คำพูดที่มู่เทียนเย่พูดออกมายิ่งทำให้เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่พอใจ“ทำไมต้องนึกถึงความรู้สึกของนาย?”
“นาย——”เย่ฉ่าวฉันกำลังรู้สึกโมโหสุดๆ แต่เมื่อเห็นแววตาของมู่เวยเวยส่งสัญญาณให้เขาใจเย็น เขาจึงข่มอารมณ์และสีหน้าท่าทางเก็บเอาไว้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง“ใช่ นายเก่ง ฉันยอมแพ้แล้ว ”
มู่เทียนเย่มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม เพียงแค่น้องสาวอยู่ที่นี่ เย่ฉ่าวเฉินก็คงจะไม่กลาทำตัวมีปัญหา เมื่อนึกถึงเรื่องบุญคุณและความแค้นระหว่างเขากับเย่ฉ่าเฉิน มีหลายต่อหลายครั้งที่ถูกเขากดขี่ข่มเหง และแล้วตอนนี้อำนาจทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในมือของเขาแล้ว มันชั่งน่าสะใจจริงๆ
“ใช่แล้ว ซีหร่านบอกว่าเธอเคยไปที่บ้านของเธอ และเคยพอฉันแล้ว แต่ทำไมตอนนั้นเธอถึงดูไม่ออกว่าเป็นฉันล่ะ?”และแล้วมู่เทียนเย่ก็ถามคำถามที่ค้างคางอยู่ในใจเขามาตลอดออกมา
มู่เวยเวยพูดด้วยความรู้สึกแค้นเคืองใจ “ตอนแรกที่ฉันยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็มองเห็นหน้าพี่ไม่ชัด อีกทั้งตอนนั้นคุณพยาบาลก็กำลังรีบทำการช่วยชีวิตฉุกเฉิน ฉันก็ไม่อยากจะรบกวนพวกเขา จึงก็เดินออกไปจากตรงนั้น หากว่าตอนนั้นฉันเดินเข้าไปดูสักหน่อยล่ะก็ ก็คงไม่ต้องมีเรื่องมากมายเกิดแบบนี้หรอก”
มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านมองตากัน เหตุผลง่ายๆแค่นี้เองหรอ
“เทียนเย่ คุณถามเสร็จแล้วใช่ไหม”เสี่ยวซีหร่านนั่งขาไขว่ห้าง กระดิ๊กนิ้วมือเรียกมู่เวยเวยพร้อมกับพูดขึ้นด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่ง“คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ มานี่ๆ มาอธิบายให้ฉันฟังหน่อยว่าทำไมต้องใช้ชื่อฉู่เหยียนมาโกหกฉันด้วย ”
มู่เวยเวยวิ่งเข้าไปคลอเคลียและพูดแบบเขินอายว่า “ซีหร่าน ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ตอนนั้นฉันไม่อาจจะเดาเรื่องพวกนี้ได้ เธอก็ให้อภัยฉันเถอะนะ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ทำไมทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องตัวเอง เธอก็ทำเป็นไม่พูดอะไรต่อ ที่แท้เรื่องมันก็เป็นแบบนี้”
“ฮิๆ ซีหร่าน ดูสิ อีกไม่นานเธอก็จะมาเป็นพี่สะใภ้ของฉันแล้ว ต่อไปพวกเราก็จะมาเป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับฉันเลยดีไหม?”
เสี่ยวซีหร่านยกมือขึ้นไปบีบที่แก้มเธอ พร้อมกับยิ้มแบบเขินอายและพูดว่า“ใครเป็นพี่สะใภ้ของเธอ?”
“เธอไง พี่ชายของฉันเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดที่โลกใบนี้มีแน่นอน เธอได้แต่งงานกับเขารับรองได้ว่าไม่ผิดคนแน่ ”มู่เวยเวยตบที่หน้าอกเพื่อเป็นการยืนยัน
เสี่ยวซีหร่านไม่ว่าจะยังไงก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อได้ยินมู่เวยเวยพูดแบบนี้แล้วก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้ “เธอไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ฉันทำการตรวจสอบเธอยังไม่เสร็จสักหน่อย
มู่เวยเวยนั่งอย่างเรียบร้อยเหมือนเด็กนักเรียน “ขอโทษนะ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ฉันไม่ควรโกหกคนที่เป็นเพื่อนรักที่สุดของฉัน ฉันขอโทษจากใจจริงต่อเสี่ยวซีหร่านคนที่รูปร่างเซ็กซี่และหน้าตาดีที่สุดในโลก หวังว่าเธอจะใจกว้างยกโทษให้กับฉันด้วย”
เสี่ยวซีหร่านถูกชมจนเกือบจะลอย เธอลูบเบาๆไปที่หน้าของมู่เวยเวยอีกครั้ง “จะให้ยกโทษให้ ก็ต้องดูว่าต่อไปเธอจะทำตัวดีไหม”
มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู เธอไม่คิดว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่ยังดีใจไม่ถึงสามวินาที เสี่ยวซีหร่านก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า “ฉันรู้สึกว่าแก้มของเธอเนื้อมันชักจะเยอะขึ้นนะ จับแล้วรู้สึกดีจริงๆ เข้ามาให้ฉันลูบอีกทีสิ”
มู่เวยเวยรีบดีดตัวยืนขึ้นและวิ่งหนีการถูกไล่จับจากเสี่ยวซีหร่าน เธอลูบๆคลำๆที่หน้าของตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ตอนนี้แค่จับๆก็รู้สึกได้ถึงเนื้ออันนุ่มๆแล้วหรอ ?แย่แล้วๆ หรือว่าฉันจะอ้วนขึ้นจริงๆซะแล้ว ”
“อือ อ้วนขึ้นจากเมื่อก่อนนิดหน่อย แต่ก็ยังสวยมากอยู่ดี”คำพูดปลอบใจของเสี่ยวซีหร่านมันชั่งแผ่วเบา มู่เวยเวยได้ฟังแล้วรู้สึกอยากจะร้องไห้
“ไม่ได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันจะลดน้ำหนัก ถ้าลดไม่ถึงไซส์M ฉันจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดเลย”
ความรู้สึกส่วนตัวของเย่ฉ่าวเฉิน เขาที่ไม่อยากให้เธอลดน้ำหนัก เรื่องที่เสี่ยวซีหร่านพูดมาทั้งหมดข้างต้น มีเนื้อเยอะๆเวลากอดถึงให้ความรู้สึกที่ดี จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “เวยเวย ไหนเธอลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอทั้งหมดให้เราฟังหน่อย”
“เรื่องนี้……อันที่จริงมันก็ผ่านไปแล้ว คิดว่าไม่พูดคงจะดีกว่า”มู่เวยเวยยิ้มแบบอ่อนๆ เรื่องบางเรื่องค่อนข้างจะรุนแรงเกินไป เธอกลัวว่าถ้าเล่าไปคนที่ได้ฟังอาจจะเกิดระเบิดอารมณ์ออกมาก็ได้
มู่เทียนเย่แสดงท่าทางอย่างเคร่งขรึม“เวยเวย ตอนนี้กาวินคนนั้น มันหนีไปแล้ว พวกเรากลัวว่ามันจะกลับมาแก้แค้นใหม่ ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องรับทราบเรื่องราว เพื่อที่จะหาตัวเขาให้เจอก่อน วิธีนี้จึงจะเป็นการป้องกันความปลอดภัยของเธอและลูกได้”
เป็นอย่างนี้นี่เอง
มู่เวยเวยกัดริบฝีปากพูด“อย่างนั้นฉันก็จะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ฉันจากเมืองAไปแล้วกัน หลังจากที่เครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งหนึ่งในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก……”
เวลาผ่านไปมู่เวยเวยก็ค่อยๆเล่าได้อย่างคล่องแคล่วขึ้น ทั่วทั้งห้องโถงเงียบสงบมาก แขกที่นั่งฟังทั้งสามคนต่างมีท่าทางที่ไม่เหมือนกัน จะมีก็แต่ผิงอันที่ใส่ซื่อกำลังเล่นนิ้วมือของตัวเอง เมื่อเล่นเหนื่อยแล้วก็บีนขึ้นไปนอนหลับซบกับอ้อมอกของเสี่ยวซีหร่าน
ตอนที่เธอเล่าเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นและอันตรายที่เธอได้เจอมาจบลง ท้องฟ้าทางด้านนอกหน้าต่างก็มืดลง ความโกรธของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มค่อยๆประทุขึ้น ราวกับว่าจะแผดเผาร่างของเขาเองให้มอดไหม้ได้
แม้ว่ามู่เวยเวยจะเล่าเรื่องต่างๆอย่างไม่ค่อยละเอียด แต่เย่ฉ่าวเฉินก็พอจะเดาได้ถึงอันตรายที่เกิดกับเธอ เขาพึ่งรู้ว่าตอนที่เธอพักอยู่ที่โรงแรมได้ทำการเก็บซ่อนหลักฐานขอความช่วยเหลื่อต่างๆไว้ และยังมีคนโทรศัพท์มาหาเขาแต่พูดรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางคนก็ไม่เคยเห็นหลักฐานขอความช่วยเหลือพวกนี้เลย แต่กลับบางคนกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับตัวเองจึงทำเป็นมองไม่เห็น
แต่ว่าโลกใบนี้ก็มีคนดีๆอยู่มาก หากไม่ใช่ว่ามีคนหลายคนที่หาช่องทางช่วยเหลือมู่เวยเวยแล้วล่ะก็ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหาตัวเธอเจอ
“ไอ้สารเลว หากว่าฉันจับไอ้กาวินได้ล่ะก็ ฉันจะแร่เนื้อของมันออกมาเป็นชิ้นๆและโยนลงทะเลให้ปลากิน ”มู่เทียนเย่ตบลงที่โซฟาอย่างแรงพร้อมกับกัดฟันพูดด้วยความโมโห
น้องสาวที่เขารักทะนุถนอม นึกไม่ถึงว่าจะถูกไอ้คนสารเลวกาวินทรมานได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังดีที่คนสนิทของมันสองคนอย่างจางเหิงและอลิซได้ตายไปแล้ว มันก็พอที่จะเป็นการระบายความแค้นได้บ้าง
ความแค้นและความโกรธที่อัดแน่นอยู่เต็มอกของเย่ฉ่าวเฉินก็มีแพ้มู่เทียนเย่เลยสักนิด แต่เป็นเพราะว่าผิงอันกำลังนอนหลับอย่างอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะทุบทำลายแจกันดอกไม้สีขาวที่อยู่ทางด้านข้างเพื่อเป็นการระบายไปแล้ว
“พูดไปแล้ว ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนที่ใจกล้าพอสวมควรใช่หรือเปล่าล่ะ”มู่เวยเวยหัวเราะเพื่อเป็นการปรับบรรยกาศและหันไปพูดกับเสี่ยวซีหร่านว่า“ตอนนี้ฉันนี่สุดยอดไปเลยนะ ฉันสามารถกางเต็นท์สนามได้ ก่อไฟได้และยังทำอาหารป่าแบบง่ายๆได้ แถมยังมีความกล้ามากๆอีกด้วย เธอจะไม่ลองคิดทบทวนรับฉันเข้าในกลุ่มของเธอดูหน่อยหรอ”
เสี่ยวซีหร่านยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด“กลุ่มอะไร?”
“ก็กลุ่มพวกออกไปผจญภัยอันตรายด้านนอกไง ถ้ามีการเดินทางท่องเที่ยวต่อไปฉันก็จะเข้าร่วมด้วย ”
เสี่ยวซีหร่านไม่ได้คิดอะไรมาก ตอบตกลงออกมาคำเดียว“วางใจเถอะ ถึงตอนนั้นแล้วฉันจะโทรบอกเธอ”
“อย่างนั้นก็ดีเลย”ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็นึกถึงคนสองสามคนขึ้นได้ เธอหันกลับไปถามเย่ฉ่าวเฉินว่า“เมื่อกี้ที่พวกคุณพูดว่ากาวินหนีไปได้แล้ว และพวกของจางเหิงล่ะ ?ยังมีคุณฉ่ายอีกคน เขาดีกลับฉันมากๆเลยนะ ไม่ได้คิดทำการขัดขวางเวลาฉันจะทำการใดๆ บ้างครั้งก็แอบช่วยฉันด้วย”
“ฉันปล่อยเขาไปแล้วล่ะ ก็เขานี่แหละที่เป็นคนพาพวกเรามาถึงที่ด้านลงของน้ำตก”เย่ฉ่าวเฉินตอบ
“จางเหิงกับอลิซล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินไม่มีการพูดตอบกลับแต่อย่างใด เขาและหันกลับไปมองที่มู่เทียนเย่พร้อมกับพูดว่า“ไปในที่ที่พวกเขาควรไปแล้วล่ะ เธออย่าถามอีกเลย ”เขายังไม่ลืมเรื่องที่รับปากไว้กับมู่เวยเวยว่าจะไม่ฆ่าคน แต่ตอนนั้นมู่เทียนเย่เป็นคนออกคำสั่ง ก็ไม่นับว่าเขาผิดสัญญาที่ให้ไว้ใช่ไหม
มู่เวยเวยได้ฟังเขาพูดดังนั้นแล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ เพราะว่าตอนที่พวกเขาทำการฆ่าคนเพื่อจะแย่งชิงเอารถในตอนนั้น เดิมทีในใจของมู่เวยเวยก็พอเหลือความเห็นใจพวกเขาอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เพราะเหตุการณ์นั้นมันทำให้เธอไม่มีความเห็นใจหลงเหลืออยู่เลย
พวกเขาเป็นปีศาจร้าย ก็สมควรแล้วที่จะได้รับกรรมที่พวกเขาก่อ
ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย
“พูดไปแล้ว เธอไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของกาวินเลยหรอ?”มู่เทียนเย่ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ไม่เคย ”มู่เวยเวยส่ายหน้าไปมาอย่างจำใจ “ฉันก็ลองจะเปิดหน้ากากเขามาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ทำไม่สำเร็จสักที”
“แล้วถ้าเขายืนอยู่ตรงหน้าของเธอล่ะ เธอจะดูออกไหมว่าคนไหนคือเขา?”
“ก็ยังยากอยู่ดี”มู่เวยเวยพูดอย่างจริงจัง“แต่ ทำไมพี่ถึงรู้ว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นอีกล่ะ?”
ใบหน้าของมู่เทียนเย่เกิดมีรอยยิ้มแสดงออกมาเล็กน้อย“เพราะว่าพวกเราทำลายรังที่อยู่ของมันแล้ว”
“หา?เป็นฝีมือของพวกคุณอย่างนั้นหรอ?”มู่เวยเวยรู้สึกประหลายใจมาก “พวกคุณจะเก่งเกินไปแล้วนะ เรื่องนี้กาวินทำการสืบหามาตลอดว่าใครนะที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ แต่คงไม่นึกสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของพวกคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “เขาอวดดีเกินไป ถึงได้ประมาทพวกเราก็เท่านั้น”
“สรุปว่า ต่อไปหากเธอพบเห็นใครอยู่ด้านนอกที่มีลักษณะคล้ายกาวินหรือมีใบหน้าคล้ายกับเขา ต้องรีบแจ้งให้พวกเราทราบ”
“อือ ได้ ฉันทราบแล้ว”
เมื่อฟ้ามืดลง มู่เทียนเย่กับเสี่ยวซีหร่านพักทานอาหารเย็นที่บ้านตระกูลเย่ จะพูดไปแล้วครั้งนี้เป็นนับว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทานอาหารร่วมกันอย่างสงบสุข
มู่เวยเวยกลัวว่าการทานอาหารมื้อเย็นจะทำให้เธออ้วน อาหารที่เย่ฉ่าวเฉินคีบมาวางให้เธอ เธอก็ไม่มีความสนใจที่จะมองมันเลย เธอทานเพียงแค่ซุบไก่ดำเข้มข้น
เย่ฉ่าวเฉินทนดูไม่ได้ “เธอทานเข้าไปนิดเดียวเอง แผลที่หัวของเธอยังไม่หายดี ต้องทานอาหารบำรุงถึงจะถูก”
“สารอาหารภายในร่างกายของฉันมันมีเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ”แม้ว่ามู่เวยเวยอยากจะทานมากแค่ไหน แต่ทันทีที่นึกถึงไขมันและเนื้ออ้วนๆที่บริเวณรอบเอว เธอต้องใจให้หนักแน่น ไม่กินก็ไม่กิน
“เธอไม่ได้พูดว่าจะเริ่มลดน้ำหนักตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปหรอกหรอ?ตอนนี้ทานไม่อิ่ม และวันพรุ่งนี้จะมีแรงลดน้ำหนักได้ยังไง?”เย่ฉ่าวเฉินพูดเตือนสติเธอ
มู่เวยเวยเหลือบตามองเขาเล็กน้อย“คุณไม่ต้องเอาคำพูดพวกนี้มาสอนฉันก็ได้ ตอนเย็นทานอาหารเข้าไปเยอะๆและไม่ได้ออกกำลังกาย มันก็จะกองกันอยู่ในร่างกายและกลายเป็นไขมัน”
“ใครว่าจะไม่ออกกำลังกาย?เย็นวันนี้เธอจะต้องออกกำลังกายอย่างหนัก”
“พุ——”เสี่ยวซีหร่านที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามเกือบจะพ้นเอาอาหารออกมา มู่เทียนเย่ลูบๆไปที่หลังของเธอเบาๆ และหันกลับไปพูดกับเย่ฉ่าวเฉินอย่างเย็นชาว่า“ตอนพวกเราไปแล้วพวกนายค่อยพูดเรื่องพวกนี้ก็ได้ แต่ตอนทานอาหารก็ควรสำรวมกันหน่อย”
เย่ฉ่าวเฉินยักไหล่พร้อมกับพูดเสียดสีเขาว่า“ล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว จะเสแสร้งทำเป็นใสซื่ออยู่ทำไม?”
และตอนนี้มู่เวยเวยถึงได้เข้าใจความหมายของคำว่าออกกำลังที่เย่ฉ่าวเฉินพูด หน้าของเธอแดงขึ้นทันที พี่ยังอยู่ที่นี่ ทำไมคุณถึงได้พูดเรื่องแบบนี้อย่างไม่อายนะ?
ฝ่ายหญิงทั้งอายทั้งโมโห เธอยื่นมือออกไปบิดที่เอวของเขา เย่ฉ่าวเฉินเจ็บจนกัดฟันร้อง“ปล่อยๆๆ ฉันไม่พูดแล้ว”
“ชิ!”
เสี่ยวซีหร่านมีอาการดีขึ้น เธอดื่มซุบร้อนๆเพื่อเป็นการชุ่มคอ จากนั้นก็ยิ้มแบบเกร็งๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เย่ฉ่าวเฉิน เมื่อกี้นายก็พูดไปแล้วว่าบาดแผลของมู่เวยเวยยังไม่หายดี ทางที่ดีที่สุดนายต้องระงับอารมณ์ของตัวเองหน่อยนะ นายดูขอบตาเวยเวยของพวกเราสิ มันคล้ำไปหมดแล้ว”
“ไม่ต้องการความเป็นห่วงจากเธอหรอก”เขาประชดเธอหนึ่งประโยค
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงหรือกังวลนายหรอก แต่เป็นห่วงเวยเวยเขาต่างหาก เดิมทีเป็นดั่งดอกไม้ที่สวยงาม……อู๋ๆๆ……”เสียวซีหร่านยังไม่ทันได้พูดจบ มู่เวยเวยที่อยู่ทางด้านข้างก็ปิดปากของเธอไว้ไม่ให้พูดต่อ เธอหน้าแดงไปหมดและพูดขึ้นว่า“ไม่อนุญาตให้ทุกคนพูดอะไรแล้ว ฉันยังเป็นเด็กอยู่เลย”
เสี่ยวซีหร่านแกะมือของเธอออกและหัวเราะดังพร้อมกับพูดขึ้นว่า“มู่เวยเวย เธอน่าไม่อายจริงๆ ตอนนี้เธอเป็นแม่คนแล้วไม่ใช่หรอ?”
มู่เวยเวยทำหน้าให้หนาเข้าไว้พร้อมกับมีท่าทีที่เจ้าเล่ห์“เป็นแม่แล้วยังไง ก็ฉันยังอยากเป็นเด็กอยู่ พวกคุณที่มีประสบการณ์มากพอแล้วก็ยอมให้ฉันบ้างได้ไหม?”
เสี่ยวซีหร่านยอมแพ้ให้กับความหน้าหนาของเธอ“OK ได้ตามที่เธอขอ”
มู่เทียนเย่หัวเราะพร้อมกับส่ายหัว ทันใดนั้นเขาก็คิดเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาได้“อีกสองวันพวกเราจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่”
มู่เวยเวยดูจริงจังขึ้นมาทันที“อ่า ตกลง”
มู่เทียนเย่ชำเลืองตาไปมองเย่ฉ่าวเฉินพร้อมกับพูดออกมาว่า“คุณชายใหญ่ตระกูลเย่ หรือว่าคุณไม่อยากจะพาลูกของคุณไปพบคุณปู่กับคุณย่าเขาหน่อยหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินมีท่าทีเย็นชาขึ้น บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูก มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านรู้สึกมึนงง ในใจกำลังคิดว่าชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ มีแต่มู่เวยเวยที่รู้เรื่องนี้ดี เธอกำลังจะพูดขึ้นว่าชั่งมันเถอะ แต่นึกไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเฉินจะพูดขึ้นว่า“ทราบแล้ว”
มู่เทียนเย่รู้ว่าพ่อกับแม่ของเย่ฉ่าวเฉินตายเพราะอุบัติเหตุ และตายไปตั้งหลายปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เย่ฉ่าวเฉินมีปฏิกิริยาเป็นเช่นนี้ แต่ว่ามู่เทียนเย่ก็ไม่ได้เป็นคนที่ขี้สงสัยในเรื่องของคนอื่นมากมายขนาดนั้น เพราะว่าทุกคนล้วนแต่มีความลับเป็นของตัวเอง เรื่องของคนอื่นไม่ควรถามมากจะเป็นการดีที่สุด
……
จากที่มู่เทียนเย่ลองเดาดู หลุมฝังศพของพ่อกับแม่ตระกูลเย่น่าจะอยู่ที่บนหุบเขาเล็กๆลูกหนึ่ง เวลาผ่านไปนานมากแล้ว หญ้าก็คงจะขึ้นจนรกไปหมด
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆใช้มือเช็ดป้ายหน้าหลุมฝังศพของพ่อให้สะอาด ตัวหนังสือและรูปภาพก็โผล่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของคุณพ่อที่ดูอบอุ่นและดูหล่อเหลา และดูคล้ายกับเย่ฉ่าวเฉินมากๆ
จางเห่อและลูกน้องสองสามคนกำลังจะลงมือถางหญ้าที่มันขึ้นรกออก แต่เย่ฉ่าวเฉินก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหรอก ตอนที่พ่อเกิดก็อยู่เพียงลำพัง หญ้าที่ขึ้นรกพวกนี้ก็เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างคุณพ่อ ให้มันรกไปเถอะ”
ที่หน้าสุสานได้มีการทำความสะอาดไว้แล้ว เย่ฉ่าวเฉินนั่งคุกเข่าลงไป จากนั้นก็กวักมือเรียกมู่เวยเวยและผิงอัน“เข้ามาสิ”
ครอบครัวสามคนคุกเข่าต่อหน้าหลุมฝังศพ เย่ฉ่าวเฉินเผากระดาษเงินไปพลางพูดอย่างจิตใจสงบๆไปพลาง“พ่อ ผมมาเยี่ยมพ่อแล้ว”
สีหน้าของมู่เวยเวยดูสงบมาก อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยได้สัมผัมใกล้ชิดกับญาติอาวุโสท่านนี้ เธอไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็แค่มีความเคารพต่อท่าน
“คุณพ่อ นี่คือเวยเวย เป็นภรรยาของผม และนี่ก็คือผิงอันเป็นหลานชายของท่าน ผมพาพวกเขามาเยี่ยมท่าน ฉ่าวเหยียนไปเรียนต่อที่ยุโรปแล้ว เขาสบายดี พ่อไม่ต้องเป็นห่วง เย่ฮวางตอนนี้ก็พัฒนาขึ้นไปอย่างมาก……”
เย่ฉ่าวเฉินเมื่อเริ่มเปิดปากพูดกับพ่อขึ้น เขาเล่าเรื่องราวต่างๆเหมือนกับว่ากล่าวรายงานประจำปีต่อท่าน เริ่มตั้งแต่เรื่องการใช้ชีวิต เรื่องการทำงาน พูดอย่างระเอียดไม่ขาดตกเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริง ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ความรู้สึกที่โศกเศร้าที่อยู่ในใจของเย่ฉ่าวเฉินมันก็ไม่มีหลงเหลือมากมายอะไร
พวกเขานั่งคุกเข่าอยู่สิบกว่านาที และแล้วรายงานประจำปีของเย่ฉ่าวเฉินก็พูดมาถึงตอนสุดท้าย“พ่อ เงินพวกนี้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในระยะหนึ่ง หากว่าใช้หมดก็มาเข้าฝันบอกผม ผมจะส่งไปให้พ่ออีก อากาศเริ่มหนาวแล้ว พ่อต้องซื้อเสื้อผ้ามาใส่เยอะๆนะ”
เมื่อฟังถึงประโยคนี้ มู่เวยเวยเกือบจะหัวเราะออกมา
เอาล่ะ ถ้าว่าที่ดินแดนยมโลกก็มีสี่ฤดู ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วงและฤดูหนาว แต่หากว่ามีการเวียนไหว้ตายเกิดจริงๆ ป่านนี้คุณพ่อของเย่ฉ่าวเฉินที่ตายไปตั้งหลายปีแล้ว ก็คงจะกลับมาเกิดแล้วล่ะ
เย่ฉ่าวเฉินอุ้มเขาขึ้นมา เดินไปทางเนินเขาเล็กๆอีกลูก ปีนั้นที่สามีภรรยาทะเลาะกัน ตามคำขอร้องของพ่อกับแม่ เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ฝั่งศพของพวกท่านอยู่ด้วยกัน
สุสานแม่ของตระกูลเย่ยิ่งดูเย็นยะเยือก ลมพัดมาพร้อมกับมีแสงแดด สาดส่อง หลุมฝังศพของแม่เกือบจะจมมิดเสมอกับดิน จะมีก็เพียงแค่แผ่นหินจาลึกหนึ่งแผ่นที่ยังบงบอกว่าที่นี่มีคนถูกฝั่ง
ท่าทางของเย่ฉ่าวเฉินเยือกเย็นยิ่งกว่าฤดูหนาวของลมตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อมาไหว้ที่หลุมศพของแม่ผู้นี้ เขาดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาและดูอึดอัดใจ หากไม่ใช่ว่าเป็นบุญคุณของผู้ให้กำเนิด วันนี้เขาก็คงจะไม่มา
จางเห่อเตรียมของเซ่นไหว้มาวางไว้ เย่ฉ่าวเฉินยืนดูอยู่ตั้งนาน จึงพูดขึ้นว่า “แม่ ผมพาภรรยาและลูกมาเยี่ยมแม่”เมื่อพูดจบเขาก็คุกเข่าลง และบอกให้มู่เวยเวยกับผิงอันโค้งคำนับสามครั้งก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินจากไป
วันนี้ทั้งวัน บนเขาลูกเล็กๆมีลมพัดผ่านเสียงวูวาๆตลอดทั้งวัน ราวกับเสียงผู้หญิงกำลังร้องไห้
ตั้งแต่ที่มู่เวยเวยใด้ให้คำปฏิญาณว่าจะลดน้ำหนัก ทุกๆวันตอนบ่าย เธอก็จะไปออกกำลังกายที่ยิมวันล่ะสองชั่วโมง
ทำไมถึงไม่ไปออกกำลังกายด้านนอกหนะหรอ?เพราะหมอกควันมันมากเกินไป และทั้งไม่ดีต่อร่างกายอีกด้วย
และโดยเฉพาะเรื่องทานอาหาร เย่ฉ่าวเฉินพูดว่าปลายปีนี้บริษัทจะมีการประชุมครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นต้องการให้มู่เวยเวยไปร่วมงานด้วย ยิ่งทำให้เธอมุ่งมันในการลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก
เธอต้องการที่จะมีภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการปรากฎตัวให้แขกที่เข้ามาร่วมงานเห็น และทำให้แขกพวกนั้นพูดวิจารณ์เธอไม่ออกเลย
นอกจากอาหารเช้าและเที่ยงมู่เวยเวยก็จะไม่ทานอาหารเวลาอื่นเลย ตอนเย็นจะดื่มแค่น้ำเปล่าและเพิ่มการออกกำลังกาย หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปก็เริ่มเห็นผลแล้ว อย่างน้อยๆหน้าของเธอก็เล็กลง
แม้ว่าจะเป็นการลำบากเย่ฉ่าวเฉิน ที่ทุกคืนเมื่ออาบน้ำเสร็จและคิดอยากจะทำอะไรกับเธอ แต่มู่เวยเวยก็หลับอย่างสงบด้วยความเหนื่อยล้าและความหิว เขาไม่อยากที่จะทรมานเธอ จึงทำได้เพียงแค่ห่มผ้าให้และกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนจากนั้นก็หลับไป
วันที่สอง สามสี่ผ่านไปยังพอทนได้ วันที่ห้าเย่ฉ่าวเฉินก็อดทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาเป็นวัยรุ่นอย่างเต็มตัว แรงที่มีในร่างกายวันๆถูกใช้ไม่หมด แถมยังมีภรรยาที่สวยนอนอยู่ในอ้อมอกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เขาจึรู้สึกอึดอัดมาก เมื่อถึงตอนทานอาหารเช้าเย่ฉ่าวเฉินได้พูดขึ้นว่า “วันนี้เธอพักก่อนหนึ่งวัน ฉันจะพาเธอไปเดินเล่นที่บริษัท ก็เหมือนกับว่าเป็นการผ่อนคลายเบาๆ”
แต่ใครจะไปรู้ว่ามู่เวยเวยจะปฏิเสธออกมาทันที“ฉันไม่ไป”
“ทำไมล่ะ?เธอไม่ใช่ว่าชอบช่วยเหลืองานเพื่อร่วมงานในแผนกออกแบบอย่างนั้นหรอ?”
“คุณลืมไปแล้วหรือว่า ตอนที่ฉันออกไปจากบริษัท คุณหาข้อแก้ตัวให้ฉันว่าฉันไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแล้ว หากว่าฉันโผล่ไปอย่างกะทันหัน และรูปร่างน่าตาแบบนี้ ตรงไหนที่เหมือนกับว่าเป็นนักเรียนนอกกลับมาล่ะ?อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ผมยาวขึ้นอีกนิด และรูปร่างผอมลงอีกหน่อยค่อยไป
เย่ฉ่าวเฉินจำใจ“เธอตอนนี้ก็ดูดีแล้ว ไม้ต้องเข้มงวดกับตัวเองขนาดนั้นก็ได้ ฉันเห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว รู้สึกปวดใจ”
มู่เวยเวยหัวเราะอิๆ“ก็ผู้หญิงไหม ก็ต้องเข้มงวดกับตัวเองมากหน่อย ไม่อย่างนั้น คนอื่นก็จะมาเข้มงวดกับเรา สามีของฉันมีรูปร่างหน้าดูดีแบบนี้ อีกทั้งมีเงินมากมาย ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงไม่รู้กี่คนต่อกี่คนที่หมายตามองอยู่ ฉันจะให้พวกเธอเหล่านั้นมีโอกาสได้อย่างไรล่ะ”
คำพูดประโยคนี้ของเธอทำให้เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกสบายใจขึ้น นั่นก็แปลว่ามู่เวยเวยเห็นเขาเป็นคนสำคัญ
เขาโน้มตัวลงไปที่ข้างหูของเธอพร้อมกับพูดว่า“หากว่าเธอดีกับฉันจริงๆ เย็นวันนี้ก็อย่ารีบเข้านอนสิ”
มู่เวยเวยหน้าแดงขึ้น เธอนึกขึ้นได้ทันทีว่าหลายวันมาแล้วที่เย่ฉ่าวเฉินได้ทำอะไรเธอ ไม่น่าล่ะท่าทางของเขาดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา นั่นก็เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง
“อ๋อ”มู่เวยเวยกลบเกลื่อนความอายโดยก้มหน้าลงในถ้วยอาหาร
ทันทีที่เห็นหน้าของเธอแดงขึ้น เย่ฉ่าวเฉินอดทนที่จะไม่เข้าไปอุ้มเธอขึ้นไปที่ชั้นบน เพราะวันนี้ในเมืองมีการประชุมสำคัญที่ต้องการให้เขาเข้าร่วมประชุมด้วย
ตอนนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ลูบที่เอวของเธอ จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็วางตะเกียบลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันต้องไปทำงานแล้ว ตอนเย็นรอฉันกลับมานะ”
มู่เวยเวยพยักหน้า พร้อมกับเบนสายตาไปทางอื่น
เมื่อมีการตั้งหน้าตั้งตารอคอย เวลาหนึ่งวันก็ดูเหมือนว่าจะผ่านไปช้ากว่าปกติ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรอจนมาถึงช่วยเวลาเลิกงาน เย่ฉ่าวเฉินปฏิเสธงานทุกอย่างและรีบบึ่งรถกลับบ้าน
มองดูทั่วๆห้องโถง ห้องอาหารก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมู่เวยเวย ที่ห้องเด็กเล็กมีพ่อบ้านหวังและจางเห่อที่เล่นเป็นเพื่อนกับผิงอัน
“เวยเวยล่ะ?”เย่ฉ่าวเฉินถาม
“น่าจะอยู่ในห้องนอน ยังไม่เห็นเธอลงมาเลย”พ่อบ้านหวังตอบ
เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ทันได้เข้าไปดูและพูดกับลูก เขารีบหันหลังกลับและบึ่งไปยังชั้นสอง เมื่อเปิดประตูเข้าไป เลือดในร่างกายของเขามันเดือดพลุ่งพล่านไปหมด
ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ พื้นห้องที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ บรรยากาศมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ในห้องน้ำมีเสียงของน้ำสาดกระทบพื้น เธอกำลังอาบน้ำอย่างนั้นหรอ
เย่ฉ่าวเฉินถอดเสื้อสูทออก ถอดเนคไทและปรับแอร์ให้ร้อนขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆย่องเข้าไปในห้องอาบน้ำ
อืม การรอคอยแบบนี้ นานแล้วที่เราไม่ได้สัมผัสถึงรสชาติของมัน
เป็นเพราะว่าผิงอันเล่นจนเหนื่อยแล้วจึงงอแงอยากขึ้นไปหาแม่ที่ด้านบน จางเห่อจะให้เขาขึ้นไปข้างบนเพื่อทำลายแผนการความสุขของคุณชายได้ยังไง เขาอุ้มผิงอันและปลอบใจอยู่ไม่หยุด“คุณชายน้อย ให้ผมเล่นเป็นเพื่อนได้ไหม”
“ไม่เอา จะเอาแม่”ผิงอันตอบ
พ่อบ้านหวังรีบพูดปลอบใจ“คุณชายน้อย ผมจะพาไปกินข้าว วันนี้แม่บ้านฉินทำซุปเต้าหู้ของโปรดที่สุดของคุณ”
เมื่อได้ยินเรื่องกิน ก็ทำให้ผิงอันสงบขึ้นมาก ผิงอันพยักหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ มีจางเห่อเป็นคนอุ้มเขามาที่ห้องอาหาร
“เอ๋?คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงล่ะ?”แม่บ้านฉินถาม
พ่อบ้านหวังหลุดยิ้มออกมา “ไม่ต้องยุ่งเรื่องของพวกเขาหรอก พวกเรากินก่อนได้เลย”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไง?”แม่บ้านฉินยังไม่ทันรู้ตัว
“การแต่งงานใหม่ก็ยังสู้การจากลาและได้กลับมาพบกันของพวกเขาทั้งสองไม่ได้เลย ความรู้สึกของพวกเขาตอนนี้แค่ดื่มก็อิ่มแล้ว”
“อ้อ~วาว——ฉันเข้าใจแล้ว”แม่บ้านฉินหัวเราะเหอะๆ“อย่างนั้นฉันจะเก็บกับข้าวไว้นิดหน่อย เพื่อว่าพวกเขาจะหิวกันตอนกลางดึก”
จางเห่อพูดเสริมขึ้นมาหนึ่งประโยค“หิวแล้วก็ดื่มน้ำไง ความรู้สึกของพวกเขาตอนนี้มันหลอมละลายเข้มข้นยิ่งกว่าน้ำผึ้งก็ยังไม่ปาน ”
พ่อบ้านหวังหยิบตะเกียบเคาะลงไปที่หัวของเขา“เด็กคนนี้ กล้าล้อคุณชายหรอ”
“ล้อเล่นนา”
ผู้ใหญ่เข้าใจ แต่เด็กน้อยจะรู้เรื่องได้ยังไง ผิงอันทานอาหารพลางร้องเรียกจะไปหาแม่ พ่อบ้านหวังและจางเห่อพยายามพูดปลอบใจ แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมอยู่อย่างนั้น“ผมจะไปหาแม่”
สุดท้ายยังคงเป็นแม่บ้านฉินที่จัดการได้ เธอพูดกับผิงอันว่า“คุณชายน้อย คุณอยากได้น้องชายหรือว่าน้องสาวมาเล่นเป็นเพื่อนกับคุณไหม”
ผิงอันถ่างตาโตขึ้น “น้องชาย น้องสาวคืออะไรครับ?”
“ก็เหมือนกับพวกเพื่อนของคุณไง เช่นเอ่อตัว เสี่ยวเหม่ย เถาๆ น้องก็สามารถเล่นเป็นเพื่อนคุณได้ และเขาสามารถอยู่เป็นเพื่อนกับคุณได้ตลอดทั้งวัน”
“จริงหรอ?”ผิงอันเริ่มมีความสนใจขึ้น
ทั้งสามคนมองที่แม่บ้านฉินอย่างตั้งใจพร้อมกับพยักหน้า“จริงๆนะ และคุณก็สามารถสอนพวกเขารื้อรถถัง ประกอบรถ คุณพูดอะไรพวกเขาก็จะเชื่อฟังคุณ”
ผิงอันฟังอย่างมีความสุขพร้อมกับปรบมือน้อยๆของเขา“ดีๆๆ เอาน้องชาย เอาน้องสาว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณต้องเป็นเด็กดีนะ คืนนี้ต้องนอนเอง อย่าไปรบกวนคุณพ่อกับคุณแม่เขา อย่างนี้คุณถึงจะมีน้องชายน้องสาวเร็วๆ ”
ผิงอันพยักหน้าอย่างแรง“ได้”
พ่อบ้านหวังและจางเห่อรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
ผู้ใหญ่ใช้เหตุผลนี้พูดขึ้นเป็นการปลอบใจผิงอัน ไม่นึกว่าเด็กคนนี้จะเชื่อจริงๆ เช้าวันรุ่งขึ้นเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยเดินลงมาชั้นล่างด้วยหน้าตาที่ยังตื่นไม่เต็มที่ ผิงอัน“ตึงๆๆ”วิ่งเข้ามาและวิ่งวนรอบพวกเขาหนึ่งรอบ จากนั้นก็ทำหน้างอ
“ลูกกำลังหาอะไรนะ?”เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความสงสัย
ผิงอันทำท่าทางสงสัยพร้อมกับถามขึ้นว่า“น้องชายน้องสาวอยู่ไหนล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินที่ตื่นขึ้นมาแต่ฟ้าสางสมองยังคงมึนๆงงๆอยู่ มู่เวยเวยยิ่งไม่ต้องพูดถึง เธอไม่เข้าใจเลยว่าผิงอันพูดถึงอะไร
“อะไรคือน้องชายน้องสาว?”
ผิงอันรีบร้อนตอบออกไป“น้องชายน้องสาวที่จะมาเล่นเป็นเพื่อนผมไง”เห็นสีหน้าท่าทางของพ่อกับแม่ที่มึนๆงงๆ เด็กน้อยเริ่มโกรธ พร้อมกับหายใจแรงๆและพูดว่า“คนโกหก!”
เฮ้ย มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมามองบ้านบ้านหวัง ซึ่งใบหน้าของเขาล้วนเต็มไปด้วยความสงสัย“ผิงอันเป็นอะไรไปหรอ?”
พ่อบ้านหวังกล้ำกลืน
ไม่กล้าที่จะพูดออกมา “เรื่องนั้น มันเป็นแบบนี้คุณชาย เมื่อคืนนี้คุณชายน้อยต้องการที่จะขึ้นไปชั้นบน พวกเราไม่รู้ว่าจะห้ามเขายังไง จึงปลอบใจเขาว่า……”
“หา เอาล่ะๆ ฉันรู้แล้ว”มู่เวยเวยได้สติกลับมาทันที เธอมีอาการหน้าแดงหูแดงพร้อมกับรีบพูดตัดบทของพ่อบ้านหวัง และยังไม่ลืมที่จะหันกลับไปจ้องเย่ฉ่าวเฉิน ราวกับเธอจะพูดกับเขาว่า คุณดู นี่เป็นแผนการของคุณ
พ่อบ้านหวังรู้สึกเขินอายทำอะไรไม่ถูก รีบเร่งฝีเท่าเดินออกไป
เย่ฉ่าวเฉินพึ่งจะคิดออก ฮ่าๆๆๆหัวเราะขึ้นเสียงดัง ที่แท้ก็หมายความว่าอย่างนี้นี่เอง
เมื่อหัวเราะเสร็จ เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่พ่อบ้านหวังพูดมันถูกที่สุด ผิงอันคนเดียวคงจะเหงามาก ควรที่จะมีน้องชาย น้องสาวมาเล่นเป็นเพื่อนเขา
เย่ฉ่าวเฉินนั่งคุกเข่าลงมองตาของผิงอัน และพูดปลอบใจเขาว่า “ไม่โกรธแล้วนะ คุณปู่หวังไม่ได้โกหกหรอก ลูกต้องมีน้องชายน้องสาวแน่ๆ เพียงแต่ว่าต้องให้เวลาพ่อกับแม่ น้องสายน้องสาวของลูกถึงจะเกิดออกมาเหมือนลูกที่น่าตาน่ารักน่าชั่งแบบนี้”
ผิงอันคลายความโกรธลงเล็กน้อย“จริงหรอ?”
“พ่อจะโกหกลูกได้ยังไงล่ะ?”เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงจัง
“อย่างนั้นก็ได้”ผิงอันพอใจและวิ่งไปเล่นของเล่นของตัวเองต่อ
เย่ฉ่าวเฉินยืนขึ้นมองมู่เวยเวยด้วยสายตาที่เป็นประกาย“ใครว่าฉันรีบอยากมีคนเดียวล่ะ?ต้อนนี้ผิงอันก็ร้อนใจแล้ว มีอีกคนเถอะ?”
เย่ฉ่าวเฉินจับที่ไหล่ของเธอ“ไม่ได้บอกว่าต้องคลอดออกมาตอนนี้นิ รอตอนไหนที่เธออยากมีค่อยว่ากัน ถ้าไม่อยากมีล่ะก็ ผิงอันคนเดียวก็ดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าฉันแค่ปลอบลูกหรอ”
“อย่างนั้นก็ดี”มู่เวยเวยเดินไปทางห้องอาหาร
ให้คลอดอีกคน หากว่าเรื่องนี้พ่อบ้านหวังไม่พูดขึ้น เย่ฉ่าวเฉินก็คงจะไม่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ อันที่จริงในใจของเขาก็คิดอยากจะได้อีกคน เพราะตอนที่มู่เวยเวยท้องและผิงอันคลอดออกมาจนถึงอายุครึ่งขวบกว่าๆ เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ได้ทำหน้าที่ของผู้เป็นพ่อที่ได้ดูแลลูกอย่างแท้จริง นี่เป็นเรื่องที่เขาเสียดายมากที่สุดในชีวิตนี้
หากว่าสามารถคลอดลูกออกมาได้อีกคน เขาก็จะชดเชยความเสียดายนั้นได้ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างล้วนแต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของมู่เวยเวย เขาไม่อยากที่จะไปบังคับเธอให้คลอดลูกให้เขา
เขารู้ดีว่าเรื่องการมีลูกมันทำให้ผู้หญิงทรมานมากแค่ไหน
ใกล้จะปีใหม่แล้ว เพื่อเป็นการทำให้เกิดสิ่งดีๆเกิดขึ้น บนถนนแขวนโคมไฟสีแดงที่ประดับประดาอย่างสวยงามเต็มไปหมด
แผนการลดน้ำหนักองมู่เวยเวยประสบความสำเร็จ ตอนที่เธอยืนอยู่บนเครื่องชั่งน้ำหนักและมองเห็นเลขสองตำแหน่งที่อยู่บนนั้น อีกทั้งตอนที่เธอหยิบกระโปรงไซส์
Mที่เมื่อก่อนซื้อมาเคยใส่ได้ ตอนนี้ใส่ได้แล้ว เธอดีใจมากจนกระโดดเข้าไปที่อ้อมแขนของเย่ฉ่าวเฉิน ยอมให้เขาอุ้มเธอหมุนเป็นวงกลม
เป็นเพราะว่าการออกกำลังกายและลดอาหาร รูปร่างที่มีเนื้อเยอะๆของเธอจึงเริ่มได้สัดส่วน ออร่าต่างๆก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก