รถของฉู่เซวียนถูกจับตามองเมื่อออกจากสถานที่ก่อสร้าง กระเป๋าเดินทางทั้งหมดอยู่ในท้ายรถ หลังจากออกจากสถานที่ก่อสร้างเขาก็ตรงไปที่สนามบิน
เธอไม่รู้ตกลงว่าจะไปที่ไหน แค่คิดจะออกเดินทางโดยซื้อเที่ยวบินที่ใกล้ที่สุด
แต่ทว่ารถของเขายังไม่ออกจากเมืองA ก็ถูกรถสามคันขวางกลางถนน
ฉู่เซวียนแทบจะประสาทเสีย เมื่อวานเขาตั้งใจเสาะหาเส้นทางลับพิเศษเส้นนี้ แต่เย่ฉ่าวเฉินกลับรู้ทันอย่างรวดเร็ว?
รถถูกปิดกลั้นอยู่กลางถนน ฉู่เซวียนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ รถทั้งสามคันจอดอยู่อย่างนิ่งๆ ไม่มีคนลงจากรถราวกับรอคำสั่งบางอย่าง เขาไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามเพราะนี่อยู่ในอาณาเขตของเย่ฉ่าวเฉิน ใครจะไปรู้ว่าเขาจะทำเรื่องบ้าๆอะไร
ฉู่เซวียนได้แต่ตระหนกคิด คิดแต่จะตอบคำถามเย่ฉ่าวเฉินอย่างไร
แน่นอนว่า สิบนาทีต่อมา คาเยนน์สีดำพุ่งเข้ามาจากระยะไกลอย่างรวดเร็ว มันคือรถที่เย่ฉ่าวเฉินขับในตอนเช้า
ฉู่เซวียนถอนหายใจ แล้วลงจากรถโดยไม่รอให้คาเยนน์คันนั้นเข้ามาใกล้ ทันใดนั้น ผู้คนมากกว่าสิบคนในรถทั้งสามคันก็ออกมาจากรถ เพื่อปิดกลั้นเส้นทางที่เธอสามารถหลบหนีได้
ฉู่เซวียนยิ้มอย่างเยือกเย็น มาถึงจุดนี้แล้ว หากเธอยังคิดจะหนีก็เสียสติแล้ว
“จือ——”เสียงเบรกดังขึ้น รถยังไม่จอดนิ่งสนิท เย่ฉ่าวเฉินก็กระโดดออกจากรถเสมือนสิงโตและพุ่งเข้าหาเธอ
“ประธานเย่ ฉันไม่เข้าใจ นี่หมายความว่าอะไร?”
เย่ฉ่าวเฉินเข้ามาด้วยสายตาที่โกรธแค้นอัดเธอเข้าไปในรถ ในตาเต็มไปด้วยความโกรธ “เธอไปไหนแล้ว?”
ฉู่เซวียนยิ้มอย่างใจเย็น แล้วเม้มริมฝีปาก “ประธานเย่ หมายถึงใคร?”
“มู่เวยเวย ภรรยาของฉัน เขาหายไปไหนแล้ว?” เวลานี้เย่ฉ่าวเฉินระเบิดอารมณ์โกรธทั้งหมดอย่างพลุ่งพล่าน หดหู่เป็นเวลานาน ก็อยากถามให้ตาสว่างสักที มู่เวยเวยภรรยาของเขา
“อ่า หล่อนบอกคุณแล้วนิ่ งั้นทำไมประธานเย่ถึงต้องมาแสดงอารมณ์โกรธกับฉัน? คือ…..เธอเองต้องการจากไป…..ฉันไม่ได้บีบบังคับให้เธอไป”
เย่ฉ่าวเฉินโกรธจนทนไม่ไหว ถอนหายใจ แล้วกัดฟันถาม “เธอไม่ได้บังคับให้เขาไปงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ฉัน…..”
เย่ฉ่าวเฉินดูหมิ่นด้วยความโกรธ แล้วพูด “เธอกล้าพูดเหมือนว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา? เขาแสร้งทำเป็นว่าเป็นน้องสาวของเธอ พวกเธอรวมหัวกันโกหกฉัน ตอนนี้เขาหนีไปแล้ว เธอคิดว่าเธอจะหลอกได้แนบเนียนเหรอ?
ฉู่เซวียนถูกเขากดทับจนแทบหายใจไม่ออก ใบหน้าของเขาเริ่มแดง เขากลัวจริงๆว่าเย่ฉ่าวเฉินจะฆ่าเขาให้ตายที่นี่
“เธอ…..เธอใจเย็นลงหน่อย พวกเราต้องพูดคุยกันดีๆ” ฉู่เซวียนประนีประนอม
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยความแค้น ปล่อยเธอออก “พูดสิ เธอไปไหน?”
ฉู่เซวียนไอ สีหน้าดีขึ้นแล้วพูด “ฉันไม่รู้จริงๆ เธอเพียงส่งข้อความหาฉันว่า เธอขึ้นเครื่องบินแล้ว ฉันไม่รู้จริงๆว่าเธอไปที่ไหน”
เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเธอไม่พูดความจริง ก็ลงมือฟาดไปที่หลังหูของเธอ ได้ยินเพียงเสียงกระดูก “เคล็กๆ” กระดูกแขนของฉู่เซวียนหล่นลงมา
“อ้า——”ฉู่เซวียนร้องตะโกนเสียงดัง ใช้มือดึงแขนที่หลุดอยู่อีกข้าง ตะโกนใส่เขาอย่างเจ็บปวด “เย่ฉ่าวเฉิน แม่มึง แกป่วยรึเปล่า แกฆ่าฉันเลยดีกว่า จะทรมานฉันแบบนี้เพื่ออะไร?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “ฆ่าแกงั้นเหรอ? ดูถูกแกเกินไปแล้ว หากไม่อยากเจ็บปวด บอกความจริงฉันดีที่สุด เวยเวยไปที่ไหนกันแน่? พวกแกจะไปเจอกันที่ไหน? คนเบื้องหลังพวกแกคือใคร?”
ฉู่เซวียนจะบอกสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร อดทนกับความเจ็บปวดแล้วพูด “แกอย่าถามเลย ฉันไม่รู้จริงๆ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็ได้เสียง “เคล็กๆ”แขนอีกข้างของฉู่เซวียนก็ถูกหักหลุดลงมา
“อ้า——”
“จางเห่อ พาองค์ชายฉู่กลับไปต้อนรับดีๆ เขาไม่พูดความจริงทั้งวัน ก็ให้หิวทั้งวัน จนกว่าจะยอมพูดความจริงออกมาก”
“ครับ คุณชาย”
เสื้อผ้าของฉู่เซวียนเต็มไปด้วยเหงื่อ หน้าซีด เขารู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินดุร้ายและโหดเหี่ยม แต่คาดไม่คิดว่าวิธีการของเขาจะเฉียบแหลมขนาดนี้
“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันเป็นประธานของบริษัทMK เธอควรชั่งน้ำหนักให้ชัดเจน” ฉู่เซวียนเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาอย่างคับแค้น
“เหอะ ได้สิ งั้นดีเลยฉันถามคุณลุงฉู่ พวกตระกูลฉู่เจรจาต่อรองทพธุรกิจกับฉันต่อหน้าใจคอกว้างขวางตรงไปตรงมา แต่เบื้องหลังสมรู้ร่วมคิดกับคนอื่นขโมยแผนที่สมบัติของฉัน นี่คงเป็นหลักวิธีที่พวกตระกูลฉู่ใช้ตั้งตัว” พูดแล้ว เย่ฉ่าวเฉินคว้าคอเสื้อของเขา “นอกจากนี้ถ้าฉันปล่อยข่าวว่าตระกูลฉู่ขโมยแผนที่สมบัติของประเทศที่ร่ำรวยและเป็นศัตรู ทายสิว่า ต่อไปตระกูลฉู่ยังจะมีชีวิตที่ดีในอนาคตหรือไม่?”
ฉู่เซวียนปวดแกนประสาทขึ้นอย่างหนัก ความเจ็บป่วยทั้งจิตใจและร่างกายทำให้เขาแทบพูดไม่ออก
“ฉู่เซวียน ฉันมีเป็นร้อยวิธีที่ทำให้แกเหมือนตายทั้งเป็น แกอาจจะปกปิดมันไว้ได้ตลอด แต่อยากได้ก็ตาม ฉันจะตามหามู่เวยเวยได้อย่างแน่นอน
เย่ฉ่าวเฉินพูดจบ ก็ผลักฉู่เซวียนไปที่ด้านหน้าจางเห่อ ฉู่เซวียนโซเซจนเกิบร่วงลงมา
“พามันไป”
หลังจากจัดการทางนี้เสร็จ เย่ฉ่าวเฉินขับรถพุ่งตรงไปที่สนามบินทันที เมืองAมีเที่ยวบินไปฮาวายทุกวันแต่มีเพียงเวลาสิบโมงเช้า เย่ฉ่าวเฉินต้องการไปแต่ต้องรอในรอบพรุ้งนี้
แต่เวลานี้เรารอไม่ได้แล้ว เขาจึงซื้อตั๋วบินจากฮ่องกงจากนั้น ต่อเครื่องจากฮ่องกงบินไปโฮโนลูลูฮาวาย
เขาไม่รู้ว่าเธอจะถูกพาตัวไปที่ไหน แต่อย่างน้อยเขาก็ไล่ตามรอยเท้าของเธอได้อย่างมีความหวัง
สะพายกระเป๋าขึ้นเครื่องบิน เย่ฉ่าวเฉินจิตใจหนักแน่นสุดๆ
……
หลังจากบินอยู่เป็นระยะเวลานาน กลางดึก ในที่สุดเครื่องบินก็ร่อนลงที่สนามบินนานาชาติ
ทันทีที่ก้าวออกจากเครื่องบิน คลื่นลมร้อนก็พัดไปทั่ว ทันทีที่มู่เวยเวยได้กลิ่นอากาศผสมกับกลิ่นเกลียวคลื่น เธอก็นึกถึงช่วงเวลาไม่มีคนอาศัยอยู่บนเ
ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาดึกดื่น แต่ด้านนอกสนามบินก็ยังมีผู้คน
ยืนอยู่ประตูทางออก มู่เวยเวยคิดจะติดต่อชายหน้ากากสีเงิน โทรศัพท์ดังขึ้นด้วยความบังเอิญ ที่สนามบินมีดวงตาจ้องมองเธอ
“คุณมู่ ฉันดีใจมากที่เธอทำตามสัญญา”
มู่เวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ตอนนี้ฉันต้องไปที่ไหน?”
“ไปที่ท่าเรือหวงโห่ว มีเรือยอทช์จอดอยู่ที่นั่น ขึ้นไป เขาจะพาเธอมาหาฉัน”
“เธอสัญญาว่าจะไม่โยนฉันลงทะเล?” มู่เวยเวยประชดประชัน
“อื้อ คุณมู่ที่รักการที่ฉันโยนเธอลงทะเลไม่ได้มีผลดีอะไรกับฉันเลยสักนิด ฉันเป็นคนทำธุรกิจ ไม่เคยค้าขายกับสิ่งที่ขาดทุน”
มู่เวยเวยถอนหายใจ คิดไปคิดมาก็ถูก เขาไม่จำเป็นต้องเอะอะโวยวายกับตัวเอง
“ได้ ฉันไปตอนนี้”
“เฝ้ารอเธอมาถึง”
มู่เวยเวยเรียกรถแท็กซี่ ใช้ภาษาอังกฤษบอกคนขับรถว่าจะไปที่ไหน คนขับเหยียบคันเร่งอย่างแรง แสงจันทร์ข้างนอกสว่างไสว ลมทะเลพัดผ่าน บนถนนรถที่ขับไปมามีไม่มาก จึงดูว่างเปล่าและเงียบมาก
บนรถแท็กซี่ มู่เวยเวยโทรหาเยฉ่าวเฉิน แต่เขาปิดเครื่อง เธอเดาว่า เขาอาจจะอยู่บนเครื่องบิน จึงส่งข้อความหาเขา
ฉันถึงแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังไปลงเรือที่ท่าเรือหวงโหว่ ไม่รู้ต้องไปที่ไหน โทรศัพท์น่าจะใช้ไม่ได้แล้ว เธอไม่ต้องตอบข้อความกลับนะ
เมื่อส่งข้อความเสร็จ มู่เวยเวยจำเบอร์โทรศัพท์เขาขึ้นใจ จากนั้นลบข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์ที่เกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉิน ทั้งประวัติการโทร ข้อความ วีแชท
หลังจากที่ทำเสร็จ เธอเอนกายลงบนเบาะอย่างเหนื่อยล้าลม ลมทะเลพัดเข้ามาในรถและเสยผมยาวของเธอขึ้นมา ทุกๆเส้นผมล้วนมีแต่ความกังวลเกี่ยวกับลูก
หลังจากที่อยู่บนรถสิบกว่านาที มู่เวยเวยก็มาถึงท่าเรือหวงโหว่
มีแต่แสงของพระจันทร์ที่ส่องสว่าง
ที่ท่าเรือมีเรือจอดอยู่เจ็ดแปดลำ นอกจากนี้ยังมีเรือยนต์หลายลำซึ่ง มีเรือยอทช์ขนาดเล็กเพียงลำเดียวเท่านั้นที่เปิดไฟอยู่
มู่เวยเวยเดินตรงไปที่เรือลำที่เปิดไฟอยู่ ก่อนที่จะมาถึงด้านหน้า มีผู้หญิงรูปร่างมีสเน่ห์สวมรองเท้าส้นสูงสีดำตัวผอมและสูงเดินออกมา
“คุณมู่ พวกเราเจอกันอีกแล้ว” รอยยิ้มผู้หญิงคนนั้นมีคมมีดซ่อนอยู่
มู่เวยเวยยิ้มหน้านิ่งๆ “ใช่ เจอกันอีกแล้ว”
“เชิญ เจ้านายรออยู่” สาวงามบิดเอวแล้วขึ้นเรือยอร์ชไป ใช่แล้ว เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่แย่งมู่เวยเวยจากเมืองหนานกงเฮ่าครั้งที่แล้ว
แสงไฟบนเรือยอทช์สว่างไสว ทันทีที่มู่เวยเวยขึ้นมาเรือยอทช์ก็สั่นสองสามครั้งเสียงดัง “เวิงลงลง” กึกก้อง แล้วเริ่มออกมุ่งหน้าไปกลางทะเล
บนดาดฟ้ามีโต๊ะ พร้อมไวน์แดงหนึ่งขวด มีไวน์อยู่ในแก้ว
“มีเพียงคุณคนเดียว?”มู่เวยเวยแปลกใจเล็กน้อย เธอคิดว่าจะมีบอดี้การ์ดหลายคนซะอีก
หญิงงามดูมิตรมาก เธอชี้ไปที่เก้าอี้ตรงข้าม “ไปรับผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอมา ยังต้องส่งกองทัพอีกหรือ? ยังไงเธอก็หนีไม่รอด”
มู่เวยเวยก็ไม่เกรงใจ เดินตรงไปนั่งลง
“ไม่ต้องตื่นเต้น สามารรับเธอมาได้แล้ว ก็ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก” ท่าทีของโฉมงามดูอ่อนโยนลงกว่าครั้งที่แล้วมาก
มู่เวยเวยชำเลืองมอง แขนขาของเธอผ่อนคลาย “สาวงามเธอชื่ออะไร?”
สาวงามจิบไวน์แดงพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คิ้วของเธอยังคงเย็นชา “เรียกฉันว่า อลิซ ก็ได้”
“อลิซ? ลูกของเธอเป็นยังไงบ้าง?”มู่เวยเวยถามอย่างเร่งรีบ
“ดีนะ กินเก่งนอนเก่งเล่นเก่ง”
มู่เวยเวยมองเธออย่างเบื่อหน่ายและไม่อยากพูดคุยกับเธอ เงียบและไม่ต้องการพูดคุย หน้ากากที่อยู่บนใบหน้าทำให้เกิดความเจ็บปวดเล็กน้อย มู่เวยเวยลุกขึ้นแล้วหยิบยาน้ำออกมาจากกระเป๋าของเธอ
“ไปทำอะไร?” อลิซถามอย่างเย็นชา
“ไปถอดหน้ากากออก ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว” มู่เวยเวยเดินเข้าไปในห้องโดยสาร
“ช้าก่อน” เสียงของอลิซหยุดเธอ แล้วพยักหน้า “โยนโทรศัพท์มาตรงนี้”
慕薇薇回头看了她两眼,像她说的那样,把手机扔了出去。
มู่เวยเวยมองกลับมาที่เธอ โยนโทรศัพท์ออกไปเหมือนที่เธอพูด
“ปะ ——” ขว้างไม่ดีจนพลาดล้มลงกับพื้น มู่เวยเวยก็ไม่ได้กลับไปเก็บ อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่มีโอกาสใช้โทรศัพท์มันแล้ว
อลิซเหลือบมอง แต่ก็ไม่ขยับ
เมื่อเธอมาถึงห้องน้ำในห้องโดยสาร มู่เวยเวยมองใบหน้าในกระจกอย่างเงียบ ๆ ความสวยความงาม ที่ไม่ใช่ของเธอ เทยาในมือแล้วฉีกหน้ากากออก เผยผิวขาวเนียน
ยังไงใบหน้าของตัวเองก็สบายที่สุด ถึงแม้ว่าจะสวยไม่เท่าฉู่เหยียน
ออกจากห้องโดยสาร มู่เวยเวยพยายามโยนหน้ากากในมือลงทะเล เธอไม่จำเป็นต้องเป็นฉู่เหยียนอีกต่อไป ไม่มีการสูญเสีย มีเพียงการผ่อนคลายเท่านั้น
เหตุผลที่ตอนนี้เธอฉีกหน้ากากทิ้งก็คือเธอไม่ต้องการมันอีกต่อไป และยังมีอีกเหตุผลหนึ่งนั่นคือเธอไม่ต้องการให้ลูกเห็นเธอในใบหน้าของฉู่เหยียน
มู่เวยเวยหันกลับมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ววางมันลงบนโต๊ะ
“ถ้าเธอง่วงก็ไปนอนพักสักหน่อย อาจจะดึกกว่าจะถึง” อลิซชี้ไปที่เตียงผ้าใบที่อยู่ไม่ไกล
มู่เวยเวยนิ่งเงียบ ไม่คาดคิดว่าสถานที่ที่จะไปนั้นไกลขนาดนี้?
หยิบกระเป๋าเป้แล้วเดินไปที่เตียงผ้าใบ วางกระเป๋าไว้ด้านบน แล้วล้มตัวลงนอน
เธอเคยเห็นความโหดเหี้ยมของอลิซ หากเขาต้องการแย่งแผนที่สมบัติ เธอก็ไม่มีโอกาสชนะได้ เพราะฉะนั้นเธอสั่งอะไรก็ทำอย่างนั้น
เรือยอทช์แกว่งไปแกว่งมา เสมือนแม่ไกวเปลกล่อมเด็ก บวกกับการนั่งเครื่องบินกว่าสิบชั่วโมง มู่เวยเวยเหนื่อยมากจนกอดกระเป๋าเป้แล้วหลับไป
ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน มู่เวยเวยถูกเตะที่น่องเธอจนตื่นจากความฝัน และสิ่งที่เข้ามาในความคิดของเธอคือใบหน้าที่ไม่แสดงอาการของอลิซ วิวท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนที่อยู่ข้างหลังเธอ
สว่างแล้ว
“เธอก็ใจกว้างจริงๆ ฉันให้เธอนอนเธอก็นอน ตื่น พวกเราถึงแล้ว”
มู่เวยเวยขยี้ตา ลุกขึ้นด้วยอาการปวดเมื่อยที่แขนและขา รวบผมของเธออย่างลวกๆ หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย แล้วเดินตามอลิซออกจากเรือยอทช์
นี้คือเกาะเล็กๆที่เขียวชอุ่ม ล้อมรอบด้วยทะเล ไม่ปรากฏแม้แต่เงาของผู้คนให้เห็นบนชายหาดแห่งนี้ ดูเหมือนว่านี่เป็นเกาะที่ไม่มีชื่อ
เดินตรงไปร้อยสองร้อยเมตร มีคฤหาสน์หลังสีขาวตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ที่หนาทึบ บอดี้การ์ดร่างสูงสองคนเดินเข้ามาหาพวกเขา มู่เวยเวยจับสายสะพายที่ไหล่ของเขาอย่า
งแน่น
ยังดี ที่ฝั่งตรงข้ามเพียงแค่มองเธอผ่านๆ หลังจากนั้นก็ใช้ภาษาที่มู่เวยเวยฟังไม่เข้าใจสนทนากับอลิซ คนด้านหลังพยักหน้าแล้วพูดสองสามคำจากนั้นก็เดินไปด้านหน้า
ยิ่งเธอเข้าใกล้คฤหาสน์หลังสีขาว มู่เวยเวยก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ เธอไม่ได้เห็นลูกมาครึ่งปีแล้ว ไม่รู้ว่าเขายังจำแม่คนนี้ได้หรือไม่
เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ ทุกหนทุกแห่งล้วนมีทหารลาดตระเวนถือปืน ทุกๆคนมีดวงตาเหมือนเฉียบแหลมดั่งนกเหยี่ยว
มู่เวยเวยนึกถึงตัวละครทหารรับจ้างในภาพยนตร์สงคราม คนเหล่านี้เป็นทหารรับจ้าง
เข้าไปในห้องนั่งเล่นด้วยอารมณ์กังวลและไม่สบายใจ อุณหภูมิก็ลดลงทันที
เมื่อเทียบกับคฤหาสน์หลังที่ฉันเคยไป การตกแต่งที่นี่ดูเรียบง่ายกว่า ใช้สีขาวหลัก และเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัย มู่เวยเวยมองไปรอบๆ มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน สวมเสื้อเชิ้หรูหราและกางเกงลำลอง รองเท้าผ้าใบสีขาวระดับไฮเอนด์ เขายังคงสวมหน้ากากสีเงินบนใบหน้า และดวงตาของเขาซ่อนอยู่หลังหน้ากาก เผยให้เห็นแสงที่มองไม่เห็น
เมื่อเห็นเขา มู่เวยเวยก็ขนลุกเย็นวูบไปทั้งร่างกายอย่างอธิบายไม่ถูก
“คุณผู้หญิงมู่ ยินดีต้อนรับคุณกลับมา”เสียงทุ้มดังและรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ “คุณมีความสุขกับการเดินทางครั้งนี้หรือไม่?”
มู่เวยเวยจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “ลูกของฉันละ?”
“สิ่งของที่ฉันต้องการละ?” เขานั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เขาเหยียดขายาวออกพาดไว้บนโต๊ะกาแฟอย่างสบาย ดูเหมือนว่าไม่ได้เจรจากับเธอ แต่เหมือนกำลังพูดคุยกับเพื่อนเก่า
“ฉันยืนอยู่ที่นี่แน่นอนว่าต้องนำสิ่งที่คุณต้องการมา แต่ให้ฉันดูลูกก่อน”มู่เวยเวยยืนยัน
ชายคนนั้นกระดิกนิ้วของเขา อลิซก็ผลักรถเข็นทารกออกมา หัวใจของมู่เวยเวยเต้นระรัวออกมา ไม่รอเขาออกมา เธอวิ่งไปที่รถเข็นทารกทันที
อลิซจับร่างของเธอ ไม่ยอมให้เธอเห็นเด็ก แต่ชายคนนั้นบอกว่า “ให้เธอดูเถอะ ยังไงเธอก็หนีออกไปจากเกาะนี้ไม่ได้”
อลิซรับคำสั่ง แล้วปล่อยเธอ
มู่เวยเวยพุ่งกระโดดไปที่ข้างรถเข็นทารก ดวงตาของเธอชุ่มไปด้วยน้ำตาผู้เป็นแม่
เด็กเติบโตดีมากๆ รูปทรงบนใบหน้าของเขาก็คล้ายกับเย่ฉ่าวเฉินมาก เขาสวมเสื้อกั๊กสีสันสดใสบนร่างกาย ส่วนล่างสวมกางเกงผ้าอ้อม เท้าเปล่า แขนเล็กๆทั้งสองของเขาอ่อนโยนและขาวนวลราวกับรากบัว ขณะนี้ เขากำลังมองเธอด้วยดวงตาที่แวววาว ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า
หัวใจที่บีบแน่นของมู่เวยเวย น้ำตาไหลเอ่อปาปาออกมา ลูก แม่กลับมาแล้ว หนูจำแม่ไม่ได้แล้วเหรอลูก?
แม่และลูกชายมองหน้ากันกว่าครึ่งชั่วโมง ลูกเปิดปากเล็กๆ อี อียา ยา พูดพล่ามในขณะเดียวกันก็ยื่นมือเล็ก ๆ ของเขาออกไปเพื่อเขย่ากลางอากาศ มู่เวยเวยรีบจับมือเล็กๆของเขาแล้ววางบนริมฝีปากเพื่อจูบ
บรรยากาศการรอคอยอันแสนนานเพื่อได้พบเจอกันนั้นหนักแน่นเหลือเกิน ทันใดนั้นชายคนนั้นก็พูดว่า “ได้ละ ลูก คุณก็เจอแล้ว สิ่งของที่ฉันต้องการละ?”
มู่เวยเวยเช็ดน้ำตาของเธอ หันไปพูดถึงเงื่อนไข แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขนี้ แต่เธอก็ยังอยากลอง
“เมื่อก่อนเธอเคยบอก หากฉันนำแผนที่สมบัติมาแล้ว จะปล่อยฉันและลูกไป ประโยคนี้ยังนับรวมไหม? ”
ชายคนนั้นยักไหล่ “นับแน่นอน”
มู่เวยเวยประหลาดใจไปชั่วครู่ “จริงเหรอ?”
“จริง ฉันจะหลอกเธอทำไม?” ชายคนนั้นกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
มู่เวยเวยยังไม่พอใจ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็เตรียมเรือเพื่อพาฉันออกจากเกาะ ฉันจะให้แผนที่สมบัติเมื่อฉันได้ออกไปแล้ว”
ชายผู้นั้นหัวเราะ ฮาฮาฮา เสียงดัง แล้วพูดหลังจากที่เขาหัวเราะจนพอแล้ว “คุณมู่ คำพูดของคุณหนักเกินไป คุณยังไม่ให้ในสิ่งที่ฉันต้องการ ยังให้ฉันเตรียมเรือให้คุณอีกเหรอ? ถ้าหากสิ่งที่คุณให้ฉันนั้นเป็นของปลอมล่ะ?
มู่เวยเวยใจเต้นแรง แต่ท่าทีของเธอสงบนิ่งมาก “ฉันมาที่นี่ ฉันก็ไม่ได้เอาชีวิตของลูกมาเล่นสนุก จะเป็นของปลอมได้อย่างไร?”
“งั้นก็ให้ฉันดูก่อนแล้วค่อยตัดสิน”
มู่เวยเวยลังเลว่าจะเชื่อคำพูดของชายคนนี้หรือไม่
ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนและเดินไปที่รถเข็นทารก เขาก้มตัวลงแล้วใช้นิ้วมือหยอกล้อเด็กด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “หัวเราะเบาๆ หุหุหุ”สองมืออ้วนกอดแขนของเขาด้วยดวงตาแวววาวดั่งแสงสว่างของดวงดาว
ได้เห็นฉากนี้หัวใจของมู่เวยเวยเหมือนกำลังจะแตกสลาย
ชายคนนั้นยืนตัวตรงจ้องมองเธออย่างไม่วางสายตา รอยยิ้มในดวงตาของเขาค่อยๆหายไปแทนที่ด้วยความเย็นชา “คุณมู่ เหตุผลที่ฉันคุยกับคุณอย่างสุภาพในตอนนี้เป็นเพราะฉันกำลังอารมณ์ดี รอคุณละลายความอารมณ์ดีของฉันหมดแล้ว คุณอาจจะได้เห็นฉันหยาบคายแย่งแผนที่สมบัติ
มู่เวยเวยเงยคอขึ้นมองเขาตรงๆ เธอกำลังทุกข์ทรมาน กับคำพูดของเขา เธอเข้ามาคนเดียว ไม่มีพลังใดๆที่จะขัดขืนเขาได้
ตันอยู่ชั่วขณะ เมื่อเขาแสดงอาการระคายเคือง มู่เวยเวยก็ยอมแพ้แล้ว เธอไม่สามารถประมาทได้มันอาจจะไม่ดีต่อลูก
“ฉันให้แผนที่สมบัติแก่เธอ” มู่เวยเวยถอดกระเป๋าเป้ออก เปิดซิปแล้วหยิบกล่องไม้แกะสลักที่สวยงามจากด้านในออกมา และยื่นให้เขา “มันอยู่ข้างใน”
ชายหน้ากากสีเงินไม่รับ พูดน้ำเสียงนิ่ง “เปิดมันออก”
มู่เวยเวยเปิดกล่องไม้อย่างไม่ลังเล ม้วนหนังแกะเก่าม้วนพับอยู่ด้านในอย่างสงบ ดวงตาของชายหน้ากากสีเงินลุกวาว เขาหยิบเอาหนังแกะออกมา แล้วเปิดออกอย่างระมัดระวัง
มู่เวยเวยหัวใจเต้นเร็วขึ้น ไม่รู้ว่าแผนที่สมบัติปลอมนี้จะหลอกชายเจ้าเล่ห์คนนี้ได้หรือไม่
หลังจากได้แผนที่สมบัติ ชายคนนั้นก็ไม่สนใจที่จะคุยกับเธอ เขารีบเดินไปที่ห้องด้านหลังเพื่อดูสองชิ้นที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ ในห้องรับแขกมีเพียงมู่เวยเวย อลิซ และเด็ก
มู่เวยเวยถอนหายใจ โยนกล่องไม้เล็กลงบนพื้น ยืนเกาะอยู่ข้างรถเข็นทารกหมกมุ่นกับเด็ก
“ลูก ฉันคือแม่ หนูยังจำได้ไหม?” มู่เวยเวยกระซิบเสียงเบา น้ำตาไหลเอ่อเสียงสั่น “ลูกแม่กลับมาแล้ว แม่จะไม่ทิ้งหนูอีกแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินน้อยจ้องมองเธอสักพัก แต่ก็ยังไม่ตอบกลับ แต่มือทั้งสองข้างยื่นออกไปหาอลิซที่ยืนปากเล็กๆพูดพล่าม อี อี ยา ยา
อลิซเผยมุมอ่อนโยนที่หาดูได้ยาก เธอแตะจมูกของทารกแล้วกระซิบว่า “ตอนนี้กอดไม่ได้นะ”
เด็กดูเหมือนจะเข้าใจ วางมือลงแล้วทำหน้ามุ่ยปากบึ้งตึง
“อย่างอแงกับฉัน ตอนนี้เธอโตเร็วเกินไป ฉันไม่สามารถอุ้มเธอได้แล้ว ”
เด็กได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ้มหรี่ตา
มู่เวยเวยเสียใจ เธอไม่โทษลูกเลยสักนิด เธอเอาแต่โทษตัวเอง ตั่งแต่คลอดเด็กคนนี้อยู่กับเธอเพียงสามวัน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงตอนนี้ เวลาที่เหลืออยู่กับชายสวมหน้ากาก อลิซและคนอื่นๆ แน่นอนว่าย่อมสนิทกับพวกเขา ตอนนี้แม่อย่างเธอก็เป็นแค่คนแปลกหน้า
มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเดินกลับมา และมู่เวยเวยนึกว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ ก็ถูกกระชากลงมาสู่พื้นดิน“ทำไมพื้นผิวของแผนที่สมบัติถึงไม่เหมือนกัน ฉันคิดว่าแกเอาของปลอมมาหลอกฉัน”
มู่เวยเวยดวงตาผวาประหลาดใจ “ฉันเห็นเย่เฉาเฉินหยิบแผนที่สมบัตินี้ออกมาจากคลังสมบัติ แล้ววางไว้ที่ห้องสมุดในหน่วยงาน มันจะเป็นของปลอมได้อย่างไร?
ดวงตาของชายหน้ากากสีเงินเต็มไปด้วยความโกรธ “แกต้องการจะโกหกฉันถึงแม้ว่าเส้นทางของแผนที่สมบัติจะเชื่อมต่อกัน แต่อายุของพื้นผิวไม่ถึงหนึ่งปีแน่นอน แกจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร?
มู่เวยเวยก็กังวลเช่นกัน “แกถามฉัน แล้วฉันจะถามใคร? ฉันก็ไม่เคยเห็นแผนที่สมบัติจริงๆ แผนที่สมบัติในคลังสมบัติที่คุณขอให้ฉันหยิบมาคืออันนี้ ไม่มีแผ่นที่สองแล้ว แกเห็นพื้นผิวหนังแกะแตกต่างจะแปลว่าคือของปลอม นี่มันไร้สาระสิ้นดี อย่างงั้นแกเคยเห็นความยาวของแผนที่สมบัติว่าหน้าตาเป็นอย่างไรเหรอ? แผนที่สมบัติเดิมถูกวาดลงบนหนังแกะสองม้วน มันแปลกตรงไหนล่ะ? ”
มู่เวยเวยใส่อารมณ์จริงจังเต็มที่จะพูดจบ กล่าวชมตัวเองในใจอย่างเงียบ ๆ
อารมณ์ของชายคนนั้นค่อยๆสงบลง เขาปล่อยแขนของมู่เวยเวย “ถึงแกจะพูดออกมากได้ดีขนาดนี้ แต่ฉันก็ไม่ปล่อยแกไป”
มู่เวยเวยรู้สึกโล่งใจอย่างมาก การหลอกลวงที่ผ่านมาได้
“อลิซ เอามันกลับไป”
มู่เวยเวยตกใจค้าง “เดี๋ยวก่อน แกบอกว่าจะปล่อยฉันกับลูกไปไม่ใช่เหรอ?”
ชายหน้ากากสีเงินยิ้มอย่างร้ายกาจ “แน่นอนฉันจะปล่อยพวกแกไป แต่ฉันไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่จะปล่อยไป คุณมู่สงบนิ่งให้สบายใจ รอวันที่ฉันพบแผนที่สมบัติ แกก็สามารถพาลูกไปได้แล้ว”
“แกหมายความว่า!” มู่เวยเวยโกรธขึ้นสมองสุดขีด เธอไม่อยากจะเชื่อไอ้เลวนี้
ชายหน้ากากสีเงินพูดอย่างเย็นชาว่า “แกจะด่ายังไงก็ช่าง ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยแกไป ฉันขอเตือนแกไว้ก่อน ที่นี่รัศมี 500 ไมล์เป็นทะเลเท่านั้นมีเกาะเล็กๆเพียงแห่งเดียว หากแกออกไปก็มีแต่ทางตายเท่านั้น ดังนั้นแกควรอยู่ที่นี่ให้มีความสุขเถอะ อธิษฐานให้ฉันจะพบสมบัตินี้ในไม่ช้า แล้วแกก็จะได้รับการปลดปล่อย
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบเขาก็หันไป มู่เวยเวยรีบเรียกเขา “เดี๋ยวก่อน ฉันต้องการอยู่กับลูกของฉัน”
“ฉันยังคงพูดถึงเครดิตนี้ เด็กน้อยคนนี้เป็นของเธอ ฉันไม่ต้องการเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนหรอก”
มู่เวยเวยหัวใจครึ่งหนึ่งหล่นไปอยู่ในท้อง ตอนนี้ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่เธอทำนายไว้ ดังนั้น จึงไม่มีเรื่องแปลกใจหรือเรื่องผิดหวัง
เพียงแค่เธอสามารถได้อยู่กับลูก สิ่งอื่นภายนอกก็ไม่สำคัญอะไรสำหรับเธอแล้ว
“ดีแล้ว มากับฉันเถอะ”
อลิซเดินนำทางไปด้านหน้า มู่เวยเวยเข็นรถเข็นทารก คว้ากระเป๋าที่พื้นสะพายตามหลังมา เดินเลี้ยวผ่านหัวมุม แล้วผ่านทางเดิน อลิซผลักเปิดประตูห้องหนึ่งออกไป
“งั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่ นี่คือห้องสำหรับพี่เลี้ยงเด็ก เขารู้ว่าวันนี้เธอจะมา เมื่อวานเขาจึงกลับบ้านไป อลิซ อธิบาย”
มู่เวยเวยมองไปรอบๆ ห้องไม่ใหญ่มาก มีของเล่นเด็ก นมผง และเสื้อผ้าตัวเล็กๆ อยู่เต็มไปหมด
“ขอบคุณค่ะ”
อลิซเดินไปที่โต๊ะด้านหน้า หยิบสมุดบันทึกออกมาจากลิ้นชักให้เธอ “นี่คือสิ่งที่พี่เลี้ยงทิ้งไว้ก่อนที่เขาจะกลับไป มันเป็นจะบันทึกเวลากินอาหารของเด็ก น้ำหนัก เวลาเข้านอนเวลาอาบน้ำและกิจวัตรประจำวันอื่นๆ
มู่เวยเวยไม่คาดคิดว่าจะมีพี่เลี้ยงเด็กที่เอาใจใส่เช่นนี้ หัวใจของเธออบอุ่นทันที เมื่อพิจารณาจากการบันทึกที่พิถีพิถันในสมุดบันทึกเล่มเล็กนี้ พี่เลี้ยงเด็กต้องรักลูกน้อยของเธอมากจริงๆ
“ส่งกระเป๋าของเธอมาให้ฉัน”
มู่เวยเวยไม่ได้ปฏิเสธ ยื่นให้เขา
อลิซเปิดกระเป๋า นำสิ่งของทั้งหมดวางบนเตียง แล้วหยิบออกมา ล้วนเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันและเสื้อผ้าทั้งหมด
“ไม่ต้องค้นหาแล้ว อุปกรณ์สื่อสารมีเพียงชิ้นเดียวอยู่บนเรือยอทช์ ไม่มีอะไรอื่นแล้ว”
อลิซชักตาใส่เธอ “รู้กฎระเบียบก็ดีแล้ว หากคุณมีปัญหา สามารถมาหาฉันได้ แต่ยังไงก็ตามห้ามเดินวุ่นวายรอบๆคฤหาสน์แห่งนี้ ด้านนอกเต็มไปด้วยผู้ชายที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านไม่มีที่ให้ระบาย หากเธอไม่ระวังตัวจนกลายเป็นเป้าหมาย ฉันก็ไม่สามารถช่วยคุณได้ เจ้านายใจกว้างกับพวกเขามากๆ”
มู่เวยเวยมองเธออย่างซาบซึ้ง “อลิซขอบคุณที่บอกฉันเรื่องนี้”
อลิซบุ้ยปาก “ฉันเห็นแก่เด็ก ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวข้องกับเธอ” หลังจากพูดจบ เธอกำลังหันออกไป มู่เวยเวยเรียกหยุดเธอไว้
“อลิซ ครั้งล่าสุดที่เจ้านายเธอส่งรูปถ่ายให้ฉัน เด็กมีอาการบาดเจ็บที่ดวงตา ทำไมฉันถึงเห็น……..”
อลิซมองเยาะเย้ยเธอ “หรือเธออยากให้ลูกของถูกทำร้าย”
“ไม่ไม่”มู่เวยเวยรีบหาอะไรทำให้ดูยุ่งทันที “ฉันแค่รู้สึกแปลกๆ”
“เหอะ หากเจ้านายไม่ทำแบบนี้เธอจะเร่งรีบได้ขนาดนี้ไหม?” อลิซไม่ได้ตอบคำถามของเธอต่อหน้า เมื่อเธอกำลังออกไปมู่เวยเวยก็ได้ยินเสียงพึมพำของเธอ “ลูกน่ารักขนาดนี้ใครจะตีเขา?”
มู่เวยเวยตกตะลึงไปสักพัก ตามที่อลิซกล่าวไว้ รูปถ่ายที่ชายหน้ากากสีเงินส่งมาให้เธอนั้นเป็นของปลอม? แต่วิดีโอการโยนลงอ่างครั้งแรกนั้นไม่ผิด ใบหน้าเป็นใบหน้าของลูกและดวงตาเป็นรูม่านตาที่แตกต่างกัน ส่วนรูปที่สองนี้ เขาส่งรูปด้านหลังบางส่วนมา…
จริงๆแล้ว ภาพถ่ายที่สองไม่ใช่ลูกของเธอ แต่ในแวบแรกที่เห็นเธอมีความคิดและก็เชื่อว่ามันเป็นลูกของเธอ
ช่างน่าสมเพชจริงๆ
มู่เวยเวยยืดหลังของเธอ ก้มตัวเพื่อดูว่าลูกต้องการจะพูดอะไร เขาอ้าปากและไม่รู้จะพูดอะไร เธอไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ เธอจึงทำได้เพียงจ้องมองไปที่เขา โชคดีที่ลูกเชื่อฟังเธอมองมาที่ฉัน ฉันจะมองคุณ ไม่ร้องไห้
มองดูลูกของตัวเอง เติมเต็มหัวใจมู่เวยเวย เป็นความรู้สึกที่จ้องมองเท่าไหร่ก็ไม่พอ
“ลูก นี่คือแม่ของหนู เราจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว ในที่สุดมู่เวยเวยก็พบคำหนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เธอไม่คาดคิดว่าลูกของเธอจะหัวเราะโต้ตอบกับเธอ ทำให้เธอมีความสุขมาก”
ผ่านไปส้กครู่ ใบหน้าเล็กๆของเด็กก็ย่นเข้าหากันแน่น แขาของเขาบิดไปมา ดูอึดอัด มู่เวยเวยรู้สึกกังวล “ลูก เป็นอะไรหรือเปล่า? ตรงไหนไม่สบายเหรอ?”
แน่นอนว่าลูกตอบเธอไม่ได้ ได้แต่พูดพล่ามเสียงในปากของเขา
มู่เวยเวยคว้าหนังสือเล่มเล็กๆขึ้นมาอ่าน มีหน้าที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ บางครั้งเขาไม่พอใจหรือไม่สบายใจ ก็เพราะว่าฉี่ใส่เต็มกางเกงผ้าอ้อม ต้องเปลี่ยนมันทันที
มู่เวยเวยลูบสัมผัสอย่างระมัดระวัง
ชื่นแล้วจริงๆ
ยุ่งหาผ้าอ้อมของลูกจนมือไม้พันอยู่ในห้อง นำลูกออกจากรถเข็นทารกและวางไว้บนเตียง เธอไม่รู้วิธีการเปลี่ยนผ้าอ้อม เธอแค่ดูคำแนะนำบนหีบห่อ โชคดีที่เธอสอบผ่านภาษาอังกฤษระดับสี่ มีรูปภาพอยู่ด้านบนจึงทำให้เธอเข้าใจ
ตอนเปลี่ยนกางเกงผ้าอ้อม มู่เวยเวยประหม่าอย่างมาก กลัวว่าเขาอาจได้รับบาดเจ็บ แต่เธอก็ช่างไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กเป็นสิ่งชีวิตไม่ใช่ตุ๊กตา ไม่สามารถแตกหักได้ง่ายๆเมื่อสัมผัส
เสียเวลาไปครึ่งวัน มู่เวยเวยพยายามในการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกจนสำเร็จ เหงื่ออาบไปทั้งร่างกาย
แม้ว่าลูกของเธอจะอายุหกเดือนแล้ว แต่เธอก็เป็นแม่มือใหม่ ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย
ด้านนี้
หลังจากที่เย่ฉ่าวเฉินถึงเมืองโฮโนลูลู สายสืบของเขาก็มารับ
“เจ้านาย คุณมาแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าให้เขาอย่างเหนื่อยล้า เปิดโทรศัพท์และเห็นข้อความสุดท้ายที่มู่เวยเวยส่งมา รู้สึกเศร้าในใจ
“เจ้านาย หาที่สถานที่พักผ่อนก่อนเถอะ นั่งเครื่องบินในเวลานี้ ”สายสืบของเขาพูดด้วยความเป็นห่วง
เย่ฉ่าวเฉินไม่ตอบกลับ และเปิดซอฟต์แวร์ GPS ในโทรศัพท์ เห็นจุดไฟสีแดงกระพริบบนนั้นและเขาก็รู้สึกสงบใจ
จุดสถานที่ไฟสีแดงกระพริบ ตอนนี้มู่เวยเวยอยู่บนเกาะทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกที่ล้อมรอบด้วยทะเล
เย่ฉ่าวเฉินยื่นโทรศัพท์ให้สายสืบดู “ไม่พักแล้ว ไปที่นั้น”
สายสืบเหลือบมองแล้วพูด “เจ้านาย สถานที่นี้ใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกชั่วโมงโดยเรืองั้นคุณไม่พักผ่อนก่อน ฉันจะไปค้นหาเรือยอทช์”
ในมหาสมุทรแปซิฟิกมีเกาะเล็กๆจำนวนมาก จะมีเรือพิเศษเพื่อใช้ในการขนส่งระหว่างเกาะใหญ่ๆ เจ้าของเกาะส่วนตัวที่ค่อนข้างห่างไกลดังกล่าวจะมีเครื่องบินไอพ่นหรือเรือยอทช์ส่วนตัวของตนเอง แน่นอนเรือยอทช์ธรรมดาจะไม่สามารถไปเกาะส่วนตัวที่อยู่ห่างไกลได้ ซึ่งไม่ปลอดภัย และอาจหลงทางในทะเลได้ง่าย
เย่ฉ่าวเฉิน คิดว่ามันน่าจะเป็นเช่นนั้น เขาจึงพูดว่า “งั้นก็หาโรงแรมเข้าพักก่อน”
“ครับ” เรียกแท็กซี่ให้คนขับก็พาพวกเขาไปที่โรงแรมหรู
“คนของพวกเราละ?”เย่ฉ่าวเฉินถาม
“ยังคงกระจายอยู่ทุกที่เพื่อรับทราบข่าวสาร”
“เรียกพวกเขาทั้งหมดมาที่นี่ ไม่ต้องกระจายแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินนอนอยู่บนเตียงหลับตาเพื่อพักผ่อน
สายสืบมองไปที่เจ้านายด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ได้ถามอะไร “รับทราบ เจ้านายพักผ่อนก่อนฉันจะออกไปหาเรือ”
เย่ฉ่าวเฉิน “อื้ม” เขาหลับตาแต่ไม่สามารถหลับได้ ตอนนี้เวยเวยกำลังทำอะไรอยู่? ไอ้นั่นทำให้เธอทุกข์ใจหรือป่าว? พบลูกหรือยัง? มีอันตรายหรือไม่?
ทุกๆคำถามเเซกล้นเข้ามาในสมอง จนสมองแทบจะระเบิด