มู่เวยเวยหัวเราะเบาๆ “รู้แล้ว”
เย่ฉ่าวเหยียนรู้ถึงความแข็งแกร่งของเสี่ยวซีหร่านดี เมื่อรวมกับความช่วยเหลือของมู่เทียนเย่แล้ว การที่ตระกูลเย่จะถูกทำลายนั้นเป็นไปได้มาก เขาจึงรีบพูดว่า “พี่สาว ผมสัญญากับคุณเลยว่าเวยเวยจะไม่โดนรังแกแม้แต่น้อย คุณกับพี่มู่สบายใจได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
มู่เทียนเย่เดินมาตรงหน้าพวกเย่ฉ่าวเฉินสามคน หลังจากมองไปทั่วๆแล้ว เขาก็มาจ้องเย่ฉ่าวเฉินด้วยสายตาดุร้าย “เย่ฉ่าวเฉิน ฉันรู้ว่านายความจำเสื่อม แต่ความคิดของนายยังอยู่ ช่วงที่ความทรงจำยังไม่กลับมาอย่าทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองเสียใจทีหลัง ไม่งั้นครั้งนี้ฉันไม่ให้อภัยนายแน่”
เย่ฉ่าวเฉินมองเขาด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เสียใจเรื่องอะไร เขาหมายถึงเสี่ยวเหมยเหรอ
หลังจากที่มู่เทียนเย่กับเสี่ยวซีหร่านกลับไป มู่เวยเวยก็พูดกับพ่อบ้านหวังด้วยสีหน้าเย็นชา “อาหวังให้คนทำความสะอาดห้องนอนแขกสองห้อง แล้วก็มาพาเย่ฉ่าวเฉินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนะคะ เราจะไปโรงพยาบาลทันที”
เสี่ยวเหมยจับมือของเย่ฉ่าวเฉินเวยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันอยากนอนห้องเดียวกับฉ่าวเฉิน”
ทุกคนต่างตะลึง
มู่เวยเวยดูจะไร้ความรู้สึกแล้ว เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ เต็มไปด้วยอำนาจ “ฉันเป็นคุณผู้หญิงของบ้านตระกูลเย่ คำพูดฉันถือเป็นสิทธิ์ขาด”
“แต่ฉ่าวเฉินเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาใหญ่กว่าคุณ” เสี่ยวเหมยเขย่าแขนของเขา และพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉ่าวเฉิน คุณจะว่าอะไรมั้ยถ้าเราจะนอนด้วยกัน เรากำลังจัดงานแต่งงานกันแล้วนะ”
เย่ฉ่าวเฉินลังเลยังไม่ทันพูด ก็ได้ยินมู่เวยเวยพูดว่า “สาวน้อย ฉันขอเตือนเธอนะ งานแต่งยังไม่ทันได้จัดเสร็จ และถึงจะจัดเสร็จก็ไม่มีอะไรยืนยันได้”
คำพูดของมู่เวยเวยได้อธิบายเรื่องราวให้คนอื่นฟังอ้อมๆไปด้วย
“พี่ฉ่าวเฉิน” เสี่ยวเหมยหน้าเปลี่ยนสีทันที เธอทำตัวอ้อนเขา “ดูเธอสิ…”
มู่เวยเวยมองเขาอย่างเย็นชา “คุณเลือกเอาเอง”
เย่ฉ่าวเฉินตบไหล่เสี่ยวเหมยบอกให้เธอเลิกสร้างปัญหา ทันใดนั้นผิงอันที่อยู่ในอ้อมแขนของเย่ฉ่าวเหยียนก็พูดว่า “แม่ พี่สาวคนนี้คือใคร”
ผิงอันอายุปีกว่าแล้ว ดังนั้นจึงพูดได้คล่องมากแล้ว
เสียงที่เล็กๆนั้นทำให้ทุกคนเงียบไปในชั่วขณะ เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมอง และก็เห็นว่าใบหน้าเล็กๆที่คล้ายกับเขากำลังมองมาที่เขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กคนนี้ แต่เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกเหมือนฝันถึงเขาเป็นพันๆครั้งแล้ว โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้ มันมักจะปรากฏในคืนที่ปั่นป่วน นำเขาไปสู่แสงสว่างเสมอ
มู่เวยเวยยิ้มอย่างนุ่มนวล “ถามพ่อดูสิลูก”
ผิงอันเชื่อฟังมาก เขาถามด้วยรอยยิ้ม “พ่อ พี่สาวคนนี้เป็นใคร”
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง เขารู้สึกอึดอัดใจที่จะตอบ “เธอเป็น…เพื่อนของพ่อ”
เขายังคงแพ้ให้กับดวงตาอันบริสุทธิ์ของลูกชาย
“ พี่ฉ่าวเฉิน….พี่” เสี่ยวเหมยโกรธเล็กน้อย
“อย่าสร้างปัญหา” เย่เส้าเฉินปลอบเธอ เสร็จแล้วก็หันไปถามมู่เวยเวย “แล้วฉันจะนอนที่ไหน”
“คุณเป็นสามีของฉัน คุณว่าคุณต้องนอนที่ไหนล่ะ” เสียงที่นุ่มนวลของมู่เวยเวยมีความประชดเล็กน้อย
เสี่ยวเหมยดิ้นเร่าๆอีกครั้ง แต่ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินหยุดไว้ “แต่ผม….”
ก่อนที่เขาจะพูดจบมู่เวยเวยก็พูดอีกครั้ง “แต่ในสถานการณ์แบบนี้คุณนอนคนเดียวแล้วกัน อาหวังทำความสะอาดห้องเก่าของฉันให้คุณชายพักด้วยนะคะ”
“คุณหนูห้องนอนของคุณผมทำความสะอาดทุกวัน” พ่อบ้านหวังกล่าวด้วยความเคารพ
“โอเค มีอะไรอีกมั้ย” มู่เวยเวยเลิกคิ้วถามเย่ฉ่าวเฉินกับเสี่ยวเหมย
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเหมยไม่พอใจกับการจัดเตรียมนี้ แต่เมื่อคิดดูแล้วเย่ฉ่าวเฉินก็นอนคนเดียวเช่นกัน เธอจึงอดทนเก็บคำพูดไว้
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้ว่าอะไร มู่เวยเวยจึงหันหน้ามาพูดกับพ่อบ้านหวังว่า “ ผู้หญิงคนนี้ช่วยชีวิตคุณชายไว้เธอเป็นแขกผู้มีเกียรติที่สุดของตระกูลเย่ของเรา จัดสาวใช้มาคอยรับใช้ข้างๆตัวเธอด้วย อย่าละเลยเด็ดขาด ”
พ่อบ้านหวังเงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างมู่เวยเวย จากนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าเธอหมายความว่ายังไง “ไม่ต้องห่วงครับคุณหนู ผมจะจัดการอย่างดี”
“โอเคพาคุณชาย ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เราจะไปโรงพยาบาลกัน”
“ครับ”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินและเสี่ยวเหมยเข้าไปในบ้านแล้ว เย่ฉ่าวเหยียนจึงถามมู่เวยเวยว่า “เธอโอเคมั้ย”
มู่เวยเวยถอนหายใจ “ดีสิ ทำไมจะไม่ดีล่ะ” สายตาของเธอปรากฏรอยยิ้ม “รู้ไหมตอนฉันเห็นเขาในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆนั้น ฉันก็เบาใจไปทันทีตั้งแต่แวบแรก ที่จริงแค่เขายังมีชีวิตอยู่นั้นสำคัญกว่าสิ่งใด”
เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่เวยเวยในสภาพนี้ และอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ “ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว เธอไม่ต้องกลัว ฉันจะไปสั่งพ่อบ้านหวังให้ดูเธอให้ดี อย่าให้ก่อเรื่อง”
“ฉันไม่กลัว” มู่เวยเวยเงยหน้า หันไปมองพระอาทิตย์ทางทิศตะวันตก และหรี่ตาเบาๆ “อย่างมากก็แค่หย่ากัน ตอนนี้ไม่มีใครมาขวางทางฉันแล้ว แต่ว่าของที่เป็นของฉัน ถ้ามีคนมาแย่งไป อย่าหาว่าฉันหยาบคายแล้วกัน”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มเบาๆ มู่เวยเวยเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ เธอมีเกราะของตัวเองแบบนี้ดีมาก
พ่อบ้านหวังพาเย่ฉ่าวเฉินไปที่ชั้นสอง จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้พาเสี่ยวเหมยและพี่ชายของเธอไปยังห้องรับรองแขกที่ไกลที่สุด
เมื่อผลักประตูห้องเข้าไปก็เห็นของเล่นเด็กกระจัดกระจายอยู่บนพรมหนา พ่อบ้านหวังอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายน้อยไม่ชอบให้คนอื่นแตะต้องของของเขา เมื่อเขาเล่นเสร็จ ตอนกลางคืนเขาจะเก็บของเขาเองครับ”
ในอากาศมีกลิ่นหอมจางๆลอยมาแตะจมูก กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่อยู่ในใจเขามานาน
หมอนคู่หนึ่งวางอยู่บนเตียงใหญ่ ถัดจากเตียงใหญ่เป็นเตียงเล็ก ซึ่งน่าจะเป็นของลูกชาย บนโต๊ะวางกรอบรูปอยู่ ในรูปเป็นภาพสามคนพ่อแม่ลูก เขาซบหัวลงบนไหล่ของมู่เวยเวย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวล มู่เวยเวยมองลูกด้วยสายตาสดใส ส่วนผิงอันก็ถือเครื่องบนลำเล็กไว้ในมือ และก็เหมือนมีใครเรียกเขาอยู่ ดวงตากลมโตจึงหันไปมองกล้องพอดี
ช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่น
เย่ฉ่าวเฉินมองภาพนั้นอย่างตะลึง เขามีรอยยิ้มอย่างนั้นจริงหรอ
“รูปนั้นคุณชายมู่เป็นคนถ่ายครับ” พ่อบ้านหวังอธิบาย “เขาเป็นพี่ชายของคุณหนู ตอนนั้นคุณบอกว่ารูปนี้สวยก็เลยขอมา และให้ผมเอาไปอัดกรอบด้วยตัวเอง”
“เมื่อก่อน…ฉันรักเธอมากหรอ” เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะถาม
พ่อบ้านหวังผงะ ตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “ใช่ครับ คุณรักคุณหนูถึงขนาดยอมตายแทนได้ คุณคิดว่าคุณรักมั้ยล่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบ แต่เขาจำไม่ได้เลย
“เรื่องพวกนี้ผมค่อยๆบอกดีกว่า ผมจะพาคุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะครับ”
เมื่อเดินมาจนสุดทางเดิน พี่ชายของเสี่ยวเหมยก็มองดูด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นการเลือกที่ถูกต้องที่สุด เขาไม่เคยอยู่ในบ้านที่ดีขนาดนี้มาก่อน
หลังจากคนรับใช้ออกไปเขาก็รีบมาที่ห้องข้างๆ “เสี่ยวเหมยเห็นไหมเขารวยมาก พี่บอกไว้เลยนะว่าเธอต้องจับเขาให้ได้ ถึงทำให้เขาหย่าไม่ได้ก็เป็นเมียน้อยก็ยังดี เธอไม่เคยดูละครรึไง คนรวยๆมีบ้านเล็กบ้านน้อยกันทั้งนั้น แค่พวกเราจับเย่ฉ่าวเฉินได้ พวกเราอยากได้อะไรก็จะได้ทั้งหมด”
เสี่ยวเหม่ยพูดแทรก “รู้แล้วๆ”
ด้านนอกประตูสาวใช้ฟังบทสนทนาข้างในและจากไปอย่างเงียบๆ
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จ ทุกคนก็ไปโรงพยาบาล
“ฉันอยากไปด้วย” เสี่ยวเหมยรีบวิ่งออกไปจับแขนของเย่ฉ่าวเฉินอย่างคุ้นเคย
“เธอจะไปทำไม” มู่เวยเวยถามอย่างเย็นชา
“ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเธอจะพาเขาไปทำอะไร ฉันไม่สน ฉันจะตามไป”
“ตลก” มู่เวยเวยยิ้มเยาะ “กลัวฉันพาเขาไปฆ่ารึไง”
“ยังไงก็ช่าง พี่ฉ่าวเฉินไปไหนฉันไปด้วย”
มู่เวยเวยพูดไม่ออก หน้าหนาจริงๆ
“โอเค แล้วแต่เธอ แต่ถ้าไปถึงโรงพยาบาลช่วยหุบปากด้วย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นฉันส่งเธอกลับแน่ ไม่สนว่าเธอจะเป็นใคร” มู่เวยเวยพูดเตือนเธออย่างดุดัน ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินความจำเสื่อมจะเป็นการดีงั้นหรอ
“ทไเป็นใหญ่ไปได้ ฉันไม่รู้จักใครสักหน่อย จะไปคุยกับใครล่ะ” เสี่ยวเหมยเบะปาก
เดิมทีมีเพียงเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวย และเย่ฉ่าวเหยียนเท่านั้นที่ไปโรงพยาบาล และพวกเขาก็นั่งในรถได้พอดี แต่พอตอนนี้มีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน รถจึงอึดอัดขึ้นมา
เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายระหว่างทาง เย่ฉ่าวเหยียนจึงเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ “พี่นั่งหน้า”
เย่ฉ่าวเฉินได้ยินที่เขาพูดก็นั่งลงไปทันที
เสี่ยวเหมยเห็นว่าไม่มีทางแล้วจึงได้แต่เข้าไปในรถด้วยความโกรธ โดยมีเย่ฉ่าวเหยียนนั่งอยู่ระหว่างผู้หญิงสองคน
พ่อบ้านหวังพูดกับฉินหม่าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อมองส่งรถไปจนลับตา “ดูเหมือนว่าเราเจอปัญหาอีกแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ”
ทันใดนั้นสาวใช้ที่ถูกสั่งให้อยู่ข้างๆเสี่ยวเหมยเข้ามากระซิบว่า “พ่อบ้านหวังฉันมีเรื่องจะบอก”
สีหน้าของพ่อบ้านหวังเปลี่ยนไป เขาพูดอย่างเย็นชา “ว่ามา”
สาวใช้พูดสิ่งที่เธอได้ยินอย่างเบาๆ แต่ยิ่งพ่อบ้านหวังได้ยินสีหน้าของเขาก็ยิ่งแย่ไปเรื่อยๆ แม้แต่ฉินหม่าก็โกรธมาก
ผู้หญิงคนนี้ดูซื่อๆ เธอทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ถึงจะเป็นผู้มีพระคุณของคุณชาย แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์ตีท้ายครัวคนอื่นแบบนี้
“ทำดีมาก จากนี้ต้องตามติดเธอตลอด โดยเฉพาะตอนกลางคืนอย่าให้เธอได้เข้าใกล้ห้องคุณชายเด็ดขาด” พ่อบ้านหวังสั่งเสียงเข้ม
“ค่ะ”
เสี่ยวหวังเห็นเสี่ยวฟางเดินมา จึงตะโกนบอกว่า “เสี่ยวฟางบอกทุกคนมารวมกัน ฉันมีเรื่องจะพูด”
“ครับอาหวัง”
“แล้วพี่ชายของผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน” พ่อบ้านหวังถาม
“อยู่ในห้องค่ะ” สาวใช้อีกคนตอบ
“อื้ม” พ่อบ้านวังขมวดคิ้วพูดอย่างจริงจังเมื่อทุกคนเข้ามา “ฉันจะพูดสามเรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องที่คุณชายความจำเสื่อมทุกคนต้องปิดปากเป็นความลับ ถ้าข่าวรั่วออกไปฉันไม่เบามือแน่”
“ครับ” คนสิบคนพูดพร้อมเพรียงกัน
“ทุกคนอยู่ในบ้านนี้มานานแล้ว ต่างก้รู้ดีว่าคุณชายรู้สึกยังไงต่อคุณหนู ถึงวันนี้จะจำคุณหนูไม่ได้ แต่ก็ต้องมีวันหนึ่งที่จะจำได้ ดังนั้นใครเป็นนายหญิงของบ้านหลังนี้ คำสั่งใครคือเป็นสิทธิ์ขาดทุกคนคงจำได้ดี หวังว่าทุกคนจะตาสว่าง อย่าเชื่อคนผิด อย่าทำเป็นไม่รู้ ไม่อย่างนั้นถ้าคุณชายจำความได้ขึ้นมาคงจะรู้ชะตาตัวเองดีนะ”
“ครับ”
“เรื่องที่สาม คุณชายน้อยเป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัวเรา ตอนนี้เขาวิ่งและกระโดดได้แล้ว อย่าให้เกิดอุบัติเหตุอะไรกับเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ถ้าใครเห็นก็ให้ช่วยจับตาดู ปกป้องเขา ที่ฉันพูดทุกคนเข้าใจความหมายใช่มั้ย”
คนที่สามารถทำงานที่นี่ได้มักจะฉลาดกว่าคนปกติ พวกเขาก้มหน้าลงสบตากัน จากนั้นก็พูดพร้อมกัน “เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อทุกคนแยกย้าย พ่อบ้านหวังก็พูดกับฉินหม่าอย่างเป็นห่วงว่า “ฉันกลัวจริงๆว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นเฉียวซินโยวคนต่อไป คุณชายกับคุณหนูเพิ่งจะอยู่กันอย่างสงบได้ไม่นาน เธออย่ามาทำให้มันวุ่นวายอีกเลย”
ฉินหม่าส่ายหน้า “ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะออมแรง แต่เธอชั้นต่ำกว่าเฉียวซินโยวไปหลายขั้น ไม่น่าทำเรื่องอะไรใหญ่มาก”
“ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
…..
มู่เหว่ยเว่ยพาเย่ฉ่าวเฉินไปโรงพยาบาลเอกชนในเมือง A ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เธอพักเมื่อครั้งที่แล้วด้วย เธอเลือกที่นี่เพราะโรงพยาบาลนี้เก็บความลับได้ดีมาก
เย่ฉ่าวเฉินไปตรวจร่างกายกับพยาบาล
มู่เวยเวยนั่งรออยู่ที่ห้องรับรอง และแน่นอนว่าข้างๆเธอคือเสี่ยวเหมย
เย่ฉ่าวเฉินเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับน้ำสองขวดในมือ เขายื่นขวดหนึ่งให้กับมู่เวยเวย “ฉันให้พยาบาลอุ่นให้แล้ว” จากนั้นเขาก็ให้น้ำเย็นอีกขวดกับเสี่ยวเหมย
มู่เวยเวยจิบน้ำอุ่นๆ ให้มันค่อยๆไหลเข้าสู่อวัยวะภายใน จากนั้นร่างกายของเธอก็รู้สึกตื่นขึ้นมาทันที หลังจากที่ขาของเธอได้รับบาดเจ็บจากอากาศเย็นจัด หมอหานก็ไม่ให้เธอดื่มน้ำเย็นอีก เพราะขาของเธอโดดน้ำเย็นไม่ได้ และเย่ฉ่าวเฉินก็ยังจำมันได้
“ตอนนี้หาพี่ชายเจอแล้ว เธอจะเตรียมตัวไปทำงานเลยมั้ย” เย่เฉาเหยียนถามเธอ
มู่เวยเวยยกมือขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “มือของฉันไม่ได้แตะดินสอมานานแล้ว ฉันเกือบลืมวิธีถืวาดไปหมดแล้ว นายคิดว่าฉันยังเหมาะที่จะเป็นดีไซน์เนอร์มั้ย”
“มันจะเป็นแค่ชั่วคราว เมื่อเธอไปอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น เดี๋ยวเธอก็ชินมือขึ้นมาเอง ฉันเชื่อว่าเธอทำได้”
มู่เวยเวยถอนหายใจ “รอผลตรวจฉ่าวเฉินออกมาก่อนเถอะ ฉันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย”
“โอเค ตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็ไปรายงานตัวที่แผนกออกแบบได้เลย”
“เข้าใจแล้ว”
เย่ฉ่าวเหยียนเห็นเด็กผู้หญิงอีกคนนั่งเบื่ออยู่ เขาจึงยิ้มให้บางๆ “ฉันยังไม่จักชื่อเธอเลย”
“ฉันชื่อฟานเสี่ยวเหมย” หญิงสาวรับยิ้มตอบ เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นน้องชายของเย่ฉ่าวเฉิน และมีศักดิ์ในบ้าน เธอควรทำดีกับเขา
“เสี่ยวเหมย เธอบอกพวกเราได้ไหมว่าเจอพี่ชายของฉันได้ยังไง” เย่ฉ่าวเหยียนถามอย่างสุภาพ
ฟานเสี่ยวเหมยยิ้มอย่างดีใจ “เรื่องมันยาวมาก”
“ค่อยๆเล่า ยังไงพวกเราก็ว่างมากอยู่แล้ว”
ฟานเสี่ยวเหมยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นเช้าวันที่ 28 มันเป็นครั้งสุดท้ายของปีที่แล้วที่ฉันไปทะเล ฉัน พี่ชายและก็พ่อแยกกันออกเดินทาง เรากะว่าจะหาเงินอีกหน่อยเป็นครั้งสุดท้าย ปีใหม่จะได้มีเงินกันหน่อย หลังจากที่ฉันหว่านแหไปไม่นาน ก็เห็นคนลอยมาอยู่ไกลๆ ตอนนั้นฉันตกใจมากนึกว่าเป็นอะไรซะอีก”
เย่ฉ่าวเหยียนและมู่เวยเวยมองหน้ากัน ก่อนเขาจะถามต่อว่า “แน่ใจเหรอว่าลอยอยู่ในทะเล”
“ใช่ลอยอยู่ในทะเล” ฟานเสี่ยวเหมยพูดอย่างหนักแน่น “ฉันพายเรือไปดู พอเห็นว่าเป็นคน ไม่รู้ว่าตายหรือยังมีชีวิตอยู่ ฉันเลยใช้ไม้พายเขี่ยมา และลองจับชีพจรดู เมื่อรู้ว่ามีชีวิตอยู่ฉันเลยช่วยเขากลับมาด้วย”
เย่ฉ่าวเหยียนและมู่เวยเวยแอบตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทึ่งขนาดนั้น ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอื่นพวกเขาคงคิดว่าเพ้อเจ้อ แต่สำหรับเย่ฉ่าวเฉินแล้วมันมีความเป็นไปได้มาก เพราะเขาเป็นคนมีความวิเศษน์
“หลังจากที่ฉันอุ้มเขากลับบ้าน เขาก็นอนเป้นผักไม่ฟื้นเลย ครอบครัวของฉันต่างให้ฉันเอาเขาไปทิ้งลงทะเล เพราะยังไม่ได้แต่งงาน ดูแลผู้ชายอย่างนี้จะทำให้เสียชื่อเสียง แต่ฉันคิดว่าเขาลอยมาอยู่ตรงหน้าฉันคงเป็นเพราะพรของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เทพเจ้ามอบให้ฉัน” สีหน้าของฟานเสี่ยวเหมยจริงจังมาก
ทัศนคติของมู่เวยเวยที่มีต่อผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปทันที ถ้าแยกเรื่องที่เธออยากแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินออกไป เธอก็เป็นผู้หญิงที่จิตใจดีมาก
“ดังนั้นฉันจึงแอบดูแลเขาทุกวัน แอบไปซื้อยาให้เขา เพราะกลัวว่าคนในหมู่บ้านจะรู้แล้วเอาไปพูด พ่อฉันจึงโยนเขาออกไปอีกครั้ง แต่อาจเป็นเพราะพระเจ้าสัมผัสได้ถึงความจริงใจของฉัน หลังจากสลบไปสองเดือนกว่าสุดท้ายวันหนึ่งเขาก็ฟื้นขึ้นมา แต่ฉันเห็นว่าเขาไม่มีความทรงจำแล้ว ร่างกายเขาก็แย่มาก ฉันเลยดูแลเขาทุกวัน จนเขาเริ่มแข็งแรงขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ”
หลังจากที่ฟานเสี่ยวเหมยพูดจบ ทั้งเย่ฉ่าวเหยียนและมู่เวยเวยต่างก็เงียบ การดูแลผู้ป่วยนั้นไม่ง่ายเลย ยิ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมยากลำบากแบบนั้นด้วยแล้ว แสดงว่าเธอพยายามมากจริงๆ
ถ้าคิดในด้านของเธอ ตอนที่เธอชอบเย่ฉ่าวเฉิน เธอก็มีแค่ใจที่บริสุทธิ์ เธอไม่รู้ภูมิหลังของเขาด้วยซ้ำ วันนี้เธอโดนป่วนงานแต่ง การที่เธอจะมีอาการอย่างนั้นมันไม่แปลกเลย
มู่เวยเวยจ้องขวดน้ำในมือนานมาก ก่อนจะหันไปมองเธอ“ เสี่ยวเหมย ขอบคุณที่ช่วยเย่ฉ่าวเฉิน ฉันรู้สึกขอบคุณมากจากก้นบึ้งของหัวใจ เธอช่วยสามีของฉัน และช่วยพ่อของลูกฉัน นี่ถือเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของเรา จะให้ฉันตอบแทนเธอยังไงก็ได้ แต่ฉันยกสามีของฉันให้เธอไม่ได้จริงๆ ฉันหวังว่าเธอจะเก็บไปคิด อยากได้เงินเท่าไหร่ฉันก็จะให้”
ฟานเสี่ยวเหมยเม้มริมฝีปากของเธอและพูดว่า “แต่ชาวบ้านรู้เรื่องของฉันทุกคนแล้ว ฉันจะมองหน้าพวกเขายังไง”
“เธอไม่ต้องกลับไปอีกแล้ว เราจะจ่ายเงินซื้อบ้านให้เธอในเมือง A เธอสามารถไปรับครอบครัวของเธอมาได้ ฉันจะหางานให้ จะทำให้เธอพอใจทุกอย่าง เป็นไง”มู่เวยเวยพูดอย่างใจกว้าง จริงๆแล้วของพวกนี้เทียบไม่ได้เลยกับชีวิตของเย่ฉ่าวเฉิน
ฟานเสี่ยวเหมยคิดครู่หนึ่งและตอบ “ฉันรู้ว่าฉันขอมากเกินไป แต่ฉันชอบพี่ฉ่าวเฉินจริงๆ เขาเป็นคนแรกที่ฉันชอบ”
“เสี่ยวเหมยฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอ ถ้าเย่ฉ่าวเฉินเป็นโสดไม่ได้แต่งงาน เขาแต่งงานกับเธอได้แน่นอน แต่ปัญหาคือตอนนี้เขามีครอบครัวแล้ว เธอคงไม่ให้เขาทิ้งครอบครัวไปแค่เพราะว่าเธอชอบเขาหรอกใช่มั้ย” มู่เวยเวยพูดไปก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมา
ฟานเสี่ยวเหมยกัดริมฝีปากล่างของเธอ “งั้นฉันจะคิดดู”
พูดถึงตรงนี้มู่เวยเวยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอใช้พลังทั้งหมดมาพูดแล้วจริงๆ ถ้าให้พูดต่อไปเธอก็หมดคำจะพูดแล้ว
เพิ่งคุยเสร็จพยาบาลก็เคาะประตูเข้ามา
“คุณนายเย่ คุณชายเหยียน คนไข้ตรวจเสร็จแล้วค่ะ เชิญไปที่ห้องตรวจได้เลย”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ทั้งสามคนรีบมาที่ห้องหมอ เย่ฉ่าวเฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนมู่เวยเวยก็นั่งลงตรงที่ว่างอยู่ข้างๆเขา เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ หมอคะ เขาเป็นยังไงบ้าง”
หมอขมวดคิ้ว “คุณนายเย่ ร่างกายของคุณเย่ไม่ได้มีปัญหาอะไรร้ายแรง แต่ CTแสกนสมองพบสมองส่วนว่าฮิปโปแคมปัสได้รับการกระทบกระเทือน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ความจำของเขาหายไป”
“สมองส่วนฮิปโปแคมปัสหรอคะ” มู่เวยเวยพูดซ้ำ เธอไม่ค่อยเข้าใจ
แพทย์อธิบายว่า “แม้ว่าสมองส่วนฮิปโปแคมปัสจะไม่ใช่พื้นที่เก็บความทรงจำ แต่ก็มีบทบาทในการจัดเก็บความทรงจำระยะยาว หากฮิปโปแคมปัสได้รับการกระทบกระเทือนความจำจะสูญหายไป อาการอย่างนี้เคยพบที่ต่างประเทศอยู่ครับ”
“ จะฟื้นความทรงจำยังไงคะ”
หมอส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มียาที่สามารถรักษาอาการความจำเสื่อมได้ ครอบครัวต้องบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อกระตุ้นความทรงจำของเขา อาจมีวันหนึ่งที่เขาจะจำอะไรขึ้นมาได้ แต่นี่ต้องใช้เวลานานมาก อาจจะเป็นสิบวัน ครึ่งเดือน หรือตลอดชีวิตก็ไม่มีใครรู้ได้ พวกคุณต้องทำใจไว้”
มู่เวยเวยรู้สึกหดหู่ใจ ตลอดชีวิตหรอ มันนานเกินไป
กลับกัน เสี่ยวเหมยที่อยู่ข้างๆรู้สึกดีใจมาก นี่มันเป็นประโยชน์กับเธอทั้งนั้น
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็เงียบมาตลอดทาง ตอนนี้เป้นเวลาเย็นแล้วจางเห่อและบอดี้การืดอีกหลายคนจึงขับรถกลับบ้าน
“คุณชาย คุณหนู คุณชายรอง พวกคุณยุ่งทั้งวันคงหิวแล้วใช่มั้ย รีบมากินข้าวเลยครับ วันนี้ฉินหม่าทำของโปรดคุณชายไว้เยอะมาก” พ่อบ้านหวังพูดอย่างกะตือรือร้น
มู่เวยเวยมองไปรอบๆไม่เห็นลูกจึงถาม “ผิงอันล่ะคะ”
“จางเห่อเล่นกับซามอยเป็นเพื่อนคุณชายน้อยอยู่ครับ”
“ฉันไปหาลูกก่อน พวกคุณกินกันก่อนเลย” มู่เวยเวยส่งกระเป๋าให้กับเย่ฉ่าวเฉินตามความเคยชิน จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
เย่ฉ่าวเฉินมองกระเป๋าในมือนิ่ง เธอให้ เขาก็รับ นี่เป็นครั้งแรกที่ทำแบบนี้ แต่เขากลับรู้สึกว่าเขาทำแบบนี้มาหลายร้อยครั้งแล้ว
ฟานเสี่ยวเหมยมองแล้วกรอกตาอยู่ข้างๆ อยากเอากระเป๋านั่นไปโยนทิ้งจริงๆ
พ่อบ้านหวังกับเย่ฉ่าวเหยียนไม่เห็นฉากนั้น ระหว่างที่เดินไปห้องอาหาร เมื่อผ่านห้องนั่งเล่น เย่ฉ่าวเฉินก็เอากระเป๋าของมู่เวยเวยไปวางไว้
“คุณชายนี่คือที่นั่งของคุณครับ” พ่อบ้านหวังเลื่อนเก้าอี้ออกให้เขานั่ง
เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงโดยไม่ลังเล เย่ฉ่าวเหยียนนั่งลงตรงที่นั่งข้างขวาข้างๆเขา ส่วนฟานเสี่ยวเหมยก็รีบเดินไปเตรียมจะนั่งลงที่ที่นั่งข้างซ้าย แต่ก็ถูกพ่อบ้านหวังขวางไว้ก่อน “ขอโทษครับ นี่เป็นที่นั่งของคุณหนู”
ฟานเสี่ยวเหมยพูดอย่างไม่ยอม “แค่กินข้าวไม่ใช่หรอ นั่งต้องไหนต้องยึดไว้ด้วยรึไง”
พ่อบ้านหวังยิ้มอย่างใจดี “ขอโทษจริงๆครับ ตระกูลเย่ของเรามีธรรมเนียมแบบนี้มาโดยตลอด มีเพียงคุณหนูเท่านั้นที่สามารถนั่งที่ตรงนี้ได้” เย่ฉ่าวเหยียนแทบจะหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาไม่คิดว่าพ่อบ้านหวังจะโกหกได้จริงจังขนาดนี้ ทำไมเขาไม่เคยรู้เลยล่ะว่าบ้านตระกูลเย่มีธรรมเนียมแบบนี้ด้วย
ฟานเสี่ยวเหมยโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เธอหันไปขอความช่วยเหลือจากเย่ฉ่าวเฉิน “พี่ฉ่าวเฉิน ฉันอยากนั่งข้างพี่ เมื่อก่อนเรากินข้าวก็นั่งข้างกันนี่นา”
เย่ฉ่าวเหยียนคิดว่าเขาจะยอม คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินพี่ชายพูดว่า “นั่งที่ไหนก็เหมือนกัน เธอนั่งที่ตรงนั้นสิ อ้อพ่อบ้านหวัง ช่วยไปเรียกี่ของเสี่ยวเหมยมาด้วย”
“สาวใช้ไปเรียกแล้วครับ”
“อะแฮ่ม”
ทันทีที่พูดจบ พี่ชายของเสี่ยวเหมยก็เดินเข้ามา
เขานั่งข้างน้องสาว และพูดยิ้มๆ “กินข้าวหรอ ว้าว กับข้าวเยอะมาก นี่ ทำไมพวกคุณไม่กินสักทีล่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินอธิบายอย่างใส่ใจ “พี่สะใภ้กับลูกยังไม่มา”
พี่ชายของเสี่ยวเหมยไม่พอใจมาก “งั้นพวกเรากินก่อนไม่ได้รึไง”
“รอก่อนเถอะ เธอกำลังมาแล้ว”
เมื่อเห็นอาหารอันเลิศรสอยู่ตรงหน้าแต่กินไม่ได้ พี่ชายของเสี่ยวเหมยก็โมโหมาก แต่เพื่อน้องสาว เขาจึงต้องอดทนไว้
โชคดีที่รอเพียงสองสามนาที มู่เวยเวยก็อุ้มผิงอันเข้ามา มือของเธอยังเปือกอยู่ น่าจะเพราะเพิ่งล้างมือมา
เธอมองที่นั่งที่ว่างอยู่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะนั่งลงไปอย่่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นอาหวังก็เอาเด็กนั่งลงที่นั่งเด็กที่ตั้งอยู่ระหว่างทั้งสองคน
มู่เวยเวยมองกับข้าวตรงหน้า และเงยหน้าขึ้นมาพูดกับพ่อบ้านหวัง “อาหวัง ไปเอาไวน์แดงที่คุณชายเก็บมาหนึ่งขวด วันนี้พวกเราควรจะฉลองสักหน่อย”
“พูดถูก วันนี้ต้องฉลองจริงๆ” เย่ฉ่าวเหยียนเห็นด้วย
“ได้ครับ ผมจะไปเอามาเดี๋ยวนี้” พ่อบ้านหวังไปเอาไวน์มาอย่างอารมณ์ดี
สมองของเย่ฉ่าวเฉินยุ่งเหยิงทั้งวัน ตอนเที่ยงก็ไม่ได้กินข้าว ตอนนี้เขาจึงหิวมาก เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาและพูดเรียบๆ “ในเมื่อคนครบแล้วก็เริ่มกินเถอะ”
“ในที่สุดก็ได้กินแล้ว” พี่ชายของเสี่ยวเหมยพูดอย่างดีใจ และเริ่มกินอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ผิงอันกินอาหารย่อยง่ายๆได้แล้ว มู่เวยเวยตักเนื้อปลาชิ้นเล็กๆป้อนเข้าปากเขาหลังจากเช็คดีแล้วว่าไม่มีก้าง
“อร่อยไหม” มู่เวยเวยถามอย่างอ่อนโยน
ผิงอันกระพริบตาและพูดอย่างพอใจ “อร่อย”
ฟานเสี่ยวเหมยมองไปที่อาหารแสนอร่อยบนโต๊ะ และพบว่าส่วนใหญ่เป็นอาหารรสเบาๆ และมีขนมสองสามอย่าง ทันใดนั้นเธอก็หมดอารมณืกินทันที เธอชอบอาหารรสเผ็ด
“ไม่มีอาหารรสเผ็ดเหรอ ทำไมมันจืดจัง” เธอถาม
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้ม “คืออย่างนี้ พี่สะใภ้กินเผ็ดไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็เริ่มไม่กินเผ็ดกัน แถมกระเพาะของเด็กก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะกินอาหารที่อาจระคายเคืองกระเพาะได้”
ฟานเสี่ยวเหมยรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นเมื่อได้ยินอย่างนี้ มีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้เธอกินเผ็ด
“แต่ฉันชอบกินอาหารรสเผ็ด บนโต๊ะนี้มีแต่ของจืดๆ ฉันจะกินไดยังไง” ฟานเสี่ยวเหมยพูดค่อนขอด
ตะเกียบในมือของมู่เวยเวยหยุดไปชั่วขณะ เธอหันไปพูดกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆว่า “ไปบอกฉินหม่าให้ทำอาหารรสเผ็ดอีกสองจาน”
“ค่ะหญิงสาว”
“คุณฟาน คราวหน้าฉันจะบอกฉินหม่าให้ทำอาหารให้เธอโดยเฉพาะนะ”มู่เวยเวยพูดอย่างใจเย็น
ฟานเสี่ยวเหมยเหลือบมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังกินเงียบๆ และพูดว่า “พี่ฉ่าวเฉินกินเหมือนฉันตอนอยู่ที่บ้าน เขาก็ชอบกินเผ็ด เธอให้แม่ครัวทำเยอะหน่อย”
มู่เหว่ยเว่ยยังคงยิ้ม และหันไปถามเย่ฉ่าวเฉิน “รสปากคุณเปลี่ยนไปแล้วหรอ”
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสีเข้มของมู่เวยเวย ไม่รู้เพราะอะไรเขาจึงไม่กล้าพูดคำว่า “ใช่” ออกมา
“ผม..ผมกินยังไงก็ได้” หลังจากลังเลอยู่นาน เย่ฉ่าวเฉินก็พูดออกมา
“พี่ฉ่าวเฉิน” ฟานเสี่ยวเหมยรู้สึกไม่พอใจมาก
“เสี่ยวเหมยลองชิมก่อน ถึงรสไม่จัดแต่อร่อยนะ” เย่แ่าวเฉินปลอบเธอ
มู่เวยเวยแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ ฝีมือการทำอาหารของฉินหม่าเทียบได้กับพ่อครัวห้าดาวจะไม่อร่อยได้ยังไง ขนาดทำอาหารมังสวิระติยังเหมือนเธอได้กินเนื้ออยู่เลย
ฟานเสี่ยวเหมยมุ่ยปาก คีบอาหารเข้าปากหนึ่งคำ ว้าว รสชาติดีจริงๆ ไม่มีข้อโต้แย้งเลย
ผิงอันยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อของเย่ฉ่าวเฉิน เมื่อเขาหันกลับไป ผิงอันก็บอกยิ้มๆว่า “พ่อ กินโจ๊ะๆ”
แค่ลูกเรียกว่าพ่อ ใจของเย่ฉ่าวเฉินก็ละลายทันที แต่ที่บอกว่า “โจ๊ะๆ” คืออะไร
“กินโจ๊ะๆ” ผิงอันพูดอีกครั้ง
เย่ฉ่าวเฉินยังฟังไม่เข้าใจ จึงถามมู่เวยเวยเสียงเบา “ลูกจะกินอะไร”
“อยากกินโจ๊กในชาม คุณป้อนเขาหน่อย”
“อ๋อๆ อย่างนี้นี่เอง” เย่ฉ่าวเฉินยกชามโจ๊กขึ้นมา ตักช้อนเล็กๆ และป้อนเขาปากเล็กข้างๆ “ค่อยๆกิน”
เมื่อเห็นผิงอันกินไปคำใหญ๋เขาก็รู้สึกพอใจมาก
ฟานเสี่ยวเหมยมองไปที่ฉากแห่งความรักนั้นแล้วรู้สึกเสียใจมาก พี่ฉ่าวเฉินไม่เคยอ่อนโยนกับเธออย่างนี้มาก่อน
“ไวน์แดงมาแล้วครับ” พ่อบ้านหวังหยิบกล่องใส่ไวน์ที่ข้างในมีไวน์รสหอมและกลมกล่อมอยู่
“เทให้ทุกคนเลยค่ะ” มู่เวยเวยพูด
ไวนืแดงถูกเทลงในแก้ว จนกลิ่นหอมๆเริ่มกระจายเข้ามาในหัวใจ
มู่เวยเวยยกแก้วไวน์ขึ้นมา และพูดพลางยิ้มบางๆ “ตอนปีใหม่ พวกเราจุดตะเกียงขอให้เย่ฉ่าวเฉินกลับมาอย่างปลอดภัย ตอนนี้ความหวังของเราเป็นจริงแล้ว ก่อนอื่นฉันขอเป็นตัวแทนตระกูลเย่ขอบคุณคุณฟานทั้งสอง พวกคุณทำให้บ้านของเรากลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง”
“ใช่ครับ ต้องขอบคุณพวกคุณสองคนจริงๆ ถ้าไม่ได้พวกคุณสองคนช่วย พี่ชายของผมคงไม่ได้กลับมา” เย่ฉ่าวเหยียนก็ยืนยกแก้วไวน์ขึ้นเช่นกัน
สองพี่น้องตระกูลฟานต่างยิ้มแย้มยกแก้วไวน์ขึ้นมาชนกับทุกคน
พ่อบ้านหวังไม่ได้เทให้ทุกคนเยอะ มู่เวยเวยแค่จะดื่มให้มีความสุขหน่อยเท่านั้น พ่อบ้านหวังรีบพูดเสริม
“แก้วที่สองฉันขอเทให้ค่ะ” มู่เวยเวยจ้องผู้ชายที่อยู่ข้างๆ มีความเร่าร้อนแฝงอยู่ภายใต้แววตาอ่อนโยนของเธอ “ขอบคุณที่คุณไม่ยอมแพ้ ขอบคุณที่คุณเข้มแข็งมาตลอด แม้จะจำเรื่องราวเมื่อก่อนไม่ได้ แต่คุณก็ยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นคำปลอดใจที่ดีที่สุดของฉันแล้ว”
เมื่อปะทะสายตากับเธอ เย่ฉ่าวเฉินก้รู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ
หลังจากนั้น หลังจากนั้นเขาถึงเพิ่งรู้ว่านี่คือความรัก ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน แค่เขาเห็นเธอ เขาก็จะตกหลุมรักเธอทุกครั้ง
“ชนแก้ว” มู่เวยเวยชนแก้วของเขาเบาๆ และดื่มไวน์อีกครั้ง
เย่ฉ่าวเหยียนรู้ถึงความสามารถในการดื่มของเธอ เขาจึงอดเอ่ยปากไม่ได้ “เวยเวยดื่มน้อยลงหน่อย”
มู่เวยเวยยิ้มเหมือนเด็กๆ “ไม่เป็นไร วันนี้ฉันมีความสุข เมาก็เมาเถอะ”
“ถ้าเธอเมาพวกเราก็เสียเปรียบสิ ฉันโดนเธอทำลายนะ” เย่ฉ่าวเหยียนแกล้งเธอ
มู่เหว่ยเว่ยจ้องมองเขา “นี่ ไว้หน้ากันหน่อยสิ”
เย่ฉ่าวเหยียนยกมือขึ้นอย่างจำยอม “ก็ได้ อย่างมากก็แค่อุดหูแหละนะ”
เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความสนใจ “ทำไมเธอถึงห้ามเมา”
“เพราะเธอชอบร้องเพลงมากเวลาเมา แต่เธอร้องเพี้ยน” เย่เฉาหยานแบะมือออก
“เย่ฉ่าวเหยียน” มู่เวยเวยพูดโกรธๆ “ฉันจะร้องเพลงหน้าห้องนายทั้งคืนเลย”
“อย่าเลย ขอร้องหละ” เย่ฉ่าวเหยียนพูดในทันที
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะออกมา บรรยากาศแบบนี้อบอุ่นมาก
ช่าง…มีความสุขจริงๆ…