เย่ฉ่าวเฉินออกค้นหาท่ามกลางฝูงชนด้วยใจร้อนรนเป็นกังวล เขาถามบรรดาเจ้าของร้านต่าง ๆ ว่าได้พบเห็นหญิงสาวที่สวมหมวกไหมพรมบ้างไหม ทุกคนต่างพากันส่ายหัว
ห้างสรรพสินค้านั้นมีขนาดใหญ่มาก ร้านค้าอยู่ติดกันไปหมด ต่อให้เย่ฉ่าวเฉินมีดวงตาสิบคู่ก็ไม่เพียงพอ บางทีทันทีที่เขาออกจากร้านหนึ่งมู่เวยเวยก็อาจเดินเข้าไปก็เป็นได้
หลังจากหาทั่วชั้นที่ห้าแล้ว แผ่นหลังของเย่ฉ่าวเฉินก็เปียกชุ่มไปหมด ระหว่างนั้นเขายังได้พบกับผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง หลังจากรู้ว่าไม่มีข่าวอะไรคืบหน้า ก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น
พ่อแม่ของเด็กไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้กระวนกระวายใจมากขนาดนี้ จึงถามด้วยความสงสัยว่า “คุณเย่ ภรรยาของคุณไม่ได้พกโทรศัพท์มาเหรอครับ?”
“ไม่ครับ” เย่ฉ่าวเฉินหยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล “ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ครับ”
เมื่อผู้ปกครองได้ยินดังนั้นก็เข้าใจในความหมายของเขาได้ทันที จึงพูดปลอบใจว่า “คุณไม่ต้องกังวลไป จะหาเธอพบได้อย่างแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปลองตรวจสอบดูที่กล้องวงจรปิดได้”
คำพูดของผู้ปกครองคนนั้นสกิดใจเขา ใช่สิ ทำไมเขาถึงลืมไปได้ว่าสามารถตรวจสอบที่กล้องวงจรปิดได้
วิตกร้อนใจจนลืมคิดไปจริง ๆ
“ขอบคุณครับ ผมจะไปที่ห้องกล้องวงจรปิดเดี๋ยวนี้” เย่ฉ่าวเฉินหันตัวกำลังจะไปทางห้องทํางานที่ซ่อนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เวลานี้เองที่โทรศัพท์ได้ดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาดูและเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นจางเฮ่อ
รีบรับสายทันที
“คุณชาย เจอตัวคุณนายแล้วครับ”
“ที่ไหน?”
“ที่ร้านชานมบนชั้นเจ็ดครับ”
ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “เข้าใจแล้ว ฉันจะรีบขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ”
“เจอตัวคุณนายเย่แล้วเหรอครับ?”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินผ่อนคลายลงอย่างมาก “ใช่ครับ เจอตัวแล้ว อยู่ที่ชั้นเจ็ดครับ”
“โอ้ ชั้นเจ็ดเป็นโซนอาหาร สงสัยว่าคุณนายเย่คงจะหิว” ผู้ปกครองหัวเราะ
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะครับ และรบกวนคุณช่วยแจ้งผู้ปกครองท่านอื่น ๆ ว่าไม่ต้องหาแล้ว พรุ่งนี้ผมจะต้อนรับทุกท่านที่บ้านเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ”
“คุณรีบไปเถอะ ผมจะแจ้งให้พวกเขาทราบเองครับ”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าให้เขา จากนั้นก็รีบอุ้มผิงอันแล้ววิ่งไปที่ลิฟต์
บรรยากาศบนชั้นเจ็ดนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารอันโอชะนานาชนิด จางเฮ่อตะโกนมาแต่ไกลว่า “คุณชาย ทางนี้ครับ”
เย่ฉ่าวเฉินเดินฝ่าฝูงชนไปยังร้านชานม มู่เวยเวยนั่งดื่มชานมชมพูอยู่ภายในร้าน เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาเธอก็ยิ้มจนตาหยี โดยไม่ได้รู้สักนิดว่าการหายไปของเธอจะทําให้เขาตกใจกลัวได้ขนาดไหน
ในตอนนี้ ความโกรธและความกลัวทั้งหมดในใจของเขาก็พลันมลายหายไป โชคดีเหลือเกินที่เธอยังอยู่
เย่ฉ่าวเฉินปรับลมหายใจและเดินเข้าไปในร้าน และนั่งลงบนเก้าอี้ของเธอ มู่เวยเวยส่งหลอดดูดให้และพูดด้วยรอยยิ้มหวาน “อร่อยมาก”
เย่ฉ่าวเฉินจิบตามไปคำหนึ่ง ของเหลวอุ่นๆ รสหวานหอมไหลลงมาในลําคอของเขา ทําให้ทุกเส้นประสาทที่ตึงเครียดอยู่ชุ่มชื้น
เมื่อเห็นมู่เวยเวยมองมาที่เขาด้วยแววตาที่คาดหวัง เย่ฉ่าวเฉินก็พยักหน้าและกล่าวชม “อืม อร่อยจริง ๆ”
มู่เวยเวยยิ้มเบิกบานราวดอกไม้ไฟ หยิบชานมกลับมาและค่อย ๆ จิบต่อไป
ผิงอันที่อยู่ในอ้อมแขนของเย่ฉ่าวเฉินก็เริ่มที่จะอยู่ไม่สุข เขาต้องการลิ้มรสมันบ้าง มู่เวยเวยกำลังจะให้เขาดื่ม แต่กลับถูกเย่ฉ่าวเฉินห้ามไว้ก่อน “เด็กเล็กไม่สามารถดื่มสิ่งเหล่านี้ได้ มันไม่ดีต่อท้องไส้”
“อ้อ” มู่เวยเวยยัดหลอดกลับเข้าไปในปากของเธอ ตอนนี้เธอกลายเป็นคนที่เชื่อฟังเย่ฉ่าวเฉินไปแล้ว
“ต่อไปนี้อย่าหายตัวไปแบบนี้อีกได้ไหม? ทำผมตกใจแทบแย่” เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ตําหนิ เขาเพียงจับมือขาวนุ่มของเธอไว้แน่น นิ้วที่สั่นเล็กน้อยยังคงเน้นย้ำถึงหัวใจที่หวาดกลัวของเขา
มู่เวยเวยหันไปมองดูเขา และดูเหมือนเธอจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงพยักหน้าตอบ
เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังคุยกับเหล่าผู้ปกครองอยู่ที่สนามเด็กเล่นบนชั้นสี่ ส่วนทางจางเฮ่อและพวกต่างก็จับจ้องอยู่ที่ผิงอันอยู่นั้น มู่เวยเวยที่นั่งเบื่อ ๆ อยู่บนโซฟา ก็หันไปเห็นเข้ากับเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปในมือถือแก้วชานมสีชมพูอยู่ สีสวยมาก
ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น เธอจึงได้ตามเด็กผู้หญิงคนนั้นไป และเดินตามไปตลอดทางจนถึงชั้นเจ็ด เมื่อเด็กหญิงนั้นเห็นว่าเธอตามมา จึงถามว่าทําไมถึงได้เดินตาม มู่เวยเวยก็ชี้ไปที่ชานมในมือของเธอ
เด็กหญิงชี้ไปที่ทิศทางของร้านชานมและบอกว่าร้านอยู่ทางนี้ มู่เวยเวยก็ค่อย ๆ มองหาร้าน ในขณะที่เธอกำลังสั่งชานมชมพูอยู่นั้น เย่ฉ่าวเฉินก็กําลังตามหาเธอที่ชั้นสี่อย่างบ้าคลั่ง
จากนั้นก็ได้ถือโอกาสทานอาหารกันที่ชั้นเจ็ด ในระหว่างทางกลับบ้าน เย่ฉ่าวเฉินก็ได้พูดกับจางเฮ่อด้วยเสียงดุว่า “เงินเดือนเดือนนี้ของพวกนายจะต้องถูกหัก”
จางเฮ่อก้มหน้าลงและพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ครับคุณชาย เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกครับ”
“ถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก นายก็พาพวกทั้งหมดไสหัวไปได้เลย”
“ครับ”
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่ฉ่าวเฉินก็บอกกับพ่อบ้านหวังว่าจะมีแขกมาในวันพรุ่งนี้ ให้เขาเตรียมต้อนรับให้พร้อม
ผิงอันเพลียจากการเล่นมาทั้งวัน ดังนั้นเมื่อนอนลงบนเตียงเขาก็หลับไปทันที เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกดีใจมาก จึงค่อย ๆ อุ้มเขาขึ้นมาและวางลงบนเตียงเล็กที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็คลุมเขาด้วยผ้าห่ม
มู่เวยเวยเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ผมหน้าม้าของเธอห้อยต่องแต่งลงบนหน้าผาก เธอดูเหมือนเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง
“มานี่สิ นั่งตรงนี้” เย่ฉ่าวเฉินหยิบไดร์เป่าผมออกมาจากลิ้นชักและเตรียมเป่าผมให้เธอ
ผมสั้นก็มีข้อดีของมัน เช่น ใช้เวลาเป่าผมเร็วมาก เพียงไม่กี่นาทีก็แห้งแล้ว
……
งานเลี้ยงต้อนรับเด็ก ๆ ครั้งแรกของผิงอัน แม้แต่สวรรค์ยังเป็นใจ วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใสมาก
เหล่าผู้ปกครองพากันพาลูกน้อยของพวกเขามาที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ พวกเขาต่างตกตะลึงกับการตกแต่งที่โอ่อ่าหรูหราของคฤหาสน์ พ่อบ้านหวังรู้ว่าจะมีเด็ก ๆ มา เขาจึงเตรียมขนมที่เหมาะสำหรับเด็กไว้อย่างมากมาย
ผิงอันเอาของเล่นทั้งหมดออกมาแบ่งปันกับพวกเด็ก ๆ อย่างกระตือรือร้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยมีมาก่อน เย่ฉ่าวเฉินมองดูอยู่ไกล ๆ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดร้าว นี่คือรอยยิ้มของเด็ก นี่ต่างหากคือสิ่งที่เหมาะสมกับเขาในวัยนี้ เพราะตัวเองคอยปกป้องเขามากเกินไป และประเมินความสามารถในการปรับตัวของลูกชายต่ำเกินไป
ประมาณสิบโมงกว่า เย่ฉ่าวเฉินเดาว่ามู่เวยเวยน่าจะตื่นแล้ว เขาจึงขึ้นไปดูเธอ
ตามที่คาดไว้ หญิงสาวกําลังนอนอยู่ใต้ผ้าห่มและมองออกไปที่นอกหน้าต่าง
“เจ้าหมูขี้เซาตื่นแล้ว รีบลงไปข้างล่างกันเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงที่ข้างเตียงและเอื้อมมือจะไปลูบไล้ใบหน้าของเธอ แต่มู่เวยเวยกลับถอยหลังไปอย่างเย็นชา และหลบมือของเขา ดวงตาของเธอไม่ได้สับสนอีกต่อไป แต่ชัดเจนและห่างเหิน สายตาแบบนี้ทําให้หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินเต้นรัว และเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น
“เวยเวย คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” มือของเย่ฉ่าวเฉินค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ และถามอย่างระมัดระวัง
มู่เวยเวยลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว เธอโอบรวบผ้าห่มไว้ด้านหน้าเพื่ออยู่ให้ห่างจากเย่ฉ่าวเฉินให้มากที่สุด จากนั้นเธอก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณเป็นใคร?”
สมองของเย่ฉ่าวเฉินว่างเปล่า นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? อย่าบอกนะว่าเธอสูญเสียความทรงจํา?
“เวยเวย ผมคือเย่ฉ่าวเฉิน สามีของคุณ คุณจำผมไม่ได้เหรอ?”
มู่เวยเวยจ้องมองเขาอย่างสงสัย “พูดเหลวไหล ฉันอายุแค่สิบแปดเอง จะแต่งงานแล้วได้ยังไง”
“หือ?” เย่ฉ่าวเฉินทั้งโกรธทั้งขำ “เวยเวย ปีนี้คุณอายุยี่สิบห้าแล้ว ไม่ใช่สิบแปดปี”
“เป็นไปได้ยังไงกัน?” มู่เวยเวยไม่อยากจะเชื่อ “ฉันเพิ่งจะฉลองวันเกิดปีที่สิบแปดไปเมื่อวานนี้เอง”
“สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงนะ คุณอายุยี่สิบห้าปีแล้ว ไม่เพียงแค่แต่งงานแล้ว แต่คุณกับผมยังมีลูกชายด้วยกันอีกคนหนึ่ง ชื่อผิงอัน”
มู่เวยเวยมีสีหน้างุนงง เธอกลืนน้ำลายลงคอ “ฉันยังมีลูกชายอีกคนด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
มู่เวยเวยหยิกแขนตัวเองอย่างแรง มันเจ็บมาก เธอพึมพำกับตัวเองว่า “นี่ไม่ใช่ความฝัน นี่ไม่ใช่ความฝัน หรือฉันข้ามมิติมาอย่างนั้นเหรอ? ทําไมจู่ ๆ ถึงอายุยี่สิบห้าปีได้ ทั้งยังแต่งงานและมีลูกแล้วอีกด้วย?”
เย่ฉ่าวเฉินที่ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่จากการใช้มือจิกผ้าปูที่นอนไว้แน่นนั้นได้สะท้อนสภาวะอารมณ์ของเขาออกมา
เธอคงไม่……สูญเสียความทรงจําไปจริง ๆ หรอกนะ
แม้แต่ละครโทรทัศน์ก็ยังไม่เลือดเย็นขนาดนี้ มู่เวยเวยได้รับบทละครอะไรมาจากพระเจ้ากันแน่? ทำไมถึงต้องคอยมาทรมานเขาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง”
“ปีนี้ปีอะไร?”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างสงบว่า “อีกสองวันก็คือวันขึ้นปีใหม่ และก็คือปี 2017”
“ปี 2017?” มู่เวยเวยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มันไม่สมเหตุสมผลที่ฉันจะหลับไปตื่นหนึ่งก็ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว เป็นไปไม่ได้”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินไม่สามารถทําอะไรได้ เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดข่าวให้เธอดู “คุณดูเองแล้วกัน ผมไม่ได้โกหกคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินโถมตัวเข้าใส่เธอและกดเธอไว้ใต้ร่างกาย “ได้ นี่ถึงกับแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมเพื่อโกหกผมเชียวเหรอ”
มู่เวยเวยที่กำลังดิ้นรนอยู่ “ฉันความจําเสื่อมจริง ๆ ฉันไม่ได้โกหกคุณ”
มู่เวยเวยปวดเมื่อยไปทั้งเอวและขา และเธอก็ไม่สามารถทนความบ้าคลั่งได้อีก จึงใช้แรงผลักเขาออกไป “ยังมีแขกอยู่ข้างล่างอีก”
“ผมไม่สน” เย่ฉ่าวเฉินวางอำนาจบาดใหญ่ แสดงท่าทีหยิ่งผยอง
“ไม่ได้นะ จะทิ้งพวกเพื่อน ๆ ของผิงอันได้อย่างไรกัน?”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินคําพูดนี้ เขาก็กัดไปที่ริมฝีปากของเธอก่อนที่จะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ในความเป็นจริง พวกเขาไม่รู้ว่าการที่เย่ฉ่าวเฉินไม่อยู่นั้นเป็นการที่ทําให้ทุกคนสามารถผ่อนคลายและพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น เมื่อเขาอยู่ บรรยากาศก็เหมือนกับถูกกดดัน
เมื่อมู่เวยเวยสวมเสื้อผ้า เธอก็พบว่าบนร่างของเธอมีเนื้อเยอะมาก และเมื่อดูขนาดของเสื้อผ้า ก็ทำให้เธอเกือบจะกรีดร้องออกมา
“ไซส์ L? นี่ฉันใส่ไซส์ L แล้วเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเธอจะต้องแสดงออกเช่นนี้ เขาพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เป็นไร มีเนื้อมีหนังกอดแล้วสบาย”
“มีเนื้อมีหนังของคุณน่ะสิ ฉันเป็นดีไซน์เนอร์นะ จะให้ใส่เสื้อผ้าไซส์ L ได้ยังไง? แล้วยังมีผมที่น่าเกลียดนี่อีก พระเจ้า ฉันทำอะไรลงไปตอนที่ไม่ได้สติ?” มู่เวยเวยอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาออกมา จากนั้นก็ชี้ไปที่เขา “แล้วทําไมคุณถึงไม่ควบคุมอาหารของฉัน”
เย่ฉ่าวเฉินพูดแสดงความบริสุทธิ์ว่า “ตอนนั้นคุณป่วยอยู่ ผมจะกล้าทารุณคนป่วยได้ยังไง? อีกอย่าง ตอนนี้คุณก็ไม่ได้อ้วนนี่ ผมคิดว่าแบบนี้กำลังดี”
“ฉันไม่อยากพูดกับคุณแล้ว” มู่เวยเวยพูดด้วยความโมโห เธอบีบเนื้อที่เอวและหยิกมัน ราวกับว่าอยากจะเฉือนเนื้อเหล่านั้นออกด้วยมีด
เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปจับไหล่ของเธอ มองไปที่ผู้หญิงที่กำลังโกรธเคืองในกระจกแล้วพูดว่า “ในสายตาของผม คุณสวยที่สุดเสมอ ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปเป็นยังไงก็ตาม”
มู่เวยเวยรู้สึกตื้นตันใจมากเมื่อได้ยินประโยคนี้ แต่……
“ไม่ ฉันต้องลดน้ำหนัก ต้องลดให้ได้ ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่กล้าส่องกระจกอีกต่อไป”
“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิง “ผมคิดว่าตอนนี้คุณก็ดูดีมากแล้ว”
“แต่ฉันไม่คิดว่ามันดี คนเราต้องมีเป้าหมายให้ตัวเอง โดยเฉพาะผู้หญิงถ้ายิ่งปล่อยตัวก็จะยิ่งแย่ลงเท่านั้น คุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงหรอก” มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึก แขม่วเนื้อที่หน้าท้อง จากนั้นจึงติดกระดุมเสื้อ
เอาล่ะ เย่ฉ่าวเฉินไม่เข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ เขามีความคิดแบบผู้ชายว่า การที่ผู้หญิงลดน้ำหนักนั้นก็เพื่อจะใส่เสื้อผ้าแล้วดูดี จากนั้นก็มาทำให้ผู้ชายพอใจ แต่เขาไม่รู้เลยว่า การที่ผู้หญิงอยากมีรูปร่างที่ผอมเพรียว แล้วใส่เสื้อผ้าได้สวย ๆ นั้น ก่อนอื่นต้องทําให้ตัวเองพอใจเองเสียก่อน
ผมสั้นมากเกินจนไม่สามารถจัดแต่งทรงผมอะไรได้ ยังดีที่เย่ฉ่าวเฉินซื้อหมวกให้เธอไว้มากมาย เธอเลือกหมวกมาสวมใบหนึ่ง ดูไม่เลวเลย
เย่ฉ่าวเฉินเดินจูงมือมู่เวยเวยลงไปข้างล่าง นึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นได้จึงถามว่า “ทําไมจู่ ๆ คุณถึงหายดีแล้วล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกสมองปลอดโปร่ง และยังพอจําอะไรได้อยู่บ้าง”
เย่ฉ่าวเฉินไม่เข้าใจจริง ๆ จึงพูดหยอกล้อขึ้นว่า “ถ้ารู้ก่อนว่าทำแบบนั้นแล้วจะทําให้คุณหายดี ผมทําไปนานแล้ว”
มู่เวยเวยรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ทำแบบไหน?”
เย่ฉ่าวเฉินกระซิบข้างหูเธอ “ก็แบบที่คุณขอร้องให้ผมทำเมื่อคืนยังไงล่ะ”
ลมหายใจอุ่น ๆ พุ่งเข้าไปในหูของเธอ ทำให้เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว เธอจ้องมองเขาด้วยความเขินอาย “เย่ฉ่าวเฉิน ฉันจะเก็บเรื่องนี้เข้าบัญชีไว้ แล้วจะให้คุณได้ชดใช้แน่”
“ได้สิ ยินดีทุกเมื่อเลยครับ”
เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงสิ่งที่คุณหมอหานเคยพูดไว้ บางทีสายน้ำอาจรวมตัวกันเป็นแม่น้ำใหญ่ชะก้อนหินก้อนนั้นออกไป
สองสามีภรรยามาถึงห้องรับแขก ทุกคนที่กำลังสนทนาอย่างออกรสกันเมื่อครู่ก็สงบลงทันที สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่มู่เวยเวยด้วยความอยากรู้อยากเห็นและสงสัย
มู่เวยเวยแสดงท่าทีความเป็นนายหญิงของบ้าน ยิ้มต้อนรับอย่างสุภาพและมีน้ำใจ “ดีใจที่ทุกคนมาได้ อย่ายืนกันอยู่เลย เชิญนั่งตามสบายค่ะ”
พ่อแม่ทั้งแปดแอบมองหน้ากัน เอ๊ะ? ใครบอกว่าเธอป่วยเกี่ยวกับสมองกัน? เธอก็ออกจะดูดีไม่ใช่เหรอ?
มู่เวยเวยเรียกสาวใช้มาและสั่งเสียงเบาว่า “ไปเอากาแฟสดที่ฉันบดไว้มากาหนึ่ง”
สาวใช้น้อมรับคำสั่ง แต่ในใจกลับตะโกนอย่างบ้าคลั่ง คุณนายหายดีแล้ว? โอ้ เธอต้องรีบไปบอกข่าวนี้กับคนอื่นให้เร็วที่สุด!
มู่เวยเวยเห็นว่าทุกคนดูอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติ พากันนั่งหลังตรง เธอจึงพูดกับคุณแม่สองสามคนว่า “พวกเรานั่งกันอยู่ที่นี่เฉย ๆ ก็ไม่มีความหมายอะไร ที่บ้านฉันมีห้องดอกไม้ ในฤดูหนาวจะมีดอกไม้บานมากมาย ฉันจะพาพวกคุณไปชมค่ะ”
“ดีเลย ดีเลย” ผู้หญิงหลายคนเห็นด้วยแล้วลุกขึ้นออกไป ทิ้งพวกผู้ชายไว้ที่ห้องนั่งเล่น
หลังจากใช้เวลาด้วยกันกว่าหนึ่งชั่วโมง อารมณ์และท่าทีของทุกคนก็ดูผ่อนคลายเข้ากันได้มากขึ้น เดิมพวกเธอคิดว่ามู่เวยเวยคงจะเป็นผู้หญิงที่วางตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง แต่หลังจากได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันแล้ว พวกเธอก็พบว่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีพลังและน่ารักมาก
เวลาบ่ายสี่โมง งานเลี้ยงในวันนี้ของทุกคนก็ได้จบลงในบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาสนุกสนานครื้นเครง เมื่อส่งแขกทั้งผู้ใหญ่และเด็กกลับกันไปหมดแล้ว มู่เวยเวยก็อุ้มผิงอันขึ้นจากพื้น เอาหัวชนกันแล้วพูดว่า “ลูกจ๋า แม่กลับมาแล้ว”
สีหน้าของผิงอันดูงุนงง เธออยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลานี่นา
……
ขณะที่มู่เทียนเย่ได้รับโทรศัพท์จากเย่ฉ่าวเฉินนั้น เขากําลังอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวซีหร่านที่กำลังทําผมอยู่
“นายว่าอะไรนะ?” สีหน้าของมู่เทียนเย่เปลี่ยนไปทันที
“นายมาดูด้วยตาก็จะรู้เอง รีบมาเถอะ”
“ได้ ฉันจะรีบไปทันทีที่เสร็จธุระ” เมื่อมู่เทียนเย่วางสายโทรศัพท์แล้วก็มองไปที่เสี่ยวซีหร่านด้วยสีหน้าจริงจัง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เสี่ยวซีหร่านถาม
“เดี๋ยวค่อยคุยกันระหว่างทาง”
“ถ้าคุณร้อนใจก็ไปก่อนเถอะค่ะ ฉันยังต้องใช้เวลาอีกหลายนาที”
“ไม่เป็นไร ผมจะรอคุณ ก็แค่ไม่กี่นาที” ถึงแม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่ในใจของมู่เทียนเย่กลับเต้นรัว ทันทีที่ช่างทำผมพูดว่า “เสร็จแล้ว” เขาก็รีบดึงเสี่ยวซีหร่านออกจากประตูไป
บนท้องถนน มู่เทียนเย่ขับรถด้วยความเร็วมาก เสี่ยวซีหร่านแอบคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเงียบ ๆ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
มู่เทียนเย่จับจ้องไปข้างหน้า “เย่ฉ่าวเฉินโทรมาบอกว่าเวยเวยหายดีแล้ว”
“งั้น นี่ก็เป็นข่าวดีไม่ใช่เหรอคะ?” เสี่ยวซีหร่านรู้สึกสับสน
“แต่ความทรงจําของเธอย้อนกลับไปอยู่ช่วงอายุสิบแปดปี”
“หา?” เสี่ยวซีหร่านตกใจมาก “ความจำเสื่อมเหรอ? เธอ……กำลังแสดงละครโทรทัศน์อยู่หรือไง?”
“ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” มู่เทียนเย่เม้มปากแน่น ถ้าเธอสูญเสียความทรงจําไปจริง ๆ แล้วเธอจะยอมรับความจริงที่พ่อแม่จากไปแล้วได้อย่างไร?
รถทะยานมุ่งไปสู่คฤหาสน์ตระกูลเย่ด้วยความเร็ว เมื่อรถหยุดลง ทั้งสองคนก็วิ่งเข้าไปในห้องนั่งเล่นทันที
มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินต่างนั่งอยู่ด้วยสีหน้าลําบากใจ เมื่อเห็นมู่เทียนเย่เข้ามา เธอก็กระโดดขึ้นด้วยความประหลาดใจ และวิ่งโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขา “พี่ชาย พี่มาแล้ว”
มู่เทียนเย่มองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน อีกฝ่ายก็มองเขากลับด้วยสายตาจนใจ
มู่เทียนเย่ตบหลังมู่เวยเวยแล้วพูดว่า “ไหนมาให้พี่ดูหน่อยสิ”
มู่เวยเวยกัดริมฝีปากทําท่าน่าสงสาร เธอผละออกจากอ้อมอกของเขา แล้วชี้ไปที่เย่ฉ่าวเฉินและพูดว่า “ผู้ชายคนนั้นบอกว่าเขาเป็นสามีของฉัน พี่คะ ฉันอายุแค่สิบแปดปี แล้วฉันจะแต่งงานได้ยังไง? พี่บอกฉันมาว่านี่เป็นเรื่องไม่จริงใช่ไหม?”
มู่เทียนเย่มองเข้าไปที่ดวงตาของเธออย่างจริงจัง มันชัดเจนและสดใส เขาถอนหายใจและพูดว่า “เขาเป็นสามีเธอจริง ๆ เธอแต่งงานแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ ฉันชอบผู้ชายที่อบอุ่นมาตลอด ทําไมถึงไปชอบผู้ชายเย็นชาอย่างเขาได้? ดูไม่มีอารมณ์ขันอะไรเลยด้วย” มู่เวยเวยถือโอกาสนี้แก้แค้น
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินถูกตําหนิ สีหน้าของเขาก็ดูค่อนข้างซับซ้อน ทําไมเขาต้องรนหาที่เสนอให้แสดงละครนี้ด้วยนะ? ช่างเถอะ เริ่มเองก็ต้องรับเอง
เสี่ยวซีหร่านที่อยู่ด้านข้างก็อดที่หัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้ มู่เวยเวยพูดถูก นี่เป็นคําถามที่เธออยากจะถามมู่เวยเวยมาตลอด
“เอ๋? พี่สาวคนนี้เป็นใคร? สวยจังเลย” มู่เวยเวยกล่าวชมด้วยความจริงใจ
มู่เทียนเย่กล่าวแนะนํา “นี่คือแฟนของพี่เอง เสี่ยวซีหร่าน”
มู่เวยเวยรีบกอดเสี่ยวซีหร่านไว้ในอ้อมแขนของเธอทันที “พี่สาวสวยจริง ๆ ฉันชอบค่ะ”
เสี่ยวซีหร่านที่ถูกจู่โจมอย่างกะทันหันก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ มู่เวยเวยที่สูญเสียความทรงจำดูจะกระตือรือร้นออกนอกหน้าเกินไป
“เวยเวย น้องจําเรื่องที่เกิดขึ้นหลายปีมานี้ไม่ได้เลยจริง ๆ เหรอ?” มู่เทียนเย่ยังคงไม่อยากจะเชื่อเรื่องการสูญเสียความทรงจํานี้
สีหน้าของมู่เวยเวยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เธอพูดอย่างสลดใจว่า “พี่คะ ฉันจําไม่ได้จริง ๆ ทั้งที่เมื่อวานเพิ่งจะฉลองวันเกิดอายุสิบแปดปีของฉันไป ทําไมเพียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็แก่ขึ้นไปถึงเจ็ดปี ปีนี้อายุยี่สิบห้าเข้าไปแล้ว”
เสี่ยวซีหร่านยังพูดเสริมขึ้นอีกว่า “ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังแต่งงานและมีลูกด้วย”
“นั่นก็หมายความว่า ฉันเสียเปรียบมากไม่ใช่หรือไง? พี่คะ ช่วยพาฉันกลับบ้านที ฉันอยากกลับบ้าน”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินเช่นนี้ก็ร้อนใจขึ้นมาจับแขนเธอไว้ “คุณเป็นภรรยาของผม คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
มู่เวยเวยอยากจะสะบัดมือเขาออก แต่กลับถูกเขาจับไว้แน่นขึ้นไปอีก ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเหมือนจะพูดกับเธอว่า “คงพอได้แล้วนะ ยังจะแสดงต่อไปอีกงั้นเหรอ”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หันกลับมาพูดกับพี่ชายว่า “พี่คะ พี่ยังไม่รีบช่วยฉันอีก ฉันอยากกลับบ้าน”
มู่เทียนเย่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เย่ฉ่าวเฉิน นายปล่อยเธอก่อน มีอะไรเราค่อย ๆ มาคุยกัน”
เย่ฉ่าวเฉินจะพูดอะไรได้? ทันทีที่คลายมือออก มู่เวยเวยก็รีบวิ่งไปหลบหลังพี่ชาย และแอบทำหน้าทะเล้นใส่เย่ฉ่าวเฉินจากมุมที่คนอื่นมองไม่เห็น
“นี่…… ไม่งั้น ฉันจะพาเธอกลับไปก่อน?”
“ไม่ได้”
“ได้”
ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน
มู่เทียนเย่มึนหัวไปหมด ขณะนั้นเองผิงอันที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เอามือทั้งสองข้างโอบขาของมู่เทียนเย่ไว้ทั้ง “คุณลุง อุ้ม อุ้ม”
มู่เทียนเย่ก้มตัวลงและอุ้มหลานชายตัวน้อยขึ้นมา เขาถามเย่ฉ่าวเฉินว่า “นายทําอะไรกับเธอกันแน่? เธอสูญเสียความทรงจำไปได้ยังไง?”
เย่ฉ่าวเฉินตอบอย่างใสซื่อ “ฉันไม่ได้ทําอะไรเลย เมื่อเธอตื่นขึ้นหลังจากที่งีบหลับกลางวันก็เป็นแบบนี้เลย”
ไม่คาดคิดว่า ทันทีที่เขาพูดจบ ผิงอันก็พูดขึ้นมาอย่างทำร้ายกันว่า “ไม่ได้นอน”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยเปลี่ยนไปทันที ทําไมถึงได้ลืมเจ้าสายลับตัวน้อยคนนี้ไปได้?
เสี่ยวซีหร่านเป็นคนฉลาด ถามผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “อะไรไม่ได้นอนเหรอครับ?”
ผิงอันชี้ไปที่คนที่กำลังจะคิดหนี “แม่ไม่หลับ แม่กำลังเล่น”
มู่เวยเวยไม่สามารถแสดงต่อไปได้อีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเธอสบเข้ากับสายตาที่จริงจังของเสี่ยวซีหร่าน ก็รีบพูดเอาตัวรอดว่า “อา อา ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะ เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนบอกให้ฉันทำแบบนี้”
เย่ฉ่าวเฉินก้าวถอยหลังไป “ก็เธอหลอกผมก่อน จะให้ผมลิ้มรสคนเดียวได้ยังไง ให้พวกคุณได้ลองดูบ้างด้วยสิ”
“ดีมาก” มู่เทียนเย่วางผิงอันลงบนโซฟา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่งดี ๆ นะ” แต่ในอีกวินาทีต่อมาก็กลับพุ่งตัวเข้าใส่เย่ฉ่าวเฉิน
ส่วนอีกด้าน เสี่ยวซีหร่านก็เอื้อมมือไปคว้ามู่เวยเวยไว้ด้วยคล่องแคล่ว
ทันใดนั้นก็เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวาย เสียงตะโกนดังโวยวายไปทั่วทั้งบ้าน
“เย่ฉ่าวเฉิน ช่วยฉันด้วย” มู่เวยเวยถูกเสี่ยวซีหร่านไล่จับจนหายใจหอบไปหมด
“ผมช่วยคุณไม่ได้แล้ว คุณสวดภาวนาไปก่อนเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินจะสนใจเธอได้อย่างไร เพราะในตอนนี้เขาเองก็กําลังหลบการโจมตีจากมู่เทียนเย่อยู่
ไม่กี่นาทีต่อมาเสี่ยวซีหร่านก็ดึงหูของมู่เวยเวยเข้ามาในห้องนั่งเล่น ส่วนเย่ฉ่าวเฉินก็ถูกแขนของมู่เทียนเย่ล็อคคอไว้อย่างแรง ผิงอันที่นั่งอยู่บนโซฟาก็หัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข
“เก่งกล้าขึ้นแล้วนี่ ถึงกับแสดงเป็นแล้ว ทําไมไม่เข้าวงการบันเทิงไปซะเลยล่ะ?” เสี่ยวซีหร่านดึงหูของเธอ ดุพรางหัวเราะไปด้วย
มู่เวยเวยเขย่งเท้า “เจ็บค่ะ เจ็บ พี่สาว ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ”
“ตอนนี้ทำมาสำนึกผิด? ฉันทำผมยังไม่เสร็จก็รีบมาที่นี่เพื่อเธอ แต่พวกเธอกลับรวมหัวกันแสดงละครใส่ฉัน”
มู่เวยเวยอ้อนวอนขอความเมตตา “พี่สาว ฉันผิดจริง ๆ พรุ่งนี้ฉันจะพาพี่ไปทําผมใหม่อีกครั้ง รับรองว่าสวยกว่านี้อีกร้อยเท่า”
“เธอหมายความว่าตอนนี้ฉันไม่สวยงั้นเหรอ?” เสี่ยวซีหร่านฟื้นฝอยหาตะเข็บ
“ไม่ค่ะ ไม่ค่ะ ตอนนี้ก็สวยมากอยู่แล้ว และจะสวยมากขึ้นอีกเรื่อย ๆ พี่เป็นคนที่สวยที่สุดในโลก สวยงามราวกับดอกท้อ งามที่สุดในปฐพี ไม่มีใครเทียบได้”
เสี่ยวซีหร่านถูกเธอยอจนขำออกมา ในที่สุดก็ยอมเธอ “ยัยเด็กบ้า ระหว่างทางมานี่พี่ชายของเธอร้อนใจจนเกือบจะบ้าไปแล้ว แต่พวกเธอสองคนกลับร่วมมือกันอยู่ที่นี่”
มู่เวยเวยรีบชี้ไปที่เย่ฉ่าวเฉินอย่างปัดความรับผิดชอบ “เรื่องนี้เป็นความคิดของเขาทั้งหมด”
มู่เทียนเย่ชกเข้าที่หน้าอกของใครบางคนอย่างไม่เกรงใจ “นายรนหาที่ตายใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ใช่คนที่จะยอมคนง่าย ๆ เขาใช้แรงผลักตัวออก จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะพูดว่า “ผมกลัวว่าอยู่คนเดียวจะน่าเบื่อ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีทุกข์ก็ต้องร่วมแบกด้วยกันสิ”
“ใครเป็นครอบครัวเดียวกับนายกัน?” มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านพูดขึ้นพร้อมกัน
เย่ฉ่าวเฉินมองไปมู่เวยเวยอย่างได้ใจ “เห็นแล้วใช่มั้ย ว่าลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนกับน้ำที่ถูกสาดออกไป มู่เทียนเย่ไม่ยอมรับว่าคุณเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“นายอย่ามาทำให้ครอบครัวแตกแยก” มู่เทียนเย่พูดถากถาง แล้วจ้องไปที่มู่เวยเวยและพูดเสียงดุว่า “เธอ มานี่ซิ”
มู่เวยเวยรู้ตัวว่าจะถูกตำหนิ เธอจึงเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้าไปยิ้มประจบสอพลอ “พี่ชาย ทำไมเหรอคะ?”
มู่เทียนเย่เขกหน้าผากเธออย่างไม่พอใจ และพูดด้วยความโกรธเคืองว่า “ตอนนั้นฉันอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตให้แกหนีไปได้ ทําไมแกถึงได้กลับมาอีก? กลับมาแล้วก็ดี แต่ทําไมถึงได้กลับมาพัวพันกับเจ้าสารเลวนี่อีก? ผู้ชายทั่วใต้หล้าตายไปหมดแล้วหรือไง? ทำไมจะต้องเป็นเขาเท่านั้น?”
“เฮ้ มู่เทียนเย่ นายพูดอะไรน่ะ? ฉันทำไมกัน?” เย่ฉ่าวเฉินไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป ลุกขึ้นโต้ตอบ
“หุบปาก!” ครั้งนี้มู่เทียนเย่และมู่เวยเวยพูดขึ้นพร้อมกัน
พลังของเย่ฉ่าวเฉินถูกลดไปครึ่งหนึ่ง เขานอนเงียบ ๆ อยู่บนโซฟาด้วยความน้อยใจ เสี่ยวซีหร่านอุ้มผิงอันไว้ในอ้อมแขนของเธอ และเฝ้าดูความตื่นเต้นอย่างเฉยชา
มู่เวยเวยโอบแขนของมู่เทียนเย่อย่างออดอ้อน “พี่คะ อย่าโกรธสิคะ เห็นแก่หลานพี่ที่ออกจะน่ารักขนาดนี้ ยกโทษให้น้องนะคะ”
“ตอนนี้แกเรียนรู้ที่จะร้องขอชีวิตแล้วเหรอ? สิ่งที่ฉันได้ทําเพื่อแกไปก่อนหน้ามันเสียความรู้สึกไปเปล่า ๆ หรือเปล่า?” มู่เทียนเย่รู้สึกโกรธเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาใช้ความคิดและเสียสละไปมากมายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่สุดท้ายยัยเด็กคนนี้ก็ยังกลับไปอยู่กับเย่ฉ่าวเฉินอยู่ดี แล้วตอนนั้นเขาจะทำขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน
“พี่คะ พี่จะเสียความรู้สึกกับสิ่งเหล่านั้นที่ทำไปได้อย่างไร? ตอนนั้นฉันอยากจะไปจากเย่ฉ่าวเฉินจริง ๆ สิ่งที่พี่ทําเพื่อฉัน ฉันจดจำไว้ทุกอย่าง แต่เขาก็ช่วยฉันไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า และให้โอกาสฉันได้ล้างแค้น แต่เป็นที่ฉันเองที่ใจอ่อนเกินไปจึงไม่กล้าลงมือ ถ้าพี่รู้สึกขุ่นเคืองใจ ก็มาลงที่ฉันจนกว่าพี่จะหายโกรธ” มู่เวยเวยพูดด้วยความจริงใจ สายตาเหลือบไปเห็นว่าเย่ฉ่าวเฉินนั้นเหมือนจะลุกขึ้นมา เธอจึงรีบโบกมือส่งสัญญาณให้เขาอย่าทำอะไรผลีผลาม
เธอรู้จักพี่ชายของเธอดี ภายนอกดูเย็นชาแต่ภายในนั้นอบอุ่น ปากร้ายแต่ใจอ่อน เขาไม่มีทางโกรธเธอลงจริง ๆ แต่กลับเย่ฉ่าวเฉินนั้นไม่เหมือนกัน เขาเป็นคนนอกไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ทั้งยังเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน ถ้าสู้กันขึ้นมาคงจะไร้ความปราณีอย่างแน่นอน
แต่มู่เทียนเย่กลับเพียงแค่เขกเบา ๆ ไปที่หน้าผากของเธอ “ดูแกซิ ฉันฝากเงินไว้ให้แกมากมายในธนาคารสวิส เพียงพอให้แกเสวยสุขไปทั้งชาติ เมื่อถึงเวลานั้นอยากได้ผู้ชายแบบไหนก็หาได้ทั้งนั้น ทำไมต้องมาผูกคอตายอยู่บนต้นไม้ต้นเดียว
ถ้าอนาคตเขาแอบเลี้ยงดูเด็ก ๆ ไว้ข้างนอก ก็อย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งหาฉันก็แล้วกัน”
เมื่อมู่เวยเวยเห็นเย่ฉ่าวเฉินกําลังจะพูดขัดจังหวะขึ้น เธอก็รีบส่งสายตาอาฆาตออกไป พร้อมกับปลอบใจพี่ชายของเธอว่า “พี่คะ พี่วางใจได้ ถ้าเขาทําเรื่องอย่างว่าจริง ๆ ฉันจะเป็นคนหักขาของเขาทิ้งก่อน จากนั้นก็พาผิงอันเดินทางไปท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างมีความสุข ไม่มีวันทําให้ตระกูลมู่ของเราขายหน้าอย่างแน่นอนค่ะ”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินสิ่งนี้ก็โมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา มู่เทียนเย่ก็พยักหน้าพอใจ “แบบนี้ค่อยยังดีหน่อย”
“เฮ้ ผมยังมีชีวิตอยู่นี่นะ พูดจาใส่ใจความรู้สึกของผมบ้างได้ไหม?” ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างไม่พอใจ