วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 269 แต่งงานกันอีกครั้งเถอะ

“ยินดีมากๆค่ะ”

มู่เวยเวยอยากไปกะทันหัน เพราะเธอเห็นรายงานในอินเทอร์เน็ตบอกว่างานแต่งงานพรุ่งนี้จะเต็มไปด้วยเพื่อนๆ และยังกล่าวถึงเธอกับเย่ฉ่าวเฉินเป็นพิเศษด้วย

ถ้าพรุ่งนี้เธอไม่ไปเย่ฉ่าวเฉินจะไม่อายหรอ

ในเมื่อเย่ฉ่าวเฉินตอบรับเขาไปแล้ว เธอไม่อยากให้เย่ฉ่าวเฉินอับอายเพราะเหตุผลของเธอ

งานแต่งจัดขึ้นที่โรงแรมริมชายหาดที่หรูหราที่สุดในเมืองA ในงานเต็มไปด้วยกุหลาบสีชมพู และมีซุ้มดอกไม้สดหันหน้าเข้าหาทะเล

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินควงมู่เวยเวยปรากฏตัวในงานแต่งก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปทันที

เหตุผลอย่างแรกก็เป็นเพราะใครๆต่างก็รู้ว่าเจ้าบ่าวในวันนี้ไม่ถูกกับเย่ฉ่าวเฉิน และเหตุผลข้อที่สองก็คือเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะชนมานานแล้ว เมื่อรวมกับข่าวลือของเขา และเรื่องที่เย่ฉ่าวเหยียนกลับมารับช่วงบริษัทต่อต่างๆ ทุกคนเลยพูดกันไปต่างๆนานา

ดังนั้นการที่เขามาปรากฏตัวอย่างนี้จึงทำให้ทุกคนแปลกใจมาก

วันนี้มู่เวยเวยใส่ชุดธรรมดามาก เป็นชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ประดับด้วยดอกไม้ตรงมุมเล็กน้อย แต่เธอก็ดูโดดเด่นราวกับนางฟ้า

“ประธานเย่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” คนคุ้นเคยเดินมาทักทายอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีครับ” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างสุภาพ

“เฮ้อ นี่เย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่หรอ ลุงไม่ได้เจอแกมานานทีเดียวเชียว” เสียงนี้เป็นเสียงของพ่อหนานกงเฮ่า

เย่ฉ่าวเฉินหันไปมองท่านหนานกงและเฉินชูฮว่าที่ยืนข้างๆ

“คุณลุง คุณป้า ยินดีด้วยนะครับ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวทักทาย

เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของเฉินชูฮว่า มู่เวยเวยก็ยังคงรู้สึกทำตัวไม่ถูก

อาจเป็นเพราะท่านหนานกงยังมีธุรกิจที่ต้องเกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉินอยู่ เขาจึงยังยิ้มหัวเราะด้วยได้ แต่เฉินชูฮว่านั้นทำไม่ได้ เพื่อผู้หญิงคนนี้ เย่ฉ่าวเฉินเกือบเอาชีวิตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอไป เธอจะยอมลดความเกลียดไปง่ายๆได้ยังไง

“เป็นเกียรติแก่ตระกูลหนานกงของเราจริงๆที่เย่ฉ่าวเฉินกับภรรยามาได้”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มบางๆ “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ยังไงผมกับหนานกงเฮ่าก็รู้จักกันมานาน แถมยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเวินหย่าด้วย ได้มาเป็นสักขีพยานให้พวกเขาสองคน ผมก็ดีใจ”

ท่านหนานกงมองมู่เวยเวยด้วยสายตาอ่านไม่ออก “นี่หลานสะใภ้ใช่มั้ย ไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกสาวตระกูลมู่จะสวยขนาดนี้”

“สวัสดีค่ะคุณลุง” มู่เวยเวยทักทายอย่างเป็นมิตร

เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากให้เขาถามเกี่ยวกับมู่เวยเวยอีก เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินว่าคุณลุงเข้าโรงพยาบาลเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ดีขึ้นรึยังครับ”

“ก็เจ้านั่นทำลุงโกรธน่ะสิ โชคดีที่ลุงแข็งแรง ไม่งั้นโดนทำให้โกรธบ่อยๆอย่างนี้คงตายไปแล้ว”

เฉินชูฮว่าดึงแขนเขา และพูดอย่างไม่พอใจ “วันมงคลจะพูดเรื่องพวกนี้ทำไม อัปมงคลจริงๆ”

“มันจะเป็นอะไร พวกผู้หญิงนี่ชอบคิดมากไปเอง” ท่านหนานกงตำหนิภรรยา และหันมาพูดยิ้มๆกับเย่ฉ่าวเฉินอีก “ได้ยินเจ้ากงบอกว่าลูกชายคุณทั้งฉลาดและน่ารัก ทำไมไม่พามาด้วยล่ะ ลุงยังไม่เคยเจอเลย”

มู่เวยเวยพูด “เด็กซนเกินไปค่ะ ฉันกลัวว่าพามาแล้วจะวิ่งป่วนงานไปทั่วเลยไม่ได้พามา”

“เด็กผู้ชายต้องซนอย่างนี้แหละถึงจะดี”

มู่เวยเวยเผยยิ้มออกมาบางๆ

เมื่อเห็นคนเข้ามาไม่น้อยแล้ว ท่านหนานกงก็หันมาบอกเย่ฉ่าวเฉิน “ฉ่าวเฉินนั่งตามสบายเลยนะไม่ต้องเกรงใจ ลุงไปรับแขกก่อน”

“ตามสบายเลยครับคุณลุง”

เมื่อทั้งสองเดินจากไปแล้ว มู่เวยเวยถึงค่อยแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เย่ฉ่าวเฉินจับรู้สึกถึงจังหวะการหายใจที่เปลี่ยนไปของเธอได้ จึงแตะหลังมือเธอและถาม “กังวลหรอ”

“นิดหน่อยค่ะ คุณหญิงหนานกงเอาแต่จ้องฉัน จากไม่กังวลก็กังวลขึ้นมา” มู่เวยเวยกระซิบเบาๆ

เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม “ไม่ต้องสนใจ ยังไงเธอก็ไม่กล้าทำอะไรคุณหรอก คิดซะว่าเธอเข้าสู่วัยทองก็แล้วกัน”

งานแต่งเริ่มขึ้นเวลาสิบเอ็ดโมงห้าสิบแปดนาที และหลังจากพิธีจบลงก็ไปรับประทานอาหารกันต่อที่โรงแรม

เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยหาอยากที่เงียบๆนั่ง แต่เพราะรัศมีของเย่ฉ่าวเฉินทำให้ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนมอง

คนชั้นสูงในเมืองA มาที่นี่จำนวนมาก

ทุกคนต่างเป็นคนคุ้นเคยกันดี ดังนั้นไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เขาก็จะถูกทักทายเสมอ และไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่รู้จักได้

หลังจากทักทายกันไปพอสมควรแล้ว พิธีก็เริ่มขึ้น

พิธีกรเริ่มพูดเปิดงานอยู่ที่หน้าซุ้มดอกไม้ และนั่นก็ทำให้เย่ฉ่าวเฉินมีเวลาส่วนตัวเสียที เขาจึงเดินไปหาที่นั่งกับมู่เวยเวย

มู่เวยเวยกระซิบข้างหูเขา “ความนิยมของประธานเย่ไม่ตกลงเลยนะคะ”

“หรอ” เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเขินเล็กน้อย “ทำไมผมไม่รู้สึกล่ะ”

“ไม่ต้องดีใจเลย ผู้หญิงมองตามคุณทั้งงาน” มู่เวยเวยพูดอย่างหวงๆ

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างมีความสุข จับมือของเธอขึ้นมาจูบหลังมือด้วยสายตาอ่อนโยน “แต่ผมมีแค่คุณคนเดียวในสายตา”

“ก็ดี”

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังหยอดคำหวานกัน เมื่อหันไปมองไม่ไกล ก็เห็นคนมาใหม่กำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้คน

หนานกงเฮ่าสวมสูทสีดำหล่อเหลา เสื้อเชิ้ตสีขาว และผูกทักซิโด้ตรงคอ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย

มู่เวยเวยไม่ได้เห็นหนานกงเฮ่ามานานแล้ว นอกจากที่เจอเขาตอนคุ้มคลั่งคราวก่อนแล้ว ครั้งนี้เขาดูสงบลงมาก ไม่ได้ดูบ้าคลั่งเหมือนคราวก่อน

เจ้าสาวเวินหย่าที่อยู่ข้างๆ สวมชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ เป็นเสื้อเกาะอก กระโปรงพริ้วยาว และผ้าคลุมผมยาวโปร่ง

จากสายตาที่เป็นมืออาชีพของมู่เวยเวย เธอบอกได้เลยว่าชุดเจ้าสาวนี้มาจากห้องเสื้อชั้นนำในยุโรปแน่นอน แค่เพชรเม็ดเล็กๆที่ประดับอยู่ที่เอวของเธอก็ราคาไม่ใช่เล่นๆแล้ว นับประสาอะไรกับตัวดีไซน์เนอร์ที่ออกแบบชุดนี้

“คุณมองอะไร น่าหลงไหลขนาดนั้นเลยหรอ” เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอเอาแต่จ้องทั้งคู่ เลยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ชุดที่เจ้าสาวใส่ต้องเป็นดีไซน์เนอร์ชื่อดังออกแบบแน่นอน” มู่เวยเวยพูดเหม่อๆ

เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างทนไม่ได้ “คนอื่นเขาดูกันว่าเจ้าสาวสวยไม่สวย แต่คุณกลับดูว่าชุดนี้ใครออกแบบเนี่ยนะ”

“มันชินแล้วนี่นา” มู่เวยเวยพูดขำๆ จากนั้นก็มองไปที่เจ้าสาว

เธอเป็นผู้หญิงที่บอบบางและสวยมาก แม้ว่าเธอจะสวยน้อยกว่ากว่าเสี่ยวซีหรานเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับเธอแล้วมู่เว่ยเว่ยคิดว่าเจ้าสาวดูดีกว่ามาก

“ฉันว่าเธอยิ้มแล้วอ่อนโยนมาก จะเอาหนานกงเฮ่าอยู่หรอ” มู่เวยเวยพูดอย่างสงสัย

เย่ฉ่าวเฉินหันหน้ามา และวางมือลงบนพนักเก้าอี้ของเธอเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ “เคยมีสำนวนจีนว่าไว้ว่า คนเราไม่อาจวัดกันได้ด้วยหน้าตา เวินหย่าไม่ได้อ่อนแอเหมือนภายนอก เธอเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน คุณดูดีๆสิ”

มู่เวยเวยมองอย่างตั้งใจ

หนานกงเฮ่ากำลังคุยกับคนข้างๆอย่างหงุดหงิด ทำให้คนฟังถึงกับสั่นเทา แต่ตรงข้ามกับเวินหย่าโดยสิ้นเชิง เธอมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอด พูดอะไรก็ยิ้ม จนเมื่อคนคนนั้นเดินไปแล้ว เธอจึงหันไปพูดกับหนานกงเฮ่า จากนั้นสีหน้าหงุดหงิดของเขาก็หายไป เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มประดับบนใบหน้าทันที

มู่เวยเวยชื่นชมผู้หญิงคนนี้จริงๆ เธอรู้จักหนานกงเฮ่าดี คนดีโอหังแบบนั้น แต่กลับยอมฟังผู้หญิงคนเดียว แสดงว่าเธอสุดยอดมาก

“เห็นรึยัง” เย่ฉ่าวเฉินถาม

มู่เวยเวยหันหน้ามา “เห็นแล้ว พวกเขาเหมาะสมกันจริง”

“จากสายตาผู้ชายด้วยกันมอง ผมว่าหนานกงเฮ่ารักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”

“ทำไมถึงคิดว่าอย่างนั้นล่ะ” มู่เวยเวยแปลกใจ

เย่ฉ่าวเฉินมองตาตอบเธอ “เพราะตอนที่ผู้ชายคนหนึ่งรักผู้หญิงคนหนึ่ง เขาจะยอมแหกกฏทุกอย่าง ยอมก้มหัวให้เธอ และยอมฟังเธอด้วย”

มู่เวยเวยเริ่มใจสั่นหน้าแดงขึ้นมา “คุณหมายถึงตัวเองหรอ”

“ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง” เย่ฉ่าวเฉินพูดหน้าด้านๆ ซึ่งก็หมายความว่า เขาก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน

เมื่อถึงเวลาหนานกงเฮ่าก็เดินออกมาหน้าซุ้ม ฉากหลังเป็นท้องทะเล ที่กำลังมีคลื่นซัดหาดอยู่ ราวกับบรรเลงเสียงแห่งรักให้พวกเขา

เจ้าสาวเดินไปที่ทางเดินที่ปูด้วยดอกไม้พร้อมพ่อของเธอ เธอมองไปที่คนที่ปลายทางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก

เสียงดนตรีค่อยๆดังขึ้น พิธีกรกล่าวถ้อยคำอันเป็นมงคลต่างๆ จากนั้นหนานกงเฮ่าก็ไปยืนรับเจ้าสาวจากพ่อของเธอ และเดินไปที่แห่งความสุขด้วยกัน

มู่เวยเวยมองโดยไม่ละสายตา เธอแอบรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เธอลืมฉากแต่งงานของเธอเมื่อสองปีก่อนไปแล้ว เพราะเธอถูกเย่ฉ่าวเฉินบังคับให้แต่งงานอย่างไม่มีทางเลือก ดังนั้นเธอจึงตั้งใจลืมงานในครั้งนั้นไป

เมื่อดูคนอื่นแต่งงาน เธอก็รู้สึกอิจฉาจริงๆ

เย่ฉ่าวเฉินเข้าใจความรู้สึกบนใบหน้าของเธอ เขาก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน ถ้าเขารู้ว่าวันหนึ่งเขาจะรักมู่เวยเวยแบบนี้ เขาจะทำดีกับเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ จะปกป้องเธอ ไม่ให้ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย

“เวยเวย”

“หืม” มู่เวยเวยไม่ได้หันหน้ามา

“เราแต่งงานกับอีกรอบเถอะ”

มู่เวยเวยตะลึง ก่อนจะยิ้มออกมา “คุณพูดอะไรน่ะ ทำไมถึงอยากแต่งงานอีกรอบ”

“เพราะผมอยากเก็บความทรงจำดีๆไว้”

“ความทรงจำมันกินไม่ได้หรอกนะ ฉันไม่แต่ง แต่งอีกรอบเสี่ยวซีหร่านคงหัวเราะเยาะตายเลย”

เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้แสดงความโกรธออกมา เขาจึงดับความคิดนี้ไป

ภายใต้ซุ้มประตู คู่บ่าวสาวกำลังแลกแหวน สาบาน และจูบกอดกันอย่างโรแมนติก

หลังจากจบพิธีทุกคนก็มากินข้าวกันที่โรงแรม เจ้าสาวเปลี่ยนใส่ชุดกี่เพ้าโบราณออกมา เมื่อมู่เวยเวยมองไปก็ถึงกับตกตะลึงทันที

ชุดกี่เพ้านี้ตัดมาอย่างละเอียด รอยปักรูปนกคู่บนเสื้อเป็นการปักด้วยมือล้วนๆ เดี๋ยวนี้การปักแบบนี้หาได้ยากมาก

“คุณดูอะไรอีก”

มู่เวยเวยเบนสายตากลับมา “ฉันจะไปทำงาน”

เย่ฉ่าวเฉินอึ้งไปสองวิ “ได้สิ แต่ทำไมอยู่ดีๆคุณถึงคิดจะไปทำงานล่ะ”

“เพราะฉันอยากออกแบบชุดสวยๆมาก”

เย่ฉ่าวเฉินได้ฟังก็รู้ว่าวันนี้เธอถูกกระตุ้นเข้าแล้ว แต่อย่างนี้ก้ดี เขาจะได้ไปและกลับกับเธอทุกวัน

“โอเค งั้นพรุ่งนี้เราไปบริษัทด้วยกัน”

หนานกงเฮ่ากับเวินหย่ามาชนแก้วทีละโต๊ะ และเพราะเย่ฉ่าวเฉินเป้นคนชั้นสูงจึงถูกจัดให้อยู่หน้าๆ ดังนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงโต๊ะของเย่ฉ่าวเฉินอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่หนานกงเฮ่าเห็นพวกเขา สีหน้าของเขาก็นิ่งทันที เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมู่เวยเวยในงานแต่งของเขา เขาคิดว่าจากนิสัยของเธอคงไม่มีทางมาเข้าร่วมงานของเขาแน่

เวินหย่าแตะเขาเบาๆ และพูดอย่างใจกว้าง “ฉ่าวเฉิน ขอบใจมากนะที่มางานของกันกับเฮ่า”

“ฉันบอกว่ามาก็ต้องมาสิ”

เวินหย่ามองไปที่มู่เวยเวยด้วยความสงบ “นี่ภรรยาของคุณใช่มั้ย สวยมาก”

มู่เวยเวยก็ยิ้มตอบอย่างใจดีเช่นกัน “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมู่เวยเวย วันนี้คุณสวยมากค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

หนานกงเฮ่าหายใจเข้าลึก เดินไปยกแก้วเหล้าตรงหน้าเย่ฉ่าวเฉิน “คิดไม่ถึงว่าวันนี้ประธานเย่จะว่างถึงขนาดมาร่วมงานแต่งงานของผม”

เย่ฉ่าวเฉินไม่ไว้หน้าเขาสักนิด “คุณคิดมากไปแล้ว จริงๆแล้ววันนี้ผมยุ่งมาก แต่พอดีว่าเจ้าสาวเป็นเพื่อนร่วมชั้นเก่าของผม ผมเลยมา”

หนานกงเฮ่าหัวเราะเสียงเย็น เย่ฉ่าวเฉินยังพูดเป็นมะนาวไม่มีน้ำเหมือนเดิม

“ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร มีลูกเร็วๆ” เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยยกแก้วขึ้นมาชน และดื่ม แน่นอนว่ามู่เวยเวยดื่มเครื่องดื่มธรรมดา

“เชิญตามสบายนะ พวกเราไปชนโต๊ะอื่นก่อน” เวินหย่าพูดด้วยรอยยิ้ม

“อืม โอเค”

หนานกงเอ่าละสายตาจากมู่เวยเวยอย่างยากลำบาก ทุกครั้งที่เขามองเธอ เธอไม่เคยมองเขาตรงๆเลย ไม่มองเย่ฉ่าวเฉิน ก็มองเวินหย่า ราวกับเขาไม่มีตัวตน

ช่างเถอะ ยังไงก็ผ่านไปแล้ว

เธอเห็นเขาเป็นตัวอะไร เกี่ยวข้องอะไรกัน

เวินหย่ากระซิบข้างหูเขา “สายตาของคุณไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่เธอไม่เคยเห็นคุณในสายตาเลย”

หนานกงเอ่าเม้มปากจ้องเธอ “สายตาของผมไม่เคยพลาด”

“ขอบใจที่ชม” เวินหย่าตอบรับอย่างรวดเร็ว

หนานกงเฮ่าหมดคำจะเถียง

งานแต่งงานอันยิ่งใหญ่จบลง

หนานกงเฮ่าอยากรู้มากว่าเย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยให้อะไรมาเป็นของขวัญ ดังนั้นหลังจากส่งแขกแล้วเขาจึงกลับมาเปิดดูรายชื่อของขวัญ ซึ่งเขียนว่า “ให้อั่งเปาหนึ่งหมื่นหยวน” เมื่อเขาเห็นก้ไม่พอใจทันที “ช่างขี้งกและไร้ความคิด”

ที่จริงก่อนมาเย่ฉ่าวเฉินก็คุยกันเรื่องนี้อยู่ว่าจะให้ของขวัญอะไรถึงจะเหมาะสม แต่ยิ่งคิดไปคิดมาก็ยิ่งวุ่น สุดท้ายเย่ฉ่าวเฉินจึงตัดสินใจ “ช่างเถอะ ให้อั่งเปาละกัน ไม่งั้นเดี๋ยวไอ้นั่นเห็นของขวัญแล้วจะคิดไปไกลอีก”

และมันก็เป็นไปตามที่เย่ฉ่าวเฉินพูด

เมื่อเห็นหนานกงเฮ่าแต่งงานแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็อารมณ์ดีมากจึงดื่มไปไม่น้อย เมื่อกลับมาถึงบ้านเขาก้หลับไปทันทีด้วยความมึน

พอตื่นมาอีกทีก็ค่ำแล้ว

เขาลงมาด้วยความสะลืมสะลือ ก่อนจะเห้นมู่เวยเวยกำลังเล่นเกมในมือถือกับผิงอันอยู่ เมื่อเห้นเขาเดินมาจึงพูดว่า “เมื่อกี้พี่ชายโทรมาบอกว่าให้พวกเราช่วยอะไรเขาหน่อย”

“มู่เทียนเย่ก็มีตอนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราเหมือนกันหรอ” เย่ฉ่าวเฉินเทน้ำอุ่นมากินให้ชุ่มคอ “ช่วยอะไร”

มู่เวยเวยเล่าไป ส่วนเย่ฉ่าวเฉินก็ฟังพลางขมวดคิ้วตามไปด้วย “หึ เจ้าเล่ห์จริงๆ”

“คุณอิจฉาใช่มั้ยล่ะ” มู่เวยเวยเลิกคิ้วยิ้มถาม

“เปล่าซะหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินเชิดหน้าขึ้นหยิ่งๆ

จากนั้นหลายวันเสี่ยวซีหร่านก็โทรมาหามู่เวยเวย

ปลายสายดูรีบร้อนมาก “เวยเวยสองวันนี้เธอได้เจอพี่ชายเธอบ้างมั้ย”

มู่เวยเวยางดินสอในมือลง เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน และกลั้นขำตอบ “ไม่นะ เขาไม่ได้โทรหาฉันหลายวันแล้ว เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมั้ย แต่ฉันไม่ได้เจอเขามาหลายวันแล้ว บ้านก็ไม่อยู่ โทรศัพท์ก็โทรไม่ติด บริษัทก็ไม่ไป เธอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขามั้ย”

“ห๊ะ จริงหรอ” มู่เวยเวยแกล้งถามอย่างกังวล “งั้นฉันจะไปตามหาเป็นเพื่อนเธอเอง”

“ไม่ต้องหรอก รออีกสองวันแล้วกัน ถ้ายังหาไม่เจออีก ฉันจะไปแจ้งความ”

พูดแล้วเสี่ยวซีหร่านก็เตรียมจะวางสาย แต่มู่เวยเวยรีบห้ามไว้ก่อน “ซีหร่านเธออย่าเพิ่งกังวลไป พี่ฉันใหญ่ขนาดนั้น คงไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรอก”

“อย่างนี้แหละดีที่สุด ฉันวางล่ะ”

“เดี๋ยวๆ พรุ่งนี้เย็นเธอว่างมั้ย” มู่เวยเวยถามพลางเปิดปฏิทินบนโต๊ะ

“พรุ่งนี้เย็นหรอ ว่าง ทำไม”

“ฉ่าวเฉินซื่อเรือยอทช์มา พรุ่งนี้จะลองเครื่อง เธอไปดูเป็นเพื่อนฉันหน่อย”

“ไม่ไป” เสี่ยวซีหร่านปฏิเสธทันที เธอไม่ได้เจอมู่เทียนเย่มาหลายวันแล้ว ใครจะมีอารมณ์ไปล่องเรือล่ะ

“ฮึ่ย….ตุบๆๆๆ” มู่เวยเวยยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงดังลอดเข้ามา

ดูเหมือนว่าเสี่ยวซีหร่านจะกังวลจริงๆ

แต่เธอไม่ไปไม่ได้ ถ้าเธอไม่ไปแล้วละครฉากนี้จะเล่นต่อได้ยังไงล่ะ

ดังนั้นบ่ายวันถัดไปมู่เวยเวยจึงตั้งใจทิ้งงานไปหาเสี่ยวซีหร่านที่เพิ่งออกมาจากฟิตเนสพอดี

“เธอจะพาฉันไปไหน” เสี่ยวซีหร่านทำอะไรไม่ถูก

มู่เวยเวยจับข้อมือเธอแน่น เพราะกลัวเธอจะหนี “ฉันรู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ไปๆ ฉันจะไปซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อน ผู้หญิงอารมณืไม่ดี ใช้เงินระบายเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

“ฉันไม่อยากไป ไม่ได้พกบัตรมา”

“ฉันเอามา ใช้บัตรฉันรูด ถือว่าฉันซื้อให้” มู่เวยเวยทุ่มสุดตัว ในที่สุดก็ลากเธอมาในห้างได้

เสี่ยวซีหร่านอารมณ์ไม่ดี เมื่อได้บัตรมาจึงรูดแหลก เธอซื้อเสื้อผ้าหมื่นกว่าหยวนในพริบตา จากนั้นก็ซื้อกระเป๋า รองเท้าอีกหลายคู่ถึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

มู่เวยเวยก้ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะยังไงเงินที่จ่ายไปก็ต้องมีคนมาใช้คืนอยู่แล้ว

“ตัวนี้สวย เหมาะมาก” สายตาของมู่เวยเวยเป็นประกาย ตัวนี้เหมาะกับใส่คืนนี้ด้วย

เสี่ยวซีหร่านสวมชุดกระโปรงพริ้วสีเหลืองอ่อนปักลายดอกไม้สีเข้ม ผมยาวถูกรวบไว้กลางหัว ตอนนี้เธอสวยราวกับนางฟ้าเจ้าเสน่ห์ ที่พร้อมทำให้ทุกคนตกอยู่ในมนต์ขลัง

“ใส่ตัวนี้แหละ ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว มาตัดป้ายออก” มู่เวยเวยส่งสัญญาณให้พนักงานขาย

เสี่ยวซีหร่านรู้สึกแปลกๆขึ้นมา จึงถาม “เวยเวย เธอไม่คิดจะทำอะไรแผลงๆใช่มั้ย”

มู่เวยเวยโกหกอย่างจริงจัง “เปล่า ฉันแค่อยากให้เธอมีความสุขไง เธอเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันจะทำอย่างนั้นกับเธอทำไม”

“แต่เธอดูไม่เป็นห่วงมู่เทียนเย่เลยสักนิด”

“ฉันชินแล้ว เมื่อก่อนพี่ชายฉันก็หายตัวไปบ่อยๆ สิบวัน ครึ่งเดือนไม่ปรากฏตัวก็ปกติมาก”

เสี่ยวซีหร่านกรอกตา ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันเทียบกันได้รึไง

มู่เวยเวยเหลือบมองโทรศัพท์อย่างใจเย็น จากนั้นก็ลากมือเธอออกจากห้างสรรพสินค้า

ผู้หญิงสวยแค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาของทุกคนที่เดินผ่านไปมาแล้ว นับประสาอะไรกับสองคน ดังนั้นระหว่างทางจึงมีแต่สายตาคนมองมา

จางเห่อรออยู่หน้าประตูนานแล้ว เมื่อเสี่ยวซีหร่านขึ้นรถแล้วจึงถามมู่เวยเวย “บอกมาสิว่าจะพาฉันไปไหนต่อ”

“ไปท่าเรือ บอกแล้วว่าวันนี้จะไปล่องเรือ”

เสี่ยวซีหร่านแทบเป็นลม “ฉันยังไม่ได้ตกลงเลยนะ”

“ฉันไม่สน ยังไงตอนนี้เธอก็ขึ้นรถมาแล้ว จะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว” มู่เวยเวยกวน

“เฮ้อ เธอนี่มันไร้เหตุผลจริงๆ”

“คิคิ จะว่าไงก็ช่างเถอะ” มู่เวยเวยยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำให้เสี่ยวซีหร่านไม่มีทางเลือก

จางเห่อขับรถอย่างรวดเร็ว กว่าจะมาถึงท่าเรือก็มืดแล้ว

เรือยอทช์ลำใหญ่จอดเทียบท่าอยู่โดยมีเย่ฉ่าวเฉินรออยู่ข้างๆ เมื่อเห็นมู่เวยเวยพามาได้แล้ว เขาก็โล่งใจขึ้น “มาซะที ไปกันเถอะ”

ไฟในเรือสลัวมาก เย่ฉ่าวเฉินพาทุกคนเดินมาจนถึงดาดฟ้า

เรือเริ่มสตาร์ทเครื่อง ลมทะเลค่อยๆพัดพาเอาความร้อนในหน้าร้อนออกไป

“มาล่องเรือหน้าร้อนที่สบายจริงๆ” มู่เวยเวยกางแขนออก

เสี่ยวซีหร่านมองแสงจันทร์ที่กระทบผิวน้ำ ก็รู้สึกสงบลงมามาก

เรือแล่นออกจากท่า เข้าสู่ทะเลกว้าง

“ซีหร่านเธอว่าเรือนี้ไปได้ทั่วโลกมั้ย” มู่เวยเวยถาม

เสี่ยวซีหร่านพูดตามหลักการ “ได้ เรือลำนี้สมรรถภาพดีมาก แถมยังมีเสถียรภาพสูง ทำไม เธอกับเย่ฉ่าวเฉินวางแผนจะไปเที่ยวรอบโลกหรอ”

“กำลังคิดอยู่ เที่ยวรอบโลกน่าจะเป็นความฝีนของใครหลายๆคนนะ”

เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างเปิดเผย “ใช่ ตอนเด็กๆฉันก็ฝันว่าจะได้ไปทุกมุมโลก ดังนั้นเลยไปเที่ยวไม่หยุดเนี่ยแหละ”

มู่เวยเวยก้มหน้าแอบยิ้ม

เรือล่องไปได้ครึ่งชั่วโมงก็หยุดลง ในขณะที่เสี่ยวซีหร่านกำลังคิดอยู่ว่าหยุดทำไม

ทันใดนั้นพลุขนาดใหญ่ก็เป็นกระจายเป็นรูปดอกกุหลาบขึ้นบนท้องฟ้า

เสี่่ยวซีหร่านมองไปที่ท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ มู่เวยเวยที่อยู่ข้างๆก็ทั้งกระโดดโลดเต้น และยิ้ม “ว้าว สวยจัง”

ท้องฟ้าเงียบสงบลงอีกครั้ง จากนั้นก็มีเสียงพลุที่สองดังขึ้น คราวนี้หัวใจของเสี่ยวซีหร่านเต้นอย่างรุนแรง เพราะบนท้องฟ้าเขียนชื่อของเธออยู่ เสี่ยวซีหร่าน

ขณะที่เธอกำลังสับสนอยู่นั้น พลุที่สามก็ถูกจุดขึ้น

แต่งงานกับผมนะ

ตาของเธอรื้นขึ้นมาทันที ในที่สุดเธอก็รู้ว่าคนที่หายไป เขาหายไปทำอะไร

เธอนึกว่ามันจะจบแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพลุที่สี่จะถูกจุดขึ้นไปอีก

ได้มั้ย

ข้างหลังยังต่อท้ายด้วยสติ๊กเกอร์ยิ้มอันใหญ่

ขณะที่พลุกระพริบส่องแสงอยู่ ไฟบนเรือก็สว่างขึ้น เสี่่ยวซีหร่านหันหน้าไป ก่อนจะเห็นผู้ชายของเธอถือดอกไม้มองเธอด้วยสายตาอบอุ่นอยู่ไม่ไกล

แถมข้างๆยังมีคนอีกสี่ห้าสิบคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน ทุกคนต่างเป็นเพื่อนที่เธอรู้จักระหว่างเดินทางในปีนี้ และยังมีคนต่างชาติหลายคนด้วย

มู่เทียนเย่ถือดอกไม้ เดินผ่านทางที่ประดับไปด้วยไฟมาหาเธอทีละก้าว จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง หยิบแหวนเพชรสีชมพูออกมา และพูดด้วยความรักว่า “เธอเป็นอีกครึ่งหนึ่งของฉัน เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันรัก ฉันพร้อมจะเดินทางไปกับเธอในทุกๆที่ที่เธออยากไป พร้อมไปหาความลับบนโลกใบนี้ด้วยกัน ฉันพร้อมจะหาทุกอย่างมาให้เธอ เธอยอมให้สิทธิ์นี้กับฉันมั้ย”

เสี่ยวซีหร่านซึ้งจนน้ำตาไหล ลมทะเลพัดกระโปรงพริ้วๆของเธอ บรรยากาศเต็มไปด้วยความรัก

“ตกลงค่ะ” เธอพูดอย่างสะอื้น

“โว้วๆๆ” มู่เทียนเย่สวมแหวนเพชรลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset