นี่คือเด็กวิเศษที่ได้ถ่ายทอดพลังไปหรอ? แต่ก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่แต่แค่ยังเด็กไปหน่อย
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นและพยายามยิ้ม“ มีอะไรเหรอ?”
“ดูสิ เสร็จแล้ว” ผิงอันยกตั๊กแตนขึ้นให้เธอดู นี่คือตั๊กแตนที่เขาถอดชิ้นส่วนออกและต่อขึ้นมาใหม่เป็นเวลากว่าชั่วโมง
“ว้าว ผิงอันเก่งจังเลย” มู่เวยเวยชมเชย จากนั้นชี้ไปคนที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองแล้วพูดว่า “นี่คือลุงเฉินกับลุงซวี่”
ผิงอันทักทายอย่างอ่อนน้อม “สวัสดีครับลุงเฉิน สวัสดีครับลุงซวี่”
ประธานเฉินทั้งสองรู้สึกยินดีและรีบส่งยิ้มกลับพูดว่า “สวัสดีจ้า สวัสดี”
อัยยะ เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ ทำให้คนที่เจออยากอุ้มมาแล้วหอมแก้ม
“ผิงอันมานี่มา ลุงจะพาไปเล่นทางนุ้น ตอนนี้แม่กำลังยุ่ง” มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหรานลุกขึ้นและพาผิงอันออกจากห้อง
มู่เวยเวยเฝ้าดูทั้งสามคนเดินออกไปและพูดต่อ “ประธานเฉิน ประธานซวี่ คุณสองคนเป็นมือขวาและมือซ้ายของฉ่าวเฉิน ช่วงที่เขาไม่อยู่ก็ได้พวกคุณสองคนที่คอยช่วยจัดการทุกอย่างฉ่าวเหยียนและฉันเชิญคุณสองคนมาในวันนี้ จะบอกเรื่องนี้กับพวกคุณ ไม่ได้เห็นพวกคุณเป็นคนนอก”
“คุณนายเย่ไม่ต้องเกรงใจครับ มันเป็นหน้าที่ของเราสองคน”
“ฉ่าวเฉินทางนั้น เรากำลังพยายามอยู่ ไม่ได้ปิดบังพวกคุณแต่ว่านานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ข่าวคราว กลัวว่าจะ…… ” น้ำตาของเธอไหลลงมา เธอพยายามอดทนกับเรื่องนี้มาหลายวัน เย่ฉ่าวเหยียนเงียบเขาหยิบกระดาษส่งให้เธอ
ประธานเฉินรู้สึกเศร้าเมื่อทราบข่าว เขาและเย่เฉาเฉินไม่เพียงแต่เป็นแค่คนร่วมงานเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่ร่วมสู้มาด้วยกัน
“ คุณนายเย่ คุณกับคุณชายสองอย่าเศร้าไปเลย ประธานเย่อายุยืน ไม่นานเดี๋ยวเขาก็ต้องกลับมา”
“ขอให้เป็นแบบที่คุณพูด” มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆและสงบลง “พวกเราโอเคกับเรื่องฉ่าวเฉิน แต่มันมีผลกระทบกับหุ้นของเย่ฮวางกรุ๊ป จะมีความผันผวนครั้งใหญ่ คุณสองคนน่าจะรู้ดีกว่าเราว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ”
ใบหน้าของประธานเฉินและประธานซวี่อึ้ง แน่นอนว่าพวกเขารู้ผลที่ตามมาอยู่แล้ว
“คุณนายเย่อยากให้พวกเราทำอะไร?” ประธานซวี่ถามออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันอยากให้พวกคุณทำสถานการณ์ให้ปกติ ถ้ามีคนถามหาเย่ฉ่าวเฉิน ให้บอกว่าเขาไปต่างประเทศ แล้วเรื่องที่สอง ฉ่าวเหยียนได้เข้าร่วมบริษัทในตำแหน่งรองประธาน เขามีหุ้นมากที่สุดนอกเหนือจากฉ่าวเฉิน แต่เขาไม่มีประสบการณ์ในการบริหารมากนัก ดังนั้นจึงยังต้องให้พวกคุณสองคนคอยช่วย ”
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องที่ประธานเฉินและประธานซวี่คาดไม่ถึง ตามความจริงแล้วหากเย่ฉ่าวเฉินประสบอุบัติเหตุหุ้นทั้งหมดของเย่ฉ่าวเฉินจะตกเป็นของมู่เวยเวย ซึ่งเธอสามารถครอบครองมันเองได้ แต่ไม่คิดว่าเธอยังกล่าวถึงเย่ฉ่าวเหยียน
เธอไม่กลัว……
บอกตามตรงว่าในโลกนี้เห็นแก่ผลกำไรและอำนาจ เป็นเรื่องปกติมากที่คนรวยมักจะเลือดเย็น แต่เธอไม่ได้ใช้เส้นทางปกติ ยอมปล่อยบริษัทไป ถ้าเกิดเย่ฉ่าวเหยียนไม่เห็นหัวเธอ สุดท้ายไล่เธอกับลูกออกจากบริษัทจะทำยังไง?”
“คุณนายเย่ แล้วคุณล่ะ? จะกลับไปที่บริษัทไหม?” ประธานเฉินถาม
มู่เวยเวยไม่ใช่คนโง่ แน่นอนเมื่อรู้ความหมายที่ลึกซึ้งของพวกเขา เธอจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันจะไม่ไปที่บริษัทในตอนนี้ ฉันจะไปหาฉ่าวเฉินแม้ว่าจะมีความหวังก็ตาม แต่จะพยายามดู ”
“แต่ว่า……” ประธานซวี่เหลือบมองเย่ฉ่าวเหยียนที่มีใบหน้าเรียบเฉย อยากจะเตือนแต่ไม่รู้จะพูดยังไง
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเฉยเมย “ฉันรู้ว่าพวกคุณกังวลเรื่องอะไร ฉ่าวเหยียนเป็นคนที่ใจดีมาก ตรงไปตรงมาและฉลาด ถ้าฉ่าวเฉินไม่สามารถกลับมาได้เขาเป็นประธานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเย่ฮวาง อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนตระกูลเย่และน้องชายของฉ่าวเฉิน ฉันหวังว่าพวกคุณจะมอบความไว้วางใจให้เขา ฉันคิดว่านี่ก็อาจเป็นความคิดของฉ่าวเฉินเช่นกัน ”
เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่เวยเวยด้วยสายตาที่ซับซ้อน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขามีภาพลักษณ์ที่ดีในใจเธอ เขาคิดว่ามันแย่ซะอีก
เนื่องจากมู่เวยเวยพูดเช่นนี้ ประธานเฉินและประธานซวี่ก็ไม่มีใครคัดค้าน เธอพูดถูก อย่างไรก็ตามเย่ฮวางเป็นของตระกูลเย่ พวกเขาก็เป็นแค่พนักงานเท่านั้น
“อีกอย่าง เมื่อปีก่อนเย่ฮวางกับมู่ซือกรุ๊ปมีความขัดแย้งกัน เป็นเพราะพี่ชายของฉันและฉ่าวเฉินมีความคับข้องใจส่วนตัว จากนั้นพวกเขาก็คืนดีกัน ดังนั้นหากบริษัทประสบปัญหาในวันข้างหน้า ไปหาพี่ชายฉันได้ เขาจะช่วยเย่ฮวางอย่างเต็มที่”
“โอเค เราเข้าใจแล้ว”
หลังจากที่มู่เวยเวยพูดสิ่งที่เธอควรพูดแล้ว เธอก็ปล่อยให้ทั้งสามคนได้สื่อสารกันเธอเชื่อว่าความสามารถของเย่ฉ่าวเหยียนรับมือจัดการกับผู้นำระดับสูงทั้งสองคนนี้ได้
“พวกคุณคุยกันก่อนนะ ฉันจะออกไปดูลูกซะหน่อย”
“โอเคโอเค”
อากาศค่อยๆร้อนขึ้น ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาอุณหภูมิก็สูงขึ้น
มู่เทียนเย่สอนการฝึกสุนัขอย่างปลอดภัยบนสนามหญ้า สุนัขสีขาวราวกับหิมะตัวนี้เขาเพิ่งส่งมาให้เมื่อวาน
เสี่ยวซีหรานมองกลับไปและเห็นมู่เวยเวยเดินเข้ามาช้าๆ ดวงตาของเธอยังคงเป็นสีแดง
“ ร้องไห้อีกแล้วเหรอ?” เสี่ยวซีหรานพูดอย่างช่วยไม่ได้
มู่เวยเวยถอนหายใจ “ฉันทนไม่อยู่”
เสี่ยวซีหรานลูบผมฟูสั้นๆของเธอ“ ยัยซือบื่อเอ้ย”
“ฉันไม่ได้ซื่อบื่อเว้ย” มู่เวยเวยโต้กลับอย่างอ่อนแรง
“เธอเตรียมตัวจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” เซียวซีหรานถามถึงเรื่องจะไปหาเย่ฉ่าวเฉิน
“พรุ่งนี้”
“ เร็วจัง?เท้าของเธอหายแล้วหรอ?” เซียวซีหรานชำเลืองมองไปที่ฝ่าเท้าที่ยังพันด้วยผ้าก๊อซ
มู่เวยเวยยกขาขึ้นแล้วขยับ“ เกือบจะหายแล้ว ฉันรอไม่ได้อีกแล้ว ฉันแค่นึกถึงเขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ไหนสักแห่งแต่ฉันกล้บอยู่ในคฤหาสน์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารความเป็นอยู่อะไรเลย ฉันก็รู้สึกกังวลนั่งไม่นิ่ง”
“ แล้วผิงอันล่ะ? จะทำยังไง?”
มู่เวยเวยมองไปที่มองไปที่เจ้าตัวเล็กที่กำลังเล่นกับซามอยด์ตัวน้อย ด้วยความอ่อนโยนในดวงตาของเธอ “ให้เขาอยู่บ้านนี่แหละ ข้างนอกมันอันตรายเกินไป อีกอย่างฉันไม่ใช่ไปแล้วจะไม่กลับมานิ ตอนเช้าออกไป เมื่อตกดึกก็จะรีบกลับมา”
“ถ้างั้นก็โอเค พาคนไปหลายๆคน” เซียวซีหรานเตือน
“ ฉันรู้แล้ว จางเหอจัดให้แล้ว เธอล่ะ? เธอกับพี่ชายของฉันจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?” มู่เวยเวยยิ้มอย่างสดใสและมีร่องรอยของความเศร้าอยู่
“รีบทำไมกัน? เราเพิ่งเจอกันไม่ถึงปี ฉันอยากมีความสุขกับช่วงเวลาแห่งความรัก ใช่สิ ฉันจะกลับไปที่เมือง S กลางคืนนี้ ถ้าอารมณ์ไม่ดีโทรหาฉันได้นะ ”
มู่เวยเวยไม่อยากให้เธอกลับ จับแขนของเธอและพิงศีรษะบนไหล่ของเธอ “ก็จริง เธอไม่ได้กลับเมืองSมานานแล้ว”
“พรุ่งนี้เป็นวันแรกของการทำงาน ตามปกติแล้ว ฉันต้องไปเช็คที่ร้าน” เซียวซีหรานจับใบหน้าที่เย็นชาของเธอ “ราวกับว่าต้องใบ้เวลาทั้งวันที่นั่น”
“ ก็ใครให้เธอเป็นคนรวยล่ะ?” มู่เวยเวยยิ้มและแซว
เสี่ยวซีหรานบีบหน้าเธอและหยุดพูด
ดวงอาทิตย์ยิ่งอยู่ยิ่งร้อนขึ้น จนคนที่ตากแดดรู้สึกอบอุ่น
ส่งคุณเฉินกับคุณซวี่ก่อน จากนั้นก็ไปส่งมู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่าน มู่เวยเวยนั่งมองดูผิงอันแกล้งเจ้าซามอยด์ เย่ฉ่าวเหยียนเดินมาพร้อมกับผ้าห่มและวางไว้บนขาของเธอ
“อุณหภูมิยังต่ำ เดี๋ยวเป็นหวัด” เขาพูดอย่างเรียบเฉย
มู่เวยเวยเอนหลังและพูดอย่างเขินอายว่า “ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร” เย่ฉ่าวเหยียนนั่งข้างๆเธอ “ผิงอันชอบเจ้าซามอยด์ตัวนี้มากเลยเนอะ”
“อืม ชอบมากเลยแหละ วิ่งกับมันทั้งวันแทบจะจนถึงเวลานอน” มู่เวยเวยหัวเราะ
แสงแดดเคลื่อนมาที่คนทั้งสองเล็กน้อย เงียบไปชั่วขณะ เย่ฉ่าวเหยียนพูดขึ้นว่า “เวยเวย ระหว่างเราไม่มีอะไรจะคุยแล้วหรอ?”
มู่เวยเวยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปมองดวงตาที่บริสุทธิ์ของเขา“ฉ่าวเหยียน เธออยากพูดอะไร?”
“ ตั้งแต่ฉันกลับมา เธอก็เอาแต่หลบฉัน เธอกลัวอะไร?”
มู่เวยเวยสำลักและพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย “ฉันกลัวอะไร เธอก็รู้ดีที่สุด”
เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะเยาะ “เธอกลัวฉันยังชอบเธออยู่งั้นหรอ? ตามจีบเธอ?”
มู่เวยเวยรู้สึกอาย ไม่รู้จะตอบยังไงให้ดูเหมาะสมดี
“ฉันมีความรับผิดชอบและอยากบอกเธอ เวยเวย เธอคิดมากเกินไป” เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างจริงจัง
มู่เวยเวยแปลกใจเล็กน้อย เขาหมายความว่าเขาไม่ได้ชอบเธอแล้ว?
เย่ฉ่าวเหยียนดูเหมือนจะตัดสินใจแล้ว“ เวยเวย ฉันเคยชอบเธอมาก่อน แต่เวลาจะเจือจางทุกอย่าง ตอนนี้ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอคือความรักในครอบครัวและแน่นอนว่ายังมีมิตรภาพ”
“ จริงหรอ?” มู่เวยเวยดูประหลาดใจ
“ แน่นอนมันเป็นความจริง ฉันเคยพูดโกหกด้วยหรอ?”
มู่เวยเวยก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก “ทำไมไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้ฉันเกรงมาตั้งหลายวัน”
เย่ฉ่าวเหยียนไร้เดียงสามาก “ก็เธอไม่ได้ถามฉันนิ”
“ใช่ใช่ใช่ มันเป็นความผิดฉันเอง ฉันควรถามเธอตั้งแต่วันแรกที่เธอกลับมา พวกเราทั้งสองคนก็ไม่ต้องก้ำๆกึ่งๆแบบนี้ ทุกคำที่จะพูดออกมาต้องคิดเกือบครึ่งวัน “เวยเวยก้าวกลับมาและพูด
“มันไม่ใช่นิสัยของเธอนิ” เย่ฉ่าวเหยียนแกล้งเธอ
มู่เวยเวยกลอกตาให้เขา“ก็เธอบีบบังคับไม่ใช่หรอ?”
“จะว่าไปแล้วก็เป็นความผิดของฉัน” เย่ฉ่าวเหยียนยักไหล่และการแสดงออกของเขาก็อ่อนโยนขึ้น “หนึ่งปีมานี้ฉันอยู่ที่ยุโรปได้คิดอะไรเยอะมาก อาจจะเป็นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ฉันตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เลยทำให้หวาดระแวง แต่พอเดินออกมาแล้วก็พบว่า……”
เจออะไร เย่ฉ่าวเหยียนก็ไม่พูดต่อ มู่เวยเวยถามด้วยความสงสัย “พบอะไร?”
“โลกนี้กว้างใหญ่และผู้หญิงที่สวยงามมีเยอะเหมือนก้อนเมฆ”
“ความคิดนี้ก็ไม่เลว” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ในใจของมู่เวยเวยได้รับการคลี่คลาย แล้วเธอก็หันไปถามเขาว่า “คุณคุยกับรองประธานทั้งสองเป็นไงบ้าง?”
“ไม่เลว พรุ่งนี้ฉันจะไปที่บริษัท ”
“ ฉันบอกแล้ว เธอฉลาดขนาดนี้ รับมือได้”
เย่ฉ่าวเหยียนถอนสายตาจากเด็กและมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขา “เวยเวย ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เย่ฮวางยังอยู่ เธอกับผิงอันก็ไม่มีอะไรต้องกังวล”
“ฉันเชื่อเธออยู่แล้ว ผิงอันเป็นหลานเธอ เธอจะกล้าเพิกเฉยได้ไง และในใจของฉัน เธอยังเป็นเด็กน้อยที่รักษาคำพูดและใจดีคนนั้น” ใบหน้าของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มจางๆ อบอุ่นมาก
“เด็กน้อย? ขอเหอะ ปีนี้ฉันอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว” เย่ฉ่าวเหยียนไม่พอใจกับชื่อนี้
มู่เวยเวยพูดเสียงแข็ง“ อายุที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงผิวเผิน จิตใจของคนหนึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลง อย่างน้อยฉันเชื่อว่าเธอจะไม่เปลี่ยนแปลง”
ทันใดนั้นหัวใจของเย่ฉ่าวเหยียนก็เริ่มหนักอึ้ง เขาเลิกคิ้วและยิ้มเล็กน้อย “ใช่ มันจะไม่เปลี่ยนแปลง”
“ว่าแต่ ถ้าเธอไปทำงานที่บริษัทแล้ว ทางโรงเรียนจะทำยังไง?”
เย่ฉ่าวเหยียนยืดหลัง เก้าอี้ของเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามและพูดด้วยความงัวเงีย “พักโรงเรียนไว้ก่อน ถ้ามีเวลาค่อยไปเรียนทีหลัง”
มู่เวยเวยรู้สึกเจ็บปวดในใจเมื่อได้ยินคำว่า “ทีหลัง” ทีหลัง? ทีหลังของเธอจะทำยังไง?
ถ้าเย่ฉ่าวเฉินตายจนกโลกนี้ไป เธอจะทำยังไง?
เธอไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ เธอไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้เพราะเมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้น้ำตาก็จะไหลออกมา
“ พรุ่งนี้ระหว่างทางดูแลตัวเองดีๆนะ ไอ่สารเลวที่ทำพี่ชายฉันยังจับตัวไม่ได้ ฉันกลัวว่าเขาจะใช้โอกาสนี้ทำอะไรเธอ”
“ฉันรู้แล้ว จางเหอพาคนจำนวนมากไปด้วย” ทันทีที่มู่เวยเวยพูดจบ ก็เห็นผิงอัน “ตูบ” ล้มลงบนสนามหญ้า เธอกังวลและลุกขึ้นเพื่อช่วยเขา แต่ในวินาทีถัดมา ผิงอันลุกขึ้นเองโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆและวิ่งไล่ตามซามอยด์เหมือนเดิม
เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยกย่องว่า “ผิงอันเป็นเด็กที่ปราศจากความกังวลและแข็งแรงที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา”
“ อืม เขาก็เป็นแบบนี้แหละ” มู่เวยเวยรู้สึกยินดีมาก
เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างลึกซึ้งและหยุดพูด
เพื่อที่จะปัดเป่าความกังวลในใจของเธอ เย่ฉ่าวเหยียนพยายามหักห้ามใจ จริงๆเขารู้ว่าจิตใจเธออยู่ที่ไหน เขาจึงไม่กล้าแตะต้องมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ เขาทำได้เพียงแค่ถอยห่างออกไป
เขายังรักเธออยู่ แต่ก็เบาลงกว่าปีที่แล้ว ไม่ได้ขนาดนั้นแล้ว
สองสามวันที่ผ่านมาเขานอนไม่หลับและคิดมาก ถ้าพี่ชายกลับมา เขาจะกลับไปยุโรปอีกครั้ง และเรียนวิชาเอกที่เขาชอบ แต่ถ้าพี่ชายของเขาไม่กลับมาจริงๆ เขาจะอยู่เคียงข้างเวยเวย และผิงอัน
เขาจะไม่บังคับให้เธอตกหลุมรักตัวเอง เขาต้องการความจริงใจของเธอ แม้ว่าจะเป็นเวลานาน แต่กับสิ่งนั้นเขาสามารถรอได้ตลอดชีวิต
แน่นอนว่าหากเธอตกหลุมรักชายอื่น เขาก็จะส่งคำอวยพรที่จริงใจที่สุดไปให้
วันที่แปดของฤดูไม้ใบผลิ มีแดดจัดและลมแรง
ในตอนเช้า เย่ฉ่าวเหยียนสวมสูทและรองเท้าหนัง วันนี้เป็นวันแรกที่เขาเข้าทำงาน เขารู้ดีว่าอนาคตเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่นี่คือสิ่งที่เขาควรรับผิดชอบในฐานะตระกูลเย่
มู่เวยเวยสวมแจ็คเก็ตและดูอบอุ่นมาก
เมื่อเธอลงมาจากชั้นสองเธอตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นหลังของเย่ฉ่าวเหยียน เขาดูเหมือนเย่ฉ่าวเฉินจริงๆ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเย่ฉ่าวเหยียนหันกลับมาและบังเอิญจับได้ว่าเธอเหม่อลอย
“ตื่นแล้วหรอ? ฉินหม่าทำโจ๊กรสโปรดของเธอ รีบไปกินสิ” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
มู่เวยเวยฝืนยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดติดตลกว่า “ไม่คิดว่าเธอใส่ชุดสูทแล้วจะดูหล่อเหลาขนาดนี้ ตายแล้ว ฉันได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของสาวๆในบริษัทแล้ว”
“ขอบคุณสำหรับคำชม ฉันไปบริษัทก่อน วันนี้เธอก็ระวังตัวด้วย ขายังไม่หายดีอย่าเดินเยอะมากนะ ถ้ามีอะไร……”
มู่เวยเวยขัดจังหวะเขาทันที “โอยให้ตายสิ เธอทำไมพูดมากขนาดนี้? รีบไปรีบไป”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวเดินออกไป ขึ้นรถ
อันที่จริง เขาออกไปได้ตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว รอนานขนาดนี้ก็เพื่ออยากจะทักทายเธอก่อน แต่เธอกลับรู้สึกเฉยชา
หลงใหล
หลังทานข้าวเสร็จ มู่เวยเวยก็ออกเดินทางไปกับจางเหอและคนอื่นๆ คราวนี้จางเหอพาบอดี้การ์ดที่คล่องแคล่วว่องไวไปด้วย
ก่อนออกจากบ้าน ผิงอันเสียใจมากและอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของผู้ดูแลหวัง แน่นอนว่าเขาไม่มีความสุข เมื่อวานนี้ยังมีลุงป้าน้าอาและแม่อยู่ที่บ้านหลายคนเล่นกับเขา แต่หลังจากตื่นมา ทุกคนก็ไปหมดแล้วเหลือแต่ปู่กับย่า และซามอยด์อีกตัว เขาจะดีใจได้ยังไง?
“ เดี๋ยวกลับคืนแม่ก็กลับมาแล้ว แม่จะไปตามหาพ่อ ผิงอันไม่อยากเจอพ่อหรอ?” มู่เวยเวยเล้าโลมเขาเบาๆ
ดวงตาของผิงอันกระพริบและในที่สุดเขาก็คิดถึงพ่อของเขาจริงๆ
“ อยู่บ้านต้องเป็นเด็กดีนะ”
“อืม” ผิงอันรู้สึกไม่พอใจ ไม่พาเขาไปเล่นแมยังให้เป็นเด็กดีอีก
ล่าช้าอีกไม่ได้แล้ว มู่เวยเวยหอมแก้มเขาเบาๆ แล้วจากไป
วันนี้ จุดแรกที่เธอและจางเหอไปคือหมู่บ้านชาวประมงใกล้ทะเล เวยเวยถอดใจจากการหาในทะเล นานขนาดนี้แล้ว คงเหลือแต่กระดูกแล้วมั้ง แต่ถ้าเย่ฉ่าวเฉินถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งอาจมีคนช่วยเขากลับไปก็ได้
“จางเหอ ทางฉู่เซวียนมีข่าวคราวอะไรบ้างไหม?” มู่เวยเวยก็นึกถึงคนๆนี้ขณะนั่งอยู่ในรถ
“ เขากลับฮ่องกงในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้ยังอยู่ที่ฮ่องกงและอยู่บ้านตลอดเวลาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ”
ดวงตาของมู่เวยเวยเย็นชา“จับตาดูเขาดีๆ เขาต้องเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของกาวินแน่”
จางเหอสงสัย “คุณนายเย่รู้ได้ยังไง?”
“ถ้าแกไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้หญิง แกจะตกหลุมรักเธอเพียงเพราะนิสัยของเธอไหม?”
จางเหอไปไม่ถูกใบหน้าของเขาแดงทันที
พูดอย่างก้ำกึ่ง “แน่นอน แน่นอนว่าไม่”
“แค่นั้นยังไม่พอหรอ? ธรรมชาติของคนมักจะคิดออก” มู่เวยเวยเย้ยหยัน “ยิ่งไปกว่าคนอย่างฉู่เหยียน ผู้ชายที่เขาชื่นชมจะต้องมีรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา”
จางเหอแสดงความเกลียดชังในสายตาของเขา “อย่าให้ฉันจับมันได้ก็แล้วกัน ฉันจะให้มันรู้ซึ้งการตายทั้งเป็น”
มู่เวยเวยเหลือบมองเขาและพูดอย่างเย็นชา“ ฉันอยากเอาปืนยิงมันให้ตาย ถ้ามันไม่ผิดกฎหมาย”
จางเหอเหลือบมองไปที่มู่เวยเวยด้วยความประหลาดใจ หันกลับมาและมองไปที่ถนนข้างหน้าพร้อมกับพูดในใจว่าการหายตัวไปของคุณชายนั้นกระทบกับเธอมาก เมื่อก่อนเย่ฉ่าวเฉินจะออกไป เธอจะตะโกนบอกก่อนว่าห้ามฆ่าคน แต่ตอนนี้เธอกับอยากลงมือฆ่าคนเอง ดูเหมือนว่าเธอจะเกลียดกาวินมากจริงๆ
รถขับไปที่ชานเมืองและสายลมของฤดูใบไม้ผลิก็พัดเข้ามา
เย่ฮวางกรุ๊ป
ทันทีที่เย่ฉ่าวเหยียนปรากฏตัว พนักงานทุกคนที่เห็นเขาก็ตกตะลึง นี่…… นี่ใช่น้องชายสุดเพอเฟคของประธานเย่หรือเปล่า?
เลขาหลิวได้รับแจ้งจากจางเหอล่วงหน้า รออยู่ที่ล็อบบี้ของบริษัทแต่เช้า เพื่อที่จะได้เห็นเขาเดินเข้ามาอย่างสง่างาม เขารีบทักทาย“ ประธานเย่ สวัสดีปีใหม่ครับ”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มและพยักหน้า “สวัสดี ประธานเย่คือพี่ชายฉัน เรียกฉันว่าประธานเหยียนก็พอแล้ว”
เลขาหลิวมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ไม่น่าแปลกใจที่ผู้หญิงหลายคนชอบเขา
“ได้เลย เชิญครับ”
เย่ฉ่าวเหยียนมาที่บริษัทเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อเขายังเด็ก และไม่เคยมาอีกเลยจึงแทบไม่มีใครรู้จักเขา อย่างไรก็ตามทุกคนรู้จักเขาจากอินเทอร์เน็ต ก็เลยไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก
ลิฟต์ขึ้นไปยังห้องทำงานของประธาน เลขาหลิวเปิดประตู “ประธานเหยียน นี่คือห้องทำงานของประธานเย่ เขาแจ้งช้าเกินไปห้องทำงานก็เลยยังยุ่งเหยิงนิดหน่อย ก็เลย…… ”
“ไม่เป็นไร แบบนี้แหละ” เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกกดดันเมื่อเขาเดินเข้าไปและสไตล์ที่เคร่งขรึม เข้มงวดของเขาไม่เข้ากับตัวเขา
“เลขาหลิว ช่วยแจ้งกับทุกคนให้เข้าประชุมตอนเก้าโมงด้วย” เย่ฉ่าวเหยียนสั่ง
“รับทราบ”
บริษัทเย่ฮวางตอนนี้เกิดความวุ่นวายมาก พวกเขาไม่คาดคิดว่าแค่ผ่านไปปีเดียวตำแหน่งประธานก็เปลี่ยนคนแล้ว แถมยังเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มอีกด้วย แค่เพียงเวลาสั้นๆ
“ ห้ะ แกบอกประธานเย่ของพวกเราเป็นอะไร? เป็นเพราะข่าวลือครั้งก่อนหรอ ทำให้เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับทุกคน?
“แกคิดมากไปเปล่า ประธานเย่ของพวกเราเป็นคนยังไง? จะไปถือสาเรื่องไร้สาระพวกนี้ทำไม”
“ถ้าเขาไม่ถือ แล้วทำไมการทำงานวันแรกของปีถึงไม่มา?”
“ รีบอะไร? ประชุมตอนเก้าโมงไม่ใช่หรอ? สิ่งที่แกควรพูดถึงคือเรื่องนี้”
ในระหว่างทุกคนกำลังสนทนา มีเพียงคุณเฉินและคุณซวี่ที่มีสีหน้าเศร้าหมอง เพราะพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าท่านประธานที่ทุกคนเคารพและชื่นชมอาจไม่กลับมา
“เอาล่ะ เรื่องจบละ เราไม่มีพลังที่จะย้อมเวลาได้ ทำได้เพียงทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด” ประธานซวี่ตบไหล่คู่หูเบาๆพูดด้วยน้ำเสียงที่หดหู่เล็กน้อย
ประธานเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “อะไรอีกล่ะ? แต่ฉันคิดว่าเย่ฉ่าวเหยียนเป็นคนฉลาด เขาไม่ได้มาเล่นๆหรอก ไปกันเถอะ ประชุมแล้ว พวกเราต้องช่วยเขา”
ประธานซวี่วางไหล่ของเขาลงและถอนหายใจ “ฉันแค่หวังว่าประธานเย่จะสบายดี และกละบมาโดนเร็ว นอกจากเขาฉันไม่รับคนอื่นจริงๆ”
“ฉันก็เหมือนกัน”
ห้องประชุมของเย่ฮวางสามารถรองรับผู้คนได้เป็นพันคนในเวลาเดียวกัน ทุกคนก็อยู่ในสถานที่ก่อนเก้าโมงครึ่ง บทสนทนาที่วุ่นวายพูดเกี่ยวกับประธานคนใหม่ดังลั่น
เวลาเก้าโมงครึ่ง เลขาหลิวเปิดประตู เย่ฉ่าวเหยียนเดินเข้าไป ทันใดนั้นห้องประชุมก็เงียบและสายตาของทุกคนจดจ่อไปที่คนๆหนึ่ง
เย่ฉ่าวเหยียนได้เห็นโลกตั้งแต่ยังเด็กและเขาสามารถรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้ได้
นั่งลงในที่นั่งจุดศูนย์กลางของห้อง มีความจริงจังเล็กน้อยในดวงตาที่อบอุ่นของเขา
ประธานเฉิน เป็นประธานในการประชุมซึ่งพูดสั้นๆว่า “สวัสดีทุกคนนี่คือรองประธานคนใหม่ของเรา เย่ฉ่าวเหยียน”
มีเสียงปรบมือดังขึ้น
เย่ฉ่าวเหยียนเปิดไมโครโฟนตรงหน้าเขา เมื่อไมโครโฟนพร้อมใช้งาน เขาก็พูดขึ้นว่า”สวัสดีปีใหม่ทุกคนฉันชื่อ เย่ฉ่าวเหยียน อาจมีหลายคนรู้จักฉันจากข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของฉัน ก่อนอื่นฉันมีเรื่องจะอธิบายหลายเรื่อง ”
สถานที่ประชุมพันกว่าคนเงียบสงัด ราวกับยามค่ำคืนและทุกคนต่างมองมาที่เขาอย่างสงสัย
“ก่อนอื่น พี่ชายของฉัน ก็คือหัวหน้าของเย่ฮวาง ตามที่ฉันชี้แจงในข่าวครั้งที่แล้ว ตอนนี้เขาอยู่กับคุณปู่ที่ออสเตรเลียเพราะสุขภาพของคุณปู่ไม่ค่อยดี เขาไม่สามารถกลับมาได้ชั่วคราวดังนั้นในขณะนี้ ฉันเป็นคนจัดการเรื่องในบริษัท ขอให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้”
“ประการที่สองฉันยังไม่รู้จักเย่ฮวาง เป็นอย่างดี ดังนั้นหากมีบางสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจในการทำงาน โปรดแนะนำฉันด้วย”
“สุดท้าย เย่ฮวางมีระบบการทำงานของมันอยู่แล้วและมันก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงมัน พวกคุณมั่นใจได้ในเรื่องนี้” เมื่อเขาพูดอย่างนี้เขาก็หยุดและน้ำเสียงของเขาก็รุนแรงขึ้น “แต่ว่า ฉันก็ไม่อยากเห็นคนขี้เกียจทำงานและต่อต้านในเวลาที่ประธานเย่ไม่อยู่ หากฉันพบเห็นคงไม่เป็นการดีแน่ๆ ”
หลังจากพูดจบสามหัวข้อก็มีเสียงปรบมืออย่างอบอุ่น ในความเป็นจริงสำหรับพนักงานระดับล่างสิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุดคือเจ้านายคนใหม่ทำตัวเป็นปีศาจร้ายหรือแม้กระทั่งปลดพนักงาน แต่จากคำพูดของเขาดูเหมือนว่าจะไม่มีทั้งสองอย่าง
ประธานเฉินตกตะลึงเล็กน้อยที่ชายหนุ่มผู้มีประสบการณ์คนนี้เดิมทีเขาคิดว่าเขาจะเป็นโรคกลัวเวที แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะนิ่งขนาดนี้ ก็ว่าถึงทำให้ทุกคนอึ้งได้
ในอีกด้านของของประธานซวี่เขายังคงทำใบหน้านิ่งเฉยและพูดว่า“ สิ่งที่ประธานเหยียนพูดเมืองกี้ก็ชัดเจนแล้ว ฉันหวังว่าทุกคนจะมีส่วนร่วมในปีใหม่และบรรลุเป้าหมายที่เราวางแผนไว้สำหรับปีนี้”
หลังจากการประชุมที่เรียบง่ายจบลง เย่ฉ่าวเหยียนพบว่าฝ่ามือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ไม่ประหม่า? ก็บ้าแล้ว มันเป็นเพียงที่เขาซ่อมมันไว้
วันนี้งานของ เย่ฉ่าวเหยียนคล้ายกับงานของเสี่ยวซีหร่าน นั่นคือไปยังสาขาต่างๆเพื่อทักทายปีใหม่ และเป็นการทักทายทุกคนให้คุ้นเคยกับผู้นำคนใหม่
คนที่พาไปคือคุณเฉินกับคุณซวี่สองคน และยังมีเลขาหลิวอีกคน อดีตผู้ช่วยของเย่ฉ่าวเฉิน
ความจริงเย่ฉ่าวเหยียนไม่ต้องการทำความคุ้นเคยกับสาขาอื่น เขามักจะรู้สึกว่าพี่ชายของเขาจะกลับมา แต่ว่าเฉินซวี่สองคนไม่เห็นด้วย หลักการของพวกเขาในการทำสิ่งต่างๆก็คือพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
ยิ่งกว่านั้นในใจของพวกเขาแม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะกลับมา แต่น้องชายคนนี้ก็ต้องเข้ามาบริหารบริษัทในสักวัน เมื่อเขากลับมาจากโรงเรียน มันจะดีกว่าถ้าไปทำความรู้จักไว้
หลังจากตกบ่าย รอยยิ้มของเย่ฉ่าวเหยียนก็ลดลง เขารู้สึกเมื่อยไปทั้งขา
มันก็คำเดิมๆ น่าเบื่อมาก
เมื่อประธานเฉินได้ยินเสียงคอแห้งของเขา จึงขอให้ผู้ช่วยหยิบขวดน้ำมาให้เขา“ ประธานเหยียนยังไหวอยู่ไหม?”
เย่ฉ่าวเหยียนดื่มน้ำเพื่อให้ชุ่มคอ “ยังไหว แต่ฉันไม่คิดว่าแค่การตรวจสอบ ภาระงานจะหนักขนาดนี้”
ประธานเฉินพูดด้วยรอยยิ้มจางๆว่า“ นี่มันยังถือว่าน้อยอยู่นะ ถือว่าเป็นวันแรกของคุณในการทำงาน คุณซวีและฉันก็เลยยกเลิกบริษัทเล็กๆไปสองสามแห่ง เมื่อมีโอกาสในภายหลังคุณจะได้เจอพวกเขา.”
“ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็นไร นี่คือสิ่งที่เราควรทำ ไปกันเถอะ ผู้จัดการคนต่อไปของโรงงานกำลังรออยู่”
เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจในใจและยกส้นเท้าขึ้น เขาเริ่มชื่นชมพี่ชายของเขาเล็กน้อย ไม่เพียงแต่สมองของเขาจะดีมากแต่กำลังกายของเขายังดีมากอีกด้วย
ในขณะที่เย่ฉ่าวเหยียนจับมือกับผู้คนนับไม่ถ้วน มู่เวยเวยก็มาถึงหมู่บ้านชาวประมง
พวกเขาแบ่งออกคนออกไปหลายกลุ่ม เพื่อแยกกันไปสอบถามในหมู่บ้าน เนื่องจากเป็นเทศกาลฤดูใบไม้ผลิบรรยากาศในหมู่บ้านจึงคึกคักมากและมีเด็กๆวิ่งเล่นอยู่ทั่วไปบนถนน
จางเหอกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่เท้าของมู่เวยเวย แต่เดิมเขาแนะนำให้เธออยู่ในรถ แต่มู่เวยเวยปฏิเสธ เธอจะนั่งรอเฉยๆได้ยังไง?
“สวัสดี ฉันขอถามใครหาใครสักคนได้ไหม” มู่เวยเวยหยุดชายวัยกลางคนที่อุ้มเด็ก
ชายวัยกลางคนกระตือรือร้นมาก “ใคร?”
“ฉันอยากจะถามว่า มีใครในหมู่บ้านของคุณเคยช่วยชายคนหนึ่งที่ริมทะเลเมื่อปีก่อนรูปร่างสูงใหญ่ตาสีฟ้าไหม?” มู่เวยเวยอธิบายสั้นๆ
ชายวัยกลางคนส่ายหัวโดยไม่คิด “ไม่มีนะ ไม่เคยได้ยิน”
“ คุณช่วยนึกดีๆอีกครั้ง”
“ไม่จริงๆ ในฤดูหนาวหมู่บ้านเราจะไม่ออกทะเล มันเป็นกฏที่ส่งทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ”
“อ่อ ขอบคุณมาก” มู่เวยเวยไม่ได้แสดงความผิดหวัง คำตอบเมื่อกี้ดูเหมือนจะอยู่ในความคาดหวังของเธอ
จางเหอเห็นว่าเธอกำลังดิ้นรนที่จะเดินและต้องการช่วยเธอ แต่เนื่องจากปัจจัยต่างๆเขาทำได้เพียงเฝ้าดู
จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จางเหอก็หยิบมันออกมาดู ในใจรู้สึกเหมือนถูกบีบ
เป็นสายจากสถานีตำรวจ
“ฮัลโหล สารวัตรเว่ย”
“จางเหอ เราเพิ่งจับอาชญากรต่างชาติไม่กี่คนที่บุกเข้ามาอย่างผิดกฎหมายและยังพบปืนอีกจำนวนมาก มันอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณพูด”
จางเหอดีใจ“ จริงหรอ? เยี่ยมไปเลย”
“นี่ก็ต้องขอบคุณสำหรับข้อมูลไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาขนาดไหน”
“มันเป็นสิ่งที่ฉันควรทำฉัน ให้ฉันไปหาตอนนี้ไหม?” จางเหอถามอย่างตื่นเต้น
“ยังไม่ต้อง พวกเราขอตรวจสอบก่อน คุณค่อยมาพรุ่งนี้”
“โอเค ขอบคุณมากสารวัตรเว่ย”
หลังจากวางสายโทรศัพท์จางเหอพูดกับมู่เวยเวยที่ตั้งหน้าตั้งตารอว่า“ มีข่าวจากสถานีตำรวจพวกเขาจับอาชญากรต่างชาติได้สองสามคน ฉันไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับกาวิน เขาขอให้เราไปหาในวันพรุ่งนี้”
มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจมากและเธอก็เต็มไปด้วยความเข้มแข็งในทันที “ในที่สุดข่าวดีก็มาถึง ฉันหวังว่านี่จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี”
“มันจะเป็นเช่นนั้น” จางเหอปลอบโยนเธอ
ด้วยข่าวดีนี้ฝีเท้าของมู่เวยเวยจึงเบาลงมากและในวันนี้เธอได้ค้นหาหมู่บ้านหลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขาก็เดินทางกลับบ้าน
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นมู่เวยเวยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะพบมัน หรือว่าบางทีพระเจ้าอาจรอให้เธอยอมแพ้
กลับถึงบ้าน ผิงอันตะโกนว่า “แม่” และรีบวิ่งไปหา มู่เวยเวยไม่มีแรง เกือบจะล้มลงเพราะเขาวิ่งเข้ามาหา แต่ทันใดนั้นก็มีมือคว้าเธอไว้
หันไปทันที เป็นเย่ฉ่าวเหยียน
“ระวังตลหน่อย” เย่ฉ่าวเหยียนช่วยให้เธอยืนนิ่ง จากนั้นกอดผิงอันและเป่าจมูกของเขาพูดว่า “เท้าของแม่ไม่ดี อย่าวิ่งเข้าหาแบบนี้ เดี๋ยวเธอจะล้มได้ เข้าใจไหม?
ผิงอันพยักหน้า “ อืม เข้าใจแล้ว”
มู่เวยเวยเดินช้าๆไปที่ห้องนั่งเล่นและถามเย่ฉ่าวเหยียน “วันนี้เป็นอย่างไงบ้าง?”
“เหนื่อยมาก” เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจ “ฉันเคยคิดว่าพี่ชายของฉันเป็นประธานที่มีเกียรติ แต่ฉันได้รู้แล้วว่ามันยากมาก ฉันแค่ไปวันนี้ ก็รู้สึกเมื่อยไปทั้งตัว แล้วเธอล่ะ? ”
มู่เวยเวยส่ายหัว“ แต่ว่ามีข่าวคราวจากตำรวจ…… ”
หลังจากฟังคำอธิบายสั้นๆของเธอ เย่ฉ่าวเหยียนก็ถามว่า “พรุ่งนี้อยากให้ฉันไปด้วยไหม?”
“ไม่เป็นไร เธอยังไม่เคยเจอเขา” ดวงตาของมู่เวยเวยก็มองไปที่ผิงอัน “แต่ว่า ฉันจะพาเขาไปด้วย”
“ห้ะ? ผิงอัน?” เย่ฉ่าวเหยียนประหลาดใจมาก
“ใช่ ผิงอันอยู่ใกล้กาวินมาตั้งแต่เด็ก เขาคุ้นเคยกับสายตาของเขามากที่สุด ถ้าเขาถูกจับได้จริงๆผิงอันคงจะจำเขาได้”
เมื่อผิงอันได้ยินชื่อของกาวิน ใบหน้าที่สงสัยก็ลอยออกมาและตะโกนว่า “ตูตู”?
มู่เวยเวยตกตะลึงและรู้ว่าเขาเรียกหาใคร
“ใช่แล้ว ตูตู ลูกจำเขาได้ไหม?”
ผิงอันขมวดคิ้วและคิด จากนั้นก็พยักหน้า ” จำได้ ”
“ งั้นดีเลย พรุ่งนี้แม่จะพาหนูออกไปเที่ยว ดูว่ายังจำตูตูได้จริงหรือเปล่า”
ผิงอันยิ้มทันที ” ได้เลย ”
เย่ฉ่าวเหยียนไม่เข้าใจและถามมู่เวยเวยเบๆ “ ตูตู คือใคร?”
ดวงตาของมู่เวยเวยเย็นชา“ ก็คือกาวินนั่นแหละ ตอนนั้นผิงอันยังพูดไม่ชัด ก็เลยออกเสียงซูซูเป็นตูตู”
แบบนี้นี่เอง
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น มู่เวยเวยรีบจัดของใช้ของผิงอันและไปที่สถานีตำรวจพร้อมจางเหอ
สารวัตรเว่ยเห็นมู่เวยเวยพยักหน้าเป็นการทักทาย แต่เขาพึมพำในใจ ภรรยาของเย่ฉ่าวเฉินมาทำอะไร? แถมยังพาเด็กมาอีก
แต่เมื่อเขาเห็นผิงอัน เขาก็ต้องตะลึงหลายวินาที ถ้าไม่ได้เห็นกับตา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สีตาคนละสีอยู่จริงๆ