นอกจากเลขาหลิวก็รับรู้ได้ หรือผู้บริหารทุกๆท่านที่มาเข้าร่วมประชุม ทุกคนต่างก้มหน้าพูดคุยกันเบาๆ เมื่อวานไม่ใช่ว่าเพิ่งจะประชุมไปหรอ? ทำไมถึงประชุมอีก?
แต่ว่าเย่ฉ่าวเฉินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เย็นชา ระฆังเตือนภัยสั่นสะท้านขึ้นในใจของทุกคนที่นั่งอยู่
“ปัง——”เย่ฉ่าวเฉินนำข้อมูลหนึ่งกองโยนลงบนโต๊ะ มีหลายแผ่นไถลจากหน้าโต๊ะออกไปไกล ยังมีอีกหลายแผ่นล่วงลงบนพื้น
ในพริบตาห้องประชุมนั้นก็เงียบราวกับขี้เถ้าที่ถูกดับมอด อุณหภูมิโดยรอบลดลงหลายองศา มีผู้จัดการก้มลงอยากจะหยิบข้อมูลที่พื้นอย่างหวังดี เย่ฉ่าวเฉินก็มองด้วยสายตาพิฆาต
“ยังจะเก็บขยะประเภทนี้อีกหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินใช้น้ำเสียงเฉียบขาด
ผู้จัดการก็ตัวสั่น รีบนั่งลงด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่กล้าหายใจแรง
เย่ฉ่าวเฉินกวาดสายตาไปรอบๆอย่างเย็นชา พูดว่า “ฉันไม่อยู่นานขนาดนี้ พวกคุณก็สบายๆ ไตรมาสแรกสิ้นสุดแล้ว มูลค่าการซื้อขายยังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของช่วงเดียวกันของปีก่อนๆ ฉันเชิญพวกคุณมาใช้ชีวิตในวัยเกษียณหรอ?”
ทุกคนก้มหน้าลงอย่างไม่ได้นัดหมายกัน พูดตามความจริง สองสามเดือนมานี้ก็สบายมากจริงๆ
เย่ฉ่าวเฉินกอดอกเดินไปช้าๆ “ฉันรู้ แน่นอนพวกคุณอยากจะบอกว่าประธานเหยียนไม่คุ้นเคยกับธุรกิจ ดังนั้นจึงลดประสิทธิภาพลง ฉันยอมรับเหตุผลด้านนี้ แต่ว่า ไตรมาสแรกมีหลายสิ่งที่จัดการจากปีก่อนไว้เป็นอย่างดี ความขี้เกียจในการทำงานก็คือความขี้เกียจ อย่าหาเหหตุผลมาอ้างกับฉัน”
“รายงานที่ส่งมาเมื่อวานนี้ พวกคุณไม่ละอายใจที่จะเขียนขยะเหล่านี้ออกมา ก็ไม่ลายใจที่จะให้ฉันอ่านบ้างหรอ? คุณรู้ไหมว่าเย่ฮวางมีการแสดงเช่นนี้เมื่อสามปีก่อน? ทุกคนที่นั่งอยู่ ก็ถูกหักเงินเดือนหนึ่งเดือน นอกจากนี้ หากไตรมาสนี้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ฉันจะไล่ออกตั้งแต่ผู้จัดการยันพนักงานทั้งหมด เย่ฮวางของฉันไม่ใช่สถานสงเคราะห์คนชรา”
หลังจากต่อว่าจบ เย่ฉ่าวเฉินก็โมโหเดินออกไปจากห้องประชุมเลย
ในห้องประชุม คนมองไปที่หน้าประตู จากนั้นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก จากนั้นเสียงร่ำไห้ก็ดังขึ้นตามมา
“ฉันบอกว่าประธานเย่ใจดีมากในการประชุมเมื่อวานนี้ ยังคิดว่านิสัยของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ที่แท้ฉันคิดมากไป เฮ้อ……”
“ยอดขายเสื้อผ้าสตรีในช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปีนี้ต้องมากกว่าปีที่แล้ว โอ้พระเจ้า ใครจะมาช่วยฉันล่ะ?”
“พระเจ้าช่วยคุณไม่ได้หรอก มีแค่พวกผู้หญิงที่จะช่วยคุณได้ ไม่ต้องพูดแล้ว รีบหาวิธีเอาใจคุณผู้หญิง ทำให้พวกเธอมาซื้อเสื้อผ้ากันเถอะ”
เพราะว่าพรุ่งนี้เย่ฉ่าวเหยียนก็จำไปแล้ว มู่เทียนเย่กับเสี่ยวซีหร่านก็มาเพื่อส่งเขาเดินทาง
อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวา พ่อบ้านหวังจัดแผงย่างบาร์บีคิวริมทะเลสาบ เสียบไม้ย่างปลาย่างผัก รสชาติอาหารเทียบได้กับบาร์บีคิวมืออาชีพ
เสี่ยวซีหร่านทำอาหารไม่เป็น แต่มีฝีมือในการย่างบาร์บีคิว ไม่มีมาดของคุณผู้หญิง มาถึงก็ขอผ้ากันเปื้อนฉินหม่า เปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นแบนของเวยเวย พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มลงมือ แน่นอนว่ามู่เทียนเย่ไม่สามารถช่วยแฟนได้ ตัวเองยืนพัดอยู่ข้างๆ แล้วเช็ดเหงื่อให้
“พี่หร่าน คาดไม่ถึงว่าคุณจะเก่งขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีฝีมือขนาดนี้” เย่ฉ่าวเหยียนชื่นชมจากใจจริง
เสี่ยวซีหร่านยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “นี่อะไรกัน? สิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุดคือย่างแกะทั้งตัว แน่นอนว่าด้านนอกไหม้เกรียมแต่ด้านในยังนุ่มอยู่ สีสันกลิ่นหอนครบถ้วน”
“ห๊ะ พี่หร่าน นี่คุณมีความสามารถหลายด้านมากเลย ยังมีพี่สาวหรือน้องสาวไหม? แนะนำให้ฉันสักคนหนึ่งสิ” เย่ฉ่าวเหยียนพูดติดตลก
“ไม่มีหรอก สามชั่วอายุคนของตระกูลเสี่ยวของเรา ฉันเป็นลูกคนเดียว”
เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่มู่เทียนเย่ที่อยู่ข้างๆ ยิ้วพูดว่า “งั้นต่อไปพวกคุณก็ต้องมีลูกหลายๆคน ถ่ายทอดยีนที่ยอดเยี่ยมนี้ของคุณ”
เสี่ยวซีหร่านพลิกเสียบเนื้อในมือ “นั่นจำเป็น ฉันคิดไว้ดีแล้ว ถึงเวลานั้นฉันอยากมีลูกสักสองคน คนหนึ่งซี่เสี่ยว อีกคนหนึ่ง……”
“อีกคนหนึ่งก็ค้องแซ่มู่ นี่ยังต้องสงสัยอีกหรอ?” มู่เทียนเย่พูดอย่างเผด็จการ
เสี่ยวซีหร่านเลิกคิ้วขึ้น “ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของคุณ”
มู่เทียนเย่ไม่หลีกเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย จูบที่ติ่งหูของเธอ พูดว่า “ฉันรู้แล้ว ตอนกลางคืนฉันจะทุ่มเทพยายาม”
ใบหน้าของเสี่ยวซีหร่านเปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่ได้ตั้งใจ หันหน้าไปมองเขาอย่างเขินอาย
เย่ฉ่าวเหยียนถูกโจมตี จึงพูดอย่างเกินจริงว่า “โอ้พระเจ้าโอ้พระเจ้า ฉันไม่ไหวแล้ว ภาพบาดตาบาดใจนี้ ฉันต้องการผ่อนคลายสักหน่อย”
เสี่ยวซีหร่านไม่ต่อว่า ยังคงย่างบาร์บีคิวอย่างใจจดใจจ่อ เสลานี้พ่อบ้านหวังนำไวน์แดงมาสองสามขวด เธอเห็นก็ตะโกนเรียกเขา “คุณอาหวัง กินบาร์บีคิวต้องดื่มเบียร์ โดยเฉพาะต้องแช่เย็น คุณไปเอาเบียร์มาสักสองสามกล่อง”
เบียร์? พ่อบ้านหวังกลุ้มใจ ไม่มีใครในครอบครัวเคยดื่มเบียร์ ห้องเก็บไวน์ก็ไม่ได้เตรียมไว้
“ไม่มีหรอ?” เสี่ยวซีหร่านถาม
“ฉันจะให้คนไปซื้อตอนนี้เลย” เขาเป็นพ่อบ้านสารพัดประโยชน์เช่นนี้เลยหรอ?
เย่ฉ่าวเหยียนได้ยิน ล้วงโทรศัพท์ไปด้วยพูดไปด้วย “ไม่ต้องส่งคนออกไปหรอก พี่ชายฉันเพิ่งเลิกงานไม่ใช่หรอ? ฉันจะโทรหาเขา ให้เขาซื้อกลับมาด้วย”
“อืม โอเค”
มู่เวยเวยไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับบาร์บีคิวเลย หน้าที่หลักของเธอคือการดูผิงอัน อย่าให้ไปวุ่นวาย
เย่ฉ่าวเฉินกลับมาบ้านก็ให้พ่อบ้านหวังหยิบเบียร์ลง ตนเองก็กลับไปที่ห้องแล้วเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน มาที่ริมทะเลสาบก็เห็นภาพที่ดูมีความสุข ความเหนื่อยล้าในวันนี้ก็หายไปหมด
“พ่อ——” ผิงอันเรียกแล้ววิ่งเข้าไป เย่ฉ่าวเฉินก็ก้มตัวไปอุ้มขึ้นมา
“คุณเชื่อฟังไม่ดื้อใช่ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินแตะจมูกน้อยๆแล้วถาม
“ฉันไม่ดื้อ ไม่วุ่นวายเลย” ผิงอันพูดตาโต
“เด็กดีจริงๆ”
เสี่ยวซีหร่านเห็นว่าเขากลับมา ยกเนื้อย่างในมือแล้วพูดหยอกล้อว่า “โอ้ พระเอกความจำเสื่อมกลับมาแล้ว”
“พวกคุณก็มาด้วย” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มทำอะไรไม่ถูก
เสี่ยวซีหร่านหันหน้าไปถามมู่เทียนเย่อย่างจงใจ “ใช่สิ ดูเหมือนฉันจะจำได้ว่าสองวันก่อนมีคนจะมาลงมือกับฉันในงานแต่งของเขา คนคนนั้นคือใครอ่ะ”
มู่เทียนเย่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย “ฉันก็จำได้ว่าหมอนั่นไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ใครนะ”
เย่ฉ่าวเฉินก็ยอมอ่อนข้อโดยทันที ขอโทษจากใจจริง “ขอโทษด้วยขอโทษด้วย ในตอนนั้นฉันสับสน ไม่ได้ให้เกียรติราชินีเสี่ยว นายท่านอยู่สนใจคนต่ำต้อยเลย ปล่อยฉันไปสักครั้งหนึ่งได้ไหม?”
เดิมทีเสี่ยวซีหรานต้องการแกล้งเขาอีกสองสามประโยค เห็นเขาทำท่าทีเช่นนี้ ก็มีความสุขแล้ว “ยากนะที่จะเห็นคุณถ่อมตัวเช่นนี้”
“แน่นอน ฉันรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองมาโดยตลอดและสามารถแก้ไขได้” เวลานี้เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ลืมที่จะปิดทองหลังพระให้ตนเอง
ท้องฟ้ามืดลง เสี่ยวซีหร่านก็ย่างเนื้อจานใหญ่สองจาน จากนั้นก็ให้ที่ตำแหน่งแก่ฉินหม่าไป
เย่ฉ่าวเฉินเติมเบียร์ให้คนทั้งสี่ มู่เวยเวยก็รีบพูดว่า “ฉันก็ต้องดื่ม”
“คุณดื่มน้ำผลไม้เถอะ” เย่ฉ่าวเฉินรู้ความสามารถในการดื่มเหล้าของเธอดี
“หนึ่งแก้วไม่เมาหรอก”
“พี่ ให้เธอดื่มสักแก้วเถอะ ทุกคนเป็นคนในครอบครัว ขายหน้าก็ไม่เป็นไร”
เสี่ยวซีหร่านก็หัวเราะ เรื่องขายหน้าของเวยเวยเธอรู้จากปากมู่เทียนเย่มาก่อนแล้ว ดูน่าสนุกไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต “ใช่ใช่ ทุกคนเป็นคนในครอบครัว ขายหน้าก็ไม่หัวเราะเยาะเธอหรอก”
เย่ฉ่าวเฉินจนปัญญา จำใจเทเหล้าให้ฝ่ายหญิงหนึ่งแก้ว
เย่ฉ่าวเหยียนใบหน้างดงาม บุคลิกดูดี เขายกแก้วขึ้นและพูดว่า “ขอบคุณพี่มู่กับพี่หร่านที่มาส่งฉัน ดื่มให้พวกคุณหนึ่งแก้วด้วยความเคารพ”
เงยหน้าขึ้น ทั้งสามคนดื่มอึกเดียวหมด
“แก้วที่สอง ฉันเคารพเวยเวย” เย่ฉ่าวเฉินเผยรอยยิ้มในดวงตา “ถ้าไม่ใช่คุณ พี่ของฉัน ฉันแล้วก็พี่มู่ เราอาจเกลียดกันไปตลอดชีวิต เพราะคุณ เราจึงสามารถนั่งด้วยกันอย่างสันติได้ในวันนี้ ขอบคุณนะ”
มู่เวยเวยชนแก้วกับเขาเล็กน้อย “คุณพูดสุภาพขนาดนี้ฉันเกรงใจเลย เมื่อก่อนคุณก็ช่วยฉันไว้มาก เพื่อนกันไม่ต้องพูดสุภาพขนาดนี้หรอก ชนแก้ว” พูดจบเธอก็เงยหน้าขึ้นทันที ทำได้จริงๆ
เร็วจนเย่ฉ่าวเฉินห้ามไม่ทัน
เย่ฉ่าวเฉินอยากให้เธอเป็นอิสระ คาดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าได้กล้าเสียขนาดนี้ ดื่มเบียร์หมดแก้วโดยไม่ลังเลสักนิด
เติมแก้วที่สาม เขาจึงมองไปทางพี่ชายของตนเอง “พี่ แก้วนี้ฉันเคารพพี่ ขอบคุณที่คุณทำทุกอย่างเพื่อตระกูลเย่ ฉันจึงสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างสบายใจ แสวงหาชีวิตที่ฉันต้องการ ขอบคุณนะ”
“เด็กน้อย คุณมาสุภาพอะไรกับพี่ชายล่ะ? ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่ฉันควรทำ”
กิ๊ง ชนแก้วด้วยกัน เสียงใสดังขึ้นมา
“เอาล่ะ กินแล้วนะ” มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหลหลังจากได้กลิ่นหอม หยิบมาหนึ่งไม้แล้วกัดหนึ่งคำ ว้าว รสชาตินี้ อร่อยเหลือเกิน
“กินกินดื่มๆมันไม่มีความหมายอะไร เรามาเล่นอะไรกันดีกว่า” เสี่ยวซีหร่านกล่าว
“เล่นอะไรล่ะ?” มู่เวยเวยหยิบบาร์บีคิวถามอย่างเยินยอ
ดวงตาของเสี่ยวซีหร่านหันไปรอบๆ แล้วก็ไปตกที่เย่ฉ่าวเฉิน หัวเราะพูดว่า”เย่ฉ่าวเฉิน ขอถามหน่อยนะ คุณมีพลังพิเศษอะไร”
ทันทีที่พูดคำนี้ ที่เกิดเหตุก็เงียบไปชั่วขณะ ดวงตาทั้งหมดจดจ่อไปที่เย่ฉ่าวเฉิน เพราะว่าทุกคนก็อยากรู้เรื่องนี้อย่างมาก เพียงแต่นี่เป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา เกรงใจที่จะถามก็เท่านั้น
เย่ฉ่าวเฉินเห็นเสี่ยวซีหร่านมองมาที่เขาด้วยสายตามุ่งร้าย ถามอย่างระวังตัวว่า “คุณคิดจะทำอะไร?”
เสี่ยวซีหร่านไม่เขินอาย พูดอย่างสบายใจมากว่า “ไม่ได้จะทำอะไร ก็แค่……ฉันคนนี้ประหลาดใจมาก ฉันอยากเข้าใจขอบเขตอันนี้สีกหน่อย”
เย่ฉ่าวเฉินมองคนอื่นๆ รวมถึงมู่เวยเวยก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จำใจต้องประนีประนอม “ช่างเถอะ วันนี้ฉันอารมณ์ดี ก็จะทำให้พวกคุณดู”
“คุณจะทำให้ฉันเห็นใช่ไหม?” เสี่ยวซีหร่านไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง
เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความเย่อหยิ่ง “คุณจะไม่ให้ฉันแสดงหลังจากที่ฉันพูดไปหรือไง?”
“ให้สิ” เสี่ยวซีหร่านย่ำเท้าของอย่างมีความสุข เธอแค่ถาม แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะเห็นด้วยกับคำขอที่ไร้เหตุผลนี้
“งั้นก็หมดเรื่องแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินพูดจยก็หลับตา เมื่อลืมตาอีกครั้ง ตาสีฟ้าก็เปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงไปแล้ว เขางอนิ้วของเขา บาร์บีคิวสองสามไม้จากจานบนโต๊ะก็ลอยขึ้นมา ชี้อีกครั้ง บาร์บีคิวก็ลอยไปอยู่ตรงหน้าของคนทั้งสี่
นอกจากมู่เวยเวย อีกสามคนก็ประหม่ามากที่จะคว้าไม้บาร์บีคิวตรงหน้า
มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้ชมอย่างใกล้ชิด
ต่อมา เย่ฉ่าวเฉินก็ทำให้ขวดเหล้าสองขวดลอยขึ้น ปากขวดหันลง เมื่อทุกคนคิดว่าเหล้าจะหกลงมา ขอเหลวก็แยกเป็นสี่มุมเทลงแก้วของทั้งสี่คน หลังจากเทเต็มแล้ว ขวดเหล้าก็ค่อยๆล่วงลงมาเป็นปกติ
“ยังมีหายไปในพริบตา ลอยมาลอยไป สิ่งเหล่านี้พวกคุณเคยเห็นแล้ว แล้วก็หยุดเวลา อันนี้ทำแล้วพวกคุณจะไม่รู้สึกอะไร” เย่ฉ่าวเฉินพูดเรียบๆ
เสี่ยวซีหร่านกับมูเทียนเย่มองตากัน ครั้งนี้เป็นการเปิดหูเปิดตาจริงๆ
“เย่ฉ่าวเฉิน เมื่อไหร่กันที่คุณรู้ว่ามีพลังที่แตกต่างซ่อนอยู่ในตัวคุณ” เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างสนใจมาก
“ตอนเรียนมัธยม” เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วนึกสักครู่แล้วพูดว่า “มีอยู่คืนหนึ่ง ฉันตกใจตื่นจากความฝัน จู่ๆฉันก็พบว่าตัวเองลอยอยู่ในอากาศ ฉันยังคิดว่าผีหลอก อยากจะตะโกนดังๆ แต่ไม่มีเสียง ฉันก็หล่นลงบนเตียง ต่อมาก็ค่อยๆ ฉันพบว่าเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับฉัน ตาของฉันก็จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง”
“ฉันจำได้ว่าคุณรู้สึกหดหู่ใจมากในช่วงหนึ่ง ขังตัวเองอยู่ในห้องตลอด ฉันเรียกคุณไปเล่นด้วยกัน คุณก็ไม่สนใจฉัน คือตอนนั้นใช่ไหม?” เย่ฉ่าวเหยียนถาม
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า ยิ้มเจื่อนๆพูดว่า “ใช่ ในเวลานั้นฉันพบว่าร่างกายตนเองผิดปกติ กลัวมาก ฉันคิดว่าตนเองเป็นปีศาจหรือถูกผีเข้าสิง เดิมทีก็ไม่กล้าพูดคุยกับคนในครอบครัว แล้วก็ไม่กล้าทำให้พวกเขาเห็น ดังนั้นจึงจำใจต้องขังตนเองไว้”
ได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของเขา มู่เวยเวยก็เจ็บปวดใจแทนเขาเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่า นักเรียนคนหนึ่งที่ยังไม่รู้จักโลกทุกด้านทุกมุม จู่ๆต้องเผชิญหน้ากับตนเองว่าจริงๆอาจจะเป็นลูกปีศาจ ไม่หมดอาลัยตายอยากก็ดีแล้ว”
สถานที่ตกอยู่ในความเงียบ เวลานี้ บาร์บีคิวสองสามไม้บนโต๊ะลอยขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีกฏเกณฑ์ ชนกันยุ่งเหยิงไปหมด
“ฉ่าวเฉิน อย่าเล่นสิ” มู่เวยเวยหลบหลีกมันฝรั่งทอดจำนวนมากที่บินตรงมาหาตนเอง รีบพูดกับเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินกางมือออก “ฉันยังไม่ได้ขยับเลย”
“งั้นของเหล่านี้ลอยมาได้ยังไงล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินก็นึกอะไรบางอย่างได้ สายตาของเขาตกไปที่อยู่ลูกชายข้างๆ เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เขาหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ผิงอัน หยุดเดี๋ยวนี้” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเอาจริงเอาจัง
ผิงอันถูกพ่อทำให้ตกใจกลัว พลังเหนือธรรมชาติก็หายไป จากนั้นเนื้อและผักในอากาศก็หล่นลงมา โชคดีที่ไม่ตกใส่คนสามสี่คนนั้น
เย่ฉ่าวเฉินใช้นิ้วเขี่ยที่ไหล่ของเขา ให้เขามองตน พูดอย่างเฉียบขาดจริงจังว่า “ต่อไปนี้นอกจากในบ้าน ก็ห้ามทำซี้ซั้วอีก”
ผิงอันจะเข้าใจความหมายทำซี้ซั้วของเขาได้อย่างไร รู้สึกอยากที่จะแสวงหาความรู้เลยถามว่า “ทำซี้ซั้วคืออะไร?”
เย่ฉ่าวเฉินกลุ้มใจ “ก็คือทำเหมือนเมื่อกี้นี้ ทำให้ของลอยขึ้นมา หรือว่าทำให้ตนเองลอยไปลอยมา”
ผิงอันพูดอย่างไม่สบายใจ “งั้นเมื่อกี้คุณก็ทำซี้ซั้ว ทำไมฉันจะทำไม่ได้?”
เย่ฉ่าวเฉินระงับความโกรธในใจ อธิบายอย่างอดทน “เพราะว่าคุณยังเป็นเด็ก ยังไม่สามารถควบคุมพลังเหล่านี้ได้ดี เหมือนเมื่อกี้ คุณเกือบทำร้ายแม่ อีกทั้งถ้ามีถูกคนเห็นว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจะจับคุณไป คุณก็จะไม่ได้เห็นพ่อแม่ไปตลอดกาล”
ผิงอันเผยความกลัวให้เห็น หันไปมองมู่เวยเวย “แม่ คนร้ายจะมาจับตัวฉันไปหรอ?”
“ใช่ ถ้าคุณไปทำเช่นนี้ข้างนอก คนร้ายจะมาจับตัวคุณไป”
ผิงอันดูเหมือนจะคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “งั้นโอเค ต่อไปฉันจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว”
ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็โล่งอก “เด็กดี รอให้โตขึ้นอีกหน่อยพ่อจะสอนคุณว่าพลังเหล่านี้ใช้อย่างไร”
“อืม” ผิงอันหดหู่เล็กน้อย จริงๆเมื่อกี้นี้เขารู้สึกว่าสนุกมากๆ แต่ในเมื่อพ่อกับแม่บอกว่าไม่ให้ทำ งั้นต่อไปเขาจะแอบๆเล่นในห้องของตัวเอง”
ทั้งสามคนรวมถึงเย่ฉ่าวเหยียนตกใจ ผิงอันก็ได้รับการถ่ายทอดยีนนี้ด้วยหรอ?
มู่เวยเวยพูดอย่างจนปัญญา “ฉันคาดว่าลูกศิษย์จะเก่งกว่าครูซะอีก เมื่อไม่นานมานี้ที่เราถูกลักพาตัว ในคืนหนึ่งจู่ๆฉันพลิกตัวก็พบว่าเขาหายไป เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็ลอยอยู่ตรงหน้าฉัน ในเวลานั้นฉันกลัวมากจนแทบจะกรีดร้อง ต่อมาระหว่างทางฉันกลัวว่าคนอื่นจะค้นพบความผิดปกติของเขา เวลานอนหลับในทุกๆคืนจำเป็นจะต้องจับแขนเขาไว้”
เย่ฉ่าวเฉินพูดต่อว่า “ยังมีอีก วันนี้ตอนเช้าที่ฉันกระโดดลงมา เป็นเขาที่หยุดเวลาไว้ แล้วยังเรียกฉันให้ฟื้นอีก”
“ห๊า?” สายตาของทุกคนจดจ่อไปที่เจ้าตัวเล็ก โอ้พระเจ้า เขายังเด็กก็เก่งขนาดนี้เลยหรอ? แล้วตอนโตล่ะ?
ผิงอันยิ้มตาหยีแล้วหันกลับไปมองทุกคน รูปร่างเล็กๆที่ไม่เป็นอันตรายของคนๆหนึ่ง
“ฉันกลัวว่าตอนที่เขาจะเข้าอนุบาลในอีกสองปีข้างหน้า จะใช้พลังวิเศษต่อกน้าเด็กๆมากมาย แล้วพวกเราจะปิดบังล้วนก็ปิดบังไม่ได้แล้ว” มู่เวยเวยพูดอย่างเป็นกังวลมาก
คิดถึงฉากนั้น คุณครูตักข้าวให้เด็กน้อยทีละคน จู่ๆถ้วยชามหม้อทัพพีก็ลอยขึ้นมา ทุกคนจะมีปฏิกริยายังไง?
ผิงอันถามอย่างเอาจริงเอาจังว่า “อะไรคืออนุบาล?”
“ก็คือที่ที่มีเพื่อนๆเยอะแยะเลย” มู่เวยเวยพูด
ผิงอันพูดอย่างดีใจว่า “ฉันอยากไป”
“ไม่ได้ ตอนนี้คุณยังอายุน้อยเกินไป ต้องผ่านไปอีกสองปี”
“อ้อ” ผิงอันก้มหน้าลงในชั่วพริบตา “สองปีนานจัง”
เย่ฉ่าวเฉินลูบหัวน้อยๆของเขา “ถ้าคุณเชื่อฟังพ่อล่ะก็ ไม่ทำตัวงี่เง่า พ่อจะลองคิดเรื่องที่จะส่งคุณเข้าอนุบาลล่วงหน้าก่อนปีหนึ่ง”
“จริงหรอ?” ดวงตาของผิงอันเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง
“จริงแน่นอน”
“โอเค ฉันจะไม่งี่เง่า” ผิงอันพูดจริงจังอย่างมาก
ละครที่ดีฉากหนึ่งสิ้นสุดลง เสี่ยวซีหร่านรู้สึกว่าเธอได้รู้จักกับโลกใบหนี้ใหม่
บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง มู่เวยเวยดื่มเหล้าไปไม่น้อยแล้ว ทานเนื้อไปก็ไม่น้อย ดมาตาปรือ เธอยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันอยากร้องเพลง”
ชั่วพริบตาทุกคนก็ลำบากกันถ้วนหน้า เคาะแก้วเหล้าลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “มาๆๆ ฉันจะบรรเลงเพลงให้พวกคุณ ร้องเพลงอะไร?”
“เวยเวย คุณทานปลาย่างก่อนได้ไหม? คุณอาหวังย่างปลาตัวนี้มาอร่อยมากเลย” เย่ฉ่าวเฉินลองทำให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะร้องเพลง
มู่เวยเวยพิจารณา แน่นอนว่าไม่ยินยอม ตบๆท้องแล้วพูดว่า “ฉันอิ่ม ไม่กิน”
“เร็วหน่อย อยากร้องเพลงอะไร?”
มู่เวยเวยเอียงหัวคิดอยู่นาน เริ่มประโคม “ตอนนี้มู่เวยเวยราชินีแห่งสวรรค์นำเสนอเพลงที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นที่จดจำในค่ำคืนนี้”
“วู้ว——” เสี่ยวซีหร่านส่งเสียงเชียร์ ผิงอันก็เข้ามาร่วม ปรบมือน้อยๆให้แม่
มู่เวยเวยกระแอมสองทีให้คอโล่งเตรียมเริ่มการแสดง สุภาพบุรุษทั้งสามคนที่อยู่ในสถานที่แสดงอาการอยากที่จะวิ่งหนีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ราตรีนี้ยากจะลืมได้ ราตรีนี้ยากจะลืมได้ ถึงแม้ไกลสุดปลายฟ้ามหาสมุทร…….”
ครั้งแรกที่เอ่ยปาก เสี่ยวซีหร่านก็ช็อก แล้วก็หัวเราะอย่างตลกขบขันขึ้นมา พระเจ้า ทำไมเธอช่างไม่มีท่วงทำนองเสียงเอาซะเลยล่ะ? ทำไมเธอต้องรนหาที่ตายมาอยากฟังเธอร้องเพลงด้วย?
เย่ฉาวเฉินคนอื่นๆก็อดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก
มู่เวยเวยยิ่งร้องยิ่งคึกคัก เสียงร้องพร้อมทั้งจังหวะท่วงทำนองของตนเอง “ราตรีนี้ขอลาก่อนราตรีนี้ขอลาไป ทั้งมิตรใหม่สหายเก่าเคยร่วมสุขี จวบปีหน้าฟ้าใหม่ถึงวัน……ใบไม้ผลิ คนไม่แก่ ตราบเท่าเขาเขียวขจี…….”
ร้องเพลงจบ ผิงอันก็ปรบมืออย่างตื่นเต้น เสี่ยวซีหร้านก็ชื่นชมอย่างเต็มที่ “ร้องได้ดี”
มู่เวยเวยถูกให้กำลังใจเชื่อมั่นในตัวเองหัวใจพองโต หลังจากดื่มเหล้าให้ชุ่มคออึกหนึ่ง จึงพูดเสียงดังว่า “ในเมื่อทุกคนชื่นชอบแบบนี้ ฉันจะร้องมอบให้อีกเพลงหนึ่ง”
“อ้อ——ไม่ต้อง——” มู่เทียนเย่ปิดหน้า นี่ไม่ใช่น้องสาวของเขา ใครต้องการก็รีบเอาไปเลย
เสี่ยวซีหร่านนั่งลงบนม้านั่ง”ตึง” ใบหน้าของเธอหยุดไปด้วยเสียงหัวเราะ ศักยภาพของเธอตีความว่าอะไรที่เรียกว่ารนหาที่ตาย
เย่ฉ่าวเฉินมองภรรยาอย่างสับสนงุนงง เขาอยากจะดึงภรรยากลับไป กดลงบนเตียง ปิดปากนั้นที่อ้าของเธอ ทำอะไรก็ดีหมด แต่อย่าร้องเพลงเลย
ถึงแม้เย่ฉ่าวเหยียนที่อยู่ข้างๆจะกำลังหัวเราะ แต่ในสายตามีความไม่เต็มใจที่ไม่สามารถอธิบายได้ มู่เวยเวยแบบนี้ เขาคงไม่เจออีกนานแสนนานเลยใช่ไหม
มีเพียงผิงอันตัวน้อยในฐานะผู้ฟังและผู้ชมที่ดีเท่านั้น ที่กระตือรือร้นในการปรบมือให้เธอ
“ลำดับต่อไปฉันจะนำเพลงห้าวงแหวนมาร้องให้ทุกคนฟัง หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบ ดนตรีขึ้น”
เสี่ยวซีหร่านรีบหยิบตะเกียบเคาะแก้วเหล้า เพื่อนที่ไม่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ บางทีมู่เวยเวยอาจจะหาไม่ได้อีกแล้ว
“อา~วงแหวนที่ห้า คุณเป็นมากกว่าวงแหวนที่สี่หนึ่งวง……”
ร้องไปๆ เสี่ยวซีหร่านก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาร่วม ร้องเพลงตามเธอ เพียงแต่ทำนองนั้นแม่นยำกว่าเธอมาก แต่ถึงแม้ว่าจะแม่นยำ ก็ถูกเสียงของมู่เวยเวยโน้มน้าว ด้วยเหตุนี้เสียงนักร้องเดี่ยวหญิงก็แทบจะกลายเป็นนักร้องคู่
“ในที่สุดต้องมีสักวันที่คุณจะสร้างวงแหวนที่เจ็ด สร้างวงแหวนที่เจ็ดต้องทำยังไง? คุณเป็นมากกว่าวงแหวนที่ห้าสองวง…..โอ้~ปรบมือ——”
สุภาพบุรุษทั้งสามปรบมืออย่างไม่สมัครใจ
“ลำดับต่อไป…….”
“เดี๋ยวก่อน” ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตัดบทคำพูดของเธอ “เวยเวย คุณพักผ่อนสักหน่อยก่อน พวกเราเปลี่ยนคนร้อง”
“ใช่ๆ ให้กล่องเสียงได้พัก” มู่เทียนเย่รีบพูด
“งั้นก็โอเค” มู่เวยเวยก้มหน้าและนั่งลงเพื่อทุกคนอย่างภาคภูมิใจ
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจโล่งอก จับฉลากคว้าน้องชายขึ้นมา “ลำดับต่อไป เย่ฉ่าวเหยียนจะร้องเพลงให้ทุกคนฟัง”
“วู้ว~วู้ว~” เสียงร้องตะโกนดังกว่าเดิมมาก
เย่ฉ่าวเหยียนจ้องมองพี่ชายของตนเองที่ทรยศ เอาเถอะ ทุ่มสุดตัว ลุกขึ้นยืดคอเสื้อทำคอให้โล่ง “งั้นฉันจะร้องเพลงเก่าเพลงหนึ่งเพื่อทุกคน silenceของJay Chou มอบให้ทุกคน”
ปรบมือเสียงดังอย่างยินดี ที่ทุ่มสุดกำลังก็คือมู่เวยเวยที่เมา เพราะนักร้องที่เธอชื่นชอบที่สุดคือJay Chou ถึงอย่างไรน้ำเสียงห้าโทนของตนเอง ไม่กล้าสบประมาทไอดอลของตนเองโดยสิ้นเชิง
เหลือเพียงเปียโนอยู่คุยกับฉันทั้งคืน…….”
ทักษะการร้องเพลงของเย่ฉ่าวเหยียนนั้นสูงกว่ามู่เวยเวยหลายเท่า เมื่อรวมกับเสียงที่มีเสน่ห์แล้ว ไม่นานบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวก็สงบลงมาเหมือนชื่อเพลง
ตลอดคืนนี้ เสียงเพลงและเสียงหัวเราะดำเนินไปจนถึงช่วงดึกจึงจบลง
เที่ยวบินของเย่ฉ่าวเหยียนคือเช้าเจ็ดโมงครึ่ง เขาลุกขึ้นมาจากเตียงตอนตีห้า หลังจากเก็บของเสร็จก็ลงไปชั้นล่างพร้อมกับกระเป๋าที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นพี่ชายจะยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถ
“พี่ คุณ……” เย่ฉ่าวเหยียนไม่อยากรบกวนการนอนของทุดคน คิดว่าแอบๆไปดีกว่า
เย่ฉ่าวเฉินยกสัมภาระของเขาวางท้าบรถ ดึงประตูรถแล้วพูดว่า “ไป พี่จะไปส่งคุณที่สนามบิน”
รอบดวงตาเย่ฉ่าวเหยียนร้อนเล็กน้อย พี่ชายเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออกมากนัก แต่เขากระทำเรื่องราวมากมายอย่างเงียบๆ ทางกลับกัน แต่เพราะปัญหาทางอารมณ์ความรู้สึกน้องชายของเขาคนนี้ กลับถอยห่างจากเขา
ขณะเดินทาง สองพี่น้องไม่ได้พูดจา เพลงอังกฤษที่ไพเราะกำลังเล่นอยู่ในเครื่องเสียงรถยนต์
เวลายังเช้าอยู่ รถทางไปยังสนามบินไม่เยอะ ถนนกว้างมาก รถของเย่ฉ่าวเฉินรักษาความเร็วไว้ที่100
หลังจากถึงสนามบิน เย่ฉ่าวเฉินไปเป็นเพื่อนเขาเปลี่ยนบอร์ดดิ้งการ์ด นำสัมภาระฝากส่ง สุดท้ายก็มาถึงทางเข้าตรวจเช็คความปลอดภัย
เย่ฉ่าวเหยียนเอ่ยปากก่อน “พี่ คุณกลับไปเถอะ”
“อื้ม” เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่น้องชายคนนี้ที่ต้องจากไปไกล เจ็บปวดใจเล็กน้อย “คุณดูแลตัวเองให้ดีๆนะ”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้ม “ฉันโตขนาดนี้แล้ว ก็ต้องดูแลตัวเองได้สิ”
“รอคุณเรียนหนังสือจบแล้ว พวกเราค่อยไปเยี่ยมคุณปู่ด้วยกัน นานแล้วไม่ได้ไปหา” เย่ฉ่าวเฉินการเรื่องพูด
“โอเค”
เสียงวิทยุกระจายเสียงประกาศให้เที่ยวบินเข้าตรวจสอบความปลอดภัยโดยเร็ว เย่ฉ่าวเฉินอ้สแขนแล้วกอดน้องชายไว้แน่นเล็กน้อย พูดเบาๆว่า “แล้วพบกัน”
“แล้วพบกัน”
ปล่อยอ้อมกอดที่อบอุ่น เย่ฉ่าวเหยียนก็หันเดินเข้าทางเข้าตรวจสอบความปลอดภัยไป
อันที่จริงเขาอยากจะพูดอย่างมากว่า ฉ่าวเหยียน อะไรควรปล่อยวางก็ปล่อยวางเถอะ หาผู้หญิงที่ชอบสักคนหนึ่ง
คำพูดในปากเขายังคงอดกลั้นไว้ เขาไม่ควรจะขออะไรน้องชายมากเกินไปเช่นนี้ เมื่อเขาตกทุกข์ได้ยากฉ่าวเหยียนก็เลิกเรียนและกลับมาอย่างแน่วแน่เพื่อรองรับภาระทั้งหมด เมื่อเขากลับมาอย่างปลอดภัยก็หันหลังให้ทุกอย่างและจากไป เขาไม่สามารถขออะไรได้อีก
น้องชายดีเลิศเช่นนี้ เย่ฉ่าวเฉินเชื่อว่า เขาจะต้องหาผู้หญิงที่เป็นดั่งพรหมลิขิตคนนั้นได้อย่างแน่นอน
กลับถึงบ้าน ท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านทานข้าวเช้าแล้วก็ออกไปแล้ว เพราะมู่เวยเวยดื่มเหล้าไปมากเลยยังไม่ตื่น เย่ฉ่าวเฉินมาถึงห้องเห็นเธอที่หลับสนิทก็อดไม่ได้ที่จะรบกวน ก้มลงไปจูบที่หน้าผากของเธอเล็กน้อย พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ฉันไปหาเงินแล้ว คุณหลับอย่างเชื่อฟังนะ”
วันนี้ตอนเช้า เลขาฯหลิวเคาะแล้วเปิดประตูห้องเย่ฉ่าวเฉิน “ประธานเย่ คุณเวินหย่าของเทียนติ่งเอนเตอร์เทนเมนต์มาแล้วค่ะ
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นจากงานที่ซับซ้อน เวลาเดียวก็สับสนงุนงงเล็กน้อย “ใคร?”
“คุณเวินหย่าของเทียนติ่งเอนเตอร์เทนเมนต์ ก็คือคู่หมั้นของคุณหนานกงเฮ่า” เลขาฯหลิวอธิบายประโยคหนึ่ง หลายวันมานี้สื่อแต่ละสำนักต่างก็รายงานเรื่องนี้ เลขาฯหลิวยากที่จะไม่รับรู้
เย่ฉ่าวเฉินตอบสนองให้เข้ามา ใช่แล้ว เพื่อนนักเรียนของตนเองที่เคยเจอกันที่โรงพยาบาลครั้งที่แล้ว เพียงแต่เธอมาทำอะไร?
“เชิญเข้ามา” เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นจัดแขนเสื้อของเขา เดินไปยังหน้าประตู
อย่างรวดเร็ว สาวสวยสวมชุดเดรสสวยโดดเด่นก็ปรากฎตรงหน้า บรใบหน้สแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “ฉ่าวเฉิน ในที่สุดก็ได้พบคุณ”
“สวัสดี เพื่อนเก่า” เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือไปเช็คแฮนด์เล็กน้อยแล้วก็ปล่อยทันที “เชิญนั่ง”
เวินหย่ายิ้มอย่างไม่ยินดียินร้าย กล่าวหยอกล้อว่า “ในที่สุดคุณก็จำฉันได้แล้วหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินกล่าวขอโทษ “ครั้งที่แล้วต้องขอโทษด้วย คุณเปลี่ยนไปมากจริงๆ คล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนเลย ฉันเลยนึกไม่ออกจริงๆ”
“เด็กผู้หญิงเมื่อโตขึ้นแน่นอนว่าจะไม่ใช่รูปร่างลักษณะแบบเมื่อก่อน” เวินหย่าพูดอย่างอ่อนโยน เป็นความอ่อนโยนที่ใครก็ยากที่จะต้านทานได้
เธอสังเกตห้องทำงานของเขาด้วยกริยาท่าทางที่สง่า ยิ้มจางๆแล้วกล่าวว่า “เมื่อก่อนในห้องคุณเย็นชาที่สุด และไม่ชอบสนใจผู้หญิงอย่างพวกเราเหล่านี้ คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งคุณจะกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองAของพวกเรา”
“ที่ไหนกัน เทียนติ่งเอนเตอร์เทนเมนต์ของพวกคุณก็เก่งกาจอย่างมาก” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวอย่างเกรงใจ
เวลานี้เลขาฯหลิวเอากาแฟเข้ามาเสิร์ฟ
เวินหย่าก็ไม่พูดอ้อมค้อม ล้วงบัตรเชิญงานแต่งออกมาจากในกระเป๋า “ฉันจะแต่งงานแล้ว ตั้งใจเชิญคุณและภรรยาของคุณมาเข้าร่วม”
เย่ฉ่าวเฉินนิ่งอึ้งไป คล้ายกับเธอเคยพูดเรื่องนี้ที่โรงพยาบาลครั้งที่แล้ว หยิบมาแล้วพลิกเปิดดู คอลัมน์เจ้าบ่าวเขียนชื่อของหนานกงเฮ่า
เวลาคือวันที่หกเดือนมิถุนายน เหลือเวลาอีกไม่ถึงอาทิตย์
สองคนนี้กลายเป็นจริงหรอ? เพียงแต่ยังไงเขาก็รู้สึกว่าเจ้าหนานกงเฮ่านั่นไม่คู่ควรกับเวินหย่า
“ยินดีกับพวกคุณด้วยนะ” เย่ฉ่าวเฉินปิดบัตรเชิญ อวยพรตามมารยาท
“อันที่จริงที่ฉันมาวันนี้ในฐานะทูตสันติภาพ เรื่องราวระหว่างคุณและหนานกงเฮ่า ฉันก็เคยฟังเขาพูดมาเล็กน้อย แต่เรื่องราวก็ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ฉันคิดว่าทุกคนก็ควรจะมองไปข้างหน้าได้แล้ว อีกอย่างหนึ่ง ด้วยการพัฒนาหลายบริษัทของพวกเราในเมืองA ยากที่จะหลบหนีก้มหน้าไม่เงยหน้ามองกัน ปรองดองก่อเกิดทรัพย์ ฉ่าวเฉินต้องไว้หน้าเพื่อนเก่าอย่างฉันคนนี้ ไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องอีกได้ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมผู้หญิงคนนี้ ยังคิดว่าเธอเป็นเพียงคนสวยไร้ความสามารถ คาดไม่ถึงว่าคำพูดจะไร้ที่ติเช่นนี้
ในเมื่อเธอพูดถึงส่วนนี้แล้ว เย่ฉ่าวเฉินจะไม่เห็นด้วยอีกก็ชัดเจนว่าจะดูใจแคบเกินไป
“โอเค ฉันรับปากคุณ”
เวินหย่าไม่แสดงอาการแปลกใจสักนิด ดูเหมือนว่าผลลัพธ์นี้จะอยู่ในความคาดเดาของเธอ “ฉันรู้ว่าคุณเป็นผู้ชายที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ เดิมทีวันนี้หนานกงเฮ่าจะมาด้วย แต่ว่าคุณก็เข้าใจนิสัยของเขานั้น ต้องรักษาหน้าตาเป็นที่สุด ฉะนั้นฉันเลยจำใจต้องออกหน้า โชคดีที่อดีตเพื่อนร่วมชั้นให้เกียรติไว้หน้าฉัน มิเช่นนั้นกลับไปต้องถูกเขาหัวเราะเยาะตายเลย”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม “เจ้าหนานกงเฮ่านั่นชาติก่อนสะสมคุณงามความดีอะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้แต่งงานกับคุณ”
“ฮ่าฮ่า ฉันต้องจำคำพูดนี้ไปพูดให้เขาฟัง ภารกิจของฉันเสร็จสิ้น ไปล่ะ รบกวนคุณมากแล้ว อย่าลืมนะถึงวันต้องมา ฉันก็อยากเจอภรรยาของคุณ ได้ยินมาว่าสวยมาก” เวินหย่าพูดสองสามประโยคหลังอย่างหยอกล้อ
เย่ฉ่าวเฉินอดยิ้มไม่ได้ “ถึงเวลานั้นเราจะไปแน่นอน”
“โอเค บ๊ายบาย”
“ฉันไปส่งคุณ”
พาผู้หญิงสวยส่งถึงหน้าลิฟท์ เย่ฉ่าวเฉินก็กลับมาที่ห้องทำงาน เปิดคำเชิญงานแต่งงานดูอีกครั้ง
หนานกงเฮ่านะหนานกงเฮ่า ดูเหมือนว่าคุณจะไม่สามารถหนีอกไปจากหุบเขาห้านิ้วของคุณเวินไปได้ตลอดชีวิต อย่าเห็นว่าเป็นลูกสาวคนรวยอ่อนโยนสง่างาม แต่แผนสูงลึกล้ำยิ่งกว่าหนานกงเฮ่าเสียอีก
ได้พูดคุยเรื่องที่เฮฮา ยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้หน่อย
คนเช่นนี้ เย่ฉ่าวเฉินไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ไม่พอใจ ต่อไปอย่างมากก็แค่เห็นหนานกงเฮ่าก็สนิทสนมกันแค่ภายนอก เนื้อสองชิ้นที่ขาดไม่ได้
กลับบ้านมาตอนเย็น เย่ฉ่าวเฉินก็นำเรื่องมาบอกกับมู่เวยเวย คนข้างหลังถามอย่างลังเลว่า “ฉันต้องไปด้วยหรอ?”
“คุณไม่อยากเจอหนานกงเฮ่าหรอ?”
“หนานกงเฮ่าจบสิ้นกันไปแล้ว ฉันไม่อยากเจอแม่ของเขา” มู่เวยเวยจิ้มข้าวในถ้วย
“คุณไม่สนใจจะเจอเจ้าสาวเลยหรอ? เธอเป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นของฉันนะ”
“ไม่สนใจ” มู่เวยเวยส่ายหัว
เย่ฉ่าวเฉินไม่ต้องการบังคับภรรยา จำใจพูดว่า “งั้นถึงเวลาฉันต้องไปคนเดียวแล้ว”
งานถูกกำหนดเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าก่อนถึงวันแต่งงาน มู่เวยเวยจะเปลี่ยนใจ
“ไปเป็นเพื่อนฉันซื้อเสื้อผ้าด้วย พรุ่งนี้ฉันต้องไปร่วมงานแต่งงาน” มู่เวยเวยเกาะขอบประตูห้องน้ำดูเขาแปรงฟัน
เย่ฉ่าวเฉินพ่นฟองออกมาจากในปาก ถามเธออย่างประหลาดใจว่า “ครั้งก่อนคุณบอกไม่ใช่หรอว่าไม่อยากไป?”
มู่เวยเวยหัวเราะแล้วพูดว่า “จู่ๆฉันก็สนใจ ฉันอยากไปเห็นว่าสาวน้อยคนไหนที่สามารถปราบคนอัปมงคลอย่างหนานกงเฮ่าคนนั้นได้อยู่หมัด ทำไม ไม่ได้หรอ”