“ลูกอยู่กับฉันที่นี่ เธอไปไหนไม่ได้” กาวินกล่าวอย่างมั่นใจ เด็กคือชะตากรรมของเธอ แม้เธอจะฆ่าตัวเองตาย ก็ให้เด็กเป็นอะไรไปไม่ได้
กาวินพูดถูก มู่เวยเวยก็เพียงแค่ไปล้างมือเท่านั้น ตอนล้างมืออยู่ริมลำธาร เธออดนึกถึงตอนอยู่ในถ้ำขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ราวกับว่ามีดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ตัวเอง
จึงรีบกลับไปฐานทัพ หัวใจของมู่เวยเวยสงบขึ้นมากแล้ว แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่คนดี แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นมนุษย์
อลิซยังไม่ชินกับท่าทางอ่อนปวกเปียกและขี้ขลาดของเธอ จึงพูดกระแนะกระแหน “หน้าตาอย่างกับเห็นผี มีอะไรให้กลัวขนาดนั้น?”
มู่เวยเวยไม่ได้ตอบโต้กลับ ได้แต่ยอบรับว่า “ฉันไม่ใช่พวกเธอ ที่ทั้งชีวิตมีแต่การต่อสู้และเข่นฆ่า ใครตายก็เอาไปฝัง ฉันเป็นแค่คนธรรมดา แน่นอนว่าฉันต้องกลัวอยู่แล้ว”
“หึ” อลิซส่งเสียงเบาๆ อย่างดูถูก เธอไม่ได้พูดอะไร ตั้งแต่คืนนั้นที่มู่เวยเวยวางยาเธอ ความรู้สึกดีๆ และความเห็นอกเห็นใจอันน้อยนิดที่เธอมีต่อมู่เวยเวยก็หายไปอย่างสมบูรณ์แบบ
เด็กน้อยที่นอนหลับเต็มอื่ม ก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา มองเห็นกาวินกำลังอุ้มตัวเองอยู่ เขาก็ขยี้ตาแล้วยื่นแขนหาคนเป็นแม่ให้เป็นคนอุ้ม
มู่เวยเวยยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหลัง กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ตอนนี้แม่อุ้มหนูไม่ไหวแล้วนะ ให้คุณลุงอุ้มก่อนดีไหมจ๊ะ?” แม้ว่าจะล้างมือมาแล้ว แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวก็ยังมีกลิ่น และอีกอย่างค้างคาวมากมายพวกนั้นก็บินผ่านตัวเธอ จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีเชื้อโรคเกาะติดอยู่ตามเสื้อผ้า จะทำอย่างไร?
กาวินที่ได้ยินคำว่า “ลุง” มีอะไรบางอย่างฉายอยู่ในแววตา เธอจะโยนภาระหน้าที่ให้เขา โดยที่ไม่ถามความคิดเห็นจากตัวเขาก่อน เด็กคนนี้เป็นหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบงั้นเหรอ?
เด็กน้อยดูเหมือนจะเข้าใจที่แม่พูด ดวงตากลมโตมองมาที่กาวิน วางศีรษะเล็กๆ ลงบนหน้าอกเขาอย่างว่านอนสอนง่าย ราวกับว่ายังคงง่วงอยู่
กาวินก้มมองท่าทีเล็กๆ น้อยๆของเขา แล้วถอนหายใจอยู่ในใจ ดูเหมือนเขาจะทำอะไรเด็กชายตัวเล็กๆ นี้ไม่ได้
อลิซรู้สึกขัดหูขัดตากับภาพตรงหน้า จึงหันหน้าไปมองถ้ำ ท่าทีของเจ้านายที่มีต่อเด็กและผู้หญิงคนนี้ ยิ่งมองอลิซยิ่งไม่เข้าใจ จะบอกว่าเขาดีกับมู่เวยเวย แต่โหดเหี้ยมกับคนอื่นๆ จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก อย่างเมื่อครู่ก็เพิ่งปล่อยให้เธอเข้าไปในถ้ำคนเดียว แต่บางครั้งเขาก็อดทนกับเธอมากเช่นกัน อย่างครั้งที่แล้ว อลิซถูกมู่เวยเวยวางยาแล้วแอบวิ่งหนีเข้าป่า เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของจางเหิง เจ้านายก็ไม่ได้โกรธอะไร และไม่ลงโทษเธอ
เจ้านายกำลังคิดอะไรอยู่? แปลกจริงๆ
หลังจากนั้นสิบนาที จางหางและอีกสองคนก็วิ่งออกมาอย่างทุลักทุเล ค้างคาวนับไม่ถ้วนบินตามมาทางด้านหลัง จนกระทั่งพวกเขาออกมาพ้นปากถ้ำ ค้างคาวพวกนั้นจึงบินกลับเข้าไป
“ข้างในมีอะไร?” ฉ่ายรีบถามขึ้น แต่กาวินที่อุ้มเด็กอยู่ไม่ได้เข้ามาใกล้
สีหน้าทั้งสามคนดูแย่มาก แต่ก็ยังดีกว่ามู่เวยเวย เมื่อหายใจคงที่ จางหางจึงพูดขึ้นว่า “ในนั้นมีโครงกระดูกมากมายกระจัดกระจายไปทั่ว มีมีดมีดาบของประเภทนั้นอยู่จำนวนไม่น้อย และยังมีโลงศพอีกหลายโลงที่ถูกเปิดออก แต่ข้างในนั้นไม่มีอะไรนอกจากโครงกระดูกไม่กี่ชิ้น”
หนึ่งในนั้นยื่นมีดสั้นให้ฉ่าย “ผมเอาออกมาจากข้างในนั้น คุณดูสิ”
ฉ่ายสวมถุงมือแล้วรับมันมาด้วยสีหน้าจริงจัง เป็นมีดสั้นธรรมดาๆ ใบมีดเป็นสนิม และบนด้ามมีตัวอักษรสลักไว้อย่างชัดเจน
“ข้างบนเขียนว่าอะไร?” กาวินถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ชิง กวังซวี่ปีที่สามสิบสี่ หมิ่น ร้านหลี่” ฉ่ายพูดออกมาทีละคำ
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายความว่า มีดเล่มนี้ถูกทำขึ้นโดยร้านขายอาวุธชื่อร้านหลี่ ที่อยู่ในยุคหมิ่นใต้ ในปีที่สามสิบสี่ของจักรพรรดิกวังซวี่ในราชวงศ์ชิง” ฉ่ายจ้องมองมีดสั้นอย่างละเอียด และอธิบายต่อว่า “ปีที่สามสิบสี่ของกวังซี่คือปีหนึ่งพันเก้าร้อยแปด ในสมัยนั้น อาวุธทุกชิ้นจะมีบัตรประจำตัว ทำขึ้นเมื่อไหร่ มาจากที่ไหนเป็นต้น ทั้งหมดเป็นข้อบังคับเข้มงวด รูปแบบของมีดสั้นเล่มนี้เป็นแบบธรรมดา ใบมีดไม่คมมาก คงจะถูกจ้างทำโดยชาวบ้านที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร”
จางเหิงหันกลับไปแล้วถามขึ้น “แบบนี้แสดงว่าคนที่ตายอยู่ข้างในก็คือคนจากปลายราชวงศ์ชิง?”
ฉ่ายส่ายหน้า “ไม่เสมอไป อาจอยู่ในช่วงสาธารณรัฐจีนได้เหมือนกัน หรืออาจจะหลังจากนั้น เพราะถึงยังไงดาบพวกนี้ก็ถูกส่งต่อเป็นทอดๆ อยู่ดี”
“ฉ่ายนายคิดยังไงกับของที่อยู่ข้างในนั้น?” กาวินเอ่ยถามอย่างจริงจัง เขาเป็นนักธุรกิจ ไม่เข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้
ฉ่ายดันแว่นตาขึ้นไปบนสันจมูก เดินไปรอบๆ ถ้ำแล้วพูดว่า “ที่นี่น่าจะเป็นถ้ำคนตาย”
“ถ้ำคนตาย?” กาวินตกตะลึง
“ใช่ ในยุคชนชาติม้งจะมีพิธีการทำศพอยู่ประเภทหนึ่ง ก็คือเมื่อมีคนตายจะไม่ถูกนำไปฝัง แต่จะถูกเอาไปไว้ในถ้ำหลังภูเขา ถ้ำนี้จะอยู่บนภูเขาหลัก ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งซ้ายขวา ด้านหน้ามีลำธารเล็กๆ ตามแบบฮวงจุ้ยที่ดี ภูเขาสวยน้ำใส เป็นสถานที่เสริมฮวงจุ้ยอย่างมาก”
คำพูดของฉ่ายทำให้ทุกคนตกใจจนอ้าปากค้าง และตะลึงไปกับความรู้รอบด้านของเขา
“โดยทั่วไป ถ้ำคนตายของชนเผ่าม้งจะมีขนาดใหญ่มาก ฝังศพได้เป็นจำนวนมหาศาล แต่ในถ้ำนี้กลับมีโลงศพเพียงไม่กี่โลง ตามหลักฮวงจุ้ยที่ดี คงจะเป็นหลุมฝังศพของคนมีเงินหรือผู้ที่มีอำนาจในยุคนั้น คนในสมัยก่อนเชื่อว่ามียมโลก ดังนั้นเวลาฝังศพจึงมีสิ่งของมากมายฝังไปพร้อมกับคนตาย เพื่อจะได้มีชีวิตร่ำรวยสะดวกสบายหลังจากตายไป แต่สิ่งของเหล่านี้คงดึงดูดพวกโจรมาจำนวนไม่น้อย ถ้าผมเดาไม่ผิด คนที่ตายอยู่ภายในถ้ำคงเป็นโจรที่มาปล้นสุสาน”
“ในเมื่อพวกที่มาเป็นโจรปล้นสุสาน แล้วทำไมถึงตาย?” จางเหิงอดถามขึ้นมาไม่ได้
สีหน้าของฉ่ายเรียบเฉย “อาจเพราะแบ่งสมบัติกันไม่ลงตัว หรือบางทีอาจจะพบเจอกับสิ่งที่ไม่ดีเข้า สมัยนั้นชนเผ่าม้งมีไสยศาสตร์มากมาย เป็นชนชาติที่มีความลึกลับมาก”
เวลานี้ได้เพิ่มเติมความรู้ที่ไม่ค่อยจะมีในหัว แต่ในหัวกาวินกลับมีแต่ความคิดเพียงว่า ยังหาสมบัติไม่พบ
ตอนนี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เพื่อหลีกเลี่ยงจากการค้างคืนในป่า กาวินจึงสั่งให้ทุกคนลงจากเขา และเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนเขาก็ไม่ได้ส่งให้คนอื่น ได้แต่กอดอยู่หน้าอกอย่างนั้น
มู่เวยเวยรู้สึกกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนที่ลงจากเขาเธอเดินอยู่ตรงกลาง แต่ถึงจะทำเช่นนี้แผ่นหลังของเธอก็ยังเสียววาบ เธอก้าวเร็วๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็อยู่ด้านหลังของฉ่ายแล้ว จึงกระซิบของคำปรึกษา “ฉ่ายนายคิดว่าบนโลกนี้มีผีไหม?”
ฉ่ายกับมู่เวยเวยไม่ได้เป็นศัตรูต่อกัน ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อความสัมพันธ์นี้ ดังนั้นท่าทีที่เขามีต่อเธอจึงค่อนข้างดี เขาหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินแบบนี้ “ผีมีจริงที่ไหน? เป็นเพียงแค่สิ่งที่คนเราจินตนาการขึ้นมาเท่านั้น”
“แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองฉันอยู่ตลอดเวลา เป็นความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัว” มู่เวยเวยพูดแล้วกระชับอ้อมแขน ดวงตาจ้องมองไปรอบๆ อย่างว่างเปล่า
ฉ่ายพูดปลอบใจเธอ “โดยเฉพาะเรื่องนี้คุณต้องใช้จิตใจล้วนๆ เมื่อคุณมีเรื่องที่ให้คิดอยู่ในใจ จะเกิดความสงสัยก็เป็นเรื่องปกติ ดูเหมือนว่าคุณจะกลัวจริงๆ นะ”
มู่เวยเวยยิ่งรู้สึกหดหู่ “แล้วเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกพวกนี้จะหายไป” หากยังสงสัยอยู่แบบนี้ งั้นคืนนี้คงไม่ต้องหลับต้องนอน เธอรับรู้ได้ล่วงหน้า คืนนี้เธอต้องนอนไม่หลับแน่ๆ
“คิดถึงสิ่งที่มีความสุขให้มาก อย่าเอาแต่นึกถึงสิ่งที่เห็นอยู่ในถ้ำตลอดเวลา”
มู่เวยเวยใกล้จะร้องไห้อยู่แล้ว “ฉันก็ไม่อยากนึกถึงอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่ภาพเหล่านั้นยังแล่นเข้ามาในหัวไม่หยุด ฉันหยุดมันไม่ได้”
ฉ่ายเห็นอกเห็นใจเธอ “งั้นก็ไม่มีวิธีอื่น นอกจากคุณต้องพึ่งตัวเอง”
ความวิตกกังวลทางจิตใจต้องใช้ยารักษาทางจิตใจเข้าสู้ แต่ยารักษาจิตใจของเธออยู่ที่ไหนล่ะ? มู่เวยเวยมองไปยังกาวินที่เดินอยู่ข้างหน้า ต้องโทษเขาทั้งหมด ที่ให้เธอเข้าไปข้างในจนทำให้เธอกล้วจนสติหลุดแบบนี้
จางเหิงและอลิซเดินอยู่ด้านหลัง หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “ข้างในนั้นมันน่ากลัวจริงๆ เหรอ?”
จางเหิงเหลือบมองเธอ แล้วตอบเบาๆ “คุณไม่ควรเห็นมันไปชั่วชีวิต ค้างคาวนับไม่ถ้วนเกาะอยู่บนผนังถ้ำ แค่เห็นก็ทำให้ผู้คนหนาวสั่น”
อลิซตัวสั่นและถามขึ้นอีกครั้ง “งั้นนายเคยเห็นปลาตัวใหญ่ที่มู่เวยเวยพูดถึงหรือเปล่า?”
“ไม่” จางเหิงมองทะลุไปถึงแผ่นหลังเบาะบางนั้น ต้องขอบคุณเธอคนนี้ ตอนที่พวกเขาเดินผ่านบ่อน้ำ หัวใจของทั้งสามคนแทบจะหยุดเต้น เพราะกลัวว่าจะมีปลาตัวใหญ่กระโดดขึ้นมากัดกินพวกเขา ได้ยินเพียงแค่เสียงซู่ๆ ใต้น้ำ แต่กลับไม่เห็นปลาตัวใหญ่
แม้ว่าจางเหิงจะเป็นคนที่กล้าหาญมาก แต่เฉพาะตอนเผชิญหน้ากับมนุษย์เท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จักเช่นนี้ ทุกคนย่อมหวาดกลัว ไม่ว่าใคร
“เธอขี้ขลาดจริงๆ” อลิซพูดอย่างดูถูก
“อะไรนะ?” จางเหิงไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
อลิซส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
เมื่อถึงตีนเขาท้องฟ้าก็มืดแล้ว ขับรถไปบนท้องถนนอยู่นาน กว่าจะพบกับเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
เพราะในเวลานี้ โรงแรมทั้งหมดเต็มเกือบหมดแล้ว และในที่สุดก็เจอโรงแรมที่ยังว่าง แต่ห้องพักไม่เพียงพอ จึงต้องอยู่รวมกัน ไม่ว่าพวกผู้ชายจะเบียดเสียดกันแค่ไหน แน่นอนว่ามู่เวยเวยและอลิซต้องพักอยู่ด้วยกัน
เมื่อเข้าไปในห้อง มู่เวยเวยก็ปรี่เข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว กลิ่นเหม็นเปรี้ยวบนร่างกายทำให้เธอแทบทนต่อไปไม่ไหว
อลิซไม่ได้พูดอะไร เธอออกไปรับประทานอาหารข้างนอก มู่เวยเวยหลังจากที่อยู่ในห้องน้ำเกือบสิบนาที เมื่อได้ยินเสียงประตูจึงคิดว่าเป็นอลิซที่กลับเข้ามา เธอไม่ได้ถามอะไร ใช้สบู่สามก้อนถูไปที่ผิวของตัวเองแรงๆ เธอต้องการล้างกลิ่นลมหายใจของถ้ำที่แปดเปื้อนมาออกให้หมด เธอถูไปเรื่อยๆ จนร่างกายเปลี่ยนเป็นสีแดง จึงจำใจต้องหยุด
ใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ซับน้ำบนร่างกายให้แห้ง แล้วมู่เวยเวยก็ต้องตกใจ เธอรีบเกินไปจนลืมหยิบเสื้อผ้าเข้ามาเปลี่ยน
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอลิซอยู่ในห้อง มู่เวยเวยก็ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อลิซ เธอช่วยหยิบชุดที่สะอาดให้ฉันสักชุดหน่อยได้ไหม? ฉันลืมเอามาด้วย”
ด้านนอกไร้ความเคลื่อนไหว
มู่เวยเวยรู้ว่าอลิซแค้นเธอมาก แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือก จึงต้องอ้อนวอนอีกครั้ง “อลิซ เห็นแก่ที่เราเป็นผู้หญิงเหมือนกันเถอะนะ เธอจะช่วยฉันสักครั้งได้ไหม?”
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าเดินอยู่ในห้อง มู่เวยเวยดีใจรีบพูดขึ้นว่า “เสื้อผ้าอยู่ในกระเป๋าเป้ของฉัน หยิบมาแค่สองตัวก็ได้ แล้วก็กางเกงในอยู่ในกระเป๋าเล็กๆ ข้างๆ รบกวนเธอช่วยหยิบมาให้ฉันด้วยนะ ขอบคุณมากๆ”
สองนาทีต่อมา เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ห้องน้ำเรื่อยๆ มู่เวยเวยแง้มประตูออก ยื่นแขนเรียวยาวสีชมพูออกมา “ส่งมา”
เสื้อผ้าถูกยัดเข้ามาในมือของเธออย่างลวกๆ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป มู่เวยเวยไม่ได้สนใจท่าทีของเธอ แค่อลิซใจดีนำเสื้อผ้ามาให้เธอก็กรุณามากแล้ว
หลังจากที่มู่เวยเวยแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย จึงเดินออกมาข้างนอกพร้อมกับเช็ดผมไปด้วย “ขอบ…” ก่อนที่คำว่า “คุณ” จะเอ่ยออกมา มู่เวยเวยก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ อลิซที่นั่งอยู่ในห้องนี้ไปไหน กาวินคนที่ชอบทำหน้าบึ้งตึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“คุณ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” มู่เวยเวยแสร้งทำใจเย็นถามขึ้น แม้ในใจแทบคลั่งอยู่แล้ว
กาวินมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย พยักหน้าไปทางเด็กบนเตียง “เขาหลับแล้ว ฉันเอาเขามาส่ง”
มู่เวยเวยมองไปยังเด็กน้อย เขาหลับไปแล้ว
“งั้นคุณปล่อยเขาไว้ก็ได้หนิ ทำไมยังอยู่ที่นี่?” มู่เวยเวยถามอีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่หยิบกางเกงในและเสื้อผ้าให้เธอคือเขา ใบหน้าของหญิงสาวก็ร้อนผ่าว
“แล้วถ้าเขาตกจะทำยังไง?” น้ำเสียงของกาวินยังคงเรียบเฉย ตอนนี้เด็กน้อยพลิกตัวไปมาอยู่บ่อยครั้ง หากไม่มีใครเห็นก็อันตรายจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลว่าทำไมเขาถึงเข้ามาโดยไม่เคาะประตู
“งั้นทำไมคุณไม่เคาะประตู?”
กาวินมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีความหวั่นไหวสักนิด “มู่เวยเวยผู้หญิงไม่มีน้ำมีนวลแบบเธอ ฉันไม่สนใจหรอก”
มู่เวยเวยก้มหน้ามองตัวเอง แล้วรีบปิดหน้าอกไว้โดยอัตโนมัติ เพราะว่าอาบน้ำเพิ่งเสร็จ เธอจึงไม่ได้ใส่เสื้อชั้นใน
“ฉันเบาะบาง เชิญคุณกาวินออกไปด้วยค่ะ”
กาวินเลิกคิ้ว ขายาวลุกจากเตียง แล้วหยุดลงเมื่อเดินผ่านหน้าเธอ
มู่เวยเวยก้าวถอยหลังไปด้วยความกลัว จ้องเข้าไปในแววตาของเขา ราวกับตัวเม่นน้อยที่เตรียมป้องกันภัย
“มู่เวยเวย เธอน่าเกลียดขนาดนี้ เย่ฉ่าวเฉินจูบเธอลงได้ยังไง?” กาวินพูดด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย?”
กาวินไม่ได้โกรธ แต่กลับโน้มตัวเข้าไปใกล้ มองไม่เห็นอารมณ์ที่อยู่ในแววตาลึกลับของเธอ “มีดีแค่ผิวพรรณ ส่วนอื่นก็ไม่มีอะไรดี”
“แล้วยังไง? เย่ฉ่าวเฉินชอบก็พอแล้ว” มู่เวยเวยตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
“เฮ่อ มั่นใจตัวเองซะจริง” กาวินยิ้มร้าย ลมหายใจของเขารดไปบนใบหน้าของมู่เวยเวย ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ตรงกันข้าม หากเป็นเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยคงใจเต้นแรงแทบระเบิดออกมา
“กาวิน คุณออกไปได้แล้ว” มู่เวยเวยไล่เขาออกไป
“รีบเหรอ? ฉัน…”
พูดยังไม่ทันจบ ประตูก็ถูกผลักออก อลิซยืนอยู่หน้าประตู ในมือถือกล่องข้าว เมื่อเห็นอิริยาบถของทั้งคู่ เธอก็ชะงักไป จากนั้นก็รีบปิดประตูโดยเร็ว
มู่เวยเวยไม่รู้เรื่องอะไร อลิซเข้าใจตัวเองผิดไปแล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตต่อไปของเธอคงจะอยู่ยากยิ่งขึ้น
“กาวิน ฉันไม่เข้าใจ คุณแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง แล้วท่าทางแบบนี้คืออะไร? ไม่รู้สึกขยะแขยงบ้างเหรอ?” มู่เวยเวยถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
อารมณ์ของกาวินเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ยืนตัวตรงแล้วถอยห่างออกจากมู่เวยเวย ขมวดคิ้วแล้วถามกลับ “ใครบอกว่าฉันไม่ชอบผู้หญิง? อยากลองไหมล่ะ?”
มู่เวยเวยไม่มีทางให้ถอยหนี สองมือวางไว้ที่หน้าอก ใช้ไม้ตายสุดท้าย “นายกับฉู่เซวียนไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ กาวินก็หรี่ตาลง พูดขึ้นอย่างเย็นชา “มู่เวยเวย เธอถามมากเกินไปแล้ว”
“หลงรักฉู่เซวียนข้างเดียวเหรอ?” มู่เวยเวยยังคงถามต่อ
“ถามมากจริง” เห็นได้ชัดว่ากาวินไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะตอบเธอ สาวเท้าเดินออกไป มู่เวยเวยยังไม่ยอมปล่อยเขาไป “เฮ้ กาวินคุณจะทำกับพี่ฉู่เซวียนแบบนี้ไม่ได้นะ เขาจ่ายเงินเพื่อคุณมากขนาดนั้น คุณจะบอกว่าไม่ต้องการไม่ได้นะ”
กาวินรำคาญเธออย่างมาก จึงดึงประตูแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่เวยเวยปิดประตูเสียงดัง “ปัง!” รอยยิ้มร้ายกาจปรากฎบนหน้า ทุกคนมีจุดอ่อน แม้คนเจ้าเล่ห์อย่างกาวินก็ไม่เว้น ใช้ฉู่เซวียนมาเป็นโล่กำบังก็ไม่เลว
หลังจากที่วิ่งอยู่บนเขาทั้งวัน พลังงานถูกเผาพลาญไปมาก ในเวลานี้มู่เวยเวยกำลังหิว จึงทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอยืนพิงประตูห้องระหว่างทางเดิน แล้วตะโกน “อลิซ อลิซ”
ไม่มีใครตอบกลับมา
“อลิซ อลิซ อลิซ——” มู่เวยเวยตะโกนเรียกอยู่อย่างนั้น ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก อลิซมองมาที่เธอด้วยความโกรธ “ตะโกนทำไม เรียกหาผีเหรอไง?”
“เฮ้ ฉันกำลังคิดว่าถ้าเธอยังไม่ออกมา ฉันจะอุ้มลูกแล้วหนีไป” มู่เวยเวยยืนพิงประตูพูดกวนประสาทเธอ รออลิซเดินเข้ามาหาด้วยความโกรธ มู่เวยเวยก้มลงหยิบถุงพลาสติกในมือเธอ โยกตัวไปมาอยู่ตรงหน้า ยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนะ”
อลิซจ้องเธอเขม็ง อยากต่อยหน้าเธอจริงๆ
สองสาวเดินเข้าไปในห้อง คนหนึ่งกินอย่างตะกละตะกลาม ส่วนอีกคนนั่งจ้องตาเขม็ง สุกท้ายอลิซก็อดทนไม่ไหว ถามขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำไมเจ้านายมาอยู่ที่นี่?”
ตะเกียบที่อยู่ในมือมู่เวยเวยชะงัก เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “แล้วทำไมฉันต้องบอกเธอ”
อลิซข่มความโกรธแทบกระอักเลือดไว้ในใจ หายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งก่อนจะแสยะยิ้ม “มู่เวยเวยถ้าพรุ้งนี้เธอไม่อยากกินข้าวบูดๆ เน่าๆ ฉันถามอะไรเธอก็ถามมาแค่นั้นจะดีกว่า”
มู่เวยเวยก้มหน้าลงกรอกตาไปมา ไม่มีทางเลือก อลิซเป็นคนรับผิดชอบเรื่องอาหารของเธอตลอดการเดินทางนี้
“ง่ายมาก เขาแค่เอาลูกมาส่งให้ฉัน” มู่เวยเวยพูด
อลิซไม่สงสัยในเหตุผลนี้ เพราะเด็กน้อยกำลังนอนอยู่บนเตียง แต่ “งั้นเมื่อกี้พวกเธอทำอะไรกัน?”
“ไม่มีอะไรสักหน่อย” มู่เวยเวยทำหน้าไร้เดียงสา
“หึ! แบบนั้นยังจะบอกว่าไม่มีอะไรอีกงั้นเหรอ?” อลิซไม่เชื่อเธอ
มู่เวยเวยจ้องมองสีหน้าหวาดหวั่นของเธอ มองลึกเข้าไปข้างในอย่างต้องการสื่อความหมาย “อลิซ เธอชอบเจ้านายเธอเหรอ?”
อลิซที่ถูกกล่าวหา แววตาสั่นไหวเล็กน้อย “เธอพูดอะไรไร้สาระ ฉันจะชอบเจ้านายฉันได้ยังไง?”
“งั้นเธอหวั่นไหวทำไม?”
“ฉันกลัวว่าเธอจะมาล่อลวงเจ้านายของเรา เผื่อให้เขาปล่อยเธอไป” อลิซค้นพบเหตุผลที่พอฟังขึ้น
มู่เวยเวยหัวเราะเยาะ วางตะเกียบในมือลง ใช้สายตาล้อเลียนเธอ “อลิซ เธอไม่มีความศรัทธาต่อตัวเองเลย ไม่ว่าจะเรื่องรูปร่างหน้าตา เธอแข็งแกร่งกว่าฉันตั้งหลายเท่า ฉันจะเอาอะไรไปหลอกเจ้านายเธอ?”
ผู้หญิงทุกคนชอบฟังคำพูดดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำชมจากคนประเภทเดียวกัน ความโกรธบนใบหน้าของอลิซจางหายไปมาก
มู่เวยเวยสังเกตเห็นการแสดงออกของเธอเปลี่ยนไป ยิ้มอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับเรียบเฉย เธอถามขึ้น “อีกอย่างนะ เจ้านายของพวกเธอไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกเหรอ? เขาจะมาสนใจฉันได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้อลิซก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ไม่เกี่ยวกับเธอ”
มู่เวยเวยหัวเราะ “ฮ่าๆ ใครบอกว่าอยากเกี่ยวล่ะ”
อลิซเหลือบมองเธอ แล้วเปิดทีวีเพื่อดูข่าว เธอเป็นแค่ลูกน้องของกาวิน ทั้งเคารพเขาทั้งชอบเขาก็ทำได้เพียงแค่เก็บไว้ในใจ ไม่กล้าแสดงออกไป สำหรับเจ้านายว่ามีความรู้สึกดีๆ ต่อฉู่เซวียนหรือไม่นั้น เธอก็ไม่แน่ใจ แต่เธอเห็นทุกอย่าง อย่างน้อยเจ้านายก็ไม่เหมือนกันฉู่เซวียน
กลางดึก เป็นไปอย่างที่คิด มู่เวยเวยฝันร้าย บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดของฉ่าย ในความฝันชายหญิงทุกคนสวมชุดชนเผ่าม้ง พวดเขากำลังหามโลงศพไปที่ถ้ำ ปากพึมพำร้องเพลงน่าขนลุก ในความฝันมู่เวยเวยกลายเป็นหญิงสาวชนเผ่าม้ง หลังจากที่รอให้ทุกคนนำโลงเข้าไปในถ้ำ เธอก็ถูกผลักลงไปในโลงศพ เมื่อพยายามลุกขึ้น กลับถูกชายสวมหน้ากากเอามือปิดจมูกและปากเอาไว้…”
ลมหายใจริบหรี่ลงทุกที มู่เวยเวยตระหนักได้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน จึงบีบแขนตัวเองแรงๆ ทันใดนั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
ไม่คาดคิด เธอมองเห็นสิ่งที่น่ากลัวมากกว่านั้นอยู่ภายใต้แสงจันทร์ เธอกลัวจนแทบเกือบกรีดร้องออกมา
ห่างจากใบหน้าของเธอเพียงครึ่งเมตร เด็กน้อยล่องลอย ราวกับว่าอยู่ในสุญญากาศ มือทั้งสองข้างวางอยู่ข้างศีรษะ ขางอ เขานอนหลับ…ฝันหวาน
มู่เวยเวยตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ราวกับว่าอยู่ในความฝัน เธอจึงกัดแขนตัวเองอย่างแรง อ่ะ——เจ็บ!
นี่ไม่ใช่ความฝัน แค่เป็นความจริง
หรือว่าความสามารถเหนือธรรมชาติของลูกเริ่มเผยให้เห็นแล้ว? ดวงตาข้างหนึ่งของเขาเป็นสีม่วง หมายความว่าเขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษนี้งั้นเหรอ?
มู่เวยเวยเอื้อมมือออกไปดึงเขากลับมา แล้วกอดไว้แน่น
จะทำอย่างไร? หากว่าพลังเหนือธรรมชาติของเขามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดที่ต้องใช้มัน แล้วเขาควบคุมมันไม่ได้
เขายังเป็นเด็ก คงเพียงแต่คิดว่าสนุก กลับไม่คิดถึงว่าเป็นอันตรายอย่างไร
พระเจ้า! หนูน้อยคนนี้เหมือนพ่อของเขา ตอนกลางคืนมักเงียบสงบทำให้ผู้คนหวาดกลัว ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ตอนนี้มู่เวยเวยช่างโชคดี ที่ตอนกลางวันเขายังเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นคงถูกกาวินจับไปทดลองแน่
เธอวิตกกังวลตลอดทั้งคืน กลัวว่าเขาจะลอยขึ้นไปอีก ขณะที่กำลังฝันมู่เวยเวยก็ยังจับมือเล็กๆ ทั้งสองข้างของเขาไว้
รู้สึกว่าเพิ่งหลับไปได้ครู่เดียว มู่เวยเวยตื่นเพราะมีเสียงดังอยู่ข้างๆ หูเธอ “เฮ้ ตื่นได้แล้ว!”
ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว รีบมองไปที่ลูก เขาตื่นแล้ว กำลังเล่นกับนิ้วมือตัวเอง เมื่อเห็นว่าแม่ตื่นแล้ว ก็ส่งยิ้มหวานให้เธอ
มู่เวยเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนนี้ยังดี ดวงตาของเขาเป็นปกติ
อลิซออกไปกินข้าว ตอนที่ออกไปเธอล็อคประตูไว้ด้วย พูดตามจริง เธอกลัวมู่เวยเวยหนีไปอีกครั้ง
มู่เวยเวยรู้สึกว่าเธอไม่อาจอยู่แบบนี้ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะกับสิ่งที่ลูกทำเมื่อคืนนี้ ทำให้เธออยากออกห่างจากกาวินให้เร็วที่สุด ดังนั้นต้องทำอย่างแบบครั้งที่แล้ววางกระดาษสองสามแผ่นไว้ใต้เตียง คำที่เขียนไว้บนกระดาษเหมือนกับครั้งก่อน จะโทรหาตำรวจ หรือโทรหาเย่ฉ่าวเฉินดี
ทำให้เต็มที่ และพึ่งโชคชะตา ตอนนี้มู่เวยเวยทำได้เพียงแค่นี้
……
ติดตามเบาะแสเพื่อค้นหาทาง เย่ฉ่าวเฉินได้รับข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางที่อีกฝ่ายใช้อย่างคร่าวๆ ระยะทางของเขาและมู่เวยเวยอยู่ห่างกันสามสี่วัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามทัน เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไปที่ไหนอีก แบบนี้เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก
และสิ่งที่กวนใจเขามากที่สุด สัญญาณโทรศัพท์มือถือบนภูเขาไม่ค่อยดี บางครั้งก็ไม่มี ทำให้เขากังวลว่าจะคลาดเมื่อเธอโทรมาขอความช่วยเหลือ
ออกเดินทางตอนเช้าตรู่ เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองสัญญาณโทรศัพท์ที่เหลือเพียงขีดเดียว ถ้ามีเงินมากพอ เขาจะสร้างหอส่งสัญญาณบนภูเขาทุกลูก
“ทำไมคุณเอาแต่จ้องโทรศัพท์ ไม่เวียนหัวเหรอ?” เสี่ยวซีหร่านที่หลังอยู่เบาะหลังถามขึ้น
“ฉันกลัวว่าจะมีสายโทรเข้ามา” เย่ฉ่าวเฉินพูดง่ายๆ เสี่ยวซีหร่านและมู่เทียนเย่มองหน้ากัน ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะรู้สึกผิดมากที่ไม่ได้รับสายในครั้งที่แล้ว
พูดจบได้ไม่นาน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เบอร์ที่โชว์ขึ้นมาคือเบอร์โทรศัพท์บ้านจากเมืองF เย่ฉ่าวเฉินรีบร้อนหยิบขึ้นมา รายงานตัวไป “สวัสดี ผมเย่ฉ่าวเฉิน”
ปลายสายมีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา “สวัสดีค่ะ เราคือบริษัทประกันXX คุณสนใจอยากจะซื้อ…”
“ไม่ซื้อ!” เย่ฉ่าวเฉินคำรามอย่างหงุดหงิด ขัดจังหวะคำพูดของอีกฝ่าย
เสี่ยวซีหร่านที่นั่งอยู่ด้านหลังหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆ เย่ฉ่าวเฉินคุณก็อย่าโหดกับคนอื่นนักเลย การทำงานมันไม่ง่ายเลยนะ”
“เธอก็หุบปากซะ” เย่ฉ่าวเฉินควบคุณอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ เขาหงุดหงิดจนตะคอกใส่เธอ
ไม่รอให้มู่เทียนเย่ได้เอ่ยปาก เสี่ยวซีหร่านตบหน้าเขาไปทีหนึ่ง “คุณอยากลองตะคอกใส่ฉันอีกไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินหันกลับมาจ้องเธอด้วยความโกรธ ปกติผู้หญิงคนนี้ก็หยิ่งพยองอยู่แล้ว ยิ่งมีมู่เทียนเย่คอยให้ท้าย ยิ่งไม่เห็นหัวเขา หากมีเวยเวยด้วยอีกคน เขาคิดว่าคงถูกพวกเธอกดขี่ไปตลอดชีวิต
เป็นเวลาเดียวกันที่โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินหยิบขึ้นมาลวกๆ น้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์ “ฮัลโหว?”
คาดว่าทางนั้นคงตกใจที่ได้ยินเสียงเขา น้ำเสียงอ้อนแอ้นเอ่ยขึ้น “ใช่เย่ฉ่าวเฉินไหม?”
“ใช่ฉันเอง มีธุระอะไร?”
“คุณรู้จักคนที่ชื่อมู่เวยเวยไหม?” ภาษาจีนกลางของอีกฝ่ายสำเนียงเต็มไปด้วยภาษาท้องถิ่น แต่คำว่ามู่เวยเวยสามคำนี้ เย่ฉ่าวเฉินฟังออกทันที
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนไปทันที รีบเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “รู้จักๆ เธอเป็นภรรยาของฉัน”
มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา ชะโงกหน้าไปข้างหน้า เย่ฉ่าวเฉินกดเปิดลำโพง แล้ววางโทรศัพท์ไว้ระหว่างบุคคลทั้งสาม
“อ่อ เป็นแบบนี้ ตอนที่พนักงานของเราทำความสะอาดห้องเจอกระดาษชำระสองสามแผ่นเขียนเบอร์โทรศัพท์ของคุณไว้ บอกว่าให้โทรหาคุณมาช่วยเธอ” อีกฝ่ายพูดเร็วมาก ทั้งยังสำเนียงที่ติดภาษาท้องถิ่น ทำให้เย่ฉ่าวเฉินฟังไม่ชัด แต่ก็พอเดาความหมายได้คร่าวๆ
ในขณะที่ยังมีสัญญาณ เขารีบถามกลับไป “โทษทีนะ คุณอยู่ที่ไหน?”
“พวกเราคือ…”
เมื่ออีกฝ่ายพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินและสองคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร เย่ฉ่าวเฉินจึงถามขึ้นอีกครั้ง “รบกวนคุณพูดอีกทีได้ไหม? ฉันจะได้จดไว้” พูดจบ เขาก็รีบกดปุ่มอัดเสียงอย่างรวดเร็ว
เขาฟังไม่เข้าใจ แต่บางทีคนอื่นอาจจะฟังรู้เรื่อง
อีกฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินอยากจะถามอีกสองสามอย่าง แต่ได้ยินเสียงดังมาจากในสาย ได้ยินเสียงเถ้าแก่พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ลูกค้ามา ต้องวางสายแล้ว” จากนั้นโทรศัพท์ก็ดับไป
คนที่ติดตามเย่ฉ่าวเฉินมาตอนนี้ไม่มีคนในพื้นที่ ภาษาท้องถิ่นของเมืองF ฟังเข้าใจยาก ทั้งสามคนเปิดฟังเสียงอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เข้าใจที่อยู่ที่ระบุไว้ เพื่อรับรองว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อรถขับผ่านหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่งจึงหยุดลง
มีชายวัยกลางคนหนึ่งเดินอยู่ริมถนน ในมือถือตะกร้าไม้ไผ่กำลังไปทุ่งนา พร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ ชายสามคนที่ดูไม่ใช่คนธรรมดาขวางทางเขาไว้
“สวัสดีครับ ผมขอรบกวนคุณสักอย่างหน่อยได้ไหม? ช่วยฟังให้หน่อยว่าที่นี่คือที่ไหน” เย่ฉ่าวเฉินไม่รอให้เขาปฏิเสธ รีบกดปุ่มอัดเสียงในโทรศัพท์มือถือ มีเสียงของเถ้าแก่โรงแรมดังขึ้นมา
ชายวัยกลางคนเริ่มตอบสนอง เขาอยากช่วยเย่ฉ่าวเฉิน ครั้งแรกได้ยินไม่ชัดเจน จึงพูดขึ้นว่า “ขออีกรอบ”
เย่ฉ่าวเฉินกดเล่นอีกครั้งอย่างตั้งตารอ
ฟังจบชายวัยกลางคนก็ยิ้ม “อ้อ ชื่อเมืองนี้เคยมีคนพูดถึง ฉันจำได้ดูเหมือนว่าจะอยู่ที่เมืองC แต่อยู่ที่ไหนนั้นฉันไม่แน่ใจ”