หน่วยเยี่ยวราตรีพยักหน้ารับทราบ “ประธานมู่ คุณวางใจเถอะครับ ตอนนี้คุณอาหวังกับฉินหม่า กำลังรอรับพวกเขาที่สนามบินแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนครับ”
“อืม งั้นก็ดี”
มู่เทียนเย่ต้องการจะเอ่ยลาเสี่ยวซีหร่าน จึงเอื้อมมือไปอุ้มเด็กน้อย จากนั้นเดินออกไปเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับทั้งสอง
“กลับไปก็พักผ่อนเยอะๆนะ อยากเที่ยวก็เที่ยว ไม่ต้องกังวลเรื่องผม ถ้าผมเจอเวยเวยแล้ว ผมจะรีบกลับมาหาคุณนะ” มู่เทียนเย่กล่าว พร้อมกับมองหน้าเธอ จากนั้นเอื้อมมือไปลูบหน้าเธอ
เสี่ยวซีหร่านรู้สึกตาร้อนผ่าว เพราะเธอรู้ดีว่ามู่เทียนเย่ต้องไปเจอกับอะไรบ้าง “นายต้องดูแลตัวเองดีๆ ห้ามบาดเจ็บตรงไหนรู้ไหม? ฉันเป็นห่วง”
“ครับ ผมสัญญา ผมจะรีบกลับมาหาคุณอย่างปลอดภัย” มู่เทียนเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจากนั้นก็ดึงเธอเข้ามากอดแน่น “ผมให้คุณไปด้วยไม่ได้จริงๆ ผมรับไม่ได้ที่จะให้คุณลำบากหรือเสี่ยงอันตรายกับผม”
เสี่ยวซีหร่านกอดเขาแน่น “ฉันไม่อยากอยากให้นายไปเลย”
เสียงประกาศเรียกให้ขึ้นเครื่องดังขึ้น มู่เทียนเย่ทำได้แค่ละกอดจากหญิงที่รัก จากนั้นค่อยๆจูบเธอ และพูดว่า “ไปได้แล้ว รอผมกลับมานะ”
“งั้นฉันไปก่อนนะ” เสี่ยวซีหร่านฝืนยิ้ม เธอเดินหน้าเข้าไปในเกท เธอไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง เพราะเธอกลัวว่า ถ้าเธอหันกลับมา เธอจะไม่อยากจากเขาไป และก็กลัวว่ามู่เทียนเย่จะเห็นน้ำตาที่เธอพยายามกลั้นเอาไว้
เมื่อถึงที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาส เสี่ยวซีหร่านเคยมีหลายครั้งที่ต้องเจอกับเหตุการณ์จากลาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือเพื่อน แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ มันเศร้ายิ่งนัก
ขณะนั้นเองก็มีมือเล็กๆเอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้เธอ เสี่ยวซีหร่านยิ้มเล็กน้อย จากนั้นพูดกับเด็กน้อยคนนั้นว่า “ทำไมหนูถึงน่ารักแบบนี้ น่ารักกว่าพ่อกับแม่เยอะเลย”
เด็กน้อยยิ้มร่า แสดงให้เห็นฟันสี่ห้าซี่ของเขา
ตายแล้ว เด็กคนนี้จะรู้ไหมนะว่าทำให้ป้าเสียใจขนาดนี้
อีกฝั่งหนึ่ง ณ โรงแรมเล็กๆ มู่เวยเวยโดนทำร้านจนหัวไหล่เจ็บ
เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา ก็เห็นอลิซกำลังเปลี่ยนยาให้
“ตายยากดีนี่ เลือดไหลเยอะขนาดนั้นยังรอดมาได้” อลิซกล่าวกับเธอ
มู่เวยเวยไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอ พลางคิดย้อนไปเรื่องที่เกสเฮ้าส์ เหมือนฝันเลย พี่ชายเธอยังไม่ตาย และนี่ไม่ใช่เป็นแค่การคาดเดาของเธอหรือเพียงแค่ความรู้สึกของเธอ แต่เขายังไม่ตายจริงๆ
เมื่อเธอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกดีใจมาก จนลืมแม้กระทั่งความเจ็บของหัวไหล่
อลิซมองเห็นเธอยิ้ม ก็ถามว่า “ฉันว่าแกน่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่หรอก แต่น่าจะบาดเจ็บที่สมองมากกว่า”
มู่เวยเวยกรอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย เรื่องที่ฉันดีใจ คนอย่างเธอไม่มีวันเข้าใจหรอก
หลังจากอลิซเปลี่ยนยาที่หัวไหล่ให้เวยเวยเสร็จ ก็จัดการสวมแขนเสื้อคืนให้เธอ เวลานี้ไม่ว่าเธอจะดีใจเรื่องพี่ชายมากเท่าไหร่ ก็ไม่อาจทำให้ลืมความเจ็บนี้ได้ เธอเจ็บมาก เจ็บเหมือนโดนถลกหนังออกมา
“เบาๆหน่อยซิ ฉันเจ็บนะ” มู่เวยเวยถอนหายใจ หน้าของเธอซีดมาก ในที่สุดก็ใส่เสร็จ เวลานี้เองเธอถึงได้รู้ว่า เธอไม่ได้ใส่ชุดนอนแล้ว แต่เป็นเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสไตล์ป้าแก่ๆชุดหนึ่งอยู่
“แกไม่ใช่ไม่เจ็บหรือ? จะแหกปากทำไม” อลิซกล่าว พร้อมกับเก็บยาบนโต๊ะ
มู่เวยเวยตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพล่า “ฉันไม่ใช่คนสมองตายนะที่จะได้ไม่รู้สึกอะไร”
อลิซเทยาให้เธอ จากนั้นพูดว่า “ไหนๆก็ตื่นแล้ว กินเองแล้วกัน”
“นี่อะไร?” มู่เวยเวยถามด้วยความสงสัย
“ยาแก้อักเสบ กินซะ ไม่ตายหรอก” อลิซยัดยาใส่มือเธอ จากนั้นพูดต่อว่า “เป็นอะไร? กลัวฉันจะให้กินยาพิษหรือ?”
มู่เวยเวยเงยหน้ามองเธออย่างสมเพช แกดูละครมากเกินไปหรือเปล่า? ฉันก็แค่คิด ว่าพวกแกเริ่มคิดอยากจะทำดีกับฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“มโนมากไปหรือเปล่า ฉันก็แค่ไม่อยากเห็นแกตาย ถ้าแกตายแล้ว พวกฉันจะเอาอะไรมาล่อเย่ฉ่าวเฉินล่ะ”
มู่เวยเวยยัดยาเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นถามเธอว่า “ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ พวกแกหาขุมทรัพย์กันเองเงียบๆก็จบ ทำไมต้องลากฉันไปด้วย? เย่ฉ่าวเฉินก็บอกพวกแกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่เอาเรื่อง ที่พวกแกลากฉันเข้ามาเกี่ยวด้วยแบบนี้มีแต่จะทำให้พวกแกลำบากมากขึ้นไปอีก”
อลิซคิดในใจ เพราะจริงๆแล้วเธอก็ไม่เข้าใจที่เจ้านายทำเหมือนกัน ตอนนี้มู่เวยเวยนอกจากจะไม่ได้ช่วยหรือมีประโยชน์อะไรแล้ว เธอยังเป็นตัวถ่วงอีกต่างหาก
อ่าใช่ พูดถึงเย่ฉ่าวเฉิน อลิซรู้สึกสงสัยอย่างหนึ่งมาก จึงถามเธอว่า “มู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินคือตัวอะไร?”
มู่เวยเวยอึ้งเล็กน้อย เธอจะไม่มีวันบอกความลับของเขาให้กับคนแบบนี้รู้เด็ดขาด
มู่เวยเวยดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าปิดตา จากนั้นพูดว่า “ฉันเหนื่อยละ แกออกไปเถอะ”
“เหอะ ฉันถามถึงเย่ฉ่าวเฉินแกไม่ได้ยินหรือ? ครึ่งคนครึ่งปีศาจ? หรือว่าจะเป็นตัวประหลาด?”
“แกน่ะซิประหลาด” มู่เวยเวยตอบกลับอย่างหัวเสีย จนทำให้เจ็บแผล
อลิซยิ่งพูดต่อว่า “ฉันรู้แล้วว่าทำไมลูกของแกถึงมีตาข้างหนึ่งสีฟ้าอีกข้างสีม่วง ที่แท้ก็เป็นเพราะตัวประหลาดเย่ฉ่าวเฉินนี่เอง”
มู่เวยเวยโกรธจนควันออกหู “อลิซ แกน่าจะไปเขียนนิยายนะ ท่าจะรุ่ง”
“งั้นแกพูดมาซิ เย่ฉ่าวเฉินเป็นตัวอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆก็หายตัวไป มันเป็นคนหรือเปล่า?”
มู่เวยเวยหัวเราะเยาะ พร้อมกับพูดเย้ยๆว่า “นี่อลิซ ถ้าแกอยากรู้มากนัก แกก็ไปถามเย่ฉ่าวเฉินเองซิ ไม่ต้องเสียเวลามาพูดจาซี้ซั้วกับฉัน”
อลิซจ้องเธออย่างเย็นชา จากนั้นพูดกับมู่เวยเวยจนเธอรู้สึกขนลุกว่า “ถ้ามันอยู่ก็คงจะดี ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ”
“เสียดายนะที่ชาตินี้แกจะไม่มีวันได้รู้”
อลิซนั่งลงบนเตียงข้างๆเธอ จากนั้นพูดกับเธอว่า “มู่เวยเวย แกคิดดูนะว่า ถ้าเปิดโปงเรื่องความลับของเย่ฉ่าวเฉินไป เย่ฉ่าวเฉินจะกลายอาหารอันโอชะของนักวิทยาศาสตร์ไหม?”
มู่เวยเวยตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แกคิดว่าจะมีคนเชื่อเรื่องบ้าๆพวกนี้หรือ? พวกแกมีหลักฐาน?”
“ใช่ ตอนนี้พวกฉันไม่มีหลักฐาน แต่ต่อไปเย่ฉ่าวเฉินอาจจะเป็นคนเอาหลักฐานพวกนั้นมาให้พวกฉันเองก็ได้”
“ขอแค่ตอนนั้นพวกแกไม่กลัวจนวิ่งหนีไปเสียก่อนก็พอ” มู่เวยเวยหัวเราะเยาะ
อลิซได้ยินแบบนั้น ก็ถามกลับว่า “เก่งขนาดนั้นเลยหรือ?”
มู่เวยเวยไม่อยากจะพูดอะไรกับผู้หญิงคนนั้นต่อ จึงหลับตาลงไม่สนใจ
เมื่อวานนี้เธอส่งตัวลูกออกไปได้ และตอนนี้ไม่กล้าจะคิดต่อว่า ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก
ตอนนี้มู่เวยเวยคิดแค่เพียงว่า เธอจะออกจากที่นี่อย่างไร
อลิซเห็นเธอไม่ยอมตอบอะไร จึงเดินออกจากห้องไป และไม่ลืมที่จะล็อคกุญแจที่หน้าห้อง
“มู่เวยเวยฟื้นแล้ว แต่มันไม่ยอมปริปากอะไรเลย” อลิซบอกกับกวิน
กวินครุ่นคิด เธอคือภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ก็แน่อยู่แล้วที่จะไม่ยอมบอกอะไร
“เจ้านาย เราจะเอาอย่างไรต่อไปครับ?” จางเหิงถาม
กวินตอบกลับด้ววยเสียงเรียบๆว่า “พรุ่งนี้ลองเขาไปดูบนเขากับคุณฉ่ายดู”
“แล้วต้องพามู่เวยเวยไปไหม?”
กวินส่ายหัว “ไม่ต้อง แกอยู่ที่นี่คอยดูมันไว้ พรุ่งนี้ฉันแค่จะไปสำรวจดู เย่ฉ่าวเฉินมันเจ็บหนัก มันคงมากวนเราไม่ได้ไปพักหนึ่ง”
จางเหิงกับอลิซมองหน้ากัน และรู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของเจ้านายไม่ค่อยจะดี จึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ
กวินรู้สึกอารมณ์ไม่ดีมาก สาเหตุหลักมาจากที่เด็กจากไป
เด็กเกิดได้สามวันก็มาอยู่กับเขาแล้ว ตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเด็กคนนั้น คิดแค่ว่าจะเอามาเป็นตัวประกัน
แต่ตอนนี้คิดไม่ถึงว่า เด็กคนนั้นจะน่ารักขนาดนี้ เวลาเห็นเด็กยิ้มแล้วก็ทำให้เขามีความสุขไปด้วย ทุกครั้งเวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือลำบากใจ แค่เขามองเห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ครั้งก่อน ที่เขาพยายามจะขู่มู่เวยเวยเรื่องแผนที่สมบัติ เขาตั้งใจโยนเด็กลงไปในอ่างน้ำ จากนั้นอุ้มเด้กขึ้นมา เห็นว่าเขาสำลักน้ำไปหลายอึก ตอนที่เด็กมองหน้าเขา เขารู้สึกเหมือนใจกระตุก
ตั้งแต่ครั้งนั้น กวินก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายเด็กอีกเลย
ที่เขารับเลี้ยงเด็กไว้ เหตุผลแรกคือต้องการใช้เป็นตัวประกันล่อเย่ฉ่าวเฉิน แต่อีกเหตุผลคือเขาไม่อยากให้เด็กคนนั้นอยู่ไกลสายตา
ระยะครึ่งปีกว่าที่อยู่ด้วยกัน กวินเลี้ยงเด็กคนนั้นและคิดเหมือนว่าเขาคือลูกแท้ๆ ค่อยๆเฝ้ามองเขามีฟันซี่แรก เฝ้ามองเขาค่อยๆเติบโต
ความรู้สึกของคนเรานี่แปลกและยากจะควบคุมจริงๆ ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า นั่นคือลูกของเย่ฉ่าวเฉิน รู้ว่าวันนึงเย่ฉ่าวเฉินต้องมาแก้แค้น แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะทำดีกับเด็กคนนั้น
ตอนนี้เด็กคนนั้นได้จากกวินไปแล้ว จิตใจของเขาเหมือนมีหลุมขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเติมอย่างไรก็ไม่เต็ม
ไม่รู้ว่าหนูน้อยจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าตื่นมาไม่เจอเวยเวย ไม่เจอเขา จะร้องไห้ไหม ต่อไปจะนึกขึ้นมาได้ไหมว่ามีชายใส่หน้ากากคนหนึ่งเคยดีกับหนูน้อยขนาดไหน
ฝั่งของเย่ฉ่าวเฉิน เขานอนโรงพยาบารักษาตัวมาสามวันแล้ว เขารู้ว่าตอนนี้มู่เทียนเย่กำลังเร่งคนให้ตามหามู่เวยเวยอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใจเขาคลายความกังวลและร้อนรนนี้ได้เลย
คุณหมอพาเขาไปตรวจเย่ฉ่าวเฉินไปตรวจร่างกาย ก็ต้องแปลกใจที่เห็นอาการและร่างกายของเขาฟื้นสภาพเร็วขนาดนี้
ฝากของมู่เทียนเย่ ก็ได้กว้านคนไปค้นตามซอกซอย เพื่อตามหาเบาะแสของรถคนนั้น
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินขึ้นรถก็ได้เอ่ยถามจางเห่อว่า “เด็กเป็นอย่างไรบ้าง?”
เย่ฉ่าวเฉินถามคำถามนี้ทุกวันวันละเป็นสิบๆรอบ
จางเห่อยื่นโทรศัพท์ให้เขาดูจากนั้นพูดว่า “เมื่อเช้าคุณอาหวังส่งวิดิโอมาให้ครับ คุณชายเล็กกำลังเล่นสนุกออยู่ครับ เวลากินข้าวก็ไม่ดื้อครับ”
เย่ฉ่าวเฉินกดดูวิดีโอ เห็นลูกกำลังหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
สองวันก่อน เย่ฉ่าวเป็นกังวลว่าลูกจะเศร้าเสียใจเวลาที่เขาพากลับเมืองเอ แต่เขาคิดผิด เด็กปรับตัวเร็วกว่าที่เขาคาด พ่อบ้านหวังบอกเขาว่า ใช้เวลาแค่ประมาณครึ่งวันเด็กก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิมแล้ว
และเพื่อเป็นการทำให้หนูน้อยชินกับบ้านใหม่ พ่อบ้านหวังก็ได้อุ้มเขาและพาเดินดูรอบบ้าน ตอนที่เขาพาเข้าไปในห้องของมู่เวยเวย หนูน้อยก็สังเกตเห็นบนโต๊ะมีรูปวางอยู่ ก็ร้องอย่างตื่นเต้นว่า “แม่ๆๆๆ”
คงจะเป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้หนูน้อยชินกับบ้านใหม่เร็วขึ้น และคิดว่านี่คือบ้านของตัวเอง อีกอย่างหนูน้อยก็ชอบห้องที่จัดเตรียมไว้ให้ด้วย
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้รู้ข่าวนั้น ก็ดีใจ แต่อีกใจนึงก็รู้สึกเศร้า เพราะเหมือนกับว่า หนูน้อยจะปฏิเสธกับเย่ฉ่าวเฉินแค่คนเดียว อีกอย่างเวลาเห็นเขาก็เหมือนจะร้องไห้
ดูเหมือนว่าที่มู่เทียนเย่พูดไว้มันจะจริง หนูน้อยคนนี้ก็เหมือนเป็นตัวแทนมาแก้แค้นให้กับมู่เวยเวย
เมื่อดูจบ เขายื่นโทรศัพท์คืนให้จางเห่อ จากนั้นพูดว่า “บอกพ่อบ้านหวังนะว่า ช่วงที่พวกเรายังไม่กลับบ้าน อย่าปล่อยให้เด็กคลาดสายตาเด็ดขาด”
“คุณชายสบายใจได้ครับ คุณอาหวังรู้ดีครับ”
“อีกอย่าง เรียกคุณหมอหานไปตรวจร่างกายเด็กอีกทีนะ ประเมินว่าเขาจะเหมาะกับนมแบบไหน เหมาะกับของอะไร”
จางเห่อหัวเราะเล็กน้อยก่อนตอบกลับว่า “คุณชายครับ เรื่องพวกนี้ตอนคุณชายฟื้นมาวันก่อน สั่งไว้แล้วครับ คุณหมอหานไปตรวจเรียบร้อยครับ ของทุกอย่างที่เป็นของดี เหมาะกับคุณชายเล็กหมดครับ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเก้อ ทำตัวไม่ถูก “หรอ?ฉันเคยพูดหรือ?”
จางเห่อพยักหน้า “ครับ เคยพูดแล้วครับ”
เอ่ออ….
“อ่า.. คุณชายครัย อีกเรื่องหนึ่งครับ ฝ่ายเหยี่ยวราตรีแจ้งว่าตอนนี้เจอที่แล้วครับ และติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว ถามทางเราว่าเมื่อไหร่เริ่มลงมือครับ?”
“นายเคยเล่นเกมหนึ่งไหม? หลับตาตอนฟ้ามืด”
จางเห่อยิ้มมุมปาก รับคำ “เข้าใจแล้วครับคุณชาย”
“กำชับกับพวกเขาว่า ให้ระวังและอย่าพลาด ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง”
“รับทราบครับเจ้านาย”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยชั่วร้าย พวกสาวเลว กล้ามากที่แย่งคนรักของเขาไป คอยดู ฉันจะทำให้พวกแกกลับรังโจรไม่ได้เลย
จางเห่อรู้สึกดีใจมาก หลังจากที่โดนฝั่งตรงข้ามจูงจมูกมาตั้งนาน ตอนนี้เขาสามารถหลุดออกมาได้แล้ว
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป โทรศัพท์ของเย่ฉ่าวเฉินก็ดังขึ้น ปลายสายคือมู่เทียนเย่
“มีเรื่องอะไร?”
“ฉันเจอรถสองคันนั้นแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินรีบถามกลับ “ที่ไหน?”
“เดี๋ยวฉันส่งโลเคชั่นให้”
อีกฝากหนึ่ง มู่เทียนเย่ยืนพิงรถและสูบบุหรี่อยู่ มองเห็นรถที่โดนเผาจนไม่มีชิ้นดี ภายในรถมีโครงกระดูกที่โดนเผาจนไหม้เกรียมอยู่
เมื่อสักครู่หลังจากที่เขาวางสายกับเย่ฉ่าวเฉิน ก็ได้โทรแจ้งตำรวจ จริงๆแล้วเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคน เขาไม่ค่อยอยากลงมือเองเท่าไหร่ อีกอย่างมีตำรวจมาช่วย น่าจะทำให้หาตัวพวกสารเลวนั่นได้เร็วขึ้น
หลังจากเย่ฉ่าวเฉินถึงไม่นาน ตำรวจก็มาถึง
“คุณเจอเมื่อไหร่ครับ?” ตำรวจถาม
มู่เทียนเย่ โยนบุหรี่ทิ้งและตอบว่า “ชั่วโมงก่อน ก็ตอนที่โทรแจ้ง”
“ทางที่คุณมา ได้เจอคนท่าทางแปลกๆมีพิรุธไหมครับ?”
“ไม่มีครับ ไม่เจอใครสักคน”
“โอเคครับ ขอบคุณสำหรับคำให้การ ขอเบอร์ติดต่อคุณไว้หน่อยครับ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติม ทางผมจะติดต่อคุณอีกทีครับ”
มู่เทียนเย่ยื่นเบอร์ให้เขา และพูดต่อว่า “ผมยังมีอีกเรื่องครับ ไม่รู้ว่าคุณอยากฟังไหม?”
ตำรวจชะงักเล็กน้อย และถามว่า “เรื่องอะไรครับ?”
มู่เทียนเย่เหลือบไปมองทางเย่ฉ่าวเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นพูดต่อว่า “เรียกหัวหน้าพวกคุณมาคุย”
ตำรวจคนนั้นรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “คุณพูดกับผมก่อน ว่ามีเรื่องอะไร”
มู่เทียนเย่ตอบกลับเสียงเรียบว่า “ผมรู้ว่าเจ้าของรถสองคันนี้คือใคร”
ตำรวจคนนั้นตาโต รีบตะโกนเรียกอีกคนว่า “ผู้กองเฉินครับ ผู้แจ้งมีเบาะแสสำคัญอยากจะคุยกับท่านครับ”
ไม่นานก็มีชายกลางคนเดินเข้ามา ลักษณะท่าทางเขาค่อนข้างสุขุม และดูมีประสบการณ์ด้านคดีอาชกรรมมาเป็นสิบปี
เขามองหน้าเย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ จากนั้นถามว่า “เบาะแสอะไร?”
มู่เทียนเย่ตอบกลับ “รถสองคันนี้ผมรู้จัก เพราะพวกผมก็กำลังตามหาพวกมันอยู่”
เขาถามต่อ “หมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าของของรถสองคันนี้เป็นคนสัญชาติจีน มันจับตัวน้องสาวผมไป ภรรยาของเขา พวกผมเคยสู้กับพวกมัน แต่พวกมันหนีไปได้ เพราะแบบนั้นผมเลยรู้จักรถสองคันนี้” มู่เทียนเย่เล่า
ตำรวจคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นถามว่า “ทำไมต้องจับตัวน้องสาวคุณไป?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มหึหึ “เพราะพวกมันคิดว่าผมมีแผนที่สมบัติ เลยคิดจะจับตัวภรรยาผมไป เพื่อเอามาแลกกับแผนที่”
“ห๊า?” พวกตำรวจตกใจและอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ของพวกนี้มีจริงด้วยหรือ? นึกว่าจะมีแค่ในละครหลังข่าวเท่านั้น
เย่ฉ่าวเฉินถามกลับว่า “คุณไม่เชื่อซินะ แต่พวกเขาก็บังคับให้ผมเอาให้ ผมเลยวาดมั่วๆขึ้นมาอันหนึ่ง แต่ที่ไหนได้ พวกมันตุกติก มันบอกว่าต้องรอให้พวกมันหาสมบัติเจอก่อน ถึงจะปล่อยภรรยาผม”
ตำรวจคนนั้นอึ้งไปชั่วขณะ เขาทำงานเป็นตำรวจอาชญากรรมมาเป็นสิบๆปี ไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้เลย
“งั้น แล้วทำไมพวกคุณไม่แจ้งความ?”
เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับ “แจ้งแล้วครับ แต่อยู่นอกเขตพื้นที่พวกคุณ พวกคุณเลยไม่รู้”
ตำรวจคิดตาม ก็น่าจะเป็นไปได้
“งั้นฝั่งนั้นเป็นอย่างไร รูปพรรณแบบไหน?”
“หัวหน้าพวกมันใส่หน้ากากสีเงินอยู่ ผมเห็นหน้ามันไม่ชัด”
หลังจากเย่ฉ่าวเฉินพูดจบ ตำรวจคนนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “ผมนึกออกแล้ว เมื่อไม่นานมานี้หัวหน้าป๋ายแจ้งผมเรื่องหนึ่ง เขาบอกผมว่าเจอชายใส่หน้ากากก็รีบรายงาน หรือว่าชายใส่หน้ากากคนนั้นจะเป็นคนเดียวกับที่คุณกำลังพูดอยู่ตอนนี้?”
“ถูกต้อง มันคือคนเดียวกัน”
เขาขมวดคิ้วกว่าเดิม “คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเกี่ยวเนื่องกัน พูดเรื่องของคุณต่อครับ”
มู่เทียนเย่ตอบว่า “จากที่ผมคาดการณ์ พวกมันน่าจะรู้ว่าพวกเราจะต้องใช้รถสองคันเป็นเบาะแสในการตามหาพวกมัน เพราะงั้นมันเลยคิดทำลายรถพวกนี้ทิ้งและหนีไปซะ”
“งั้นศพของชายคนนี้เป็นอะไรกับพวกมัน?”
“การที่พวกมันทำลายรถคันนี้ทิ้ง พวกมันจะต้องมีรถคันใหม่เพื่อใช้หนี และผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นคนที่บังเอิญผ่านมาพอดี จึงถูกพวกมันปล้นเอารถไป”
ตำรวจคนนั้นครุ่นคิด “นี่เป็นการคาดการณ์ของคุณ เรายังไม่มีหลักฐานพอ การที่จะแจ้งความได้ ต้องใช้หลักฐานครับ พวกคุณรอสักครู่ เราขอตรวจหาเบาะแสบริเวณรอบๆก่อน”
ไม่นานก็เจอเบาะแส
รถทั้งสองคันถูกเผาไม่ถึงสองชั่วโมง และรอบๆยังมีร่องรอยของการต่อสู้ และจากรอยที่อยู่แถวนั้น คาดเดาได้ว่ารถคันที่สามที่พวกมันขโมยไป น่าจะเป็นรถตู้
“พวกเราจะรีบรวมหลักฐานและคลี่คลายคดีให้เร็วที่สุด ถ้าพวกคุณมีเบาะแสอะไรเพิ่มเติม รบกวนแจ้งทางพวกผมด้วยครับ”
มู่เทียนเย่กับเย่ฉ่าวเฉินรับทราบ
จริงๆแล้ว เมื่อประมาณหนึ่งชั่งโมงก่อน ระหว่างทางที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังมาที่พบรถ ก็ได้เห็นมู่เวยเวยโดนปิดปาก อยู่ในรถตู้
และเรียกเขาในใจ เย่ฉ่าวเฉิน เย่ฉ่าวเฉิน ฉันอยู่นี่ ตาโง่ คุณไม่รู้สึกหรือ?
หลังจากรถเคลื่อนที่ผ่านไปได้ร้อยเมตร อลิซก็ดึงผ้าออกจากปากของมู่เวยเวย “ผิดหวังจริงๆ นึกว่าจะเก่ง ที่แท้ก็กระจอก”
มู่เวยเวยตอบกลับเธออย่างนิ่มๆ ว่า “นี่อลิซ พักนี้ดูเหมือนแกมักพูดอะไรเรื่อยเปื่อยนะ สมองมีปัญหา?”
อลิซไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดเธอ แถมตอบกลับว่า “ทำไงได้ ใครใช้ให้เย่ฉ่าวเฉินเป็นปีศาจล่ะ”
มู่เวยเวยหัวเราะอย่างสมเพช
“มันตายยากจริงๆ จางเหิงแม่นปืนมาก จนยิงเข้าไปที่ตรงหัวใจของมัน แต่มันกลับรอดมาได้ แถมยังฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ มันน่าจะไม่ใช่คนจริงๆ”
มู่เวยเวยตอบกลับด้วยความเบื่อหน่าย “อลิซ แกหุบได้ไหม? ถ้าแกสนใจขนาดนั้น แล้วเมื่อกี้ทำไมแกไม่เปิดประตูรถออกไปจับเขาไว้ และถามเองเลยล่ะ?”
“แกรีบร้อนอะไร? ฉัน…”
มู่เวยเวยรีบแทรกขึ้น “ฉันไม่ได้รีบ แต่ฉันรำคาน แกกลับไปเงียบปาก เหมือนเมื่อก่อนได้ไหม?”
อลิซจ้องเธอเขม็ง แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทุกคนอยู่บนรถ คุณฉ่ายนั่งอยู่ตรงข้ามมู่เวยเวย เขาทำได้แค่สงสัย แต่ไม่ถาม เพราะถึงเขาจะถาม มู่เวยเวยก็จะไม่ตอบ
กวินรู้สึกรำคานเสียงทะเลาะของทั้งสองคนมาก
สักพักก็มีสายเข้า ปลายสายลนลานพูดว่า “เจ้านายครับ แย่แล้วครับ ฐานของเราโดนทำลายครับ”
“ห๊ะ แกพูดอะไรนะ?” กวินตะโกนถาม เสียงเข้าเต็มไปด้วยความตกใจและโกรธ “มันเกิดอะไรขึ้น?”