“โอเคค่ะ งั้นรอพักฟื้นโอเคแล้วค่อยลงมาเดินเบาๆนะคะ จะช่วยทำให้ฟื้นฟูเร็วขึ้นค่ะ” พยาบาลบอกเสร็จและเดินออกไป
หน้าผากเสี่ยวซีหร่านเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอบ่นว่า “ใครบอกว่าผ่าคลอดไม่เจ็บ ฮ้าย เจ็บเหมือนจะตายเลย”
เย่ฉ่าวเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ หันไปมองทางภรรยา พร้อมกับคิดในใจ โชคดีตอนที่คลอดผิงอัน เวยเวยคลอดแบบธรรมชาติ ไม่งั้นเขาไม่อยู่ใครจะดูแลเธอ?
เย่ฉ่าวเฉินสะกิดเวยเวยเบาๆ พร้อมกระซิบว่า “พวกเราไปเถอะ อยู่นี่น่าจะไม่ค่อยสะดวก”
เวยเวยฉุกคิดขึ้นมาได้ อ่าใช่ อีกสักพักคงจะปั๊มนม และอีกหลายอย่าง เย่ฉ่าวเฉินอยู่ด้วยคงจะไม่เหมาะจริงๆ
“พี่สะใภ้ เธอดูแลตัวเองดีๆนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมาหาอีก” เวยเวยกล่าวและยิ้มให้เธอ
เสี่ยวซีหร่านโบกมือแบบหมดแรง “ไปเถอะๆ ฉันไม่มีแรงจะทักทายเธอแล้ว กลับดีๆนะไ
“ฉันไปส่ง” มู่เทียนเย่เตรียมจะลุกขึ้น มู่เวยเวยก็ขวางไว้
“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่ พี่อยู่นี่ดูแลพี่สะใภ้ดีกว่า เดี๋ยวพวกเราไปก่อนนะ”
“คุณอาคุณน้าสวัสดีครับ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวลากับผู้ใหญ่ จากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องไป
ระหว่างทางเย่ฉ่าวเฉินสังเหตเห็นมู่เวยเวยอมยิ้มอยู่ตลอดไม่หยุด เขาจึงถามหยอกว่า “ดีใจขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แน่นอนซิ นั่นคือลูกของคนตระกูลมู่เลยนะ”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเบาๆและส่ายหัว อย่างไรซะตระกูลเย่ก็ไม่เคยชนะตระกูลมู่เลย
………
กลับถึงบ้าน ผิงอันก็ดีใจวิ่งเข้ามากระโดดกอดแม่ “แม่ครับ เด็กเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงครับ”
“ผู้ชายจ้ะ”
“โอเย่ ผมมีน้องชายแล้ว ฮ่าๆๆๆ ผมจะมีน้องชายแล้ว” ผิงอันดีในวิ่งไปวิ่งมา เขาดีใจมากที่จะมีน้องชายมาเป็นเพื่อนเล่นด้วย
วันต่อมา มู่เวยเวยมาที่โรงพยาบาล พร้อมกับเอาซุปปลาที่ฉินหม่าตั้งใจทำมาให้เสี่ยวซีหร่าน อีกทั้งเขายังพาผิงอันมาด้วย เพราะเขางอแงอยากจะดูน้องชายให้ได้ ทั้งจางเห่อและหน่วยเหยี่ยวราตรีก็พากันมาด้วย ส่วนเย่ฉ่าวเฉินต้องไปทำงานจึงไม่ได้มา
เสี่ยวซีหร่านกำลังออกกำลังกายเบาๆอยู่ที่พื้น ถึงแม้ว่าจะเจ็บแผลมากแค่ไหน แต่เธอก็ทนได้
“คุณลุงคุณป้า ” ผิงอันเปิดประตูพร้อมกับเรียกเสียงเจื้อยแจ๋ว
มู่เวยเวยสะกิดหลังเขาเบาๆ และพูดว่า “อย่าเสียงดังซิลูก น้องกำลังนอนอยู่”
“อ่อๆ ผมลืมครับ” ผิงอันขอโทษ จากนั้นถามต่อว่า “คุณลุงครับ น้องๆล่ะครับ?”
มู่เทียนเย่ชี้ไปทางรถเข็นเด็ก “ว้าวอยู่นั่นเอง”
ผิงอันรีบบึ่งเข้าไปที่รถเข็นเด็ก มีเด็กชายสองคนกำลังหลับอยู่ หน้าไม่ได้แดงเท่าเมื่อวาน ยิ่งดูยิ่งน่ารักมาก
“ว้าว เหมือนกันมากเลย น่ารักจริงๆครับ” ผิงอันพูดเสียงเบา “พวกน้องรีบๆโตนะ จะได้เรียกพี่ว่าพี่ชาย เดี๋ยวพี่ขายคนนี้จะฝึกฝีมือให้น้องๆเอง”
มู่เวยเวยขำเงียบๆ ยกกล่องข้าววางลงบนโต๊ะ “พี่สะใภ้ นี่เป็นซุปที่ฉันให้ฉินหม่าเตรียมไว้ให้ค่ะ ช่วยเรื่องการปั้มนมด้วยนะ อย่าลืมดื่มซักหน่อยนะคะ”
“อ่อๆ เธอเตรียมรอไว้ให้ฉันนะ เดี๋ยวฉันเดินอีกรอบหนึ่งก่อน” เสี่ยวซีหร่านกัดฟันทนความเจ็บค่อยๆเดิน และมีมู่เทียนเย่คอยประคองอยู่ข้างๆ
มู่เวยเวยมองไปรอบๆ ไม่เห็นพ่อและแม่ของเสี่ยวซีหร่านจึงถามว่า “พี่คะ คุณอากับคุณน้าล่ะคะ?”
“พี่ให้พวกท่านกลับบ้านไปพักผ่อนน่ะ เมื่อวานตอนบินถึงก็เลยมาโรงพยาบาลกันเลย แถมยังนั่งอยู่ข้างๆทั้งคืน เพิ่งกลับไปตอนเช้ามืดนี่เอง” มู่เทียนเย่ตอบ
คุณพ่อมือใหม่คนนี้ ถึงเขาจะไม่นอนสามวันสามคืน เขาก็คงมีพลังเหลือล้น
รอจนเสี่ยวซีหร่านเดินจนเสร็จ มู่เวยเวยก็ยกซุปไปให้เธอ “ดื่มซิ กำลังร้อนๆเลย หอมมากๆ”
เสี่ยวซีหร่านรับมาดื่ม เอ่ยปากชมว่า “หืม อร่อยมากๆ”
มู่เวยเวยอวดต่อว่า “ฝีมือฉินหม่าสุดยอดมากๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้คงต้องรบกวนฉินหม่าดูแลเรื่องเตรียมซุปให้ แล้วเดี๋ยวฉันเอามาเสิร์ฟเธอเอง ถือว่าออกกำลังกายไปในตัว”
“ขอบคุณเธอมากนะ เวยเวย” เสี่ยวซีหร่านยิ้ม
“ห๊ะ?” มู่เวยเวยมองออกไปนอกหน้าต่าง
“มองอะไรน่ะ?” มู่เทียนเย่ถาม
“ฉันกำลังมองว่าฟ้าฝนจะตกหรือเปล่า เธอกำลังพูดว่าขอบคุณกับฉัน แปลกมากๆเลย”มู่เวยเวยพูดไปขำไป
เสี่ยวซีหร่านอยากจะยกขาขึ้นเตะเธอ แต่ก็ทำไม่ได้ เธอเจ็บแผลเกินไปและไม่มีแรงมากพอ “เธอนะเธอ รอฉันหายดีก่อน ดูซิยังกล้าผยองอยู่ไหม”
“ไม่กล้าหรอกๆ” มู่เวยเวยตอบ จากนั้นนั่งลงและถามว่า “ตั้งชื่อให้ลูกหรือยังคะ?”
“ยังเลย” มู่เทียนเย่ตอบ จากนั้นหันไปมองทางเสี่ยวซีหร่านและตอบต่อว่า “ตอนที่ยังไม่ท้อง พวกเราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมีลูกสองคน คนหนึ่งอยากให้ใช้สกุลมู่ อีกคนให้ใช้สกุลเสี่ยว เพราะงั้นคนที่ใช้สกุลเสี่ยวพี่อยากให้คุณพ่อกับคุรแม่เป็นคนตั้ง ส่วนคนที่สกุลมู่ พี่จะค่อยๆคิดอีกที”
เสี่ยวซีหร่านมองไปทางมู่เทียนเย่อย่างอึ้งๆ ตอนนั้นเธอคิดว่าเขาน่าจะแค่ล้อเลนเท่านั้น เพราะผู้ชายประเภทเขาน่าจะใส่ใจเรื่องลูกต้องใช้นามสกุลเขาเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่า…
“คุณมองอะไร? รีบดื่มซุปซิ” มู่เทียนเย่กล่าว
“นายยอมให้คุณพ่อคุณแม่ฉันตั้งชื่อลูก? ยอมให้ใช้สกุลเสี่ยวหรือ?” เสี่ยวซีหร่านถามเพื่อความมั่นใจ
มู่เทียนเย่พยักหน้าอย่างมั่นใจ “แน่นอน คุณเป็นคนคลอดลูกออกมา ลูกก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเสี่ยวเหมือนกัน จะให้ใช้สกุลมู่ทั้งหมดก็ดูเห็นแก่ตัวเกินไป อีกอย่างนะ ไม่ว่าลูกจะนามสกุลอะไร ยังไงพวกเขาก็คือลูกผม ”
“เทียนเย่ นายดีจริงๆ” เสี่ยวซีหร่านกล่าวอย่างตื้นตัน
มู่เทียนเย่ยิ้มรับ และพูดต่อว่า “ดื่มซุปนะครับ ลูกๆรอคุณป้อนนมอยู่นะ”
มู่เวยเวยมองพวกเขาแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจมาก เพราะเธอรู้ดีว่า การจะเป็นพ่อแม่คนต้องเสียสละมากแค่ไหน
“อ่า พูดเรื่องตั้งชื่อ เวยเวย ผิงอันมีชื่อจริงหรือยัง?” มู่เวยเวยถาม
มู่เวยเวยตกใจ พูดว่า “พระเจ้า ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรเนี้ย ว่าแล้วรู้สึกเหมือนลืมทำอะไรไป ที่แท้ก็ลืมตั้งชื่อเต็มให้ผิงอันนี่เอง”
ผิงอันได้ยินแบบนั้น เงยหน้ามาถามแม่ด้วยหน้าตาบ๊องแบ๋วว่า “แม่ครับ อะไรคือชื่อจริงหรือครับ?”
มู่เวยเวยอธิบายช้าๆว่า “ชื่อจริงก็คือชื่อที่ใช้อย่างเป็นทางการจ้ะ เวลาหนูไปโรงเรียน หรือใช้เวลาที่คนอื่นต้องการเรียกหนู ส่วนผิงอันคือชื่อเล่น ชื่อที่คนในครอบครัวหรือที่บ้านเรียกกันจ้ะ”
มู่เทียนเย่มองน้องสาว และพูดว่า “ผิงอันสองขวบแล้วนะ เธอกับเย่ฉ่าวเฉินยังไม่ตั้งชื่อจริงให้อีก เกินไปจริงๆ”
มู่เวยเวยได้แต่ยิ้มแหยๆ “แฮะๆ ฉันลืมนิดหน่อยเองหน่า”
ตกเย็น เมื่อเย่ฉ่าวเฉินกลับถึงบ้าน มู่เวยเวยก็รีบพูดกับเขาเรื่องนี้ เมื่อเขาได้ยินก็ตกใจไปสักพัก และพูดว่า “พระเจ้า นี่ผมลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย”
ผิงอันยืดกอดเอวและเชิดปากถามว่า “พวกคุณเป็นพ่อแม่ได้อย่างไร ผมอายุสองขวบแล้วยังไม่มีชื่อจริงเลย”
“ไม่ใช่แค่ไม่ได้ตั้งชื่อนะ แม้กระทั่งทะเบียนบ้านก็ยังไม่ได้ขึ้นชื่อ” เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้น พลันหันไปเห็นหน้าตกใจของเวยเวย ก็รีบพูดต่อว่า “แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมจะไปจัดการให้เสร็จ แต่คืนนี้พวกเรามาตั้งชื่อจริงให้ผิงอันก่อน”
“ใช่ๆ” มู่เวยเวยกวักมือเรียกผิงอันและบอกว่า “เดี๋ยวพ่อกับแม่คิดชื่อมาสักสองสามชื่อ แล้วให้หนูเลือกว่าหนูชอบอันไหน หนูรู้ไว้ เด็กคนอื่นไม่มีสิทธิเลือกแบบนี้นะ”
ผิงอันเบ้ปาก และพูดต่อว่า “พ่อแม่เด็กคนอื่นเขาไม่ลืมตั้งชื่อให้ลูกนี่ครับ”
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมองหน้ากันและขำออกมา
“เอาล่ะ ไหนๆก็จะตั้งชื่อให้หนูแล้ว งั้นพวกเราก็ช่วยคิดชื่อของหนูน้อยที่อยู่ในท้องด้วยเลย ถึงตอนนั้นจะได้ประหยัดเวลาคิด” มู่เวยเวยเสนอ
“ก็ดีนะ”
เพื่อตั้งชื่อให้ลูกทั้งสอง มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินก็ไปงมตำหรับตำราต่างๆในห้องหนังสือมาไว้ที่ห้องรับแขก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือกาบกลอนโคลง บทประพันธ์ บทกวีต่างๆ แม้กระทั้งพจนานุกรมก็พากันยกมา ทั้งสองนั่งอ่านอยู่สักพัก เมื่อมู่เวยเวยเจอคำที่ความหมายดี ติดปาก และเพราะ ก็จะเรียกให้เย่ฉ่าวเฉินจดไว้
สองชั่วโมงผ่าน เย่ฉ่าวเฉินเขียนไปทั้งหมดสองแผ่น แผ่นแรกชื่อของผู้ชาย แผ่นที่สองชื่อของผู้หญิง
ผิงอันที่เล่นกับหุ่นยนต์เสี่ยวไป๋อยู่ข้างๆ รอนานจนจวนจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเรียกของเย่ฉ่าวเฉิน “หาเสร็จแล้ว ลูกลองมาเลือกดูซิ”
ผิงอันมองเย่ฉ่าวเฉินอย่างเซ็งๆ “คุณพ่อครับ ผมรู้จักตัวอักษรน้อย พ่ออ่านให้ผมฟังดีกว่าครับ”
“ก็ได้ ลูกฟังนะ” เย่ฉ่าวเฉินกระแอมเล็กน้อย และเริ่มอ่าน “เย่ชิงเจ๋อ ชิงภูเขา เจ๋อทะเล มีทั้งภูเขามีทั้งน้ำเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผิงอันเบ้ปาก ตอบว่า “ไม่ชอบครับ”
“เย่เฉินคัง เย่จิ่งหวน เย่ฮ้าวเฉิง เย่…”
เย่ฉ่าวเฉินผ่านไปเป็นสิบๆชื่อ แต่ผิงอันก็ยังเอาแต่ส่ายหัว
“เย่จิงเหยียน…”
“เดี๋ยวครับ” ผิงอันพูดแทรกขึ้น “เอาอันนี้ครับ ผมชอบอันนี้”
“เย่จิงเหยียน?” เย่ฉ่าวเฉินถามเขา
ผิงอันพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ครับๆ อันนี้แหละ ต่อไปผมชื่อว่าเย่จิงเหยียนนะครับ โอเค ผมไปนอนก่อนนะ ง่วงจะตายแล้ว ปะเสี่ยวไป๋ เราไปนอนกัน”
“ครับ เจ้านาย”
ผิงอันเดินไปพร้อมกับเสี่ยวไป๋เดินตามข้างหลัง
เย่ฉ่าวเฉินมองตามหลังของเขา และหันกลับมาถามมู่เวยเวยว่า “ผมรู้สึกคุ้นๆชื่อนี้มาก เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหน”
“อ่อ” มู่เวยเวยไม่มองหน้าเขาและแสร้งตอบเสียงเรียบๆไปว่า “ย่าจะเป็นก่อนหน้านี้มีละครย้อนยุคเรื่องหนึ่งและเขาเป็นพระโอรสในเรื่องนั้น”
เย่ฉ่าวเฉินคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ “อ่า ผมว่าแล้ว เป็นชื่อนักแสดงที่คุณชอบมาก”
“ใช่ค่ะ” มู่เวยเวยยิ้มหน้าบาน “เย่จิงเหยียน ก็เพราะดีออกนะ หวังว่าอนาคตผิงอันจะเป็นเหมือนเขานะ ยุติธรรม ตรงไปตรงมาและจริงใจ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างหมดคำจะพูด นี่ภรรยาเขาติดดาราหนักถึงขั้นนี้เลยหรือ?
“มีอะไรหรือ? คุณไม่เห็นด้วยหรือ?” มู่เวยเวยถามเมื่อเห็นสีหน้าเขา
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกงอนเล็กน้อยๆ พร้อมกับตอบว่า “ผิงอันบอกโอเคแล้ว ผมจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร พวกคุูณชอบก็พอแล้ว”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างพอใจ จริงๆชื่อนี้เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เลยเนียนๆแฝงไว้ในลิสรายชื่อ คิดไม่ถึงว่าผิงอันได้ยินก็เลือกเลย ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่พาผิงอันดูละครจะได้ผล
“เอาล่ะๆ ชื่อลูกสาวเดี๋ยวผมตั้งเอง ตอนนี้นอนก่อน”
“โอเคค่ะ”มู่เวยเวยตอบรับ
วันต่อมา มู่เวยเวยยกซุปมาให้เสี่ยวซีหร่าน วันนี้เป็นสตูว์ไก่ที่ตุ๋นมาทั้งคืน แค่เปิดกล่องออก ก็ได้กลิ่นหอมตลบอบอวล
เสี่ยวซีหร่านกล่าวชม “เชฟของบ้านพวกเธอนี่ฝีมือสุดยอดจริงๆ ตุ๋นสตูว์ได้หอมมากๆๆ”
มู่เวยเวยยิ้มเบาๆ พลางกับเทซุป “ของขึ้นชื่อของฉินหม่าก็คือสตูว์นี่แหละ ฉินหม่าทำงานที่บ้านของตระกูลเย่มานานและเคยดูแลคุณแม่ของฉ่าวเฉินตอนหลังคลอด เธอเลยค่อนข้างจะรู้น่ะ”
“เวยเวย ต้องขอบคุณหนูจริงๆนะ” แม่ของเสี่ยวซีหร่านมองไปทางเธออย่างอ่อนโยน “ฉันอยู่ต่างประเทศตลอด ทำอาหารจีนก็ไม่เป็น แถมพ่อครัวที่บ้านก็ทำสตูว์ได้รสชาติทั่วๆไป”
มู่เวยเวยยื่นสตูว์ให้เสี่ยวซีหร่าน และหันไปพูดกับแม่เสี่ยวซีหร่านว่า “คุณน้าอย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ ซีหร่านเป็นเพื่อนรักของหนู แถมยังเป็นพี่สะใภ้ของหนูอีก ดูแลแค่นี้ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ”
เสี่ยวซีหร่านลองชิมดูหนึ่งคำ รสชาติอร่อยเลิศมากๆ “คุณแม่ อย่าไปเกรงใจกับเธอมาก เพราะเธอก็ไม่เคยเกรงใจหนูเลย”
“ใช่ค่ะๆ พวกเราเป็นเพื่อนพี่น้องที่ต่อกัน มาเกรงใจแบบนี้ ทำตัวไม่ค่อยถูกค่ะ” มุ่เวยเวยรับคำ
แม่ของซีหร่านมองพวกเขาทั้งสอง และพูดต่อว่า “แต่ก่อน น้าอยากมีน้องให้ซีหร่านสักคนหนึ่ง เขาจะได้ไม่เหงา แต่ร่างกายน้าก็ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่ เลยทำให้มีไม่ได้ ตอนนี้มองเห็นซีหร่านมีน้องที่ดีแบบหนู น้าก็พอใจแล้วล่ะจ้ะ”
มู่เวยเวยโดนชมจนทำตัวไม่ถูก รีบเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับซีหร่าน “แผลยังเจ็บอยู่ไหม?”
เสี่ยวซีหร่านดื่มซุปไปตอบเธอไป “ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ก็ดีขึ้นเยอะ”
“น้ำนมพอไหม?”
“สองคนกินไม่พอ พวกเขากินเก่งมาก”
มู่เวยเวยเติมซุปให้เธออีก “งั้นดื่มเยอะๆนะ ฉินหม่าบอกว่ายิ่งดื่มเยอะยิ่งทำให้มีน้ำนมออกมาเยอะ”
เสี่ยวซีหร่านหรี่ตามองเธอ “เธอทำเหมือนฉันเป็นวัวเลยนะ”
“ตอนนี้เธอก็คือแม่วัวนี่นา” มู่เวยเวยตอบกลับ
“ฮึ่มๆ แกล้งฉันแบบนี้ รอดูตอนเธอคลอดบ้างนะ”
มู่เวยเวยขำกับการกระทำของเธอ “อ่าใช่ เธอออกจากโรงพบายาลแล้วจะทำอย่างไรต่อ?”
“พี่เธอจ้างคนรับใช้มาสองคนน่ะ คนหนึ่งคอยดูแลเด็กๆ อีกคนคอยดูแลเรื่องอาหารหลังคลอด”
“งั้นก็ดีแล้ว ฉันนึกว่ายังไม่มีใคร เลยจะให้ฉินหม่าไปคอยดูแลเรื่องกับข้าวกับปลาให้”
“พี่เธอละเอียดรอบคอบจะตาย จะลืมเรื่องนี้ไปได้ไง ฉันว่าเธอค่ลองพูดเฉยๆละมั้ง”
“ไอหยา ดูออกขนาดนั้นเลยหรือ แต่คุณน้ายังอยู่ที่นี่นะ ไว้หน้าฉันบ้างซิ”
เสี่ยวซีหร่านตอบกลับว่า “เธออยู่กับฉันยังมีหน้าให้รักษาอีกหรือ?”
แม่ของซีหร่านทนดูต่อไปไม่ไหว จึงสอนลูกว่า “เสี่ยวซี ลุกอย่าพูดแบบนี้กับเวยเวยซิ ”
“ใช่ค่ะๆ หญิงสาวที่ดีขนาดนี้เชียวนะ” มู่เวยเวยรับคำ
“คุณแม่ เธอไม่ใช่หญิงสาวแล้วนะ เธอแต่งงานมีลูกจะสองขวบแล้ว อีกอย่าง…”
พูดยังไม่ทันจบ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก มู่เทียนเย่เดินเข็นรถเด็กเข้ามา ทักทายน้องสาวว่า “มาแล้วหรือ”
“ใช่ค่ะ พี่ไปไหนมา?” มู่เวยเวยเดินเข้ามาดูเห็นเด็กๆกำลังหลับตาพริ้ม “ว้าว น่ารักจังเลย โตขึ้นสาวต้องกรี๊ดสลบแน่ๆ”
“พาเด็กๆไปตรวจมาน่ะ เพราะคลอดก่อนกำหนด แต่ทุกอย่างโอเคปกติดีทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร” มู่เทียนเย่ตอบด้วยเสียงอ่อนโยน
มู่เวยเวยยื่นมือไปเกี่ยวนิ้วของเด็กๆอย่างเบามือ “เรียกอาซิจ้ะ”
มู่เทียนเย่ขำเล็กน้อย “พวกเขาเพิ่งเกิดได้สองสามวันเอง จะเรียกอาได้อย่างไร?”
“แค่ล้อเล่นเองหน่า” มู่เวยเวยมองเด็กๆ และถามต่อว่า “พี่คะ คนไหนเป็นพี่คนไหนเป็นน้องหรือ?”
“เกี่ยวนิ้วเธออยู่คือพี่”
มู่เวยเวยสังเกตพวกเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง และถามต่อว่า “แต่พวกเขาเหมือนกันมากๆ แล้วแบบนี้จะแยกออกได้อย่างไรว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง?”
“เธอลองมองดีๆซิ ตาของพี่โตกว่าของน้องนะ”
มู่เวยเวยเพ่งอีกครั้งและตอบว่า “ไหนคะ? ไม่เห็นจะมองออก”
“เอ่อ เซนส์แยกแยะของเธอน่าจะแย่ งั้นรอพวกเขาโตกว่านี้ค่อยดูอีกทีแล้วกัน”
มู่เวยเวยไม่ได้สนใจคำของพี่ชาย และถามต่อว่า “งั้นตั้งชื่อหรือยังคะ?”
“ตั้งเสร็จแล้ว พี่ชื่อมู่ยู่วฉี น้องชื่อเซียวอวี้หลิน”
มู่เวยเวยคิดเล็กน้อย และถามต่อว่า “หลิน กิเลนหรือคะ?”
“ใช่”
“ว้าว สัตว์ในเทพนิยายหรือเนี้ย เทพนิยายตัวน้อยของอา” มู่เวยเวยพูดพร้อมกับยื่นมือไปจับหน้าเด็กเบาๆ
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ เสี่ยวซีหร่านออกจากโรงพยาบาล มู่เวยเวยก็ไม่ต้องเอาซุปมาให้เธอทุกวันแล้ว ด้านเย่ฉ่าวเฉินก็สบายใจไม่ใช่น้อย
เพราะทุกครั้งที่เขาไปทำงาน และมู่เวยเวยไปส่งซุปให้เสี่ยวซีหร่านที่โรงพยาบาล เขาจะเป็นกังวลอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าเธอจะมีจางเห่อและหน่วยเหยี่ยวราตรีติดตามไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดคิดกังวลใจได้
ตกกลางคืน หลังจากมู่เวยเวยวางสาบจากซีหร่าน เย่ฉ่าวเฉินก็ซบไหล่เธอและพูดเสียงน้อยใจว่า “ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณจะเป็นห่วงซีหร่านมากกว่าผมซะอีก แถมยังคอยกำชับเธอควรกินอะไรไม่ควรกินอะไร เธอไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
มู่เวยเวยฟาดหน้าเขาเบาๆไปทีหนึ่ง “เธอไม่ใช่เด็กก็จริง แต่เธอต้องดูแลเด็กตั้งสองคนเลยนะ คุณโอเคหรือเปล่าเนี้ย?”
เย่ฉ่าวเฉินได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกยอมแพ้
เขาก้มหัวลง มองเห็นตรงนั้นของเธอ จากนั้นก็เริ่ม…..
เย่ฉ่าวเฉินเอาความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาเป็นแรงฮึด
“คุณ…เอามือออกไป”มู่เวยเวยรีบมองซ้ายมองขวา ไม่มีคนอยู่ ผิงอันก็ไปเล่นที่ไหนไม่รู้
เย่ฉ่าวเฉินไม่ฟัง ยื่นมือเข้าไปใกล้เรื่อยๆ…..
“ไม่เอา….” มู่เวยเวยลูบแขนเขา และพูดต่อว่า “คุณหมอบอกว่า หลังจากสามเดือนก็ไม่สามารถมีอะไรได้แล้ว ตอนนี้ฉันใกล้จะคลอดแล้วนะ”
จากประสบการณ์ของเย่ฉ่าวเฉิน ความหมายของคำว่าไม่เอาของมู่เวยเวย มักจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ลังเล อุ้มเธอและพาเข้าห้องนอนไป มู่เวยเวยถามอย่างเกรงใจว่า “ฉันหนักมากเลยใช่ไหม?”
“ผมอุ้มคนทั้งโลก คุณว่าหนักไหม?” จากนั้นก็จูบเบาๆที่ริมฝีปากเธอ
มู่เวยเวยยื่นมือไปสัมผัสปากเขาเบาๆ “ทำไมหวานแบบนี้ กินน้ำผึ้งมาหรือ?”
“อีกแปปหนึ่งคุณลองชิมดูว่าหวานไหม?” จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็กัดเบาๆที่ริมฝีปากของเวยเวย
เย่ฉ่าวเฉินสังเกตอาการที่คุ้นเคยของมู่เวยเวยเริ่มแรงขึ้น
ตอนนี้เธอไม่กังวลใดๆ เพราะรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะไม่ทำอะไรมากเกินไป
เขาถีบประตูออก และใช้เท้าดันประตูปิด ค่อยๆวางเธอลงบนเตียง จากนั้นก็เริ่มจูบอันร้อนแรงขึ้น ทั้งสองแลกลิ้นไปมาอย่างดูดดื่ม
หลังจากจบจูบอันดูดดื่มนั้น ดวงตาของมู่เวยเวยก็เปล่งประกายไปด้วยความสุข
“หวานไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถาม
มู่เวยเวยเลียริมฝีปากเบาๆ และตอบว่า “อืม หวานมาก”
เย่ฉ่าวเฉินได้แต่ระงับอารมณ์….
“อ้าก จะตายแล้ว รอคุณคลอดก่อน เดี๋ยวผมมาคิดบัญชีกับคุณอีกที” เย่ฉ่าวเฉินกล่าว
คืนนี้ มู่เวยเวยรู้สึกสบายใจแล้ว้ เหลือก็แต่เย่ฉ่าวเฉินที่ยังคงค้างอยู่ จึงแช่น้ำเย็นระงับอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่
หลังจากกลางดึก มู่เวยเวยปวดท้องจนตื่นขึ้นมา ความรู้สึกเหมือนปวดท้องใกล้คลอด เธอรู้สึกกลัวจึงเรียกเย่ฉ่าวเฉิน
“ฉ่าวเฉิน ฉันปวดท้อง” มู่เวยเวยกล่าวอย่างอ่อนแรง
เย่ฉ่าวเฉินเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง ก็ตกใจเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของมู่เวยเวย รีบเด้งตัวขึ้นมาและบอกว่า “คุณปวดท้องหรือ? ผมพาคุณไปโรงพยาบาล”
มุ่เวยเวยพยักหน้าเบาๆ
เย่ฉ่าวเฉินมือแต่งตัวให้เวยเวย พลางโทรบอกให้จางเห่อเตรียมรถ เขาอุ้มเวยเวยลงมา ก็เห็นจางเห่อจอดรถรออยู่หน้าประตูแล้ว
“ไปโรงพยาบาลเร็ว”
จางเห่อมองเห็นสีหน้าของมู่เวยเวย ก็รู้สึกใจเต้นรัวๆด้วยความตื่นเต้น และรีบบึ่งรถไปโรงยาบาล
“ปวดมากไหม? ปวดมากก็กัดแขนผม” เย่ฉ๋าวเฉินพูดพร้อมกับกอดเวยเวยไว้ ครั้งก่อนที่เห็นเสี่ยวซีหร่านปวดท้องคลอด เขายังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ครั้งนี้เห็นภรรยาที่รักเจ็บปวดขนาดนี้ เหมือนมีคนเอามีดมาแทงกลางหัวใจเขา เขาอยากจะเจ็บแทนเธอจริงๆ
เพราะมู่เวยเวยเคยคลอดผิงอันมาแล้ว จึงคิดว่าความเจ็บนี้ยังพอไหว เธอตอบกลับอย่างอ่อนแรงว่า “ยังไหวค่ะ ยังทนได้”
เย่ฉ่าวเฉินปวดใจหนักกว่าเก่า เจ็บขนาดนี้แล้วยังบอกว่าทนได้อีก
“ไม่ต้องพูดแล้ว เก็บแรงไว้ก่อน”
“ถ้าไม่พูดจะยิ่งปวด เพราะสมาธิจะเพ่งไปที่ท้องอย่างเดียว”
เย่ฉ่าวเฉินตอนนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี พูดก็ไม่ดี ไม่พูดก็ไม่ได้ จึงถามต่อว่า
“งั้นคุณร้องเพลงให้ฉันฟังได้ไหม ฉันชอบฟังคุณร้องเพลง”
“ได้ ผมร้องเพลง คุณชอบเพลงของJay Chouใช่ไหม? เดี๋ยวผมร้องให้ฟังนะ” เย่ฉ่าวเฉินคิดเล็กน้อย และร้องขึ้น “ไม่รู้ทำไม ผมเปลี่ยนไปแบบนี้….”
เขาร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ ภายในรถอบอวนไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข และมู่เวยเวยก็รู้สึกตื้นตันใจมาก
มู่เวยเวยรู้ดี ว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่ชอบJay Chou คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะแอบไปเรียนเพลงของเขามา และตอนนี้ก็ยังยอมที่จะร้องเพลงของเขาให้เธอฟังอีก
ที่เขาไปเรียนร้องเพลงของJay Chouมา คงเป็นเพราะจะร้องให้เธอฟังวันนี้ซินะ