ยังไม่ถึงสามทุ่มมู่เวยเวยก็เข้านอน
เมื่อเธอหลับอยู่ในสภาพเซื่องซึม เธอถูกปลุกด้วยมือใหญ่ที่หยาบกร้าน แต่เธอกลับมองไม่เห็นภายใต้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมาน เธอรู้ว่านี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายจึงเริ่มดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เธอต่อสู้ด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง
“กรี๊ด ช่วยด้วย..” มู่เวยเวยร้องออกมาตามสัญชาตญาณ เธอไม่ได้พูดมาหลายวันแล้วจึงไม่แปลกที่น้ำเสียงของเธอจะแหบแห้ง
“ฉันคิดว่าเธอเป็นใบ้ซะอีก จริงๆก็พูดได้นิ” ชายคนนั้นยื่นมือไปปิดปากของเธอไว้ มู่เวยเวยอ้าปากกัดไปที่มือแล้วตบเข้าที่ใบหน้าของเขาไม่หยุด
“เพี๊ยะ”เสียงตบที่ใบหน้าของชายคนนั้นดังขึ้น เสียงนั้นดังไม่หยุด ทำให้ชายคนนั้นโกรธขึ้นมาและด่าเธอว่า“อีกะหรี่ มึงกล้าตบกูงั้นหรอ วันนี้กูจะทำให้มึงรู้ว่าความโหดเหี้ยมที่แท้จริงเป็นแบบไหน”
“ช่วยด้วย..”
มู่เวยเวยตะโกนเสียงดัง เธอใช้พลังงานทั้งหมดที่มีเพื่อต่อต้านเขา แต่เธอมองไม่เห็นและหัวของเธอก็ไม่สามารถใช้งานได้ปกติ รวมทั้งความแตกต่างระหว่างแรงของผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่เท่าเทียมกัน ทำให้เธอยังคง …
“ แม่เจ้าผิวขาวจังโว้ย ไอ่โง่ที่ไหนส่งมาให้กาหวาเปลืองของจริงๆ วันนี้กูขอลองของสดใหม่หน่อยแล้วกัน ” ชายคนนั้นสบถด้วยความหื่นกาม
มู่เวยเวยเจ็บปวด ในใจเธอเจ็บปวดจนรู้สึกอยากร้องไห้ออกมา จู่ๆก็ไม่รู้ว่าเธอเอาแรงมาจากไหน เธอจึงผลักเขาตกไปใต้เตียงด้วยความโกรธอย่างมาก
“ โอ้ย.. กู.. “ชายคนนั้นหงายหลังล้มลงไปและกำลังจะลุกขึ้นไปสั่งสอนมู่เวยเวย เขาได้ยินเพียง”ปัง” มีคนถีบประตูแล้วประตูก็ถูกเปิดออก
ภรรยาของเขาปรากฏตัวที่ประตูอย่างดุเดือด ยืนเอามือทาบเอวและเต็มไปด้วยความโกรธ
“โอเค มึงนี้ไม่จบไม่สิ้น อยากตายจริงๆใช่ไหม ไอ่เลว … ” ผู้หญิงคนนั้นคว้าไม้กวาดข้างประตูแล้วฟาดไปทางผู้ชายคนนั้น “กูให้ดูผู้หญิงของคนอื่นไว้ คนทั่วไปก็แล้วไปแต่นี้แม้แต่คนบ้าก็ยังไม่เว้น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมึงถูกหมาแดกไปแล้วหรือไง มึงไม่รู้หรือว่าต้องขายมันแลกเงิน ”
ชายคนนั้นวิ่งไปรอบๆทั่วทิศทางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกไม้กวาดฟาด “อย่าตีๆ มันอ่อยฉันไม่เกี่ยวกับฉัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หญิงสาวก็โกรธมากขึ้น “เย็ดแม่ มันอ่อยมึง?มันเป็นบ้าตาก็มองไม่เห็น มึงคิดว่ากูปัญญาอ่อนหรือไง? คิดว่ากูจะเชื่อเรื่องไร้สาระของมึงหรอ”
ขณะที่เขาพูดไม้กวาดก็ฟาดเข้าไปที่หลังของเขา ฟาดจนชายคนนั้นร้องลั่นออกมา
“พอแล้วๆ อย่าตีๆ” ชายคนนั้นคุกเข่าลงต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น มือทั้งสองประกบเข้าหากันและก้มหน้าลงเพื่อขอความเมตตา
ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ทันได้ทำอะไรก็เอาไม้กวาดชี้หน้าถาม “พูด ยังจะกล้าอีกไหม?”
“ ไม่กล้าแล้วๆ”
“กูจะบอกให้ สองสามวันนี้อยู่นิ่งๆให้มันเชื่องหน่อย ถ้ายังให้กูลงไม้ลงมืออีกกูจะหักขามึงให้มึงดู”
“รู้แล้วครับๆ” ชายคนนั้นตอบอย่างนอบน้อม เขาลุกขึ้นและจับแขนภรรยาแล้วพูดว่า “เป็นเพราะฉันหลงผิดไป คุณอย่าโกรธเลยนะ”
“อย่ามาแตะต้องตัวกู” ความโกรธของหญิงสาวยังไม่ลดลงและผลักชายคนนั้นออกไปจากประตูทันที “ออกไปให้พ้นแล้วอย่ามาอยู่แถวนี้อีก เห็นมึงแล้วอารมณ์ไม่ดี”
ชายคนนั้นวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง
มู่เวยเวยนั่งหดตัวที่มุมกำแพงแล้วกอดผ้าห่มไว้แนบกับอกและสั่นไปทั้งตัว
ผู้หญิงคนนั้นมองเธอด้วยความสงสารและเกิดความรู้สึกสงสารเธอขึ้นมาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงมาก “พอแล้ว ไม่ต้องกลัว เขาไปแล้ว”
มู่เวยเวยนิ่งและไม่พูดอะไร
เตียงยุ่งเหยิงและมีเสื้อผ้าขาดๆทิ้งอยู่บนนั้น หญิงสาวขมวดคิ้วหันหลังเดินออกจากห้อง เมื่อกลับมาเธอก็ถือเสื้อยืดลายดอกไม้ที่ดูไม่เก่าและไม่ใหม่มาด้วยหนึ่งตัว “มานี่ ใส่ชุดนี้ซะ”
มู่เวยเวยไม่ขยับ ดวงตาของเธอจ้องมองไปที่จุดหนึ่งไม่หยุด ทั้งๆที่เธอมองไม่เห็นอะไรเลย
หญิงสาวถอนหายใจแล้วถอดรองเท้าขึ้นไปบนที่นอน “ไม่มีเสื้อผ้าอื่นแล้ว เธอใส่ตัวนี้ไปก่อน เดี๋ยวบ้านตระกูลกาหวาจะส่งเสื้อผ้าใหม่มาให้ในวันมะรืนนี้ ถึงตอนนั้นค่อยเปลี่ยนให้เธอ”
ผู้หญิงคนนั้นดึงผ้าห่มออกและกำลังจะแต่งตัวให้เธอ แต่มู่เวยเวยตราตรึงกับเหตุการณ์นี้มาก เธอจึงกรีดร้องแล้วจับผ้าห่มแน่นขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไป?จะแต่งตัวให้ยังไม่พอใจอีก?ได้ ถ้าไม่กลัวหนาวก็ขยับแบบนี้ต่อไป” หญิงสาวโยนเสื้อผ้าไว้ตรงหน้าเธอแล้วลุกจากเตียงและล็อคประตู
ในวันรุ่งขึ้นเมื่อเธอเปิดประตูออก ผู้หญิงคนนั้นก็ตกตะลึงเพราะมู่เวยเวยยังคงหดตัวอยู่ที่ปลายเตียงและไม่ขยับเลย แต่เธอใส่ชุดนั้นไปแล้ว พอได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็ลืมตาขึ้นและหันหน้าไปทางประตู
“ ทำไมตื่นเช้าแบบนี้?ถ้างั้นก็ลุกจากเตียงเถอะ ฉันจะแต่งตัวให้”
หลังจากงีบหลับ อารมณ์ของมู่เวยเวยก็สงบลงมาก เมื่อผู้หญิงคนนั้นล้างหน้าและหวีผมให้ เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่เมื่อเธอได้ยินเสียงของชายคนนั้น เธอก็เอนกายเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนนั้นโดยไม่รู้ตัว
ในขณะนั้น หัวใจของหญิงสาวก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนการตัดสินใจที่จะขายคนบ้าคนนี้โดยเฉพาะหลังจากเมื่อวานนี้ได้รับเงินสามหมื่นหยวน เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้เธอจะแต่งออกไป เพื่อจะได้รีบคว้าเงินอีกสามหมื่นที่เหลือไว้ในมือ
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ จะทำเธอตกใจได้” หญิงสาวเตือนชายผู้น่าสมเพช
ชายคนนั้นไม่ทันได้เขมือบเธอเมื่อคืน ตอนนี้เห็นพอมู่เวยเวยทั้งขาวและอ่อนโยน เขาก็รู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น เขานั่งยองๆลงพื้นและพูดว่า “เมียอย่างคุณ ดูแลเธอดีกว่าฉันอีก”
“ไปให้พ้น ออกไปทำงานซะ” หญิงสาวเห็นสีหน้าชั่วร้ายของสามี เธอก็รู้ว่าเขามีเจตนาชั่วร้ายแฝงอยู่ เธอจึงคิดว่าไล่ให้เขาออกไปเลยดีกว่า
ชายคนนั้นปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า หยิบตะกร้าบริเวณลานหน้าบ้านแล้วเดินออกไป“ ตอนเที่ยงคุณทำหมูสามชั้นผัดซอสแดงหน่อยนะ ไม่ได้กินนานแล้ว”
“รู้แล้ว วันๆรู้แต่เรื่องกิน”
พรุ่งนี้ก็ถึงงานแต่งแล้ว
ในช่วงบ่ายของวันก่อนแต่งงาน ครอบครัวกาหวาตีฆ้องและกลองเพื่อคลายกล่องของขวัญหมั้นเป็นสัญลักษณ์ ได้ยินมาว่าคนที่กาหวากำลังจะแต่งงานด้วยเป็นสะใภ้ที่สวยมาก ทุกคนถือโอกาสนี้ไปดูสะใภ้คนใหม่
ท้ายที่สุดเธอไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องที่แท้จริงและในใจคุณผู้หญิงเจ้าของงานยังคงรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอละสายตาจากสายตาของผู้คนที่จ้องมองอยู่ตรงประตู “เลิกมองได้แล้วๆ พรุ่งนี้ก็ได้เห็น ”
ชายหนุ่มหลายคนแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว
จริงๆแล้วคุณผู้หญิงเจ้าของงานไม่ต้องการให้ครอบครัวกาหวาจัดงานแต่งงานขึ้น มันดูอลังการเกินไป แต่พ่อแม่ของกาหวาไม่เห็นด้วยโดยบอกว่าลูกชายของเขาครั้งหนึ่งกว่าจะได้แต่งงาน ต้องให้ทุกคนในหมู่บ้านมางานเลี้ยงและเอาเงินค่าของขวัญที่ให้ไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมารวบรวมกลับมาให้ได้
คุณผู้หญิงเจ้าของงานไม่สามารถพูดได้ว่าสาวโง่คนนี้ถูกเก็บมา ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลง
หมู่บ้านข้างๆของครอบครัวกาหวาก็ดูคึกคักขึ้นมาทันที มีการติดตัวอักษรสีแดงเพื่อแสดงความยินดีไว้ตามประตูหน้าต่างบ้าน
เจ้าบ่าวกาหวาเป็นผู้ชายตัวใหญ่สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็น อาจเป็นเพราะเลี้ยงดูมาอย่างดี ถูกพ่อแม่เลี้ยงจนตัวขาวๆอ้วนๆ ถ้านั่งนิ่งๆไม่พูดคุยใดๆ ดูๆแล้วก็ไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป แต่พอหัวเราะและพูดขึ้นมา ก็จะรู้สึกได้ทันทีว่าไอคิวของเขาบกพร่องอย่างเห็นได้ชัดเจน
กาหวาเองก็รู้ว่าตัวเองกำลังจะแต่งงานในวันพรุ่งนี้ เขาจึงม้วนไปมาอย่างตื่นเต้น ทำให้ทุกคนหัวเราะเขา ไม่ว่าใครก็ตามที่ถามเขาว่า “กาหวา จะแต่งงานพรุ่งนี้แล้ว ขนมงานแต่งล่ะ?”
กาหวาเข้าใจแค่คำว่าสะใภ้สองคำเท่านั้น จากนั้นเขาก็จะหัวเราะแล้วตอบกลับว่า “สะใภ้ๆ”
จากนั้นอีกฝ่ายจะพูดว่า “ช่างโง่จริงๆ”
บ่ายวันก่อนงานแต่ง คุณปู่จงพาเพื่อนของเขาไปที่บ้านของกาหวาและเริ่มเตรียมงานเลี้ยงสำหรับงานแต่งในวันพรุ่งนี้
เหล่าพี่สะใภ้และน้องสะใภ้หลายคนที่ช่วยกันเด็ดผักก็พูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ
“ได้ยินคนที่พึ่งเอาสินสอดไปส่งบอกว่าเจ้าสาวสวยมาก ผิวของเธอทั้งขาวทั้งอ่อนโยน เหมือนคนในเมืองเลย”
“จริงเหรอ?ถ้างั้นกาหวาก็ได้กำไรมากเลยสิที่ได้ภรรยาที่สวยขนาดนี้”
ผู้หญิงอีกคนพูดอย่างไม่พอใจว่า “อะไรกัน สวยก็สวยอยู่หรอก แต่สมองใช้ไม่ได้แถมยังตาบอดอีก เธอคิดว่าแต่งงานไปจะทำอะไรได้ละ”
“เธอกังวลเรื่องนั้นไปทำไม?แต่งมาแค่คลอดลูกได้ก็พอแล้วนิ ก็แค่เพิ่มปริมาณข้าวมาอีกถ้วย เทียบกับมรดกบ้านเหล่าหวังอย่างพวกเขาได้อย่างไร?”
เหล่าหวังคนที่ผู้หญิงผู้ถึงก็คือพ่อของกาหวานั้นเอง
“มันก็จริง เอ๊ะ เจ้าสาวเป็นคนที่ไหน?”
“เขาบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆของหลี่ว่างที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ คนในบ้านไม่ชอบหาว่าผู้หญิงนั้นเป็นบ้า จึงให้หลี่ว่างหาบ้านสามีให้”
คุณปู่จงปรับส่วนผสมสำหรับซอสที่จะทำขาหมูในวันพรุ่งนี้ ในขณะที่ฟังผู้หญิงหลายคนกำลังซุบซิบ เขาก็ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
วันต่อมาพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
มู่เวยเวยถูกคุณผู้หญิงเจ้าของงานดึงให้ลุกจากเตียงแล้วล้างหน้าหวีผมและแต่งตัว
ในชนบทจะไม่ใช้ชุดแต่งงานจะทำตามธรรมเนียมท้องถิ่น มู่เวยเวยสวมชุดแต่งงานสีแดงปักมังกรและหงส์ไว้ ผมของเขาถูกมัดสูงไว้ด้านหลังศีรษะ ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยแป้งที่ด้อยคุณภาพและทาริมฝีปากด้วยลิปสติกสีแดง
แม้ว่าจะแต่งหน้าน้อยมาก แต่ก็ยังเผยให้เห็นผิวสวยกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติของมู่เวยเวย ดังนั้นใบหน้าที่ขาวและริมฝีปากสีแดงของเธอ คู่กับชุดแต่งงานสีแดงจึงดูน่าทึ่งตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น
คุณผู้หญิงเจ้าของงานเห็นมู่เว่ยเว่ยแบบนี้เธอก็อดอึ้งไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นเจ้าสาวที่สวยขนาดนี้มาก่อน สวยราวกับนางเอกที่หลุดออกมาจากละครทีวี
“ที่รักของฉัน นี้มันสวยเกินไปแล้ว” คุณผู้หญิงเจ้าของงานอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “ถ้ารู้ว่าแต่งหน้าออกมาแล้วจะสวยขนาดนี้ก็น่าจะขอสินสอดมากกว่านี้ตั้งแต่แรก”
ดวงตาของมู่เวยเวยมองไม่เห็น ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่นั่งอย่างเชื่อฟังและปล่อยให้เธอแต่งตัวให้ ถ้าเธอมีสติแล้วเห็นตัวเองแต่งหน้าในสภาพแบบนี้ เธอคงจะตกใจจนเป็นลมแน่ๆ
มีเสียงฝีเท้าวิ่งดังมาจากนอกบ้าน“ เจ้าสาวแต่งตัวเสร็จหรือยัง?รถมาถึง … ” ยังไม่ทันพูดจบ ชายคนนั้นมองไปที่ใบหน้าของมู่เวยเวยก็ลืมสิ่งที่จะพูดทันที เพียงแค่จ้องมองใบหน้าเล็กๆที่มีเสน่ห์นั้นด้วยความตะลึง
คุณผู้หญิงเจ้าของงานตบเข้าด้านหลังศีรษะและตำหนิเขาว่า “เป็นบ้าอีกแล้วใช่ไหม?รถอยู่ไหนแล้ว?”
ชายคนนั้นได้สติกลับมา แต่ไม่สามารถละสายตาไปจากมู่เวยเวยได้ เขาชี้ไปที่ทางเข้าหมู่บ้านและพูดว่า “มาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว กำลังจะมาถึง”
“เลิกมองได้แล้ว ออกไปรอข้างนอก เดี๋ยวอีกฝ่ายจ่ายเงินค่าสินสอดค่อยยื่นเจ้าสาวให้”
“อ๋อๆ เข้าใจแล้ว”
สิบนาทีต่อมา บริเวณลานหน้าบ้านเริ่มคึกคักขึ้น
กาหวาลงจากรถและสวมชุดแต่งงานสีแดงเช่นกัน เขากำลังจะรีบวิ่งไปอย่างร่าเริงแต่ถูกคุณผู้หญิงเจ้าของงานขวางไว้ “กาหวา คุณอย่ารีบร้อนสิ สินสอดที่เหลือเอามาหรือยัง?”
กาหวารู้เรื่องสินสอดที่ไหนล่ะ เขาผลักคุณผู้หญิงเจ้าของงานออกไปอย่างหยาบคายและบุกเข้าไปทันที
คุณผู้หญิงเจ้าของงานยิ้มและถามลูกพี่ลูกน้องที่เดินตามกาหวามาอย่างตรงไปตรงมาว่า “สินสอดล่ะ?”
ลูกพี่ลูกน้องหยิบซองหนาออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้เธอ “ไม่ลืมหรอก คุณนับดูไม่ขาดเลยสักใบ”
คุณผู้หญิงเจ้าของงานรับมาด้วยรอยยิ้มแล้วสัมผัสกับความหนานั้นและพูดว่า “ฉันไว้ใจบ้านตระกูลหวังอย่างพวกคุณ เอาล่ะ พาเจ้าสาวไปกันเถอะ”
ลูกพี่ลูกน้องและผู้ชายอีกหลายคนเดินเข้าไปในประตูอย่างเสียงดังและต้องตะลึงเมื่อเห็นฉากตรงหน้า
เห็นแค่กาหวาเจ้าโง่ยืนมองไปที่เจ้าสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของเขาแดงก่ำราวกับเด็กวัยรุ่นที่ไร้เดียงสาและเมื่อเขามองไปที่เจ้าสาวอีกครั้ง ทุกคนก็หยุดหายใจสักพักและหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉา
ไม่ต้องพูดถึงคนทั้งเมือง แม้แต่ทั้งมณฑลก็ยังเลือกเจ้าสาวที่สวยกว่าเธอไม่ได้ เจ้าโง่คนนี้โชคดีเกินไปแล้ว
คุณผู้หญิงเจ้าของงานเก็บเงินให้เข้าที่และไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านใน นึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เธอจึงเบียดฝูงชนเข้าไปและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นๆ?”
เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าแดงกันทั้งบ้านและมองไปที่เจ้าสาว เธอจึงหัวเราะเบาๆและตบกาหวาเบา ๆ “ยังมัวยืนอึ้งอยู่ทำไม?รีบพาผู้หญิงของคุณกลับไปได้แล้ว”
ทันใดนั้นกาหวาดูเหมือนจะได้สติกลับมา จึงพยักหน้าอย่างแรงแล้วเอือมมือจะไปจับมือของมู่เวยเวย แต่มู่เวยเวยหลบอย่างรวดเร็ว เจ้าบ่าวมือแข็งกลางอากาศไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เมื่อคุณผู้หญิงเจ้าของงานเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ชอบมาพากล จึงรีบเดินเข้าไปปลอบมู่เวยเวย“อายอะไรกัน?นี้สามีเธอไปกับเขาเถอะ”
มู่เวยเวยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอส่ายหัวทันทีที่ได้ยินคำว่าสามีและพูดประโยคที่สองในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาว่า “ไม่ เขาไม่ใช่สามีฉัน”
ในความมืดมิด เธอจำผู้ชายคนหนึ่งในชีวิตของเธอได้ ลมหายใจของเขาไม่ใช่แบบนี้
ใบหน้าของคุณผู้หญิงเจ้าของงานเย็นชาลงทันทีและหลี่เซิงก็พูดว่า “วันนี้ถึงเธอไม่ไปก็ต้องไป”
ดวงตาสีเทาของมู่เว่ยเว่ยเต็มไปด้วยคราบน้ำตาอย่างน่าสงสาร
กาหวาเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้จึงโกรธคุณผู้หญิงเจ้าของงานอย่างจริงจัง “คุณด่าเธอทำไม?เธอร้องไห้เลย”
คุณผู้หญิงเจ้าของงานหัวเราะทั้งน้ำตา เธอสั่งสอนภรรยาให้เขา เจ้าโง่คนนี้ยังไม่พอใจอีก
“ใช่ นี้คือภรรยาของคุณ จะทำอะไรก็แล้วแต่คุณเลย” คุณผู้หญิงเจ้าของงานยืนกอดอกอยู่ห่างๆโดยไม่รู้จะอยู่ฝั่งไหนดี
กาหวารวบรวมความกล้าแล้วไปดึงมือของมู่เวยเวยอีกครั้ง เมื่อมือพึ่งสัมผัสโดนก็ถูกมู่เวยเวยหลบอีกครั้ง
เด็กหนุ่มหลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆส่งเสียงโห่อย่างไร้ความปรานี ลูกพี่ลูกน้องของกาหวาก็ยืนขึ้นหัวเราะและพูดเกลี้ยกล่อมว่า“ เจ้าสาว ที่นั้นเรามีอาหารอร่อยๆและเสื้อผ้าสวยๆเยอะแยะเลย ไปไหม?”
ไอคิวของมู่เวยเวยบกพร่องไปจริงๆ เมื่อเธอได้ยินว่ามีของอร่อยๆใบหน้าของเธอก็อ่อนโยนลง ลูกพี่ลูกน้องรีบสะกิดแขนของกาหวาแล้วกระซิบว่า “เร็วๆสิ”
กาหวาตอบสนองจึงเอือมมือไปจับมือของมู่เวยเวยแต่ครั้งนี้เธอไม่ได้หลีกเลี่ยงอีก
ตอนนี้ฝ่ายเจ้าบ่าวยิ้มบานราวกับดอกไม้ อย่างกับไก่ตัวผู้เดินนำเจ้าสาวออกไป
ตามธรรมเนียมเจ้าสาวและเจ้าบ่าวต้องการสักการบูชาฟ้าดิน แต่เนื่องจากทั้งสองคนแตกต่างจากคนอื่นๆ พวกเขาพามู่เวยเวยไปถึงบ้านกาหวาได้ก็ถือว่าเป็นการแต่งงานกันแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการสักการบูชาฟ้าดินใดๆ
ตั้งแต่ช่วงเช้าที่พาลูกสะใภ้เข้าบ้าน กาหวาก็คอยเฝ้าเธอไม่ให้คลาดสายตา ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องเธอไม่หยุดอย่างกับว่ากลัวเธอจะหนีไป
“หิวไหม? ผมไปหาอะไรมาให้กิน” กาหวาพยายามชวนคุย
แม่กาหวาที่เพิ่งเข้ามาในประตูก็ตกใจ จู่ๆลูกชายที่โง่เขลาของเธอก็ดูปกติขึ้นมาก แต่พึ่งคิดแบบนี้ไปสองวินาที เธอก็ได้ยินลูกชายพูดว่า “คุณอยากนอนไหม?เราไปนอนพร้อมกันเถอะ ผมจะกอดคุณไว้”
จะทำแบบนี้ได้ยังไง?
แม่กาหวารีบดึงลูกชายของเธอไว้ “นี้พึ่งจะเที่ยง นอนอะไรกัน?ลูกรีบออกไปเทเหล้าให้คนในงานเลย”
กาหวาสะดุดและปฏิเสธตรงๆ “ไม่ ผมจะอยู่กับภรรยาของผม”
“ ภรรยาของลูกหนีไปไหนไม่ได้หรอก เด็กดีเชื่อฟังแม่นะ”
“ผมไม่ไป ผมจะดูเธอไว้” กาหวาปฏิเสธเสียงแข็ง
แม่กาหวาเหนื่อยใจเลยแตะบริเวณที่หัวเขาเบาๆ ช่างเถอะ ถ้าเขาไม่ไปก็ไม่ต้องไป ยังไงก็ไม่มีใครใส่ใจอยู่แล้ว
ที่โต๊ะดื่มเหล้า ผู้คนที่นับเครือญาติดื่มกันอย่างมีความสุข ในฐานะครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวใช้ลูกพี่ลูกน้องปลอมมาเป็นแขกรับเชิญ หลังจากดื่มเหล้าไปหลายแก้ว ทุกคนก็เริ่มคุยกันอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
“เหล่าหลี่ ไม่คิดมาก่อนว่าจู่ๆนายก็มีลูกพี่ลูกน้องที่สวยสง่าขนาดนี้ ไม่เหมือนนายเลยสักนิด” ชาวบ้านคนหนึ่งที่นั่งโต๊ะเดียวกันถาม
หลี่ว่างลูกพี่ลูกน้องปลอมที่เริ่มเมาแล้วตบไปที่หน้าอกอย่างได้ใจและพูดว่า “เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันซะที่ไหนกัน ฉันเก็บขึ้นมาจากแม่น้ำ”
ทันทีที่คำนี้ออกจากปากเขา ทุกคนรอบโต๊ะก็งุนงงกันหมด ภรรยาของเขาที่ตั้งความหวังไว้ที่เขาก็เอามือหยิกไปที่มือเขาที่อยู่ใต้โต๊ะ พยายามทำให้เขาสร่างเมา แต่พอหลี่ว่างเมาก็จะนิสัยไม่ดี สลัดมือของภรรยาเขาออกทันทีและพูดว่า “คุณหยิกผมทำไม?ก็เก็บมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนิ”
คนบนโต๊ะเริ่มเดือดกันใหญ่และหนึ่งในนั้นก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “เก็บมาจากแม่น้ำไหน?”
“ก็ตรง … อูววว … ” ยังไม่ทันพูดจบ ภรรยาของเขาก็ปิดปากเขาแน่นและพูดกับคนที่นั่งอยู่รอบๆโต๊ะด้วยความอึดอัดใจว่า “ไอ่บ้านี้ดื่มเยอะไปหน่อยเลยพูดจาไร้สาระ เจ้าสาวเป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆของเขาจริงๆ”
หลี่ว่างยังคงดิ้นรน ภรรยาของเขาไม่กล้าปล่อยให้เขาอยู่ต่อเลยรีบดึงเขาออกมาแล้วกลับบ้านไป
แต่เมื่อเขาจากไป คำพูดก็แพร่กระจายไปอย่างเงียบๆและไม่นานก็แพร่ไปถึงหูของพ่อครัว
หลายคนที่เสิร์ฟอาหารไปๆมาๆพูดกันว่า “เห้ย เมื่อกี้หลี่ว่างเมาแล้วบอกว่าเขาเก็บเจ้าสาวคนนี้มาจากแม่น้ำ ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องห่างๆของเขา”
“ห๊ะ?เธอพูดจริงหรอ?”
“จริงสิ ภรรยาของหลี่ว่างรีบดึงเขาออกไปเลย ฉันว่าเรื่องนี้ไม่มีทางผิดแน่ๆ รูปลักษณ์ของเจ้าสาว ดูจากรูปร่างแล้วเหมือนคนในเมืองเลย จะมีผู้หญิงที่มีผิวบอบบางและอ่อนโยนแบบนี้อยู่บนเขาได้อย่างไร?”
“ใช่ๆ เธอพูดถูก นี้มันทำบาปกรรมชัดๆ ผู้หญิงบ้านไหนคิดไม่ตกแล้วจะกระโดดลงแม่น้ำทำไม?
ช้อนในมือของคุณปู่จงหยุดชะงัก ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงกลุ่มคนที่มาพักที่บ้านของเขาเมื่อสองสามวันก่อนนั่น พวกเขาบอกกำลังตามหาผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ไม่ใช่หรือ?
อีกอย่างพื้นที่ใกล้เคียงนี้มีเพียงแม่น้ำสายเดียวที่อยู่ถัดจากหมู่บ้านนี้เท่านั้น เวลาก็เหมาะเจาะ …
หรือเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าสาวในวันนี้จะเป็นคนที่พวกเขาตามหา?
เมื่อนึกถึงตอนที่เย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่ที่ลานหน้าบ้านทั้งคืน คุณปู่จงก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ไม่ได้การแล้วๆ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนที่พวกเขาตามหาหรือไม่ เขาจะต้องขอให้พวกเขากลับมาเห็นกับตา ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไปแต่ถ้าใช่ขึ้นมาล่ะ?
เขาไม่สามารถทนเห็นเด็กผู้หญิงคนนี้ตกเป็นเหยื่อได้ นี้มันเหตุการณ์สำคัญในชีวิตเชียวนะ
ตอนนี้อาหารเหลืออยู่เพียงสองอย่าง คุณปู่จงรีบเตรียมอาหารทั้งหมดจนเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนช้อนลงบนเขียงและพูดกับคนข้างๆว่า “ฉันจะกลับบ้านแปปหนึ่ง เดี๋ยวพวกคุณเอาอาหารไปเสิร์ฟก็พอ”
“ เฮ้ คุณปู่จงมีเรื่องอะไรสำคัญขนาดนั้นเชียว”
สีหน้าคุณปู่จงดูเคร่งเครียดและรีบออกไปโดยไม่พูดอะไร
ระหว่างทางคุณปู่จงใจเต้นรัว จะทำอย่างไรดี? คนพวกนั้นจากไปสามวันแล้ว เขาจะหาพวกเขาได้ที่ไหน? ก่อนไปก็ไม่ทิ้งเบอร์โทรไว้ให้เลย
คุณป้าจงกำลังเก็บผักอยู่ในสวน เมื่อได้ยินเสียงและเห็นว่าชายชรากลับมา เธอตะลึง “ทำไมงานเลี้ยงเลิกไวจัง?”
“เปล่า เกิดเรื่องแล้ว” คุณปู่จงพูดด้วยความเคร่งขรึม
คุณป้าจงเห็นท่าทางของเขาแปลกๆ เธอจึงวางผักในมือลงและลุกขึ้นถามว่า “มีอะไร?”
คุณปู่จงเล่าอย่างถีถ้วนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านของกาหวา คุณป้าจงก็ตบที่ขาเธอแล้วพูดว่า “ต้องเป็นผู้หญิงคนนี้แน่ๆ หลี่ว่างสองผัวเมีย เห็นเงินไม่ได้พวกเขาขายเด็กผู้หญิงนั้นให้ครอบครัวกาหวาโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดี พวกเขาก็เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน”
“ฉันรู้แล้ว ฉันเลยรีบกลับมาคุยกับคุณ เรามีเบอร์โทรศัพท์พวกเขาไหม? จะแจ้งพวกเขาอย่างไร”
คุณป้าจงเห็นเดินวนไปรอบๆสวนอย่างกระวนกระวาย จู่ๆเธอก็นึกอะไรบางอย่างได้และพูดว่า “ใช่ พวกเขามีคนที่สำนักงานตรวจสอบเพื่อระบุตัวตนไม่ใช่หรอ?บางทีฝั่งนั้นอาจจะมีข้อมูลในการติดต่อก็ได้”
“ใช่ๆๆ ฉันจะลองโทรถามที่สถานีตำรวจ” คุณปู่จงหาเบอร์คนรู้จักในโทรศัพท์ของเขา จากนั้นคนรู้จักของเขาก็ถามคนรู้จักอีกที เพราะคุณปู่จงไม่รู้ชื่อของมู่เทียนเย่จึงใช้เวลาไปเกือบครึ่งวันและในที่สุดก็พบกับสำนักงานตรวจสอบ
ในที่สุดเบอร์โทรศัพท์มือถือของมู่เทียนเย่ก็ถูกส่งต่อมาถึงมือคุณปู่จง
เนื่องจากมู่เทียนเย่ทำน้องสาวหายไป ดังนั้นสำนักงานตรวจสอบจึงขอให้เขาทิ้งเบอร์โทรศัพท์มือถือไว้ หากพวกเขามีข่าวพวกเขาจะแจ้งไปยังมู่เทียนเย่ ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นประโยชน์จริงๆ
เป็นเวลาเที่ยงตรง มู่เทียนเย่และพรรคพวกของเขากำลังนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารเล็ก ๆในเขตเมือง ไม่กี่วันนี้ไม่มีข่าวคราวใดๆและทั้งสองก็กลับสู่สภาพที่ไม่พูดคุยอะไรกันสักคำ
กินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่งโทรศัพท์มือถือของมู่เทียนเย่ก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองมันและเห็นว่าเป็นเบอร์ของคนในจังหวัด แต่เขาไม่รับ
สายที่เขาได้รับในหลายวันมานี้ไม่ใช่โฆษณาก็เป็นเบอร์หลอกลวง เขารำคาญจนเกือบจะบ้าตายอยู่แล้ว
หลังจากเสียงเรียกเข้าดังยาวจนสิ้นสุดลง เขาก็คิดว่ามันคงจะสงบไปสักพัก ไม่คิดว่าโทรศัพท์จะดังขึ้นอีกครั้ง แถมยังเป็นเบอร์เดิมอีกด้วย
มู่เทียนเย่วางตะเกียบของเขาลงและรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าเป็นใครครับ?”
น้ำเสียงอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย “อ่า สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นคนที่ไปสำนักงานตรวจสอบเพื่อตรวจดีเอ็นเอเมื่อสามวันก่อนหรือเปล่าครับ?”
มู่เทียนเย่ยืดออกขึ้นเล็กน้อย“ ผมเอง ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”
“เป็นแบบนี้ครับ เพื่อนของคุณหลายคนอยู่ที่มาพักบ้านผมในคืนนั้น เพื่อนของคุณคนนั้นอยู่กับคุณหรือเปล่า?ผมมีเรื่องบางอย่างที่ต้องหาเขา”
มู่เทียนเย่มองไปที่เย่เฉาเฉินด้วยสายตาไม่คาดคิดและส่งโทรศัพท์ให้เขา “ถามหานาย”
เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจ หาเขา? แล้วทำไมไม่โทรมาหาเขาโดยตรง?
เขารับโทรศัพท์มาด้วยความสงสัย “สวัสดีครับ ผมเย่ฉ่าวเฉิน”
คุณปู่จงถอนหายใจอย่างโล่งอก“ พระเจ้าอวยพร ในที่สุดผมก็หาคุณเจอ ผมคือชายชราจง เมื่อสามวันก่อนคุณมาอาศัยอยู่ในบ้านผม คุณยังจำได้ไหม?”
“ผมจำได้ คุณคือคุณปู่จง คุณหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เปลือกตาของเย่ฉ่าวเฉินกระตุกสองสามครั้ง ดูเหมือนจะบ่งบอกว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
คุณปู่จงพูดอย่างช้าๆ “คืนนั้นเราพูดถึงเจ้าโง่ในหมู่บ้านใกล้เคียง ชื่อกาหวาที่บอกว่าเขาจะแต่งงานวันนี้ คุณยังจำได้ใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก ตอนนั้นเขาเคยพูดถึงบุคคลลักษณะนี้มาก่อน “ผมจำได้ ตอนนั้นคุณปู่จงบอกว่าเขาไม่ควรแต่งงานหรืออะไรสักอย่าง”
“ใช่ๆ เขานั้นแหละ วันนี้ผมรับผิดชอบไปจัดงานเลี้ยงให้เขา ปรากฏว่าผมได้ยินเรื่องหนึ่งเข้า ผมว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกคุณ”
หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินบีบแน่นอย่างกะทันหันและถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณปู่จงพูดต่อได้เลยครับ”
“ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า คุณลองฟังก่อน” คุณปู่จงหยุดสักพักแล้วพูดต่อ “สะใภ้ซื่อบื้อที่กาหวาแต่งงานด้วยในวันนี้ หลี่ว่างจากหมู่บ้านข้างๆบอกว่าเป็นญาติห่างๆของเขา แต่เมื่อกี้เขาดื่มมากเกินไปบนโต๊ะอาหารและหลุดพูดออกมาว่าเจ้าสาวคนใหม่ไม่ใช่ญาติห่างๆของเขา แต่พวกเขาสองผัวเมียเก็บได้จากแม่น้ำ …”
“อะไรนะ?” เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ทำให้คนอื่นๆหันมามองเขา
คุณปู่จงพูดต่อว่า “หมู่บ้านของเราอยู่ห่างออกไปหลายไมล์มีแม่น้ำสายใหญ่เพียงสายเดียว ถ้าเขาพูดจริงอาจจะเป็นผู้หญิงที่พวกคุณกำลังตามหา อีกอย่างตอนเช้าตรู่ผมเห็นผู้หญิงคนนั้น เธอรูปร่างสูงผอม ผิวขาวมาก ผมยาว แค่ดูก็รู้เลยว่าต้องโตในเมืองมาก่อน ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังจะหยุดเต้น มืออีกข้างของเขาจับขอบโต๊ะเอาไว้ “คุณปู่จง คุณรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร?”
“โธ่ หลังจากที่รับมาจากบ้านหลี่ว่างก็ตรงเข้าไปในบ้าน ไม่มีการสักการบูชาฟ้าดิน ไม่มีใครรู้ว่าเธอชื่ออะไร แต่เด็กสาวคนนั้นดูเหมือนสมองเสื่อม เธอไม่ค่อยพูดอะไรมาก ดูเหมือนตาของเธอก็มองอะไรไม่เห็นด้วย ”
ทุกคำพูดของคุณปู่จงเหมือนมีดแทงเข้าไปในหัวใจของเย่ฉ่าวเฉินอย่างต่อเนื่อง สมองเสื่อม ไม่พูดไม่จา ตาบอด ถ้าเป็นเวยเวยจริงๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังจะแตกสลาย
“อันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่พวกคุณกำลังตามหาอยู่หรือเปล่า แต่ก็กังวลว่าจะเป็นเธอ ดังนั้นผมเลยบอกคุณไว้ก่อน ถ้าเกิดว่าเป็นเธอขึ้นมา นี้จะทำให้เด็กผู้หญิงต้องอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรอ?”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับคุณปู่จง พวกผมจะกลับไปทันที ขอบคุณมากๆครับ” เย่ฉ่าวเฉินพูดติดๆขัดๆ ทำได้แค่เพียงขอบคุณไม่หยุด
เมื่อจางเห่อได้ยินดังนั้น เขาก็ไปชำระเงินอย่างเงียบ ๆ
“ไม่เป็นไร คุณต้องรีบแล้วแหละ กาหวาเป็นคนใจร้อนผมกลัวว่ามันจะสาย … ”
คุณปู่จงยังพูดไม่จบ แต่เย่ฉ่าวเฉินเข้าใจความหมายของประโยคครึ่งหลังของเขา เขาพูดขอบคุณอีกครั้งแล้ววางสายไปจากนั้นทุกคนก็รีบเดินออกไป
เขามีลางสังหรณ์ว่าหญิงสาวที่คุณปู่จงพูดถึงต้องเป็นเวยเวยแน่ๆ มิฉะนั้นหัวใจของเขาจะไม่เจ็บปวดขนาดนี้
เวยเวย คุณรอผมหน่อยนะ ผมกำลังไปรับคุณกลับบ้าน
“จางเห่อ กลับไปที่บ้านของคุณปู่จงเมื่อสามวันก่อน”
เมื่อขึ้นรถเย่ฉ่าวเฉินหันศีรษะไปพูดกับมู่เทียนเย่ว่า”น่าจะเป็นเวยเวยจริงๆ” จากนั้นเขาก็เล่าสิ่งที่คุณปู่จงพูด
ดวงตาของมู่เทียนเย่แสดงให้เห็นถึงแววตาที่เปล่งปลั่ง แต่เขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์เอาไว้อย่างใจเย็น “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ไปดูก็รู้เองแหละ”
“ต้องเป็นเธอแน่ๆ ต้องเป็นเธอ … ” เย่ฉ่าวเฉินเอามือเรียวทั้งสองข้างประกบเข้าที่ใบหน้าของเขาไว้ ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเศร้า “ต้องเป็นเธอแน่ๆ”
จางเห่อขัดจังหวะความคิดของเขาด้วยประโยคที่ว่า “คุณชาย เราจากมาสามวันแล้ว เราต้องใช้เวลากลับไปอีกครึ่งวันสำหรับการเดินทาง แม้ว่าจะใช้ความเร็วสูงสุดมันก็ยากกว่าจะไปถึง”
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ตกตะลึงในเวลาเดียวกัน ใช่ ทำไมพวกเขาไม่นึกถึงปัญหานี้เลย
“อีกอย่างทางที่เราเดินไปคือถนนในชนบท ระยะทางเพิ่มขึ้นอย่างสุดลูกหูลูกตา ถนนก็เดินลำบากอีกด้วย”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบไปครู่หนึ่งทันใดนั้นก็ตัดสินใจ “จางเห่อ นายขับไปก่อน ฉันมีวิธี”
เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไปทีละเล็กน้อย ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง บ้านของกาหวาที่คึกคักมาทั้งวันก็เงียบสงบลง
ตามประเพณีท้องถิ่นในเวลากลางคืนห้องเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะมีญาติพี่น้องมานั่งพูดคุยกัน แต่ใครจะมาพูดคุยกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่โง่เขลาทั้งสองคน? ดังนั้นกลางคืนเวลาเจ็ดแปดโมง ครอบครัวบ้านกาหวาจึงเตรียมตัวที่จะเข้านอนกันอย่างสงบ
มู่เวยเวยนั่งโง่ๆอยู่ข้างเตียง เสียงท้องเธอร้องด้วยความหิว แต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดยังไง เธอจึงทำได้แค่ทนหิวต่อไป กาหวาซึ่งกำลังนั่งเหม่ออยู่กับเธอได้ยินเสียงท้องร้องและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหิวแล้วใช่ไหม?ผมจะไปหาของกินมาให้เอง”
ไม่รอให้มู่เวยเวยได้พูด เขาก็วิ่งออกไปจากประตูเหมือนและวิ่งเข้ามาเหมือนสายลม โดยมีข้าวอยู่ในมือและมีหมูผัดพริกหยวกวางอยู่บนข้าว
กาหวาหยิบชิ้นเนื้อและป้อนเข้าไปในปากของเธออย่างตื่นเต้น มู่เวยเวยอ้าปากค้างเมื่อเธอได้กลิ่นหอมของข้าว แต่เมื่อปลายลิ้นของเธอสัมผัสกับเนื้อ ใบหน้าของเธอก็หันหลบไปอีกฝั่งทันที
เผ็ดเกินไป
สมองที่เสื่อมสภาพไปแล้ว แต่ความจำของร่างกายยังอยู่ เธอไม่ชอบกินเผ็ด
กาหวาคิดว่าเธอไม่อยากกินเนื้ออย่างเดียว เลยใส่พริกหยวกเข้าปากด้วย คราวนี้มู่เวยเวยหลบไปไกลกว่าเดิม
กาหวาเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาอย่างโง่เขลาและบังคับป้อนเข้าปากเธอ“ คุณกินสิ อร่อยมากนะ”
มู่เวยเวยก็เริ่มกระวนกระวายเช่นกัน แต่เธอไม่กิน ทั้งสองคนผลักไปมาและ “เปรี๊ยะ” ชามข้าวในมือของกาหวาถูกผลักลงพื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ
แม่กาหวายืนอยู่ที่ประตูนานแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ก็เดินเข้ามาด้วยความโกรธและชี้หน้าด่ามู่เวยเวย “เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร?ลูกชายฉันป้อนข้าวให้เธอก็ยังไม่กิน?หาเรื่องหรือไง?”
มู่เวยเวยไม่สามารถต่อต้านได้เพราะในเวลานี้เธอไม่มีความสามารถนี้
แม่กาหวาจ้องมองเธออย่างดุร้าย เธอยังไม่เคยเห็นลูกชายของเธอถ่อมตัวต่อหน้าคนอื่น แต่วันนี้เธอได้เห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า เธอจึงไม่สามารถทนต่อไปได้ในฐานะคนเป็นแม่
“ฉันจะบอกให้ ที่เราซื้อเธอมาก็เพื่อสืบทอดตระกูลบ้านเหล่าหวังของเรา ไม่ได้ให้มาเป็นแม่ทูลหัว” แม่กาหวาพูดกับลูกชายของตัวเองว่า “กาหวา ถอดเสื้อผ้าเธอออก นอนกันได้แล้ว”
ทันทีที่กาหวาได้ยินคำว่านอน เขาก็ยิ้มอย่างมีความสุขและเคลื่อนไหวทุกอย่างอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่เขาแตะที่ไหล่ของเธอ มู่เวยเวยก็กรีดร้องด้วยความตกใจและรีบหลบอย่างรวดเร็ว
“ตะโกนผีอะไร?เธอถูกบ้านเหล่าหวังของเราซื้อมา ยังไม่ยอมให้ลูกชายของฉันโดนตัวเธออีก?” แม่กาหวาลงมือดึงเสื้อผ้าของเธอด้วยตัวเอง แต่เธอก็ได้รับการต่อต้านอย่างเต็มแรงจากมู่เวยเวย เธอใช้มือและเท้าของเธอจนเกือบผลักแม่กาหวาลงกับพื้น
“เพี๊ยะ” เสียงตบลงบนใบหน้าที่ขาวใสดังขึ้น
“อีนังตัวดี! กล้าดียังไงมาตบฉัน กาหวา ยังยืนนิ่งอยู่ทำไม?คืนนี้ยังอยากนอนกับผู้หญิงอยู่ไหม?เร็วสิ”
เมื่อกี้กาหวายืนมองด้วยอาการเสียสติ จิตใต้สำนึกเขาไม่อยากทำร้ายภรรยาคนสวยคนนี้ แต่แม่ของเขามีอำนาจเด็ดขาดในใจเขา ดังนั้นเขาจึงเก็บความบริสุทธิ์ใจไว้ในหัว และเริ่มดึงเสื้อผ้าของภรรยาตัวเอง
สองหมัดของเธอยากที่จะเอาชนะสี่มือของพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงตาของเธอที่ยังมองไม่เห็น ในไม่ช้าเสื้อคลุมของมู่เวยเวยก็ถูกถอดออก เหลือเสื้อเชิ้ตสีแดงบางๆด้านใน ยิ่งเผยให้เห็นผิวที่ขาวนวลระหว่างคอของเธอมากยิ่งขึ้น
กาหวาเห็นภาพนี้ก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ไม่ว่าคนเราจะมีปัญหาด้านสมองแค่ไหน สีผิวเป็นธรรมชาติพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นกาหวายังไม่ถึงจุดที่โง่เขลามากนัก
“ไม่ อย่า ” มู่เวยเวยเอามือกอดอกเธอไว้แน่น น้ำตาไหลรินลงมาล้างผงแป้งที่ด้อยคุณภาพออก
“ขายให้เราแล้วยังแกล้งทำตัวเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์ ถุ้ย!” แม่กาหวาถุ้ยน้ำลาย จึงใช้ประโยชน์จากแรงกระตุ้นเพื่อดึงกระดุมกระโปรงออกจากเอวของเธอ แล้วดึงอีกครั้ง ขาเรียวขาวของเธอเผยออกมาสัมผัสกับอากาศด้านนอก
“ขาเรียวสวยดีนิ แต่ไม่รู้ว่าจะคลอดหลานชายได้หรือเปล่า” แม่กาหวาทำในสิ่งที่ต้องทำเสร็จแล้ว เธอก้าวถอยหลังและตบหลังลูกชายของเธอที่เปลือยเปล่าแล้วพูดว่า “ลูกชาย ต้องให้ภรรยาคลอดหลานชายให้แม่ให้ได้นะ”
กาหวายิ้มด้วยความโง่เขลา เขาอดใจไม่ได้แล้ว ในตอนนี้แม้แต่จะหายใจ …
“กรี๊ด อย่าแตะต้องฉัน ” มู่เวยเวยตะโกนดังลั่น