“อยู่ที่ไหน?”
จางเห่อรายงานที่อยู่หนึ่งให้เขา จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็รีบไปทันที
“หลังนี้แหละ” จางเห่อพาเขาไปที่บ้านส่วนตัวที่เรียบง่าย ซึ่งด้านในนั้นว่างเปล่า มีเตียงสามเตียงเก้าอี้ไม่กี่ตัวและโต๊ะอีกหนึ่งตัว บนโต๊ะยังมีอาหารอุ่นๆที่พึ่งซื้อมา บนเตียงมีรูบิคที่ถูกปรับสีจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“นายรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหลังนี้?” เย่ฉ่าวเฉินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
จางเห่อตอบ “เมื่อกี้ผมถามคนที่อาศัยอยู่ชั้นล่าง พวกเขาเคยได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ตอนกลางคืน อีกอย่างพวกเขามั่นใจว่ามีผู้ชายสองคนกับผู้หญิงอีกหนึ่งคนอาศัยอยู่ที่นี้ หนึ่งในนั้นมักจะสวมหน้ากากไว้”
ดวงตาสีฟ้าของเย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง“พวกเขาน่าจะไปจากที่นี้ยังไม่นานนัก รีบไปหาดูแถวนี้เร็ว”
“ครับ คุณชาย”
ฝั่งนี้ ชายหนุ่มจ้างแท็กซี่ข้างทาง ค่อยๆเก็บกระเป๋าเดินทางอย่างระมัดระวังไว้หลังรถ หลังจากเขาก็ขึ้นรถปล้วพูดกับคนขับรถว่า “ไปที่ชายหาด รีบๆเลย”
“ได้เลย!” คนขับเปลี่ยนเกียร์และเหยียบคันเร่งเพื่อพุ่งไปข้างหน้า
รถแท็กซี่ขับมาเส้นทางที่จะไปชายหาด พี่คนขับฮัมเพลงเบาๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะน่าเบื่อเกินไป เขาก็เลยชวนผู้โดยสารคุย “น้องครับ น้องไปทำอะไรที่ชายหาดตอนนี้?ตอนเที่ยงแบบนี้มันร้อนมากเลยนะ”
ชายหนุ่มยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
เมื่อพี่คนขับเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คุยด้วย เขาก็ทำได้แค่ฮัมเพลงของตัวเองต่อเบาๆ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงรถคันข้างหน้าก็ชะลอลง
ชายหนุ่มชะโงกหัวไปดู มีเจ้าหน้าที่ตำรวจพิเศษสี่ห้านายกำลังตรวจสอบรถอยู่ไม่ไกลนัก นอกจากนี้ยังมีสุนัขตำรวจที่ให้ความร่วมมือด้วย
“พี่คนขับ ข้างหน้าเขาตรวจอะไรกัน?” ชายหนุ่มลองสุ่มถามดู
“อันนี้ก็ไม่แน่ใจแต่ช่วงนี้เข้มงวดมาก ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องตรวจ”
“ต้องตรวจรถทุกคันเลยหรือ?”
“ใช่ ต้องตรวจทุกคัน” หลังจากนั้นพี่คนขับที่รับรู้เรื่องมามาก เขาจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ประมาณว่าเร็วๆนี้จะมีผู้นำใหญ่มาที่เมืองA หรือไม่ก็น่าจะกำลังตามหาคนสำคัญอะไรสักอย่าง”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งและพูดกับคนขับว่า “พี่ครับ ผมไม่ไปที่ชายหาดแล้ว เรากลับกันเถอะ”
คนขับมองเขาผ่านกระจกมองหลังแล้วถามว่า “เฮ้ ทำไมไม่ไปแล้วล่ะ”
“ ผมคิดๆดูแล้วว่าไปตอนนี้อากาศก็คงร้อนไปหน่อย ค่อยไปตอนเย็นๆแล้วกัน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ถ้างั้นเราจะกลับกันเลยไหม?” นายคนขับถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ครับ กลับเลย”
“ได้เลย” คนขับชะลอความเร็วลงและหักพวงมาลัยรถเพื่อกลับไปทางเดิมทันที
ชายที่นั่งด้านหลังหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อส่งข้อความ
พูดถึงถนนหนานหลัว
เย่ฉ่าวเฉินและจางเห่อพาคนค้นหาจนแทบจะพลิกแผ่นดินตรงบริเวณถนนหนานหลัว และเรียกสาวที่นั่งประจำบาร์เดินมาให้ดูแล้วหนึ่งรอบแต่พวกเขาก็ยังไม่เจอผู้หญิงคนนั้น
จะหนีไปไหนได้นะ?
เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่กลางถนนหนานหลัว มองดูแสงไฟหลากสีและผู้คนที่สัญจรไปมาโดยมีสำเนียงที่แตกต่างกันไป
สำหรับผู้ใหญ่เป็นเรื่องง่ายที่จะซ่อนตัวเอาไว้เพราะพวกเขาไม่รู้จักกัน เป็นไปได้ที่ทั้งสองจะเดินสวนกันโดยไม่รู้ก็ได้ แต่แล้วเด็กล่ะ? เด็กที่โตขนาดนั้นจะซ่อนตัวอยู่ตรงไหน? ยิ่งไปกว่านั้นผิงอันฉลาดซะขนาดนั้น ถ้าเขารู้ว่ากำลังหาเขาอยู่เขาจะต้องหาวิธีติดต่อกับเขาให้ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ก็คือกาวินไม่ได้อยู่ที่นี้ นี้เป็นเพียงความฝันที่ไร้สาระของเวยเวย สำหรับอาหารอุ่นๆที่อยู่ในห้องเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
แต่จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้บนโลกนี้ได้อย่างไร?
ขอบเขตการค้นหาขยายไปถึงห้าไมล์รอบๆถนนหนานหลัว ถนนทุกเส้นร้านค้าทุกร้านหาจนเหลือเพียงแค่ต้องพลิกที่ดินหาเท่านั้น
ใช้วิธีหาตั้งแต่เช้าจรดค่ำแต่ก็ไม่พบอะไรเลย
เมื่อกลับบ้านมาถึงบ้านตระกูลมู่ เย่ฉ่าวเฉินก็เก็บสีหน้าที่หงุดหงิดนั้นไว้ เขาไม่อยากให้อารมณ์ของตัวเองส่งผลไปถึงภรรยาของตัวเอง
มู่เวยเวยและเสี่ยวซีหร่านกำลังทำโยคะสำหรับคนท้องในห้องออกกำลังกาย เย่ฉ่าวเฉินแวะเข้าไปดูแล้วเดินออกมา ตอนเขาเดินลงมาชั้นล่างก็เจอชายเจ้าของคฤหาสน์พอดี
“นายกลับมาเมื่อไหร่?” มู่เทียนเย่มีน้ำอุ่นสองแก้วอยู่ในมือ สำหรับทั้งสองหลังออกกำลังกายเสร็จ
“พึ่งมาถึง” เย่ฉ่าวเฉินเสียงต่ำ
“ไปที่ถนนหนานหลัวมีข่าวอะไรหรือเปล่า?” มู่เทียนเย่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเที่ยงของวันนี้แล้ว
เย่ฉ่าวเฉินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์การค้นหาของวันนี้อย่างเรียบง่าย
หลังจากฟังเรื่องนี้จนจบมู่เทียนเย่ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “หรือไม่พรุ่งนี้ก็ให้หมอประจำตระกูลมาตรวจเวยเวยดูว่าเป็นลูกผู้หญิงหรือเปล่า ถ้าใช่ … ความเป็นไปได้ที่ว่าผิงอันอยู่ในเมือง A เป็นไปได้สูงมาก ”
เมื่อสองเดือนก่อน พ่อแม่ของเสี่ยวซีหร่านรู้ว่าลูกสาวของพวกเขาตั้งท้องลูกแฝดมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก พวกเขาไม่อยากให้ลูกสาวไปโรงพยาบาลเพื่อเข้าคิวตรวจสุขภาพอย่างยากลำบาก ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อชุดอุปกรณ์ทดสอบทางการแพทย์ทั้งหมดให้กับครอบครัวตระกูลมู่ มีเครื่องอัลตร้าซาวด์ B เครื่องฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์และเครื่องวัดความดันโลหิต ฯลฯ นอกจากนี้ยังเชิญผู้เชี่ยวชาญประจำแผนกสูติ-นรีเวชที่มีชื่อเสียงในเมือง A มาเป็นหมอประจำตระกูลอีกด้วย
เดิมทีมู่เทียนเย่บอกว่าเขาจะเป็นคนจ่ายเอง แต่พ่อแม่ของเสี่ยวซีหร่านบอกว่านี้เป็นหนึ่งในของขวัญที่พวกเขามอบให้ลูกสาวและมู่เทียนเย่ก็ทำได้แค่รับเอาไว้
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินคำแนะนำนี้ก็พยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน” จริงๆแล้วระหว่างทางกลับที่เขากลับ เขาก็พิจารณาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ที่ฝันถึงเรื่องเช่นนี้หรืออาจจะเป็นเพราะทารกในครรภ์เข้าฝัน ฟังดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นมา
หลังจากที่มู่เวยเวยออกกำลังกายเสร็จ เธอก็เห็นสามีของเธอยืนเงียบๆอยู่ข้างหน้าต่าง แผ่นหลังของเขาแสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าและความกังวลอย่างมาก
ไม่จำเป็นต้องถามเธอก็รู้ว่ายังหาผิงอันไม่เจอ
ในตอนกลางคืน ทั้งสี่คนนั่งอยู่รอบโต๊ะเพื่อรับประทานอาหาร บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ทุกคนไม่สามารถผ่อนคลายลงและไม่อยากฝืนยิ้มออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่กินข้าวอย่างเงียบๆ
ท้ายที่สุดมู่เทียนเย่ก็เป็นคนทำลายบรรยากาศที่เงียบนั้นทิ้งไป“ เวยเวย วันพรุ่งนี้หมอจะมาอัลตร้าซาวด์ให้ซีหร่าน ให้หมอตรวจร่างกายน้องด้วยเลยแล้วกัน” หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็หยุดไปสักพักและพูดต่อ “จะได้ดูว่าความฝันของน้องจะตรงหรือเปล่า”
มู่เวยเวยเข้าใจว่าพี่ชายของเธอหมายถึงอะไร เธอตอบอย่างเห็นด้วยว่า “บังเอิญจัง ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”
คืนนั้นเย่ฉ่าวเฉินพักที่บ้านตระกูลมู่ หลังจากอาบน้ำออกมาภรรยาของเขาก็หลับไปแล้ว เธอขี้เซาเป็นพิเศษหลังตั้งครรภ์ ยกเว้นการหายไปของผิงอันเมื่อสองวันก่อน อาการบาดเจ็บและโคม่าของเธอก็ทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้ในตอนกลางคืน ปกติพอหัวถึงหมอนภายในห้านาทีเธอก็จะหลับไปเลย
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆเขย่งเท้าไปที่เตียง จากนั้นก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
เวยเวยฝันดีนะ ผมหวังว่าคุณจะนอนหลับฝันดี
แต่คืนนี้มู่เวยเวยไม่ได้ฝันถึงอะไรเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น หมอประจำตระกูลก็มาถึงบ้านตระกูลมู่และหลังจากตรวจมู่เวยเวยเสร็จเขาก็พูดว่า “เป็นเด็กผู้หญิงที่พัฒนาการดีมากพวกคุณไม่ต้องกังวลอะไรเลย”
ทั้งสี่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เป็นใบ้ขึ้นมาทันที ต่างคนต่างมองกันไปมาแต่เมื่อนึกสิ่งที่มู่เวยเวยเคยพูดไว้ในเมื่อวานนี้
หมอมองพวกเขาด้วยใบหน้าแปลกๆและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เป็นอะไรไป?มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?หรือว่าพวกคุณไม่อยากได้เด็กผู้หญิง?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน” เย่ฉ่าวเฉินอธิบายทันที “มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณ เพียงแต่เรานึกอะไรบางอย่างได้แค่นั้น”
“อ้อ”
ถึงคราวที่เสี่ยวซีหร่านต้องตรวจบ้าง เย่ฉ่าวเฉินประคองมู่เวยเวยออกมา
นี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว ถ้ายังหาผิงอันไม่เจอเขาก็จะทุ่มสุดตัว แม้ว่าจะถูกเปิดเผยความเป็นส่วนตัวแล้วยังไงล่ะ? อย่างมากก็แค่ต้องย้ายออกจากเมืองA ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็มีที่สำหรับให้พวกเขาสามารถปักหลักได้เสมอ สำหรับเย่ฉ่าวเฉินตราบใดที่ครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง สำหรับความมั่งคั่งที่มีนั้นเพียงพอมากแล้ว
ปัจจุบันทั้งทางทะเล ทางบก และทางอากาศถูกปิดตายทั้งหมด สำหรับทุกอย่างนั้นมีความเป็นไปได้ที่น้อยมากและในความเป็นไปได้ที่น้อยมากนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยจะสามารถทนได้
ดังนั้นเขาและมู่เทียนเย่จึงต้องเร่งทุกอย่างให้เร็วขึ้น
ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงอุณหภูมิก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความร้อนในฤดูร้อนพัดผ่านไปมา
เย่ฉ่าวเฉินมาที่อพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กในใจกลางเมืองและเคาะประตู
“เจ้านาย คุณมาแล้วหรอ” เย่ยิงพูดด้วยความเคารพ
“ฉู่เซวียนล่ะ?”
“อยู่ในห้องครับ” ทันใดนั้นเย่ยิงก็เปิดประตูห้องที่เล็กที่สุดและฉู่เซวียนก็กำลังอ่านหนังสืออยู่บนเตียงอย่างสบายๆ
เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินเข้ามา เขาก็โยนหนังสือทิ้งและมองไปที่อดีตพันธมิตรของเขาอย่างเย็นชา
“ฉู่เซวียน เราเจอกันอีกแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินรูปร่างสูงและยืนมองเขาอย่างไม่แยแส
รอยยิ้มประชดประชันปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉู่เซวียน”ใช่แล้ว นี้ต้องพึ่งพรของประธานเย่ด้วย มิฉะนั้นชาตินี้เราก็คงจะไม่ได้เจอกันอีก”
เย่ฉ่าวเฉินเเดินสำรวจรอบๆห้องพักและมีทุกอย่างพร้อมที่จำเป็นต้องใช้สำหรับในชีวิตประจำวัน
“ฉู่เซวียน ฉันมาที่นี่เพื่อเจรจาเงื่อนไขกับนาย” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา
ฉู่เซวียนหัวเราะเยาะ “ฉันถูกนายขังไว้ที่นี้ ยังมีสิทธิ์ในการเจรจาหรอ?”
“พูดตามตรง ความคับข้องใจระหว่างนายกับฉันเคลียร์กันไปแล้วในครั้งที่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้ฉันจะปฏิบัติกับนายอย่างดี ทำไมนายยังเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก นี้มันไม่มีผลดีต่อนายและตระกูลฉู่ของนายเลยแม้แต่น้อย” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความขมขื่นเล็กน้อย
ฉู่เซวียนพูดเบา ๆว่า “นายเลิกพูดให้เปลืองน้ำลายได้แล้ว ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนมิฉะนั้นคงไม่ไปหาเข้าที่มณฑลFหรอก”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องเขาลึกลงไปราวกับใช้ประโยคนี้ตัดสินว่าเป็นความจริงหรือไม่
“นายไม่ต้องมองฉันแบบนี้ ฉันไม่รู้จริงๆว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“ แต่นายรู้ว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร”
ฉู่เซวียนแข็งไปทั้งตัว ใช่เขารู้ ในโลกนี้มีไม่กี่คนที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาและเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ถ้าเขากลับไปที่จุดเริ่มต้น เขาก็จะไม่ยินยอมเห็นใบหน้านั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องคอยนึกถึงคนๆนี้
“นายอยากเจรจาเงื่อนไขไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามอีกครั้ง
ฉู่เซวียนเงียบไปนานและในที่สุดก็ยอมพูดออกมาว่า“ ยังไง?”
“ง่ายมากนายแค่พาฉันไปหาคนๆนั้นแล้วฉันจะปล่อยพวกนายไป”
ฉู่เซวียนเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ“ นายเจรจาง่ายแบบนี้เลย?”
“ฉันแค่ต้องการลูกของฉันเท่านั้น สำหรับฉันชีวิตของพวกนายไม่มีค่าเลยสักนิด” ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินดุดัน
“ถ้าฉันไม่เห็นด้วยล่ะ?”
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วงและเย่ฉ่าวเฉินจับหนังสือที่เขาอ่านเมื่อกี้ขึ้นมากลางอากาศด้วยมือของเขาแล้วพลิกหนังสือไปมากลางอากาศและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆาตกรรม
พฤติกรรมนี้ทำให้ฉู่เซวียนตกใจมาก เขาเคยได้ยินข่าวลือว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาและสามารถใช้เวทมนตร์ต่างๆได้ เขาไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้จะได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง
ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่สนุก เย่ฉ่าวเฉินควบคุมทุกอย่างในห้องให้ลอยขึ้นกลางอากาศแน่นอนว่ารวมถึงฉู่เซวียนด้วย เขาตกใจกลัวมากจนระยะหลังๆตะโกนขึ้นกลางอากาศว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ปล่อยฉันลงไป ”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเย็นชา การเคลื่อนไหวของมือเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและฉู่เซวียนก็ตกลงมาจากเพดาน แต่ในขณะนั้นสิ่งของอื่นๆยังคงลอยอยู่กลางอากาศ
ในสายตาของฉู่เซวียนมองเขาด้วยความหวาดกลัวที่เพิ่มมากขึ้น เขากระโดดลงจากเตียงราวกับเห็นปีศาจแล้วออกห่างจากเย่ฉ่าวเฉินไกลมาก แต่ในวินาทีต่อมา เย่ฉ่าวเฉินก็เดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเขาไกลแค่เอื้อม
“นาย นายจะทำอะไร?” ฉู่เซวียนพิงกำแพงและถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่น
“นายกำลังทายอยู่ในใจว่าฉันเป็นตัวอะไรกันแน่ใช่ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินมองราวกับว่าเขาเป็นเหยื่อ
ฉู่เซวียนอยากผลักเขาออกไปแต่ไม่กล้าแตะต้องตัวเขา จึงทำได้แค่หันหน้าหนี
“ฉู่เซวียน ตอนนี้ฉันอารมณ์ดีฉันให้นายเลือก แต่ถ้าฉันอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา … “รอยยิ้มของเย่ฉ่าวเฉินมืดมน ทำให้ฉู่เซวียนรู้สึกชาไปทั้งหัว
เขากลืนน้ำลายและถามโดยสัญชาตญาณ “ถ้าอารมณ์ไม่ดีจะเป็นยังไง?”
“ถ้างั้นมื้อเที่ยงนายก็จะเป็นอาหารของฉัน” เย่ฉ่าวเฉินใช้สายตาที่ดุร้ายเพื่อทำให้เขากลัว
ฉู่เซวียนหลับตาลง ผู้คนมักจะยำเกรงและหวาดกลัวต่ออำนาจลึกลับและเขาก็รวมอยู่ในผู้คนเหล่านั้นด้วย
เมื่อเย่ยิงที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ยินเช่นนี้ก็เกือบจะหัวเราะออกมา เพื่อปกปิดใบหน้าตัวเองเขาจึงรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที
“เย่ฉ่าวเฉิน นายใจเย็นๆลงหน่อย เรามีเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆ”
สิ่งที่เย่ฉ่าวเฉินต้องการคือประโยคนี้ เดิมทีแค่ตั้งใจทำให้เขาตกใจเล่นชั่วคราว แต่ไม่คิดว่ามันจะได้ผล เหอะๆฉู่เซวียนเป็นคนที่ต้องเจอไม้แข็งถึงจะยอมสินะ
สิ่งของทุกอย่างในห้องกลับมาที่เดิมทันที เย่ฉ่าวเฉินเดินถอยไปไม่กี่ก้าวแล้วนั่งบนเก้าอี้แล้วกอดอกไว้ ดวงตาสีม่วงเปลี่ยนเป็นสีดำ
“ ถ้างั้นแสดงว่านายเห็นด้วยที่จะช่วยหาไอ้สารเลวนั่นใช่มั้ย?”
ฉู่เซวียนหายใจเข้าลึกๆ คว้าขวดน้ำบนโต๊ะมาดื่มหลายอึกเพื่อระงับความตื่นตระหนกในใจและพูดว่า “ฉันช่วยพวกนายตามหาเขาได้ แต่นายต้องรักษาสัญญาหลังจากที่หาลูกของนายเจอก็ปล่อยเราออกจากเมืองAซะ ”
“โอเค ฉันสัญญากับนาย” เย่ฉ่าวเฉินตอบแบบสบายๆ แค่ปล่อยให้ไอ้นั่นออกไปจากเมืองA มันก็ยังคงเป็นเมือง S เมือง C และอื่นๆ เย่ฉ่าวเฉินต้องกำจัดปัญหาใหญ่อย่างกาวินให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่สามารถนอนหลับอย่างสบายใจได้
เย่ฉ่าวเฉินจ้องไปที่ฉู่เซวียนและพูดเสริมว่า “ฉู่เซวียนอย่าพยายามหนี ถ้าหนีได้ก็รอดหนีไม่ได้ก็ตาย ตระกูลฉู่อย่างพวกนายมีทรัพย์สินมหาศาลเช่นนี้ ถ้านายหนีไปก็ยังมีพ่อแม่และน้องสาวของนาย ยังมีพนักงานและเพื่อนจำนวนมากที่ใช้การไม่ได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาทั้งหมดก็จะกลายเป็นของใช้ที่ฝั่งไปพร้อมกับงานศพนาย เชื่อฉันสิ ฉันพูดได้ก็ทำได้”
“ฉันรู้ ตั้งแต่ฉันสัญญากับนาย ฉันไม่คืนคำ” ฉู่เซวียนยังคงเป็นคนที่มีสัจจะในคำพูดคนหนึ่ง
เย่ฉ่าวเฉินพอใจกับคำตอบของเขาอย่างมากและยืนขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ถ้างั้นก็ดี เราไปกันเถอะ”
เมื่อฉู่เซวียนเห็นเขาเดินออกจากห้อง ก็พึ่งรู้ว่าเสื้อผ้าที่หลังของเขาแนบเข้ากับร่างกายตัวเอง เป็นเหงื่อที่ไหลออกมาจากความตกใจนั้นเอง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นี้เป็นครั้งแรกที่ฉู่เซวียนเดินออกจากอพาร์ทเมนต์ บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศเมื่อกี้หนาวเกินไปและความร้อนในฤดูร้อนทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
หลังจากขึ้นรถ เย่ฉ่าวเฉินก็ถามเขาตรงๆว่า “นายว่ากาวินจะไปที่ไหนได้บ้าง?”
ฉู่เซวียนขมวดคิ้ว“ ฉันไม่เคยรู้เบาะแสการเคลื่อนไหวของเขาที่ชัดเจน มิฉะนั้นก็คงมีเป้าหมายที่แน่นอนกว่านี้”
“นายไม่มีเบอร์โทรศัพท์มันเหรอ?”
ฉู่เซวียนส่ายหัว“ ไม่มี หลังจากกลับฮ่องกงเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”
เย่ฉ่าวเฉินหยิบสมุดสเก็ตช์และดินสอออกมาจากรถแล้วโยนให้เขา “วาดรูปลักษณ์ของมันออกมา”
ฉู่เซวียนตัวแข็ง “ฉันวาดภาพไม่เป็น”
“โอเค นายพูดมาเดี๋ยวฉันวาดเอง” เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้บังคับเขา
ฉู่เซวียนนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งเพราะเขาไม่ได้เห็นคนๆนั้นมานานแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงตราตรึงอยู่หัวของเขา
“ จะพูดอย่างไรดี?ใบหน้าของเขาไม่เหมือนใครในโลกใบนี้เลย เป็นผลงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบที่สุดของพระเจ้า ไม่ว่าใครก็ตาม จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงจะถูกครอบงำด้วยรูปลักษณ์ของเขา มันไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริงเลย ผู้คนที่ฉันเคยเห็นไม่มีใครที่มีรูปร่างประณีตเท่าเขา ดวงตาของเขาเหมือนดวงดาวที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า … ”
เมื่อฟังคำอธิบายของฉู่เซวียน เย่ฉ่าวเฉินก็โยนดินสอทิ้งข้างๆเขา “กูให้มึงบอกลักษณะใบหน้าของมัน มึงพูดคำชมออกมามากมายทำห่าไร?
ฉู่เซวียนแสดงสีหน้าไร้เดียงสา“ ลักษณะของเขาเป็นแบบนี้ มันหาอะไรมาเทียบไม่ได้จริงๆและรูปร่างหน้าตาของนายถ้าเทียบกับเขาตรงหน้า นายก็ได้แค่ครึ่งเดียวของเขา”
เย่ฉ่าวเฉินอยากจะตบหน้าเขาแต่ก็แค่ยิ้มแบบเยาะเย้ยแล้วพูดว่า “อ้อ ถ้างั้นแสดงว่ามันเลียนแบบหลานหลิงหวางเหรอ? กลัวว่าคนอื่นจะไล่ตามเมื่อเห็นความหล่อของมัน ก็เลยเป็นเหตุผลที่มันต้องสวมหน้ากากไว้?”
“หลานหลิงหวางคือใคร?” ฉู่เซวียนถามอย่างงี่เง่า อืม พอพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกาวิน เขาก็มักจะทำตัวงี่เง่าเสมอ
เย่ฉ่าวเฉินจ้องไปที่เขา “นายกลับไปเปิดดูตำราประวัติศาสตร์ก็จะรู้เอง”
“ตอนเราเรียนไม่มีสอนนะสิ” ฉู่เซวียนกล่าว
เย่ฉ่าวเฉินหมดคำพูด เขาลืมไปว่าผู้ชายคนนี้มาจากฮ่องกงและตอนที่เป็นนักเรียน ฮ่องกงยังไม่กลับสู่สถานการณ์เดิม
ช่างเถอะ ไม่วาดละ ถ้ามันเป็นอย่างที่ฉู่เซวียนอธิบายจริงๆ ถ้าเขาเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงจะต้องกลายเป็นข่าวที่ร้อนแรงแน่นอน ผู้หญิงในเมืองAนั้นบ้าคลั่งแค่ไหนเขาเคยรับรู้มาก่อน
ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็นึกถึงภาพของผู้หญิงคนนั้นได้จึงหยิบมันออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วยื่นให้ฉู่เซวียน “ดูสิ นายรู้จักเธอไหม?”
ฉู่เซวียนวิเคาระห์อย่างรอบคอบและผ่านไปสักพักก็พูดว่า “นี้น่าจะเป็นจ้าวถิงอวี่”
“นายรู้จัก?” เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นเขาหลายครั้ง” ฉู่เซวียนพูดเสริมอีกไม่กี่ประโยคในใจ อีกอย่างเป็นการพบกันที่แย่มากเพราะจ้าวถิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในคนที่กาวินชื่นชอบและเมื่อเขาได้พบกับคู่แข่งด้านความรักก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาโดยธรรมชาติ
“นายแน่ใจหรือ?” เย่ฉ่าวเฉินถามย้ำอีกครั้ง
ฉู่เซวียนเหลือบมองอีกครั้ง “มันดูคล้ายๆ น่าจะเป็นเธอ รอบๆตัวกาวินมีผู้หญิงแค่ไม่กี่คน”
“สะกดยังไง?” เย่ฉ่าวเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเตรียมโทรออก
“ถิงที่แปลว่าบ้าน อวี่ที่แปลว่าฝน จ้าวคือจ้าวที่เป็นจางหวังหลี่จ้าวที่พบบ่อยในนามสกุลของคนจีน”
ทันทีที่ฉู่เซวียนพูดจบเขาก็กดโทรออก “เหล่าเว่ย ช่วยหาผู้หญิงที่ชื่อจ้าวถิงอวี่ให้ฉันตามโรงแรมทั้งโรงแรมเล็กๆและโรงแรมใหญ่ทั่วเมืองAหน่อย”
“จะไปทันทีครับ”
หลังจากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็โทรหามู่เทียนเย่ทันทีและพูดคุยเกี่ยวกับความคืบหน้าของที่นี้ ทั้งสามคนต่างแยกย้ายกัน แบ่งตามสถานที่และเริ่มตามหาผู้หญิงที่ใช้นามสกุลจ้าวคนนี้อย่างลับๆ
ครึ่งวันผ่านไป เวลาสี่โมงเย็นเย่ฉ่าวเฉินก้าวเข้าสู่โรงแรมในย่านที่เจริญที่สุดของเมือง Aอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ” เย่ฉ่าวเฉินทักทายด้วยรอยยิ้ม
ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับเงยหน้าขึ้น ว้าว นี้ไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉินจากเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปหรอกหรอ?
“สวัสดีค่ะคุณเย่ ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรที่ต้องการคะ?”
“ช่วยตรวจสอบคนๆหนึ่งในโรงแรมของพวกคุณให้ผมหน่อยได้ไหม?”เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างมีเสน่ห์ วันนี้ทั้งวันเขาเอาแต่แสดงใบหน้านี้ออกมา โชคดีที่แผนกต้อนรับของโรงแรมทุกแห่งต่างให้ความร่วมมือ
สาวสวยรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “คุณเย่ พอดีโรงแรมเรามีข้อบังคับที่ไม่สามารถเปิดเผยความเป็นส่วนตัวของแขกได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินยิ่งเย้ายวนมากขึ้น“ คนสวย คุณช่วยผมแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ผมมีเรื่องที่เร่งด่วนจริงๆ ช่วยผมหน่อยได้ไหม?”
คำว่า”ได้ไหม?” คำสุดท้ายกระแทกเข้าใจของผู้หญิงคนนั้นโดยตรง รวมถึงสีหน้าที่อ้อนวอนของเย่ฉ่าวเฉิน สาวสวยประนีประนอมลงทันที “โอเค คนที่คุณเย่กำลังตามหาชื่ออะไรคะ?”
เย่ฉ่าวเฉินพูดชื่อของจ้าวถิงอวี่
ฉู่เซวียนที่เดินตามหลังทำหน้ามุ่ย เขาก็แค่เกิดมาหล่อไม่ใช่หรือ? มีอะไรดี?
“จ้าวถิงอวี่ใช่ไหม? มีค่ะ”
ทันทีที่หญิงสาวที่แผนกต้อนรับพูดจบ ทำให้ความหดหู่ใจในหลายวันที่ผ่านมาได้รับการฟื้นฟู บางทีอาจเป็นเพราะได้รับข่าวที่น่าผิดหวังมากเกินไป เมื่อได้ยินข่าวดี เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ตอบสนอง
“คุณพูดอะไรนะ?”
“มีคนหนึ่งที่ชื่อจ้าวถิงอวี่จองห้องไว้เมื่อวานนี้และยังไม่ได้เช็คเอาท์”
เย่ฉ่าวเฉินโน้มตัวไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น “จองห้องไหนไว้?”
“สามหนึ่งเจ็ด”
“ขอบคุณมากครับ” เย่ฉ่าวเฉินวิ่งไปที่ลิฟต์และอีกหลายคนที่อยู่ข้างหลังก็ตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับตะโกนอย่างกระวนกระวาย “คุณเย่ พวกคุณขึ้นไปไม่ได้”
แต่ในตอนนี้สิ่งที่เธอพูดไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ลิฟต์ยังคงอยู่ที่ชั้นเจ็ด เย่ฉ่าวเฉินรอแทบไม่ไหวและออกจากลิฟต์แล้ววิ่งขึ้นบันไดไวอย่างกับสายฟ้าแลบ
ใช้เวลาไปแค่เกือบหนึ่งนาที เย่ฉ่าวเฉินก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องสามหนึ่งเจ็ด เขาไม่ลังเลใดๆก็กระโดดขึ้นแล้วเตะที่ประตูให้เปิดออก เมื่อเดินเข้าไปกลับพบว่าไม่มีใครอยู่
ผ้าห่มบนเตียงถูกเปิดออกและมีเสื้อผ้าผู้หญิงหลายตัวทิ้งอยู่บนนั้น มีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เปิดฝาทิ้งไว้บนโต๊ะในห้องน้ำ สัญญาณทั้งหมดบ่งบอกว่าเมื่อกี้เจ้าของห้องอยู่ที่นี้
เย่ยิงสำรวจห้อง เขายืนอยู่ที่หน้าต่างและพูดว่า “เจ้านาย พวกเขากระโดดลงจากตรงนี้”
“นายรีบพาฉู่เซวียนตามเธอไป เขารู้จักผู้หญิงคนนั้นฉันจะไปดูที่ห้องอื่น”
“รับทราบ”
เย่ฉ่าวเฉินออกมาจากสามหนึ่งเจ็ดและกำลังจะเตะประตูตรงข้ามที่เป็นห้องสามหนึ่งแปด พวกเขาผู้ใหญ่สามคนเป็นไปไม่ได้ว่าจะอยู่รวมกันในห้องเดียว อย่างน้อยก็ต้องสองห้อง
“โอ้ ประธานเย่ คุณอย่าเตะผมจะเปิดประตูให้คุณเอง” ผู้จัดการของโรงแรมรีบวิ่งมาและถือการ์ดไว้ในมือของเขา
“ปึ้ง” ประตูเปิดออก เย่ฉ่าวเฉินวิ่งเข้าไปดูข้างในและไม่มีใครอยู่ เตียงเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่มีร่องรอยการนอน
เย่ฉ่าวเฉินพูดกับผู้จัดการอย่างกระวนกระวาย “ในบรรดาคนที่ดำเนินที่พักพร้อมกับห้องสามหนึ่งเจ็ด มีใครสวมหน้ากากอนามัยไหม หรือที่พาเด็กมาด้วย”
ผู้จัดการพยักหน้าทันที “มีคนหนึ่งที่สวมหน้ากากและพักอยู่ในห้องสองหนึ่งเจ็ดแต่ไม่มีเด็ก”
“พาฉันไป”
“ได้ครับๆ”
ผู้จัดการมองไปยังเย่ฉ่าวเฉินที่ร้อนรนใจและไม่กล้าชักช้า เขาจึงรีบวิ่งลงไปที่ชั้นสองและเปิดประตูห้องสองหนึ่งเจ็ด
ด้านในว่างเปล่าไม่มีใคร แต่มีกองขนมและรถจำลองขนาดเล็กวางอยู่บนโต๊ะที่ไม่ใหญ่นัก
“แขกน่าจะออกไปแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปรอบๆห้องด้วยสายตาที่เฉียบคมและสายตาของเขาก็จ้องไปที่กระเป๋าเดินทางสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงมุมกำแพงนั้น ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ากระเป๋าเดินทางใบนี้ดูคุ้นๆ เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นที่ไหนสักแห่งในสองสามวันที่ผ่านมา
ทันใดนั้นภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัว เมื่อวานนี้เขาชนกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ Nanluo Lane เขาลากกระเป๋าเดินทางสีดำแบบนี้ไว้ในมือ
หรือว่า…
กระเป๋าเดินทางใบนี้เป็นใบเดียวกับเมื่อวานที่ชายคนนั้นลากไว้?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดกระเป๋าเดินทาง ในหัวเขา“ตึง”แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะข้างในไม่มีอะไรเลยนอกจากรองเท้าเล็กๆและเป็นรองเท้าเล็กๆที่ไม่กี่วันก่อนเขาใส่ให้ผิงอันเองกับมือ
กระเป๋าเดินทางมีพื้นที่เยอะมากและมันก็เพียงพอจนสามารถใส่เด็กคนหนึ่งลงไปได้
ความคิดแย่ๆปรากฏขึ้นในหัว สาเหตุที่หลายวันที่ผ่านมาไม่สามารถหาผิงอันเจอได้เพราะเขาถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางใบนี้
ตามนิสัยของผิงอันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่ข้างในเงียบๆ ไอ้สารเลวนั้นต้องให้เขากินยาอะไรบางอย่างไปแน่ๆ