มู่เวยเวยปาดน้ำตา แสยะยิ้มและถามว่า “กลัวหรือ?”
“ใครกลัว?” เย่ฉ่าวเฉินถาม
“ไม่ได้กลัวหรือทำอะไรผิด แล้วทำไมไม่ให้ฉันไปทำงาน? กลัวฉันจะไปรบกวนเรื่องอะไรดีๆของคุณหรือ?”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเหมือนโดนใส่ร้าย เขาได้แต่ข่มอารมณ์ขุ่นเคืองในใจไว้ และตอบเสียงอ่อนโยนว่า “เวยเวย ผมไม่รู้จริงๆว่าเลขาหลิวเธอเลือกใคร ผมไม่เคยแอบติดต่อเธอเลย เธอเข้ามาที่ห้องผมอย่างมากก็แค่มาส่งเอกสาร ไม่ก็มายกน้ำชาให้แขกที่มาหาผม ส่วนเรื่องอื่นไม่มีเลยจริงๆ ถ้าคุณไม่เชื่อคุณโทรหาเลขาหลิวก็ได้ ถามเธอเองเลย”
พูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็หยิบโทรศัพท์มาเตรียมจะส่งให้มู่เวยเวย แต่ก็โดนเธอพูดดักว่า “เธอคือลูกน้องคุณ ยังไงก็ต้องช่วยคุณพูดอยู่แล้ว ฉันจะถามอะไรได้?”
“แล้วต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อผม?” เย่ฉ่าวเฉินขึ้นเสียงถามกลับ
มู่เวยเวยเห็นเขาขึ้นเสียง ก็ยิ่งโกรธ และพูดกับเขาว่า “ตอนนี้ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น นายออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันอยากอยู่เงียบๆ”
“ทำไมต้องอยู่เงียบๆ? เรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ บัดซบเอ้ย! ใครมันเป็นคนพูดพล่อยๆให้คุณฟังกันแน่วะ” เย่ฉ่าวเฉินสบถด่า
มู่เวยเวยจ้องที่เขาและพูดว่า และตอบกลับว่า “พี่ชายฉัน และเขาไม่เคยโกหกฉัน”
เย่ฉ่าวเฉินถึงกับช็อค คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเขา นี่มู่เทียนเย่ไม่อยากให้เขาใช้ชีวิตสงบสุขเลยหรือ
“มู่เทียนเย่? เขาไม่เคยมาห้องทำงานผมด้วยซ้ำ เขาจะรู้ได้อย่างไร?”
มู่เวยเวยแสยะยิ้มและพูดต่อว่า “เสแสร้ง คุณลองคิดดูดีๆ ว่าพี่ฉันไม่เคยไปห้องทำงานคุณจริงหรือ?”
เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นรีบพูดว่า “อ่าใช่ๆๆ เขาเคยไป ผมลืมเลย”
ก็คือช่วงบ่ายของสองวันก่อน มู่เทียนเย่บอกว่าผ่านบริษัทเขาจึงแวะมาหา แต่ตอนที่เขาขึ้นมา เย่ฉ่าวเฉินยุ่งมาก จนไม่มีเวลาคุยกัน มู่เทียนเย่นั่งอยู่พักใหญ่ พอเบื่อก็เดินออกไปเอง
หรือว่าจะเป็นครั้งนั้น?
แม่งเอ้ย! นี่เขาจงใจจะทำให้มู่เวยเวยเข้าใจผิดใช่ไหม?
“ทำไมเปลี่ยนเป็นเคยไปแล้วล่ะ? เมื่อกี้บอกไม่เคยไปออฟฟิศไม่ใช่หรือ?” มู่เวยเวยถาม
เย่ฉ่าวเฉินรู้ตัวว่าพูดผิดไป จึงตอบกลับด้วยท่าทองอ่อนลงว่า “ขอโทษ ผมลืมจริงๆ ตอนนั้นผมยุ่งมาก เขาออกไปตอนไหนผมยังไม่รู้เลย ผมโทรหาเขาถึงรู้”
เย่ฉ่าวเฉินยังคงอยู่ในท่าคุกเข่า หยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทรหามู่เทียนเย่ ปลายสายมีเสียงผู้หญิงว่า เบอร์ที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้….
ไม่ได้การละ ถ้าเรื่องนี้ไม่เคลียร์ วันนี้เขาคงโดนเข้าใจผิดไปตลอดแน่
เขาจึงเลือกโทรหาเสี่ยวซีหร่าน ไม่นานก็มีคนรับสาย
“ฮัลโหล?” เสี่ยวซีหร่านพูด
เย่ฉ่าวเฉินรีบตอบกลับว่า “พี่สะใภ้ ผมเย่ฉ่าวเฉินเอง มู่เทียนเย่อยู่ไหม?”
“เขาไปงานเลี้ยงยังไม่กลับ” เสี่ยวซีหร่านกล่าวเสียงสะลึมสะลือ
“พี่สะใภ้ เขาปิดมือถือแล้ว”
“ปิดก็ปิดซิ ปกติไม่ใช่หรือ?”
เย่ฉ่าวคิดในใจ “พี่สะใภ้ มู่เทียนเย่อยู่ที่งานเลี้ยง แถมยังปิดมือถืออีก ไม่กลัวมีผู้หญิงมาสอยเขาหรือ?
“เห้อ” เสี่ยวซีหร่านถอนหายใจ “เขาไม่ใช่นาย ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “ผมทำไมหรือ? ผมก็ดีนะ”
“อ่อหรอ? มู่เทียนเย่ตั้งแต่เกิดมามีฉันแค่คนเดียว แล้วนายล่ะผ่านมากี่คนละ? ไม่นานมานี้ก็มีผู้หญิงตระกูลฟานมาร้องไห้โวยวายอยากแต่งงานกับนายอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?”
เย่ฉ่าวเฉินหมดคำจะพูด เพราะมันเป็นเรื่องจริงตอนนั้น
“อีกอย่างนะ ถ้ามู่เทียนเย่มีผู้หญิงอื่นจริงๆ ฉันคงทำให้เขาเจ็บใจ และทำแท้งซะ แบบนี้ชดเชยได้ไหม?” เสี่ยวซีหร่านกล่าวเรียบๆ แต่เย่ฉ่าวเฉินกลับรู้สึกกลัว
ผู้หญิงคนนี้แรงกว่าผู้ชายอีก
เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับว่า “เอ่อ พี่สะใภ้ งั้นผมวางก่อนนะ”
“เดี๋ยว นายมีธุระอะไรกับเทียนเย่?”
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองไปทางภรรยาเล็กน้อย และตอบกลับว่า “เปล่าๆ ไม่มีอะไร แค่จะคุยเรื่องธุรกิจนิดหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยโทรหาเขา”
จากนั้นเขาก็วางสาย
เย่ฉ่าวเฉินรู้ดีว่าอย่างไรซะ เสี่ยวซีหร่านก็ต้องอยู่ข้างมู่เทียนเย่ และถ้าบอกเรื่องนี้ไป แน่นอนว่าเสี่ยวซีหร่านจะไม่เข้าข้างเขาและคิดว่าเขามีปัญหาจริงๆ อีกอย่างมู่เวยเวยค่อนข้างจะเชื่อเสี่ยวซีหร่านอยู่มาก แบบนี้คงไม่ค่อยดีกับเขาเท่าไหร่
เย่ฉ่าวเฉินโยโทรศัพท์ไปอีกทาง และถอนหายใจ เงยหน้าคุยกับภรรยาว่า “ที่รัก มู่เทียนเย่แค่กำลังแก้แค้นผม เขาตั้งใจให้คุณเข้าใจผมผิด วันนี้เขาปิดเครื่อง เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโทรหาอีกรอบ แล้วเรียกเขามาอธิบายให้คุณฟังเอง”
“อืม งั้นตอนนี้นายก็ออกไป เคลียร์เมื่อไหร่ ค่อยมาให้เห็นหน้า” มู่เวยเวยพูดเสียงแข็ง
“เอาแบบนี้ไหม? พรุ่งนี้ผมไปหาเลขาหลิว และไล่ผู้หญิงสองคนออก…”
“ออก?” มู่เวยเวยแสยะยิ้มอีกครั้ง “นายบอกว่าไม่มีอะไรไม่ใช่หรือ?”
“คุณไม่ชอบไม่ใช่หรือ?”
“คุณชอบก็พอ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเซ็ง นี่คำที่เขาพูดเธอไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม?
“ชอบอะไรกัน? นอกจากคุณแล้วผมก็ไม่ชอบใครทั้งนั้น ที่รัก ทำไมคุณเชื่อมู่เทียนเย่แต่ไม่เชื่อผม?” เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเจ็บปวดใจ
มู่เวยเวยตอบเสียงเย็นชาว่า “เพราะเขาเป็นพี่ชายฉัน ฉันรู้จักเขามา 25 ปีแล้ว เขาทำทุกอย่างเพื่อฉัน แต่คุณ ฉันเพิ่งรู้จักแค่ 2 ปี แต่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจริงแค่ครึ่งปีกว่าๆ คุณคิดว่าฉันควรเชื่อใคร?”
เย่ฉ่าวเฉินเจ็บหัวใจมาก ที่แท้ในใจเธอแทบจะไม่มีเขาอยู่เลย
เขาข่มอารมณ์หม่นไว้ในใจ จากนั้นลุกขึนยืนและพูดเสียงเย็นชาว่า “อืม มู่เทียนเย่ทำทุกอย่างเพื่อคุณ แล้วผมล่ะ? ผมคือสามีของคุณ ผมก็ทำทุกอย่างเพื่อคุณเหมือนกัน ขาดก็แค่ควักหัวใจออกมาให้คุณดูเท่านั้น นี่ทั้งหมดไม่ได้ทำให้ผมเทียบเขาได้เลยหรือ?”
มู่เวยเวยเงยหน้าเขาและตอบว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ที่นายทำทั้งหมด เพราะนายอาสาทำเอง ฉันไม่ได้ขอ”
“ใช่ ผมสมัครใจเอง งั้นผมก็รับสิ่งที่ผมทำไว้ละกัน พอใจไหม?”
มู่เวยเวยมองเขา ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน “ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ ออกไปเดี๋ยวนี้”
เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับอย่างเคืองๆ “ไปก็ไป”
จากนั้นเขาก็เดินออกไป…
“ปั๊ง” เสียงปิดประตูดังลั่น
เย่ฉ่าวเฉินขังตัวเองอยู่ที่ห้องหนังสือชั้น 3
ผิงอันอยู่กับพ่อบ้านหวังที่ชั้นล่าง พูดขึ้นว่า “พ่อกับแม่ทะเลาะกันหนักจังครับ”
พ่อบ้านหวัรู้ดีว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นอย่างไร ได้แต่ถอนหายใจ ปลอบเด็กน้อยว่า “อย่ากลัวเลยครับ เดี๋ยวพวกเขาก็ดีกัน”
“ถ้าเขาหย่ากัน ผมจะอยู่กับแม่” ผิงอันพูด
พ่อบ้านตกใจเล็กน้อย ถามกลับ “ใครบอกครับว่าทะเลาะกันแล้วต้องหย่า?”
“ในทีวีครับ”
“ในทีวีพูดมั่วๆครับ พ่อกับแม่คุณหนูไม่เลิกกันหรอกครับ” พ่อบ้านหวังกล่าว แต่ก่อนความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองแย่กว่านี้อีก แต่ก็ยังไม่เลิกกัน
อีกอย่างคุณชายก็อีกคน ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าคุณหนูกำลังท้องอยู่ แต่กลับไปทะเลาะกับคนท้องได้อย่างไร?
ด้านเย่ฉ่าวเฉินที่สงบสติอารมณ์อยู่ในห้องหนังสือ เมื่อเขาเย็นลง ถึงได้นึกว่าเขาทำอะไร พูดอะไรไป
สมองเขาโดนน้ำเข้าแล้วหรือเนี้ย? ทำไมพูดทำไมทำกับเวยเวยแบบนั้น?
โง่จริงๆ โง่บรรลัยเลย
ไม่ใช่ว่าจะไปง้อเธอหรือ? ทำไมเรื่องมันกลับกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?
เย่ฉ่าวเฉินเอามือปิดหน้า รู้สึกเสียใจจนอยากจะวิ่งชนกำแพง ตอนแรกมู่เวยเวยก็คิดมากพออยู่แล้ว แล้วเขามาทำแบบนี้อีก โอ้ยแย่ๆ
หรือว่าจะไปขอโทษตอนนี้เลย? แต่เธอน่าจะกำลังโกรธอยู่แน่ๆ เขาบอกหรือพูดอะไรไปคงจะไม่ฟัง
เห้อ รอเวยเวยเย็นลงกว่านี้ค่อยไปหาแล้วกัน
เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ความจริงข้อหนึ่งของผู้หญิงว่า ถ้าผู้หญิงโกรธก็ควรรีบไปง้อ ห้ามปล่อยเวลาให้ผ่านไปแบบนี้ ไม่งั้นแล้วมันอาจจะกลายเป็นเรื่องใญ่ขึ้นมาก็ได้…
เวลาสี่ทุ่มครึ่ง เย่ฉ่าวเฉินรวบรวมความกล้ามาที่ห้องนอน
ไฟไม่ได้เปิด มีแต่แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
ผิงอันไม่ได้นอนที่ห้องนี้ น่าจะเป็นเพราะพ่อบ้านหวังเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง นี่คงจะเป็นโอกาสที่พ่อบ้านหวังสร้างไว้ให้
บนเตียง เวยเวยซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ เขาเดินไปใกล้ๆ เห็นหน้าเธอแดงก่ำ คงจะเป็นเพราะร้องไห้อย่างหนัก
เย่ฉ่าวเฉินอยากจะเอื้อมมือไปลูบหน้าของเธอ แต่ก็กลัวจะทำให้เธอสะดุ้งตื่น
เพราะว่าอากาศร้อน แต่เพราะเธอท้องจึงไม่สามารถเปิดแอร์ได้ ทำได้แค่เปิดหน้าต่างห้อง และคลุมผ้าก่มบางๆ
เย่ฉ่าวเฉินนอนเอนกายลงบนเตียง ค่อยๆพลิกตัว มองแผ่นหลังของภรรยาที่รัก
เธอสวยจริงๆ แม้ตอนท้อง ก็ยังสวย ผมยาวสลวยแผ่ไปบนหมอน
จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ครั้งก่อนมู่เวยเวยอยากตัดผม เพราะว่าท้องแล้วสระผมยาก และผมก็ชอบร่วง แต่เย่ฉ่าวเฉินไม่ยอม พร้อมบอกว่าจะช่วยเธอสระเอง คิดไปคิดมา เขานี่ก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน เพราะแค่เขาคิดว่าเวยเวยเหมาะกับผมยาวมากกว่า จึงไม่ยอมให้เธอตัด แต่เขาไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเวยเวยเลย
เย่ฉ่าวเฉินไม่กล้าขยับตัวเข้าไปใกล้มากกว่านี้
อีกอย่างที่เธอพูดก็ถูก ที่เขาทำไปทั้งหมด เป็นเรื่องที่เขาอาสาจะทำทั้งนั้น เธอไม่ได้ร้องขอสักนิด และตั้งแต่คบกับเขา เธอก็เจอแต่เรื่องลำบากใจและเสี่ยงอันตรายมากมาย
ถ้าเขาไม่พยายามให้เธออยู่กับเขา ป่านนี้เธอคงไปเป็นดีไซเนอร์ชื่อดังแล้ว ไม่ต้องมาอยู่เสี่ยงอันตรายและความหวาดระแวงแบบนี้
เป็นเพราะเขาที่ดึงเธอไว้ แถมยังกล้าทะเลาะกับเธออีก
เขาเคยสัญญาไว้ว่า จะทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก แล้วตอนนี้เขาทำอะไรไปแล้วบ้าง?
เขาเอื้อมมือไปลูบผมเธออย่างอ่อนโยน และพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ที่รัก ผมขอโทษ”
น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ยิน
เขาเฝ้าคิดเรื่องที่ผ่านมา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี และเรื่องที่ทำผิดต่อมู่เวยเวยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเขาผล็อยหลับไปตอนกลางดึก
วันต่อมา เย่ฉ่าวเฉินตื่นมาเห็นมู่เวยเวยที่กำลังหลับอยู่ จึงค่อยๆลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา
ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะรอเธอตื่นมาและขอโทษเธอ แต่ไม่ทันไร เลขาหลิวก็โทรเข้ามาเตือนว่าวันนี้มีประชุมสำคัญต้องเข้าร่วมตอน 9 โมง
เขามองดูเวลา ตอนนี้ก็ 8 โมง 20 แล้ว เย่ฉ่าวเฉินกลับไปที่ห้องนอน อยากจะจูบที่หน้าผากเธอเบาๆ แต่มู่เวยเวยก็พลิกตัวหนี
เย่ฉ่าวเฉินค้างอยู่ที่เดิม เธอตื่นแล้วซินะ แต่คงไม่อยากเห็นเขา
เขาข่มความเจ็บปวดในใจไว้ และพูดกับเธอด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ผมไปทำงานแล้วนะ”
ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา
“ขอโทษนะ เมื่อวานผมผิดเอง” เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจและพูดต่อ “คุณอยากจะด่าจะตีผมยังไงก็ได้ แต่ขอร้องอย่าเฉยชากับผม…. เวยเวย ผมรักคุณมากจริงๆนะ”
ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับจากมู่เวยเวย
“ผม….”
เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้น คนที่โทรเข้ามาคือเลขาหลิว คงจะตามเขาซินะ
เย่ฉ่าวเฉินกดตัดสาย
ปกติเขาไม่เคยกลัวที่จะไม่ไปประชุมและอยู่กับเวยเวยในสถานการณ์แบบนี้ แต่การประชุมวันนี้เป็นประชุมสำคัญจริงๆ ต้องนัดกับทางอเมริกาตั้งนานกว่าจะได้ประชุม
“ผมให้ฉินหม่าเตรียมโจ๊กที่คุณชอบให้แล้วนะ ถ้าคุณตื่นแล้วก็ไปกินสักหน่อย ผมไปแล้วนะ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดจบครู่หนึ่ง ถึงเดินออกไป
เย่ฉ่าวเฉินอารมณ์หมองหม่นจนถึงบริษัท ก่อนเข้าประชุมเขาบอกเลขาหลิวว่า “ไล่เลขาสองคนนั้นออกซะ”
เลขาหลิวถามงงๆว่า “สองคนไหนคะ?”
เย่ฉ่าวเฉินหันมองเธอและตอบกลับเสียงแข็งว่า “ก็สองคนที่เธอพาเข้ามา”
“พวกเธอ….ทำอะไรผิดหรือคะ?” เลขาหลิวถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ผมบอกให้ออกก็ออก จะมาเซ้าซี้ทำไม” เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงแข็งขึ้น เลขาหลิวก้มหัวต่ำและตอบกลับว่า “ค่ะ ฉันจะจัดการเดี๋ยวนี้”
เลขาหลิวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะดูทั้งสองคนนั้นก็โอเคไม่มีปัญหาอะไร อีกอย่างเพิ่งจะเริ่มงานแค่วันแรกก็โดนเย่ฉ่าวเฉินไล่ออกซะแล้ว
เธอมองด้านหลังของเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกเหมือนมีคำว่า “อย่ายุ่งกับฉัน” ติดไว้ที่หลัง น่าจะเป็นเพราะทะเลาะเถ้าแก่เนี้ยมาแน่ๆ อีกอย่างก็มีแค่เถ้าแก่เนี้ยคนเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้
และแล้วการประชุมก็เริ่มขึ้น เย่ฉ่าวเฉินไม่ลืมที่จะปิดการแจ้งเตือนแบบเสียง
เวลาผ่านไปสามชั่วโมง ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี
“ขอขอบคุณทุกท่านมากสำหรับการร่วมมือในครั้งนี้ และขอยินดีต้อนรับพวกท่านกลับสู่ประเทศจีน กลับสู่เมืองเอครับ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวด้วยภาษาอังกฤษ
ชายผมบลอนด์ที่อยู่อีกฝากของจอมอนิเตอร์ พูดว่า “โอเค เดี๋ยวพวกเราจะจัดหาเวลาให้เร็วที่สุดครับ”
“โอเคครับ แล้วพบกันใหม่”
“พบกันใหม่ครับ”
เมื่อการประชุมจบลง เย่ฉ่าวเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็ตกใจตัวโหยง จนทำให้ทุกคนหันมามองเขา
หน้าจอโทรศัพท์แจ้งว่า มีสายไม่ได้รับ 30 กว่าสาย และที่สำคัญคือโทรมาจากคฤหาสน์ตระกูลเย่
เย่ฉ่าวเฉินใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ มีเรื่องอะไรไม่ดีแน่ๆ
รีบโทรกลับไป ไม่นานก็มีคนรับ “ฮัลโหล คุณอาหวัง มีเรื่องอะไรครับ?”
“ไอหยา คุณชายในที่สุดก็รับสาย คุณหนูหายตัวไปครับ”
“อะไรนะ?” เย่ฉ่าวเฉินหน้าเปลี่ยน จากนั้นรีบวิ่งออกไปข้างนอก
คุณหนูหายไปไหนไม่รู้ครับ” พ่อบ้านหวังพูดอย่างร้อนรน “ตอนเก้าโมงคุณหนูลงมากินอาหารเช้า จากนั้นก็เล่นอยู่กับคุณชายเล็กอยู่พักหนึ่ง และออกไปเดินเล่น และคุณหนูก็ไม่กลับมาเลยครับ ผมถามยามที่อยู่หน้าประตู เขาบอกว่าคุณหนูออกไปตั้งแต่สิบโมงแล้วครับ”
“โง่เอ้ย! ทำไมไม่ขวางไว้?” เย่ฉ่าวเฉินสบถด่า ตอนนี้เที่ยงยี่สิบแล้ว เธอออกจากบ้านไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว
พ่อบ้านหวังตอบกลับว่า “คุณชายครับ คุณหนูจะออกไปเดินเล่นใครจะกล้าขวางครับ”
เย่ฉ่าวเฉินหัวเสียมาก ถามต่อว่า “งั้นไม่มีใครตามเธอไปเลยหรือไง ไม่รู้หรือไงว่าเธอกำลังท้อง?”
พ่อบ้านหวังคิดในใจ คุณรู้ว่าเธอท้อง ยังกล้าทะเลาะกับเธอเลย
“คุณหนูบอกว่าเบื่อ ไม่ให้คนตามไปครับ” พ่อบ้านหวังพูดความจริง
เย่ฉ่าวเฉินรู้เลยว่า เธอกำลังโกรธเขาอยู่
“เธอพกมือถือไหม? ส่งคนไปหาหรือยัง?”
พกไปครับ แต่ปิดเครื่อง ตอนนี้จางเห่อกับหน่วยเหยี่ยวราตรีออกไปตามหาแล้วครับ”
เย่ฉ่าวเฉินวิ่งมาจนถึงลิฟต์ ถามต่อว่า “ผิงอันล่ะ?”
“คุณชายเล็ฏอยู่ที่บ้านครับ แต่ดูท่าทางจะอารมณ์ไม่ดีมาก ไม่พูดไม่จาเลย” พ่อบ้านหวังกล่าว พลางมองไปที่เด็กน้อยแล้วรู้สึกสงสารจับใจ
“คุณดูแลเขาให้ดี อย่าให้ไปไหน”
“ครับ”
หลังวางสายจากพ่อบ้านหวัง เย่ฉ่าวเฉินก็รีบโทรหาจางเห่อ
“ผมหาที่โรงแรมครับ ส่วนหน่วยเหยี่ยวราตรีกำลังไปขอดูกล้องวงจรปิดกับตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสของคุณหนูครับ”
เย่ฉ่าวเฉินรีบตอบกลับว่า “ได้ข่าวอะไรแล้วรีบโทรหาฉัน”
“ครับคุณชาย”
ลิฟต์ลงมาด้วยความรวดเร็ว เย่ฉ่าวเฉินรีบกดโทรหามู่เทียนเย่ ไม่นานก็มีคนรับ
“ฮัลโหล นั่นใคร?” มู่เทียนเย่แกล้งถามด้วยเสียงยียวน
เย่ฉ่าวเฉินสูดหายใจเข้าและด่าต่อว่า “มู่เทียนเย่ นายไปพูดบ้าๆอะไรให้เวยเวยฟัง นายสะใจมากใช่ไหม? ตอนนี้โอเคแล้ว มู่เวยเวยโกรธฉันจนหายตัวไปแล้ว ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมาฉันจะฆ่านาย”
มู่เทียนเย่ตกใจ รีบถามต่อว่า “หมายความว่ายังไง ที่ว่ามู่เวยเวยหายตัวไป?”
“ใช่ เธอโกรธฉันมาก โกรธจนหนีออกไปจากบ้าน นายสะใจมากใช่ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความโกรธ ถ้ามู่เทียนเย่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ มู่เทียนเย่คงต้องโดนเขาซัดหน้าหงายแน่ๆ
มู่เทียนเย่ร้อนรนขึ้นมาทันที “นายพูดอะไรของนาย ตอนนี้ต้องหาเวยเวยก่อน ถ้าหาไม่เจอฉันก็ไม่ปล่อยนายไว้แน่”
เย่ฉ่าวเฉินตัดสายทิ้ง เขาวิ่งมาถึงหน้าตึก เห็นเสี่ยวฟางที่รออยู่
“ท่านประธานครับ ไปที่ไหนครับ”
เย่ฉ่าวเฉินตอบ “ไปที่ไหน? ฉันก็ไม่รู้ว่าเธฮไไปที่ไหน”
แต่ก่อนเขาคิดว่าเมืองเอเล็กนิดเดียว เล็กจนไม่พอให้เขาขยายธุรกิจ แต่ตอนนี้ทำไมเขารู้สึกเหมือนเมืองเอใหญ่มาก ทุกๆที่มีแต่คนและผู้คน เขาไม่รู้เลยว่าจะเริ่มหาภรรยาของเขาจากที่ไหน
เสี่ยวฟางเห็นท่าทีและอารมณ์ของเจ้านายก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ค่อยๆเคลื่อนรถออก
“ขับช้าหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินพูด พร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง
วันนี้อากาศไม่ค่อยดี ฟ้าครึ้มๆ เหมือนฝนจะตก เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากคิดเลยว่า ถ้ามีฝนตกพายุเข้า มู่เวยเวยจะเป็นอย่างไรบ้าง
ระหว่างทางเย่ฉ่าวเฉินนึกขึ้นมาได้ ว่ามู่เวยเวยชอบไปร้านเค้กอยู่ร้านหนึ่ง เขารีบบอกให้เสี่ยวฟางขับรถไปที่นั่น
“สวัสดีครับ ภรรยาผมได้มาที่นี่ไหมครับ?” เย่ฉ่าวเฉินรีบลงจากรถและบึ่งเข้าไปในร้าน
เพราะว่าพวกเขามาที่นี่บ่อย เจ้าของร้านจึงรู้จักเขากับมู่เวยเวย
“คุณนายเย่ไม่ได้มาครับ”
เย่ฉ่าวเฉินเดินออกไปอย่างผิดหวัง จากนั้นก็ไปอีกหลายต่อหลายที่ ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนเดิมคือมู่เวยเวยไม่ได้ไปที่นั่น
เวลาผ่านไป เย่ฉ่าวเฉินยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมากกว่าเดิม
ทันใดนั้นเอง ก็มีข้อความจากหน่วยเหยี่ยวราตรี
“เจ้านายครับ คุณหนูขึ้นรถแท็กซี่ไปทางถนนเจียงหนานแล้วก็หายไปครับ ที่นั่นไม่มีกล้องวงจงปิด เลยไม่รู้ว่าคุณหนูไปไหนต่อ”
“ไปถนนเจียงหนาน” เย่ฉ่าวเฉินรีบบอกเสี่ยงฟาง
“ครับ”
เย่ฉ่าวเฉินคิด ที่นั่นไม่ใช่ใจกลางเมือง แถมยังค่อนข้างแคบ เวยเวยจะไปที่นั่นทำไม? คงไม่ใช่เพราะโดนลักพาตัวไปหรอก?
คิดได้แบบนั้น ใจเขายิ่งร้อนรน หันไปเร่งเสี่ยวฟางว่า
“เสี่ยวฟางเร้วหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินเร่ง
แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี ถึงแม้เสี่ยวฟางจะขับรถเก่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถหนีรถติดนี้ไปได้
ในที่สุดก็ถึงถนนเจียงหนาน ท้องฟ้าตอนนี้ร้องคำรามน่ากลัว
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกผิดในใจ กำมือแน่น เวยเวยคุณไปที่ไหนกันแน่? เขาสัญญากับตัวเองเลยว่า จะไม่ตะวาดหรือระบายอารมณ์กับเธออีก ขอให้เธอรีบกลับมาหาเขาด้วยเถอะ
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนที่โทรมาคือมู่เทียนเย่
เขาคิดว่าต้องมีข่าวดีแน่ จึงรีบกดรับสาย แต่เปล่าเลย ปลายสายกลับถามว่า “หามู่เวยเวยเจอหรือยัง?”