญชีของเธอไม่มีการขยับของเงินแม้แต่บาทเดียว?”
เสี่ยวซีหร่านตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ“หยุดคิดเรื่องนี้ไปก่อน วันนี้เรามาไหว้เคารพคุณลุงคุณป้า เรื่องพวกนี้เราค่อยมาคิดกันทีหลัง”
ความคิดของมู่เทียนเย่ถูกฉุดให้กลับมาโดยเสี่ยวซีหร่าน ตอนที่เขานั่งคุกเข่าต่อหน้าหลุมฝังศพของแม่ปลายจมูกของเขาเริ่มแดงขึ้น “แม่ ผมมาเยี่ยมแม่แล้ว คนที่อยู่ด้านข้างของผมคือเสียวซีหร่าน เป็นลูกสะใภ้ที่ผมหามาให้กับแม่”
เสี่ยวซีหร่านที่นั่งคุกเข่าอยู่ทางด้านข้างของเขา ชำเลืองตาไปมองเขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“สวัสดีค่ะคุณป้า”
มู่เทียงเย่พูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงต่อว่า “แม่ ผมขอโทษ ก่อนที่พ่อกับแม่จะจากไป ผมได้รับปากว่าจะดูเวยเวยเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ ผมยังหาน้องไม่เจอ เวลานี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะไปหาเธอที่ไหน หากว่าพวกท่านอยู่บนสวรรค์และรู้ว่าเธออยู่ที่แห่งไหน ก็จงของให้พวกท่านทั้งสองปกป้องคุ้มครองให้เธอปลอดภัยด้วย”
เมื่อมู่เทียนเย่กล่าวจบ เขาได้จ้องมองไปที่รูปของพ่อกับแม่และน้ำตาก็ได้ไหลรินออกมา
เสี่ยวซีหร่านที่อยู่ทางด้านข้างมองเห็นน้ำตาของเขา ก็รู้สึกเศร้าใจ เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกจากกุมมือของเขาไว้ ปลอบใจเขาอย่างเงียบๆ
เมื่อสองปีก่อน ครอบครัวของเขาทั้งสี่คนนั่งทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ตอนนี้บ้านแตกพ่อแม่ตาย น้องสาวก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน
สวรรค์แท้จริงแล้วท่านต้องการที่จะเล่นตลกอะไรกับชีวิตของเขา?
พวกเขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ในสุสานเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านกำลังจะเดินกลับไปที่รถ ก็เห็นว่าที่จอดรถมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดอยู่ ในใจก็เริ่มมีความหวัง พวกเขามาที่ห้องทำงานของสุสาน
“ต้องการจะดูกล้องวงจรปิด?ของวันไหน?”หญิงวัยกลางคนถามขึ้น
“ก่อนและหลังของวันที่สิบห้าเดือนกรกฎาคม”มู่เทียนเย่พูด นี่เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อกับแม่เขา
หญิงวัยกลางคนเม้มริมฝีปากหนาๆของเธอและใช้คอมพิวเตอร์กดหาเวลาการบันทึก
ข้อมูล “วันที่สิบห้าเดือนเจ็ดจะมองเห็นเพียงแค่กล้องวงจรปิดตัวที่อยู่ตรงทางเข้าออก
ส่วนด้านในของสุสานข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดจะถูกเก็บได้เพียงหนึ่งเดือนและจะถูกลบโดยอัตโนมัติ ซึ่งตอนนี้ไม่มีแล้ว”
มู่เทียนเย่รู้สึกหนักใจ“อย่างนั้นรบกวนช่วยปิดข้อมูลภาพของกล้องที่อยู่ตรงทางเขาออกให้ผมดูหน่อย”
หญิงวัยกลางคนมองไปที่เขาหนึ่งครั้ง แม้ว่าเด็กผู้ชายคนนี้จะท่าทางดูดีแต่นี่ก็ไม่ค่อยจะถูกกฎ
“พ่อหนุ่ม พวกเราที่นี่มีกฎ หากไม่มีเอกสารหมายค้น ก็ไม่สามารถขอดูได้ หากว่าทุกๆคนทำแบบนี้เหมือนกันหมด วันๆมาของดูภาพย้อนหลัง ฉันจะไม่ตายก่อนหรอกหรอ”
มู่เทียนเย่มองไปที่หญิงวัยกลางคน จากนั้นก็ล้วงหยิบเอาเงินสดทั้งหมดที่อยู่ในกระเป๋าออกมาวางใส่มือเธอ“พี่สาว ผมมีเรื่องที่สำคัญจริงๆ ผมอยากให้คุณช่วยผมสักครั้ง”
สายตาของหญิงวัยกลางคนเก็บท่าทางแสดงความดีใจออกมาไม่อยู่ ลูบๆคลำๆความหนาของเงินสด ประมาณเกือบเท่าเงินเดือนสองเดือนของเธอ และเธอก็รีบเก็บลงกระเป๋าพร้อมกับพูดพึมพำเบาๆว่า“ฉันเห็นว่าคุณมีเรื่องที่รีบร้อนจึงได้ทำผิดกฎเพื่อให้คุณได้ดู ถ้าออกไปแล้วอย่าไปบอกใครนะ”
มู่เทียนเย่ยิ้มพร้อมกับตอบกลับว่า“คุณวางใจได้ ทันทีที่พ้นออกจากประตูไปผมก็ลืมแล้ว”
หญิงวัยกลางคนใช้คอมพิวเตอร์หาข้อมูลอยู่สักพัก และเมื่อเจอไฟล์ของวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดเธอก็ได้กดเปิดเข้าไป ด้านในมีข้อมูลของกล้องวงจรปิดที่อยู่ตรงบริเวณทางเข้าอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
“เอา คุณลองค่อยๆดู ฉันจะไปดื่มน้ำก่อน”หญิงวัยกลางคนลุกจากเก้าอี้พร้อมกับถือแก้วน้ำและเดินออกไป
ภาพจากกล้องวงจรปิดเริ่มจากตอนฟ้ามืดเป็นต้นไป ภาพท้องฟ้าที่ยังดำมืดมีอยู่เป็นพักใหญ่ๆ มู่เทียนเย่ใช้เมาส์กรอภาพไปเริ่มดูที่เวลาหกโมงเช้า ท้องฟ้าเริ่มค่อยๆสว่างแล้ว ลูกศรของเมาส์ชี้อยู่ตรงทางเข้าออกอยู่ตลอด ทั้งสองข้างทางมีต้นไม้ใบไม้ที่เขียวขจี และยังเงียบเหงาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
มู่เทียนเย่ทนรอต่อไปไม่ไหวแม้แต่วินาทีเดียว เขาใช้เมาส์เลื่อนให้ภาพเร็วขึ้น ประมาณหกโมงห้าสิบนาที มีรถคันแรกวิ่งเข้ามา เป็นรถของแขกธรรมดาๆคนหนึ่ง กล้องวงจรปิดเป็นกล้องแบบที่มีความละเอียดสูง สามารถมองเห็นด้านในของรถที่มีคนขับเป็นชายอ้วนทวนวัยกลางคนและสวมแว่นตา
เสี่ยวซีหร่านหันกลับไปดูหญิงวัยกลางคนที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างและพูดกับเธอว่า“พี่สาว ปกติพวกคุณไม่ได้พักอยู่ที่นี่หรอ?”
“แล้วเรื่องอะไรที่ต้องมาอยู่ที่นี่?ที่มีกลิ่นไอของป่าช้าแบบนี้”หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยความรังเกลียด
“รบกวนคุณช่วยดูให้พวกเราหน่อย คนนี้เป็นคนที่ทำงานอยู่ที่นี่ไหม”
หญิงวัยกลางคนเริ่มมีการขยับพร้อมกับถามว่า“รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรล่ะ?”
เสี่ยวซีหร่านบรรยายรูปร่างลักษณะแบบคร่าวๆ“อ้วนๆ สวมแว่นตา อายุประมาณสี่สิบปี”
“อ้อ คนนั้นเป็นผู้อำนวยการของพวกเรา”
เมื่อมู่เทียนเย่ได้ฟังแล้วก็ได้เริ่มทำการขยับเมาส์อีกครั้ง ต่อมาก็คนขี่จักรยาน คนขับรถมอเตอรไซค์ไฟฟ้าค่อยๆปรากฏตัวกันออกมา และไม่ทันได้ตั้งตัวรถปอร์เช่คาเยนน์คันสีดำก็วิ่งผ่านหน้ากล้องวงจรปิดไป เป็นเพราะว่าเขารีเวลาให้เร็วขึ้น และเมื่อรถปอร์เช่คาเยนน์ปรากฏตัวขึ้นและเหลือเพียงครึ่งคันจากหน้าจอแต่ว่ามู่เทียนเย่ก็ยังพอจะดูออกว่ารถคันนี้เป็นรถหรู จึงได้ทำการรีหน้าจอมอนิเตอร์
เวลาเจ็ดโมงสามสิบสองนาที รถปอร์เช่คาเยนน์คันสีดำคันนี้ได้ค่อยๆวิ่งเข้ามา มู่เทียนเย่หยุดภาพ มองเห็นยี่ห้อของรถพร้อมกับคนขับได้อย่างชัดเจน ในใจของเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างมากมาย
เสี่ยวซีหร่านดูท่าทางเขาแปลกๆ จึงถามว่า“รู้จักหรอ?”
“รู้จักสิ”มู่เทียนเย่พูดออกมาด้วยความยากลำบาก
“ใครหรอ?”
มู่เทียนเย่เงยหน้าขึ้นมามองเธอ“นี่เป็นรถของเย่ฉ่าวเฉิน คนที่ขับรถคือผู้ช่วยคนสนิทของเขา จางเห่อ”
เสี่ยวซีหร่านรู้สึกประหลาดใจ เธอก้มหน้ามองดูมอนิเตอร์ของกล้องวงจรปิดอย่างละเอียด และเธอก็มองเห็นอะไรที่แปลกๆขึ้นมา เธอชี้ไปที่ภาพ“คุณดูที่ที่นั่งข้างคนขับนั่นสิ”
มู่เทียนเย่มองตามมือที่เธอชี้ เขามองเห็นที่นั่งข้างคนขับวางช่อดอกไม้สองช่อ ด้านล่างมองไม่ชัดว่าคืออะไร แต่ด้านบนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีช่อดอกเดซี่ที่กำลังเบ่งบานออกมา
เขาถึงกลับช็อก หรือว่าชายคนนั้นจะมาเซ่นไหว้เคารพพ่อกับแม่ของเขา?จะเป็นไปได้อย่างไร?