ถึงแม้ว่าจะเป็นเขาเองก็เถอะ เขารู้ว่าแม่ชอบดอกเดซี่ได้อย่างไร ?
นี้มันแปลกมากๆ
เท่าที่เขารู้ หลังจากพ่อแม่ของเย่ฉ่าวเฉินเสียชีวิต เขาได้ซื้อหลุมศพตามฮวงจุ้ยไว้ให้พ่อแม่ แต่ไม่ได้ฝังศพไว้สุสาน ตระกูลเย่ไม่มีญาติที่ไหน เช้าขนาดนั้นเขามาทำอะไร?
ในหัวของมู่เทียนเย่สับสนไปหมด สุดท้ายก็ขับรถกลับเมืองAไปกับเสี่ยวซีหร่าน
บนรถ เสี่ยวซีหร่านหัวเราะและพูดว่า “บางทีเย่ฉ่าวเฉินอาจจะรักมู่เวยเวยจริงๆ เพราะงั้นฉันถึงต้องมาหาคุณอาและคุณน้า”
มู่เทียนเย่กล่าวเสียงเย็นชา “เย่ฉ่าวเฉิน? ฉันไม่เชื่อ”
“งั้นนายจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร”
มู่เทียนเย่เงียบอยู่นานก่อนเอ่ยว่า “ต่อให้เขาจะชอบเวยเวยจริง แต่ความรู้สึกของเวยเวยที่มองว่าเขาฆ่าเองกับมือ ฉันยิ่งเกลียดเขา นายจะอธิบายเรื่องพ่อแม่ของฉันว่าอย่างไร?”
สำหรับเรื่องนี้ เสี่ยวซีหร่านก็คิดไม่ตก
รถมุ่งหน้าไปยังชานเมืองด้านตะวันออกอย่างรวดเร็ว เสี่ยวซีหร่านจ้องมองหน้าเขาที่พูดอย่างซับซ้อนและถามเขาว่า “นายกำลังคิดอะไรอยู่อีก?”
“ฉันกำลังนึกถึงเพื่อนคนนั้นของคุณ ฉู่เหยียน”
เสี่ยวซีหร่านแปลกใจ “อาเหยียน? นึกถึงเขาทำไม?”
มู่เทียนเย่ขมวดคิ้วและพูดว่า “ตอนฉันเจอเธอที่ร้านอาหารญี่ปุ่นครั้งแรก ฉันแทบคิดว่าเธอคือเวยเวย”
“อ่า? อาเหยียนและเวยเวยเหมือนกันมากไหม?”
“หน้าตาไม่ได้เหมือนกันมาก แต่เมื่อมองจากด้านหลัง ส่วนสูงและท่าทางการเดินทุกๆอย่างเหมือนมาก เพราะงั้นฉันมองเธอพริบตาเดียว ยังคิดไปเองเลยว่าเธอคือเวยเวย”
“ยังมีเรื่องน่าบังเอิญได้ขนาดนี้อีกหรือ?” เสี่ยวซีหร่านไม่อยากจะเชื่อ
สายตามู่เทียนเย่วาววับ “นายคิดว่า ฉู่เหยียนจะเป็นเวยเวยได้ไหม?”
เสี่ยวซีหร่านแสยะยิ้ม ส่ายหัวและพูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ถ้าเธอคือเวยเวย ทำไมต้องปลอมตัวเป็นฉู่เหยียนละ? จะว่าไปตระกูลฉู่แห่งฮ่องกงก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปแหย่ได้ง่าย ฉู่เซวียนพี่ชายคนโตของฉู่เหยียนก็ยังอยู่ที่เมืองA ถ้าเธอปลอมตัวจริงๆ ฉู่เซวียนจะจำไม่ได้เชียวหรือ? ยังมีอีก ครั้งที่แล้วที่ฉู่เหยียนไปบ้านของฉัน ตอนเห็นคุณนอนไม่ได้สติ เธอก็ไม่ได้มีท่าทีตอบกลับแต่อย่างไร”
มู่เทียนเย่ก้มหน้าลงบนฝ่ามือ หัวเราะกับตัวเอง “นายพูดถูก ฉันคงบ้าไปแล้วจริงๆ เริ่มจะคิดอะไรเหลวไหลซะแล้วสิ”
เสี่ยวซีหร่านเอื้อมมือไปลูบที่หัวเขา และพูดปลอบประโลมว่า “นายกดดันมากไปแล้ว ทำใจให้สบายหน่อย”
“เฮ้อ….” มู่เทียนเย่ถอนหายใจยาวออกมาและเอนกายลงบนพนักเก้าอีกหลับตาและพักผ่อน
เย่ฉ่าวเฉินไอ้บ้านี้คิดจะทำอะไรกันแน่? บรรยากาศแปลกๆวิ่งเข้ามาขณะไหว้หลุมศพที่สุสาน เขากลัวจนคิดฟุ้งซ่าน
ขณะรีบกลับบ้าน เสี่ยวซีหร่านได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่เคยเล่นด้วยกัน โทรมาชวนเขาไปงานปาร์ตี้วันเกิดบนเรือยอร์ช
“วันเกิดนายหรอ?” เสี่ยวซีหร่านถาม
“ใช่แล้ว เพราะงั้นเธอต้องมาให้ได้ พวกเราไม่เจอกันนานแล้วนะ ปีนี้ยังไม่ได้รู้เลยว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง อยากเห็นหน้าเธอนี่มันยากมากเลย” น้ำเสียงของชายหนุ่มพูดอย่างน้อยใจ
“แต่ว่า” เสี่ยวซีหร่านเหลือบมองมู่เทียนเย่ที่อยู่ข้างๆ “ตอนนี้ฉันอยู่ที่เมือง A…”
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เธอรอฉันที่ชายทะเล ฉันจะขับเรือไปรับเธอเอง” ชายหนุ่มไม่ปล่อยโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธ
เสี่ยวซีหร่านไม่มีทางเลี่ยง “โอเค พรุ่งนี้เจอกัน”
หลังวางสาย มู่เทียนเย่ เผลอแสดงความหึงหวงออกมา “ผู้ชายคนนี้ชอบเธอหรอ?”
เสี่ยวซีหร่านพยักหน้ายกใหญ่ “อื้ม ตามจีบมาหลายปีแล้ว ฉันปฏิเสธอย่างชัดเจนทุกครั้ง แต่เขาเต็มใจที่จะไม่ตัดใจ”
สายตามู่เทียนเย่เผลอพาลออกมา”พรุ่งนี้ฉันจะไปกับเธอด้วยและไปหยุดความคิดของเขาออกไปให้หมด”
เสี่ยวซีหร่านอมยิ้ม “นายไม่กลัวว่าคนอื่นจะจำนายเหรอ?”
“จำได้ก็จำได้สิ หนึ่งพี่ชายฉันไม่ได้ฆ่าใคร สองไม่ได้วางเพลิง จะกลัวอะไร? อย่างมากก็แค่เผชิญหน้ากันกับเย่ฉ่าวเฉิน ใครแพ้ใครชนะยังไม่แน่นอนเลย”
เสี่ยวซีหร่านหัวเราะอย่างมีความสุข “ เห็นคุณกระตือรือร้นอย่างนี้ คืนพรุ่งนี้ฉันจะยอมให้คุณเป็นอัศวินของฉันแล้วกัน”
หลายปีมานี้มีคนเข้ามาจีบเธอมากมาย บางคนมองที่ความสวยของเธอ บางคนก็เห็นแก่สมบัติครอบครัวของเธอ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคน บางคนก็ชอบเธอด้วยใจจริง แต่โชคดีที่เธอชอบของสูง ไม่มีสักคนที่เข้าตาเธอ ไม่อย่างนั้นเธอจะเจอมู่เทียนเย่ได้อย่างไร ?”
ตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่เจ้าของมันต้องออกมาลงสนามแล้ว
ตอนเดินผ่านห้างสรรพสินค้า มู่เทียนเย่กับเสี่ยวซีหร่านเดินเข้าไปเลือกไฟแช็กที่ราคาสูงลิ่วเป็นของขวัญ
ถ้าเป็นไปได้ มู่เทียนเย่อยากจะให้เธอยื่นอั่งเปาให้เขาก็สิ้นเรื่อง ยังจะซื้อไฟแซ็กอะไรก็ไม่รู้อีก
เสี่ยวซีหร่านบีบแก้มเขาและพูดว่า “โอเค คืนนี้ก็อย่าหึงแล้วกัน ฉันจะรีบทำให้นายหึงตายเลยตาแก่”
มู่เทียนเย่ดึงเธอเข้ามากอดไว้ “กล้าเรียกว่าฉันว่าตาแก่อย่างนั้นเหรอ?”
“พี่ชาย พี่สามสิบแล้วนะคะ ไม่แก่ได้ไง?”
“หยุดเลย เย็นนี้เดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละว่าฉันแก่ไม่แก่”
“มารอดูกัน”
……
ตอนพลบค่ำ เรือยอชต์ลำใหญ่ค่อยๆเทียบท่า ชายหนุ่มที่อยู่บนเรือใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อมองเสี่ยวซี
หร่านที่ดูสวยเป็นพิเศษเดินเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น “ซีหร่าน ไม่ได้เจอกันนานเลย นับวันยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆเชียวนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” เสี่ยวซีหร่านเอียงตัวแนะนำมู่เทียนเย่ “นี่แฟนฉันเอง แซ่มู่ และนี้คือเพื่อนที่ฉันรู้จักตอนไปเที่ยวครั้งก่อน ชางกวนเหยียน คุณเรียกเขาว่าชางกวนก็ได้ค่ะ”
มู่เทียนเย่ยื่นมือออกไปและพูดอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับ คุณชางกวน”
ชางกวนเหยียนมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะจับมือเขา “สวัสดีครับ คุณมู่”
มู่เทียนเย่มอบของขวัญให้กับเขา “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ผมและอาหร่านมอบให้คุณ สุขสันต์วันเกิดครับ”
คำว่า “อาหร่าน” กระแทกลงกลางใจของชายหนุ่ม เดิมทีเขาจะใช้โอกาสนี้สารภาพรักกับเสี่ยวซีหร่านอีกครั้ง แต่เหมือนว่าตอนนี้เขาจะสายไปแล้ว”
เสี่ยวซีหร่านเป็นคนโดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขา เธอมีทั้งเงินและความสวย กลับไม่มีความเย่อหยิ่ง และก็ไม่เคยสร้างความคลุมเครือให้กับใคร ไม่ชอบใครก็ปฏิเสธชัดเจน ผู้ชายทุกคนที่ถูกเธอปฏิเสธนั่งได้เต็มหนึ่ง ห้องเรียน ผู้คนจึงตั้งฉายาให้เธอว่า เซี่ยวเกาหลิง
พวกเขาเคยพนันกันไว้ว่า ใครคือคนสุดท้ายที่จะสามารถเด็ดดอกเกาหลิงได้ วันนี้ เสี่ยวซีหร่านก็ได้ประกาศคำตอบแล้วว่า เธอชอบผู้ชายคนนี้
บุคลิกที่ดูดี ตาคม คิ้วเข้ม ฮอร์โมนเพศชายที่พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว
ชางกวนเหยียนรับของขวัญและเชิญทั้งสองขึ้นเรือ เมื่อเดินขนาบข้างหญิงสาว อดไม่ไม่ได้ที่จะลอบมองเธอ หัวใจของเขาจมดิ่งลง เพราะเขามองเห็นรอยจูบช้ำที่ซอกคอของเธอ
เรือยอชต์ที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดอย่างกับสถานที่ขอแต่งงาน ทุกคนมองตรงมายังสามคนที่เดินเข้ามาแสดงอาการแปลกใจกันเล็กน้อย พวกเขาเป็นเพื่อนของชางกวนเหยียน แน่นอนว่าต้องรู้ว่าชางกวนเหยียนชอบเสี่ยวซีหร่าน ไม่คิดเลยว่า เสี่ยวซีหร่านจะมีเจ้าของแล้ว
หลายคนที่รู้จักเสี่ยวซีหร่านก็เข้ามาทักทายเธอ ทั้งตั้งคำถามถึงเรื่องราวของเธอตามอำเภอใจและเมื่อทุกคนรู้เรื่องแฟนหนุ่มของเธอ ต่างก็มีรอยยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบนใบหน้า
มู่เทียนเย่มองปราดเดียวก็ดูออกว่างานเลี้ยงวันเกิดคนกลุ่มนี้ผิดปกติ
มาลองคิดๆดูแล้วงานวันเกิดของผู้ชายคนนั้นจะจัดดอกกุหลาบสีชมพูอะไรมากมาย ? ไหนยังจะมีซุ้มดอกไม้อีก นี้มันงานขอแต่งงานชัดๆจริงไหม?
มู่เทียนเย่โอบเอวหญิงสาวประหนึ่งว่าประกาศให้ทุกคนได้รู้ และกระซิบที่ข้างหูเธอว่า “โชคดีที่ฉันอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นที่นี่ต้องมีศึกขอแต่งงานแน่ๆ”
เสี่ยวซีหร่านเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
ชางกวนเหยียนสิ้นหวังไปเพียงชั่วครู่ เหมือนไม่ยอมแพ้ ความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปยืนข้างๆเขาสองคนและพูดว่า “ซีหร่าน ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณตามลำพัง”
เสี่ยวซีหร่านหันหน้าไปบอกใบ้มู่เทียนเย่ก่อนออกไป แม้ว่าคนข้างหลังจะไม่ยอม แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าของงานเสียหน้า เขาจึงก้มลงจูบที่แก้มของเธอ ก่อนเดินไปที่ดาดฟ้าของเรือ
เขาเชื่อว่าผู้หญิงของเขาจะรับมือกับเรื่องนี้ได้ดี อย่างไรแล้วเธอก็ได้ฝึกทักษะการปฏิเสธมาตั้งแต่เล็กจนโต
“คุณคือแฟนหนุ่มของซีหร่านใช่ไหมครับ?” มีผู้ชายหนึ่งคนเดินเข้ามาหา รูปร่างสูงโปร่ง ดูมีเสน่ห์อย่างมาก ทั้งตัวที่ส่วมใส่ของแบรนด์เนม
มู่เทียนเย่เหลือบตามองเขา “อืม”
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจในท่าทีของเขา มีสองคำที่ปรากฏขึ้นมาคือคำว่า เย่อหยิ่ง
“ก็ไม่ได้มีอะไรดีหนิ ทำไมซีหร่านถึงมองคุณได้?”
มู่เทียนเย่ยิ้มบางๆ “ผมไม่มีอะไรดีเป็นพิเศษจริงๆ แต่เธอเลือกผม เป็นคนนั้นที่เธอชอบ”
“ฮึ มีอะไรให้พอใจ? ไม่มีใครอยู่เกินสองวันหรอกนะ พอซีหร่านเบื่อนายก็ถูกทิ้ง”
“เธอจะทิ้งหรือไม่ทิ้ง ผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่า เธอไม่มองคนอย่างคุณแน่นอน”
ชายหนุ่มถูกตอกจนหน้าหงาย จ้องมองอย่างโกรธแค้นและหมุนตัวเดินหนีไป
มู่เทียนเย่พบว่ามีคนกำลังใช้มือถือถ่ายรูป เขาเดินเข้าไปหาเงามืดเงียบๆ มองเห็นหญิงสาวที่อยู่ภายใต้แสงไฟ อ่อนๆ เธอแสดงออกอย่างด็ดเดี่ยวและไม่แยแส สีหน้าที่ดูแย่ลงอย่างผิดปกติของชางกวนเหยียนที่อยู่ตรงข้าม
เมื่อทั้งสองคุยกันเสร็จ เสี่ยวซีหร่านก็เดินตรงเข้ามาหาเขา
“คุยเสร็จแล้วเหรอ?”
เสี่ยวซีหร่านซบลงที่ตัวเขา “คุยเสร็จแล้ว” เธอหยุดไปพักหนึ่งก่อนพูดอีกครั้ง “เขาเป็นคนดี”
มู่เทียนเย่จับไหลเธอเข้ามาหาพลางหัวเราะชอบใจ “การ์ดคนดีไม่ว่าจะใช้ตอนไหนก็ดีทั้งนั้น แล้วเราจะกลับกันตอนไหน?”
“รอร้องเพลงวันเกิดและตัดเค้กเสร็จค่อยกลับ กลับตอนนี้ ก็ดูจะทำร้ายเขาเกินไป”
“อืม ตามนั้นละกัน”
ผืนทะเลที่ดูเงียบสงบ พระจันทร์ที่ส่องแสงแขวนอยู่บนท้องฟ้า ราวกับอัญมณี
คฤหาสน์ตระกูลเย่
เย่ฉ่าวเฉินนอนไถโทรศัพท์อยู่บนเตียงและรอมู่เวยเวยอาบน้ำเสร็จ
เดี๋ยวก่อน นี้อะไร?
โพสต์งานวันเกิดของเพื่อน เขาไม่คิดเลยว่าสาวสวยคนนั้นจะมีเจ้าของเสียแล้ว เพื่อนของเขาคงปวดใจน่าดู
ด้านล่างเป็นภาพดอกไม้สีสันฉูดฉาด ชายหนุ่มฝืนยิ้มอธิฐานท่ามกลางกลุ่มคนที่รายล้อมกันอย่างครึกครื้น ที่น่าแปลกคือมีสองคนยืนอยู่ไกลๆภายใต้แสงไฟสลัว เขามองไม่เห็นหน้า รูปร่างคุ้นตาแต่กลับอธิบายไม่ถูก
เหมือนเคยเห็นที่ไหน
เย่ฉ่าวเฉินซูมภาพแล้วซูมอีกจนเห็นหน้าผู้หญิงชัดๆเธอคือเสี่ยวซีหร่าน แต่ผู้ชายที่อยู่ข้างๆเธอแสงไฟมืดเกินไปเขามองไม่ออก ทว่ารูปร่างนี้ช่างคล้ายกับ…มู่เทียนเย่
。
ทันใดนั้นชื่อนี้ก็เด้งขึ้นมาในหัวเขา เย่ฉ่าวเฉินเริ่มเอาจริงเอาจัง เขาจ้องมองภาพอยู่นานก็ยังไม่ได้อะไร
เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหาเบอร์โทรของเพื่อนคนนี้แล้วส่งข้อความไปหา
แฟนของสาวสวยในเวยป๋อคนนี้ชื่ออะไร?
ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขียนว่า : ไม่แน่ใจ เธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก
ถามคนอื่นละกัน
นายไม่ถามตั้งนานละ? เจ้าของงานมันอารมณ์ไม่ดี พวกเราก็เลยแยกย้ายกัน
“ชิบหาย!” เย่ฉ่าวเฉินกรนด่าเสียงต่ำ มู่เวยเวยที่เพิ่งเดินเช็ดหัวออกมาได้ยินเข้าจึงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ใครมายั่วโมโหคุณอีกแล้วละ?”
เย่ฉ่าวเฉินปิดโทรศัพท์โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เห็นข่าวแล้วหงุดหงิดก็เลยอยากด่าน่ะ”
เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนเขาไม่อยากให้เวยเวยรู้ ไม่อย่างนั้น เธออาจจะไม่สบายใจได้อีก คงต้องรอให้แน่ใจก่อนค่อยพูด
“มานี่ ฉันช่วยเธอเป่าผม” เย่ฉ่าวเฉินโค้งตัวไปหยิบไดร์เป่าผมออกมาจากตู้ข้างเตียง มู่เวยเวยเดินเข้ามานั่งอย่างน่าเอ็นดู
ลมร้อนพัดมาที่ปลายนิ้ว เย่ฉ่าวเฉินเป่าผมยาวให้เธออย่างระมัดระวังและโพล่งถามว่า “ครั้งล่าสุดที่คุณเจอเสี่ยวซีหร่านโดยบังเอิญ ทำไมไม่เห็นนัดกันออกไปเที่ยวบ้างละ?”
“เธออาจจะยุ่งน่ะ”
“อ้อ งั้นคุณเคยเห็นแฟนหนุ่มเขาไหม?”
“ไม่เคยเห็นนะ ไม่สิ ฉันเคยเห็น เคยเห็นที่บ้านเธอครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเขายังไม่ตื่น พอตื่นก็ไม่เห็นแล้ว” มู่เวยเวยพูดจบก็หันหน้าไปถามเย่ฉ่าวเฉินด้วยความสงสัย “ทำไมวันนี้คุณถึงสนใจซีหร่านจัง ไม่ใช่ว่าคุณรอที่จะเจอเธอเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เธอเป็นเพื่อนสนิทคุณ ฉันก็อยากรู้บ้างหน่อยแหละ เจอกันคราวหน้าจะได้มีเรื่องคุย”
มู่เวยเวยจ้องมองเขาอยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาสงสัยมากเกี่ยวกับคำตอบนี้ จึงพูดอย่างจริงจังว่า “คุณอย่าคิดที่จะทำอะไรเธอนะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ให้อภัยคุณแน่”
เย่ฉ่าวเฉินร้องออกมาด้วยความไม่เป็นธรรม “ฉันกับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ขัดผลประโยชน์กัน จะไปทำอะไรเธอได้อย่างไร? คุณวางใจเถอะ ฉันอยากเข้ากับเพื่อนคุณได้จริงๆ”
“คิดอย่างนี้ก็ดี”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเจื่อน คิดอยู่ในใจ เธอเคยเห็นผู้ชายคนนั้นที่บ้านเสี่ยว งั้นก็พูดได้ว่า ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่มู่เทียนเย่ เขาคงจะคิดมากเกินไป?
พระอาทิตย์ที่ลอยขึ้นและตกลง วันแล้ววันเล่า เหยี่ยวราตรีทางด้านนั้นก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลย มู่เวยเวยร้อนใจมากขึ้นเดิมทีตกลงกันไว้ว่าประมาณกลางเดือนกันยายนจะนำแผนที่สมบัติไป แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ยังส่งรูปมาให้อีก สองสามีภรรยาจึงตัดสินใจที่จะทำตามแผนเดิมที่วางไว้ในอีกสามวัน
ในรูปภาพ ผิวขาวอันบอบบางของเด็กน้อยเต็มไปด้วยรอยแผล
ทันทีที่มู่เวยเวยดูรูปภาพก็แทบจะเสียสติ ตะโกนด่าอีกฝ่ายว่าเป็นคนเลวไม่รู้จักรักษาสัญญา พูดชัดแล้วหนิว่าภายในครึ่งปีจะไม่ทำร้ายเด็ก ทำไมเขาถึงกลับคำอย่างนี้
มู่เวยเวยกดหมายเลขโทรศัพท์อย่างแรง ครั้งนี้พวกมันรับโทรศัพท์
“แกTMยังเป็นลูกผู้ชายอยู่มั้ย? แกบอกว่าภายในครึ่งปีจะไม่ทำร้ายเด็ก แล้วทำไมแกถึงตีเด็ก? อย่าบอกนะว่าสิ่งที่แกพูดมันเป็นแค่ลมตด? แกTMรู้ไหมคำว่า พูดไม่คืนคำ สี่คำนี้มันเขียนว่าอย่างไร? ไอ้ชั่ว!” มู่เวยเวยด่าสาปส่งคนพวกนั้น เธออัดอั้นมานาน สั่งสมความโกรธแค้นทีละนิด ครั้งนี้เธอระเบิดมันออกมาจนหมด
ผู้ชายหน้าเงินดูเหมือนจะคาดไม่ถึงว่ามู่เว่ยเว่ยจะมีด้านโมโหร้ายเช่นนี้
“คุณมู่ คุณเป็นกุลสตรี ทำไมถึงด่าคนได้อย่างนั้น?”
มู่เวยเวยโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “ฉันไปมีอะไรกับทวดแกหรือไง ฉันจะด่า แกจะทำไม? แกทำร้ายลูกชายฉัน แล้วจะให้ฉันมองและพูดว่าแกทำดีแล้วงั้นสิ? ฉันคิดเสมอถึงแม้ว่าแกจะเป็นคนเลว แต่ก็เลวอย่างซื่อสัตย์ ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ความซื่อสัตย์ก็ไม่มีให้พูดถึง ฉันยังมีต้องพูดีอะไรกับแกอีก?”
“คุณผู่หญิงมู่ ให้เกียรติกันหน่อยสิ”
“ให้เกียรติ ขอถามหน่อยแกทำอะไรฉันถึงจะให้เกียรติแก ? แกทรมาณเด็กที่ไม่มีทางสู้ได้อย่างไร?” มู่เวยเวยนึกถึงการถูกทำร้ายของเด็กเป็นครั้งที่สองจากเขา ความเจ็บปวดทั้งหมดที่แก้วตาดวงใจของเธอได้รับ
ชายหน้าเงินโกรธจึงพูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “มู่เวยเวย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ต้องการเด็กแล้วนะ”
มู่เวยเวยที่กำลังโกรธจนขึ้นสมอง “โอเค งั้นแกก็ไม่ได้แผนที่สมบัติ เด็กฉันทำให้เกิดใหม่ได้ แต่แผนที่สมบัติถ้าทำลายก็ไม่มีแล้วบนโลกนี้”
คำพูดที่พ่นออกไป มู่เวยเวยก็นิ่งอึ้ง ให้ตายเถอะ นี่เธอพูดจาต่ำช้าพวกนี้ได้อย่างไร เธอจะเอาชีวิตเด็กไปแลกกับแผนที่สมบัติปลอมๆได้อย่างไรกัน?
แต่ คำที่พูดออกมาก็เหมือนน้ำกระเซ็น แม้ว่าเธอเสียใจแต่ก็ยืนหยัดที่จะทำอยู่ดี ไม่อย่างนั้นไอ้บ้านี้ก็จะเอาเปรียบเธอและเธอจะไม่มีสิทธิ์พูดอะไรสักนิด
ดังนั้น แม่ได้แต่ขอโทษลูกชาย
เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่ด้านข้างเข้าใจเธอดี เพียงแค่สวมกอดอย่างเงียบๆและส่งกำลังใจให้เธอเท่านั้น
ชายหน้าเงินนิ่งเงียบ เขากำลังคิดตามถึงสิ่งที่เธอพูด
ไม่นานเขาก็พูดขึ้นเสียงต่ำว่า “ได้ ฉันสัญญาจะไม่ทำร้ายเด็กอีก แต่ต้องรีบเอาแผนที่สมบัติมาให้ฉัน จากนั้นฉันจะได้มอบให้ฉู่เซวียน”
มู่เวยเวยหัวเราะเยือกเย็น “หึหึ ฉันจำได้ว่าครั้งที่แล้วแกก็พูดอย่างนี้ แต่แกจะทำได้เหรอ?”
“งั้นเธอจะเอายังไง?”
มู่เวยเวยไม่ได้โกรธอะไรแล้ว มีแค่ความกลัวอยู่บางส่วน “ฉันจะเอาแผนที่สมบัติไปแลกกับตัวเด็กด้วยตัวเอง ฉันต้องเห็นกับตาตัวเองว่าเด็กปลอดภัยถึงจะให้แผนที่สมบัติกับแกได้ ไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น”
“ได้ ฉันตกลง” ชายหนุ่มรีบรับปาก เขาหัวเราะเสียงเย็นและพูดว่า “มู่เวยเวย เธออย่าตุกติกละกัน ฉันไม่เล่นด้วยแน่ ถึงแม้ว่าเธอจะมีเย่ฉ่าวเฉินก็ตาม”
มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันแค่ต้องการลูกชายของฉัน ตราบใดที่แกไม่แตะต้องเขาอีก ฉันจะให้แผนที่สมบัติด้วยสองมือนี้เอง”
“อย่างนี้สิ เยี่ยม” พูดจบ ด้านนั้นก็ตัดสายไป
มู่เวยเวยได้ยินเสียง “ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด” เมื่อเสียงนั้นที่พยุงตัวเธอไว้หายไป แขนขาก็หมดแรงลงในอ้อมแขนเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินประคองเธอนั่งบนโซฟา ปลอบเธอด้วยการลูบหลัง “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว” หญิงสาวรู้สึกโล่งใจขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาของความเสียใจ และพูดกับตัวเองว่า “ฉันเพิ่งพูดบ้าอะไรไปเนี้ย จู่ๆฉันก็อยากให้ลูกชายของตัวเองตาย ให้ตายเถอะ” มู่เวยเวยไม่กล้าสู้หน้าตัวเองได้แต่ก้มหน้าลงร้องไห้
เย่ฉ่าวเฉินปล่อยให้เธอได้พึ่งพิงอ้อมแขนของเขา “คุณไม่ได้มีเจตนาอยากจะให้ลูกตายเสียหน่อย? คุณเป็นแม่ที่รักเขามากที่สุดในโลก นี้เป็นเพียงความคิดชั่ววูบ ลูกไม่โทษคุณหรอก”
มู่เวยเวยยังคงร้องไห้อยู่ เธอเข้าใจดี แต่ความรู้สึกของเธอมันกลับคืนมาเหมือนเดิมไม่ได้ มันยากที่จะให้อภัยตัวเอง
เย่ฉ่าวเฉินไม่เคยเจ็บปวดมากขนาดนี้ ตลอดชีวิตเขาไม่เคยกลัวอะไร หากแต่น้ำตามู่เวยเวยเป็นสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด นี้เป็นเครื่องมือฆ่าเขาชั้นยอดเลย ไม่ว่าสภาพจิตใจจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน เพียงแค่น้ำตาหยดเดียว ก็ทำให้เขาแพ้ยับเยิน
“ไม่ต้องร้องแล้ว ถ้าคุณรู้สึกผิดกับลูกจริงๆ หลังจากที่พาเขากลับมาก็ชดเชยด้วยความรักของแม่ให้ดีที่สุดสิ คุณร้องไห้ตอนนี้อย่างไรเขาคงไม่ได้ยิน ร้องไห้ไปก็เปล่าประโยชน์
คำพูดของเขาทำให้มู่เวยเวยโกรธ เธอชกเข้าที่หน้าอกเขา พูดทั้งน้ำตาว่า “มีคุณปลอบใจนี้มันดีใช่มั้ย?”
เย่ฉ่าวเฉินจนปัญญา “ผมพูดจริงๆนะ”
มู่เวยเวยสะอื้นไห้อยู่พักหนึ่งจึงเช็ดน้ำตาและล้มตัวลงบนโซฟา นานมากกว่าเธอจะพูดขึ้น “ฉันต้องเดินทางภายในสามวัน ฉันไม่อยากรออีกแล้ว”
“โอเค ฉันจะจัดการไว้ให้”
ทางด้านเหยี่ยวราตรีนั้นก็ยังไม่มีข่าวอะไร เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว เขาเป็นพ่อของลูก เห็นเลือดเนื้อตัวเองถูกคนอื่นเล่นอย่างกับลูกลิง เขาจะทนหายใจได้อย่างไร?
“เวยเวย ผมอยากให้ทำอยู่เรื่องหนึ่ง”
“คุณพูดมาเลย” น้ำเสียงมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความหดหู่
เย่ฉ่าวเฉินลังเลอยู่นานก่อนพูดขึ้น “ผมต้องติดตั้ง GPS ไว้ที่ตัวคุณ ทำอย่างนี้ผมถึงจะรู้ได้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือหรือที่ไหนก็ได้ที่ไม่น่าเชื่อถือ”
มู่เวยเวยมีชีวิตชีวาขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เธอไม่ทันได้คิดเรื่องอย่างนี้ “ดีนะ ฉันเห็นด้วยแล้วจะติดตั้งอย่างไร? ติดตั้งที่ไหน?”
เย่ฉ่าวเฉินกลับพูดอย่างปวดใจ “ติดตั้งชิปเล็กๆไว้ที่ท้องแขน แต่จะเจ็บสักหน่อย”
“ฉันไม่กลัวเจ็บ ขอเพียงมันช่วยลูกชายเธอกลับมาได้ อะไรๆฉันก็ทนได้หมด”
“พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไป”
สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่างออกไป เมื่ออยู่บนเตียงเย่ฉ่าวเฉินที่บางครั้งก็อ่อนโยนราวกับสายน้ำ บางครั้งก็รุนแรงป่าเถื่อน มู่เวยเวยเข้าใจความรู้สึกของเขา เธอจึงให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี จนดึกทั้งสองเพิ่งจะได้เข้านอน
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่ฉ่าวเฉินพามู่เวยเวยไปที่ฐานลับที่ซ่อนตัวอยู่ชานเมือง ภายนอกดูธรรมดามากๆ แต่ภายในกลับดูแปลกตาอย่างมาก มู่เวยเวยตกตะลึงจนตาค้างกับอุปกร์เทคโนโลยีที่ทันสมัย
เถ้าแก่ดูเป็นผู้ชายฉลาดหลักแหลม แต่ยังเผยให้เห็นความหัวแข็งและเย่อหยิ่งของนักวิศวกรรม
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักกับเย่ฉ่าวเฉินเป็นอย่างดี เมื่อขึ้นมาเขาก็ชกเข้าที่ไหล่ของเย่ฉ่าวเฉินเบาๆ “คนยุ่งมากๆอย่างนาย ทำไมวันนี้มีเวลามาหาฉันถึงที่นี่ได้ล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเจื่อนๆ “คุณอยู่ระดับสูงขนาดนี้แถมยังเป็นมืออาชีพอีก ผมมาที่นี้ก็กลายเป็นไอ้ทึ่มสิ มันเทียบกับกองเงินที่ผมมีไม่ได้หรอก”
“เฮอะ พี่ชายถึงกับหาเงินไม่ได้เชียวหรือ?” เถ้าแก่กวาดตามองมู่เวยเวยที่ผอมเพรียวและถามว่า “นังหนูมาเปิดโลกทัศน์หรือมีเรื่องอะไรล่ะ?”
“มีเรื่องครับ” เย่ฉ่าวเฉินกระพริบตา “ติดตั้งชิปไว้ที่แขนให้เธอที ชนิดที่เดินไปไหนก็บอกตำแหน่งที่อยู่ได้”
เถ้าแก่มองเย่ฉ่าวเฉินอย่างประหลาดใจ “GPS? น้องเย่ แกก็ไม่เชื่อใจเขาจนเกินไป กลัวว่าเขาจะหนีไป?”
“คุณคิดไปไกลแล้ว ผมมีปัญหาจริงๆ”
“โอเคๆ ฉันรับรองได้เลย แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันจะคิดบัญชีกับนายให้เกลี้ยงเลย แกต้องให้เงินฉัน” ชายคนนั้นพูดอย่างตรงไปตรงมา
ต้องการเท่าไหร่?”
ชายคนนั้นยื่นมือออกมาก เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างสบายใจว่า “ไม่มีปัญหา”
ฝ่ายนั้นยิ้มอย่างพอใจ “ฉันชอบจริงๆเป็นเพื่อนกับคนรวยเนี้ย ไม่เคยต่อรองเลย นังหนู ไปกันเถอะ มันจะเจ็บหน่อยนะ แต่แปปเดี๋ยวก็เสร็จ “
มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างว่าง่าย เธอกำลังจะเดินตามเขาไป แต่เย่ฉ่าวเฉินดึงแขนเธอไว้ก่อน “ฉันรอเธออยู่ข้างนอกนะ”
“อืม”
การรอคอยนั้นรู้สึกแย่กว่าที่คิด เย่ฉ่าวเฉินเอาแต่โทษตัวเอง ในฐานะที่เขาเป็นผู้ชายเขากลับให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักไปเสี่ยงอันตราย ความมั่นใจที่ตัวเองสั่งมาสามสิบปีในเวลานี้มันได้พังทลายลง
หลังจากทนกับความเจ็บปวดมากว่าหนึ่งชั่วโมง ประตูก็เปิดออก “ติ๊ง” เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปทันที มู่เวยเวยหน้าซีดเซียว แขนแข็งทื่อราวกับท่อมซุง แขนที่ฝั่งชิปทั้งแดงทั้งบวมและคราบเลือดที่ถูกเช็ดสะอาดแล้ว
“นังหนูนี้อดทนเก่งมาก เจ็บจนเกือบจะฆ่าตัวเองตายก็ไม่ร้องสักแอะ คงเป็นเรื่องใหญ่มาก” เถ้าแก่เอ่ยชม
มู่เวยเวยฝืนยิ้ม เธอก็เป็นคนธรรมดา เพียงเพื่อลูกชายแล้ว เธอถึงกลายเป็นคนที่เข้มแข็งเช่นนี้
หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินแทบสลายเมื่อมองเธออดกลั้นไม่พูดอะไร “เจ็บมากมั้ย? นั่งพักสักหน่อยสิ”
“ในสองวันนี้แผลห้ามโดนน้ำ ผ่านไปสามวันก็จะไม่เห็นร่องรอยอะไรและจะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว” เถ้าแก่กำชับเสร็จก็หันมาหยิบของ
มู่เวยเวยเอนตัวพิงอย่างหมดแรงที่ไหล่ของเย่ฉ่าวเฉิน ริมฝีปากที่เจ็บปวดนั้นขาวซีด
ตอนฝังชิปได้ทายาชาแล้ว แต่เมื่อยาชาหมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ลองนึกภาพว่ามีหนามเล็กๆทิ่มไปทั่วทุกส่วน มันเจ็บปวดมากยากที่จะทนจนเธออยากเอามันออก
ตอนนี้ไม่ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากอ้อมกอดอันอบอุ่นมอบให้เธอ แม้ว่าเขาจะอยากทำเรื่องพวกนี้แทนเธอก็ตาม
ไม่กี่นาทีต่อมา เถ้าแก่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ดูเหมือนว่าเธอกำลังเผชิญกับเรื่องใหญ่มากๆฉันจะให้โทรศัพท์เครื่องนี้กับไว้เธอละกัน”
เย่ฉ่าวเฉินรับมาดูก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
“โทรศัพท์เครื่องนี้ติดตั้งGPSไว้กับระบบติดตาม นายสามารถดูได้ทุกเมื่อที่อยากรู้ว่าเธออยู่ไหน อีกทั้งมันยังดักฟังเสียงได้ด้วย ไม่ว่าใครก็ตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์นายไม่ได้ รวมไปถึงการโทรและอีเมล นอกจากนายจะส่งตำแหน่งให้อีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางเชื่อมต่อหานายได้”
เย่ฉ่าวเฉินแปลกใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้ เมื่อเปิดแอพ GPS บนหน้าจอโทรศัพท์จะมีจุดสีแดงเล็กๆปรากฏที่หน้าจอ ตำแหน่งตั้งอยู่อย่างแม่นยำที่สมาคมลับแห่งนี้
“ขอบคุณ ผมจะโอนเงินให้คุณทันที”
“ฉันเชื่อใจ นายไม่โกงฉันหรอก เอาละ ฉันยุ่งๆอยู่ พวกนายตามสบายเลย” เถ้าแก่พูดจบก็เดินจากไปอย่างผ่าเผย
ระหว่างทางกลับ เย่ฉ่าวเฉินขับรถมาที่บริษัทจินตุ้น หยิบแผนที่สมบัติออกมา
มู่เวยเวยลืมไปแล้วว่าแผนที่สมบัติที่เย่ฉ่าวเฉินโยนทิ้งไปมีลักษณะอย่างไร แต่แผนที่สมบัตินี้ดูเก่ามากและดูไม่เหมือนกับที่เขาปลอมขึ้นมา
“คุณแน่ใจนะว่าอันนี้เป็นของปลอม?” สภาพจิตใจของมู่เวยเวยดีขึ้นมาก
“ฉันทำเองกับมือแน่ละว่ามันคือของปลอม”
“แต่ว่า แผนที่นี้ดูเหมือนของเก่ามาหลายร้อยปีแล้วนะ” มู่เวยเวยวางแผนที่เล็กไว้ในมือ เบื้องหน้าคือเส้นทางลับ
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างมีชัย “อาจเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนของเก่าเป็นใหม่ แต่เอาของใหม่มาเปลี่ยนเป็นเก่า มีเป็นร้อยวิธี”
“เส้นทางเหล่านี้ไปสิ้นสุดที่ตรงไหน?”
“อาณาจักรหมินเยว่สมัยโบราณ” เย่ฉ่าวเฉินมองเธอและพูดว่า “เมื่อสมัยราชวงศ์เยว่ลูกหลานของโกวเจี้ยนทำสงครามกับราชวงศ์ฉู่ หลังจากพ่ายแพ้ ราชวงศ์เยว่ หลบหนีไปทางตะวันออกเฉียงใต้และได้สถาปนาอาณาจักรเยว่ขึ้น ผ่านไปหกถึงเจ็ดสิบปี อาณาจักรเยว่เจริญรุ่งเรื่องถึงขีดสุด เป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในตะวันออกเฉียงใต้ มีสมบัตินับไม่ถ้วนของพระราชวัง แต่น่าแปลก อาณาจักรหมินเยว่ที่ร่ำรวยหายไปในชั่วข้ามคืนและไม่มีใครรู้ว่ามันไปไหน โดยธรรมชาติ สมบัติของอาณาจักรต้องถูกฝั่งลงใต้ดิน”
”
มู่เวยเวยมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเขาเล่าเรื่องนี้จนจบ “คุณพบเรื่องเล่าพวกนี้ได้จากที่ไหน?”
“หนังสือประวัติศาตร์มากมายในห้องหนังสือของฉัน คุณว่ามีไว้เพื่ออะไรละ?” เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม แวบหนึ่งแววตานั้นฉายความเย็นชา “ถ้าพวกมันเชื่อแผนที่สมบัตินี้ มาถึงในนี้ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะทำให้พวกมันไม่มีทางกลับมาได้”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้พูดถึงความเป็นไปได้อีกอย่าง หากพวกมันพบว่าแผนที่นี้เป็นของปลอม เช่นนั้นแล้วชีวิตของเวยเวยและลูกชายก็น่าเป็นห่วง ดังนั้น เขาต้องไปด้วย
เมื่อจัดการงานทั้งหมดของบริษัท โดยเฉพาะกำชับกับจางเห่อหลังจากเขาและมู่เวยเวยไป ทันทีที่มีความเคลื่อนไหวจากฉู่เซวียน ก็เอาเขามากังขังไว้ไม่ให้ไปไหน บางทีวันหนึ่งฉู่เซวียนอาจจะใช้การอะไรได้
ในช่วงสองวันมานี้อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินดำดิ่งลงไปมาก แต่เขาไม่อยากให้มู่เวยเวยรับรู้ จึงต้องฝืนยิ้มต่อหน้าเธอ พอถึงกลางคืนก็ทำเรื่องอย่างว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประหนึ่งว่าต้องการกลืนกินเธอเข้าไปในท้อง
บางครั้งเย่ฉ่าวเฉินก็คิดว่า ถ้าเขาแปลงร่างเป็น ทัมเบลินา ได้คงดีมาก มู่เวยเวยก็สามารถเก็บเขาไว้ในกระเป๋า พาเขาไปด้วยได้ทุกที่
เมื่อครบสามวัน แขนของมู่เวยเวยหายแล้ว เหลือเพียงรอบแผลเป็นเล็กๆ ถ้าไม่ดูดีๆก็มองไม่เห็น
“โทรหาเขาเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินตัดสินใจอย่างยากลำบาก
มู่เวยเวยกัดริมฝีปากล่างและลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนกดหมายเลขนั้น
“ฉันคือมู่เวยเวย”
“คุณผู้หญิงมู่ หวังว่าคุณจะเอาสิ่งที่ผมต้องการมานะ” เสียงของชายคนนั้นปนมากับเสียงคลื่นทะเล
“ใช่ ฉันเอาแผนที่สมบัติมาด้วยแล้ว”มู่เวยเวยพยายามทำน้ำเสียงให้เรียบยิ่ง
ชายคนนั้นแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “ดี ดีมาก ฉันจะส่งเครื่องบินส่วนตัวไปรับคุณทันที”
“ไม่ต้อง นายบอกสถานที่มา ฉันจะไปเอง”
“คุณผู้หญิงมู่ เครื่องบินส่วนตัวของผมมันนั่งไม่สบายขนาดนั้นเชียวหรือ?”
มู่เวยเวยยิ้มเย็น “ความน่าเชื่อถือของแกมันลดลงจนติดลบไปหมดแล้ว ฉันกลัวจริงๆว่าถ้าฉันขึ้นเครื่องบินแกแล้วคนของแกยิงฉัน แย่งแผนที่สมบัติไป งั้นฉันก็ได้ไม่คุ้มเสียสิ? ครั้งที่แล้วนายก็ทำอย่างนี้”
ชายคนนั้นหัวเราะร่า “คุณผู้หญิงมู่ ฉันเพิ่งรู้นะว่าคุณฉลาดอย่างนี้”
“เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด นี่คือทั้งหมดที่คุณสอนฉัน”
“ในเมื่อเราไม่ไว้ใจกันอย่างนี้ เอาอย่างที่คุณพูดละกัน คุณจะนั่งอะไรมาก็ตาม แต่จุดที่ฉันอยู่จะรอให้เธอถึงที่หมายก่อนฉันถึงจะบอกเธอเป็นสิ่งสุดท้าย”
“ได้ คำไหนคำนั้น”
“ฉันจะรอจนกว่าเธอจะกลับมานะ สาวน้อยมู่ที่ฉันรัก ฉันเชื่อว่าลูกจะดีใจมากและฉันขอเตือนเธออีกครั้ง อย่าทำเรื่องที่ฉันไม่มีความสุข ผิวของลูกบอบบางมาก และฉันกลัวว่าฉันจะไปตัดคอมันโดยไม่ได้ตั้งใจ
สายตาของมู่เวยเวยฉายแววความโกรธแค้น “ฉันสัญญา”