“ว่าอย่างไรนะ?”นี่คือคำพูดของมู่เทียนเย่
เสี่ยวซีหร่านส่งข่าวมาบอก“พวกคุณลองคิดดูสิว่า เมือง A ไม่มีหิมะตกมาหลายปีแล้ว วันนี้หิมะตกลงมาหนักมาก แม้กระทั่งถนนหนทางก็ติดขัดไปหมด นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอไม่ต้องการให้เวยเวยไปโรงพยาบาลเพื่อคลอดลูกจริงๆ เพราะว่าเธอกลัวว่าจะทำให้คุณหมอพวกนั้นตกใจ ถึงตอนนั้นถึงอยากจะปิดก็ปิดไว้ไม่ได้ อีกทั้งตอนที่เธอคลอดออกมาหิมะก็หยุดตก แดดก็ออก เรื่องนี้ชั่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดจริงๆ”
มู่เทียนเย่ได้ฟังความคิดของเธอก็พยักหน้าและพูดว่า“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะจริงนะ”
“พระเจ้า เด็กคนนี้เกิดมาได้ยังไง ตอนคลอดออกมาก็ทำให้คนอื่นตะลึงไปหมด หากว่าฉันไม่รู้เรื่องผิงอันจากเธอมาก่อน ก็ต้องช็อกเหมือนกันแน่นๆ”
พ่อกับแม่ของเสี่ยวซีหร่านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ดูจากสีหน้าท่าทางและคำพูดของคนอื่น ดูเหมือนว่าจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ แต่ที่ได้ฟังพวกเขาพูดกันอย่างเงียบๆ มันชั่งน่าอัศจรรย์จริงๆ
มู่เวยเวยสัมผัสแก้มของเธอที่กำลังหลับอยู่ และอดไม่ได้ที่จะคุยกับเธอ“เธอหนะ แท้จริงมาแล้วจากไหนกัน ทำไมถึงได้เก่งกาจขนาดนี้ หรือว่า เธอจะเป็นเซียนกลับชาติลงมาเกิด แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็คือลูกสาวของฉัน ”
“หูยๆๆ เธอพูดซะเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ดูน่าเหลือเชื่อ แต่ว่าโลกนี้จะมีเทพมีเซียนอะไรพวกนั้นได้อย่างไงกัน”
“เหอะ ถ้ามีล่ะ?”
ผิงอันนอนมอบอยู่ด้านข้างของน้องสาวตลอด เขารู้สึกชอบน้องสาวที่น่ารักคนนี้มาก โดยเฉพาะหลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จ เขาก็จ้องมองน้องสาวอยู่ตลอด ขนตาของเธองอนยาว จมูกของเธอดูโด่งน่ารัก ปากของเธอดูเหมื่อนกับปากของแม่มาก
“คุณพ่อ น้องชื่ออะไรหรอครับ”ผิงอันถามเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินหันไปมองทางด้านนอกหน้าต่าง หิมะยังคงหนาเป็นชั้นๆ เมื่อโชคดีมาเยือนจิตใจก็เป็นสุข เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้น “อย่างนั้นก็เรียกว่าชูวเสวียแล้วกัน เย่ชูวเสวีย”
เธอกับหิมะที่ตกลงมาครั้งนี้ล้วนมีคำสัมพันธ์ต่อกันอย่างลึกซึ้ง ตั้งชื่อนี้ขึ้นมาบางครั้งอาจจะเป็นเพราะความตั้งใจของสวรรค์ก็ได้
“เย่ชูวเสวีย?เป็นชื่อที่เพราะมากๆเลย แล้วชื่อเล่นเรียกว่าอะไรครับ?”ตั้งแต่รู้ว่าคนมีชื่อจริงและชื่อเล่น ผิงอันก็ค่อนข้างให้ความสนใจกับเรื่องนี้
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ภรรยาของเขา“เธอคิดว่าจะตั้งว่าอะไรดี?”
มู่เวยเวยคิดชื่อลูกสาวของเธอไว้ตั้งนานแล้ว“ ตั้งว่าหรูอี้ ผิงอันกับหรูอี้ มีความหมายแฝงมากมาย ”
“ตามใจเธอแล้วกัน”เย่ฉ่าวเฉินไม่มีรู้สึกคัดค้านแม้แต่น้อย
ผิงอันเอียงศีรษะคิดแล้วคิดอีกพร้อมกับยิ้มตาหยี๋ๆและพูดว่า“หรูอี้เพราะกว่าชื่อของผมอีก”จากนั้นก็ทำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับน้องสาว“น้องสาว ต่อไปจะเรียกเธอว่าหรูอี้นะ ชอบหรือเปล่า?”
หรูอี้น้อยนอนอย่างสงบ ปากของเธอมีรอยยิ้มเล็กๆ
เสี่ยวซีหร่านเห็นมู่เวยเวยมีท่าทางอ่อนเพลีย เธอจึงลุกยืนขึ้นและพูดว่า“พวกเราออกไปก่อนเถอะ ให้มู่เวยเวยได้นอนพักผ่อนก่อน เมื่อกี้เธอเสียแรงไปมาก”
เดิมทีผิงอันอยากจะเล่นกับน้องสักพัก แต่เมื่อคิดๆดูแล้ว ต่อไปน้องก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนกับเขาได้ตลอด จึงได้เดินออกไปอย่างมีความสุข
เย่ฉ่าวเฉินรอให้ทุกคนออกไปจนหมดแล้ว จึงเดินเข้าไปจับมือของมู่เวยเวยและจูบเบาๆลงบนหน้าผากของเธอ “ที่รักลำบากคุณแล้ว พักผ่อนเถอะ เมื่อนอนตื่นแล้วฉันจะพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาล”
“อือ”มู่เวยเวยมีน้ำเสียงที่เพลีย เธอรู้สึกอ่อนเพลียและง่วงมากจริงๆ
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆปิดประตู และบังเอิญได้ยินเสียงแม่ของตระกูลเสี่ยวถามเสี่ยวซีหร่านในห้องรับแขกว่า “เรื่องมันเป็นมายังไงกัน?”
เสี่ยวซีหร่านรู้สึกลำบากใจ “คุณแม่ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ฉันไม่สามารถพูดได้”
“กับแม่ก็พูดไม่ได้หรอ?”
“ใช่ พูดไม่ได้”เสี่ยวซีหร่านยืนยันอย่างหนักแน่น
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะแบบไม่มีเสียง“พี่สะใภ้ ไม่เป็นไรหรอก เธอก็บอกคุณลุงกับคุญป้าไปเถอะ ล้วนแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน ”
“นายแน่ใจนะ?”เสี่ยวซีหร่านนึกไม่ถึงว่าเขาจะยอมง่ายขนาดนี้
“แน่ใจสิ”
ไม่นึกว่าเมื่อเย่ฉ่าวเฉินพูดพบไปไม่นาน เสี่ยวซีหร่านก็กุมมือของแม่เธอไว้ เธอพูดด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น“มาๆ หนูจะเล่าให้ฟังว่าเรื่องเป็นยังไง เมื่อพวกคุณฟังแล้วอย่าได้ช็อกเชียวนะ……”
เอ่อ……
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยความกดดัน เสี่ยวซีหร่านไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว แม้ว่าเธอจะเป็นแม่ลูกสองแล้วก็ตาม
ด้านนอกบ้านแสงแดดส่องสว่างจ้า ผิงอันกำลังปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ทางด้านนอก กลัวว่าแสงแดดจะทำให้หิมะละลายเร็ว เขาจึงรีบวิ่งไปที่น่าประตูและร้องเรียกเย่ฉ่าวเฉิน “คุณพ่อ รีบมาช่วยผมปั้นตุ๊กตาหิมะหน่อย”
“มาแล้ว”
หลังจากที่คฤหาสน์มีการปรับปรุงการตกแต่งมาแล้วหนึ่งรอบ ดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าเมื่อก่อนมาก ผ้าม่านกับพรมล้วนเปลี่ยนใหม่หมด โดยใช้โทนสีที่ให้ความอบอุ่น เย่ฉ่าวเฉินยังตั้งใจให้ด้านในของห้องรับแขกติดตั้งเตาผิง ตอนหน้าหนาวทุกคนในครอบครัวมานั่งรอบเต้าผิง อ่านหนังสือ ดื่มชาและพูดคุยกัน ให้ความรู้สึกราวกับว่าอยู่ที่ยุโรปในฤดูหนาวยังไงยังงั้น
หรูอี้โตเร็วมาก เธอกับผิงอันพี่ชายของเธอไม่ค่อยจะเหมือนกันเท่าไหร่ ตั้งแต่เกิดออกมาผิงอันก็ยิ้ม น้อยมากที่เขาจะร้องไห้ แต่หรูอี้ พอเธอรู้สึกไม่สบายตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นหิว เหงา หรือว่าตอนที่ก้นน้อยๆของเธอแฉะ เธอก็จะอ้าปากร้องทันที บ้างครั้งก็ร้องจริงๆน้ำตาไหลออกมาเป็นสายๆ บางครั้งก็แกล้งร้อง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากมู่เวยเวย
เมื่อมาถึงช่วงปลายปี บริษัทของเย่ฉ่าวเฉินก็จะมีงานยุ่งมากกว่าปกติ แต่เขาก็ไม่เคยมีข้ออ้าง ทุกวันหลังเลิกงานเขาก็จะกลับบ้านมาดูเจ้าหญิงตัวน้อยทันที เพียงแค่ได้เห็นหน้าเธอ ความเหน็ดเหนื่อยในหนึ่งวันของเขาก็สลายหายไปในพริบตา
ชีวิตความเป็นอยู่แบบอบอุ่นและสนุกสนานเช่นนี้ ค่อยๆดำเนินมาจนถึง ใกล้ช่วงตรุษจีน
ปฏิทินจันทรคติวันสุดท้าย เย่ฉ่าวเฉินอุ้มหรูอี้พร้อมกับชี้นิ้วออกคำสั่งคนรับใช้แปะกระดาษนำโชคที่ผนัง
“ขึ้นไปด้านบนอีกหน่อย ใช่ๆๆ ได้แล้ว”
ขณะนั้น พ่อบ้านหวังวิ่งเข้ามาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูดีใจ“คุณชาย คุณชาย คุณมาดูสิว่าใครมา”
เย่ฉ่าวเฉินหันกลับมา เงาของคนที่มีลักษณะสูงบึกบึนเดินเข้ามาในระยะสายตา เป็นเพราะแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนเข้าตา เขาจึงเห็นหน้าไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร แต่ผิงอันก็วิ่งออกไปพร้อมกับตะโกนเรียกเสียงดัง“คุณอา——”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกดีใจ น้องนายกลับมาแล้ว
เย่ฉ่าวเหยียนเอากระเป๋าเดินทางส่งให้คนรับใช้ และก้มลงเพื่ออุ้มผิงอัน เย่ฉ่าวเหยียนอุ้มเขาหมุนกับที่อยู่สองสามรอบจึงหยุดพร้อมกับยิ้มและพูดว่า“ผิงอันดูโตขึ้นเยอะเลย คุณอาเกือบจะอุ้มไม่ไหวแล้ว”
ผิงอันฮ่าๆๆหัวเราะอย่างมีความสุข “จะเป็นไปได้ยังไง ผมก็ตัวเล็กเท่านี้มาตลอด”เมื่อพูดจบ ผิงอันก็มองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ทางด้านข้างของเขา พร้อมกับถามด้วยความสงสัยว่า“พี่สาวสวยจัง เป็นใครหรอครับ”
“นี่เป็นเพื่อนของอา จะมาอยู่ที่บ้านของเราช่วงวันตรุษจีน”เย่ฉ่าวเหยียนแนะนำ
สาวสวยยื่นมือออกมาทักทาย“สวัสดีจ๊ะ ฉันชื่อเสี่ยวโยว ”
ผิงอันก็ยื่นมือออกไปจับที่มือของเธอ สายตามองไปรอบๆตัวของหญิงสาวคนนี้อยู่สักพัก“สวัสดีครับ พี่สาวคนสวย”
ทั้งสามคนเดินเข้ามาในคฤหาสน์ ผิงอันโน้มตัวเขาไปพูดอะไรที่บ้างหูของเย่ฉ่าวเหยียน
“คุณอา เธอเป็นแฟนของคุณอาใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเหยียนมองเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาดพร้อมกับหัวเราะและพูดว่า “เธอรู้ไหมว่าแฟนแปลว่าอะไร?”
“ต้องรู้อยู่แล้ว”ผิงอันเชิดหน้าขึ้นพูดอย่างมั่นใจ
เย่ฉ่าวเหยียนบีบไปที่จมูกเล็กๆของเขาพร้อมกับพูดเบาๆว่า“ไม่ใช่หรอก เธอไม่ใช่แฟนของอา”
“อ้อ น่าเสียดายจัง”ผิงอันค่อยๆถอนหายใจ
“น่าเสียดายอะไรกัน?”
ผิงอันส่ายหน้าไปมา “คุณอา อาหนะหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ เธอยังไม่รีบที่จะคว้าเอาคุณอาของผมไว้ในมืออีก”
“ฮ่าๆๆๆ……”เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะเสียงดัง“ เด็กคนนี้ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ดูฉลาดขึ้นเยอะเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ผิงอันน้อมรับคำชมของเขาด้วยความเบิกบานใจ
เมื่อมาถึงหน้าประตู เย่ฉ่าวเฉินมองน้องชายที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในใจรู้สึกหมดความกังวลเป็นพันเท่าหมื่นเท่า
“พี่ ผมกลับมาแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปตบๆที่ไหล่ของเขา“กลับมาก็ดีแล้ว”
“นี่คือเสี่ยวหรูอี้ใช่ไหม?”เย่ฉ่าวเหยียนทอดสายตามองไปที่สาวน้อยและหยุดชะงักที่เธอยู่สามวินาที จากนั้นก็ถูกสาวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่ชายดึงดูดสายตา“พระเจ้า เธอน่ารักมากๆเลย ให้ฉันลองอุ้มหน่อย”
เวลานี้ ร่างกายของหรูอี้ไม่มีรอยปานหรือรอยย่นต่างๆแล้ว ผิวของเธอขาวราวกับหิมะ ตาทั้งสองข้างเป็นสีม่วงดูวาววับดุจอัญมณี ล้วนแต่ทำให้คนที่มองเห็นตกหลุมรักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ทำไม่ถึงได้เป็นเด็กที่มีความสวยงามขนาดนี้นะ ”เย่ฉ่าวเหยียนชื่นชมสาวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา หรูอี้มองชายแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าของเธอพร้อมกับมีรอยยิ้ม ขณะนั้นดูเหมือนว่าหิมะจะละลายหมดแล้ว เวลาของช่วงวันตรุษจีนก็มาถึงแล้ว
“เธอยิ้มแล้ว เธอยิ้มให้ฉันแล้ว ”เย่ฉ่าวเหยียนพูดด้วยความดีใจ
เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาดู ยิ้มจริงๆด้วยสินะ พร้อมกับพูดด้วยความอิจฉาเล็กน้อยว่า
“เฮ้ย เธอไม่เคยยิ้มแบบนั้นใช้ฉันเลย”
เย่ฉ่าวเหยียนได้ฟังแบบนี้แล้วก็ยิ่งมีความสุข “เสี่ยวหรูอี้ เธอชอบคุณอามากใช่ไหม ?”
มู่เวยเวยได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินออกมาดู เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเหยียนก็รู้สึกประหลาดใจมาก “ฉ่าวเหยียน?”
เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวที่สวมเสื้อขนสัตว์สีขาว สวมกางเกงตัวหลวม สวมรองเท้าแตะรูปกระต่ายสีชมพู ใบหน้าของเธอมีสีสมพูระเรื่อ ในตาวาววับเป็นประกาย ดูเหมือนว่าจะอ้วนขึ้นจากเมื่อก่อนนิดหน่อย แต่ดูเป็นผู้หญิงขึ้นมากเลย
“เวยเวย”เขาเปลี่ยนเสียงพูดเป็นอีกเสียง ในใจรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อย
“นายจะกลับมาทำไมถึงไม่โทรศัพท์มาบอกกันก่อน พวกเราจะได้ไปรับนาย ”มู่เวยเวยบ่นแต่น้ำเสียงของเธอมีความดีใจ
เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะและพูดขึ้นว่า“ฉันรู้จักทางกลับบ้านน่า ฉันอยากจะเซอร์ไพร์สพวกคุณไง”
“ใช่เซอร์ไพร์สมากๆเลย”มูเวยเวยมองเห็นผู้หญิงแปลกหน้าที่ยืนอยู่ทางด้านข้างของเขา ตาของเธอก็เป็นประกาย พร้อมกับถามขึ้นว่า“ผู้หญิงคนนี้เป็น……”
“เสี่ยวโยว เป็นเพื่อนของฉันเอง” เย่ฉ่าวเฉินแนะนำแบบสั้นๆ
“สวัสดีค่ะๆ ยินดีต้อนรับที่คุณมาบ้านของพวกเรา”มู่เวยเวยพูดอย่างอบอุ่น
เสี่ยวโยวยิ้มแบบอ่อนๆ “สวัสดีค่ะทุกคน ขอรบกวนด้วยนะคะ”
“ไม่รบกวนเลย ไม่รบกวยเลยสักนิด”มู่เวยเวยคิดว่าเธอเป็นแฟนของเย่ฉ่าวเหยียน ฉะนั้นเธอจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ และรีบบอกพ่อบ้านหวังว่า“รีบไปจัดการห้องให้คุณเสี่ยวโยวหน่อย ห้องที่อยู่ทางทิศใต้ห้องนั้นหนะ แสงแดดกำลังดี”
“ครับ คุณผู้หญิง”
“อย่ามายืนกันตรงนี้เลย ข้างนอกนี้อากาศเย็น เข้ามาคุยกันต่อในห้องดีกว่า”มู่เวยเวยแนะนำ
เมื่อเย่ฉ่าวเหยียน เดินเข้าประตูมา ก็ได้พบว่าด้านในของคฤหาสน์เปลี่ยนไปมาก“ตกแต่งใหม่หรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินที่เดินอยู่ทางด้านข้างของเขา“อือ ก่อนหน้านี้มีเรื่องนิดหน่อย ก็เลยรื้อและตกแต่งภานในทั้งคฤหาสน์ใหม่”
เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกประหลาดใจ น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นต่างหากล่ะไม่อย่างนั้นคงไม่ตกแต่งใหม่หมดหรอก แม้กระทั่งผ้าม่านก็ยังเปลี่ยนใหม่
“ดูดีมากๆ อย่างนี้สิถึงจะเหมือนบ้าน ”เย่ฉ่าวเหยียนพูดชื่นชม
“นายชอบก็ดี”
เย่ฉ่าวเหยียนหันกลับไปมองที่พี่ชายพร้อมกับแสยะยิ้ม
นี่คือบ้านที่พวกเขาทั้งสองเติบโตมา เย่ฉ่าวเฉินก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องชายของเขาจะชอบมันด้วย
เวลาพลบค่ำ ภายในและภายนอกของคฤหาสน์ตกแต่งด้วยโครมไฟสีแดงสว่างไสว พร้อมกับธงชาติจีนที่ห้อยอยู่บนที่สูง และอักษรมงคลต่างๆที่เห็นได้อย่างชัดเจน
เย่ฉ่าวเฉินและเย่ฉ่าวเหยียนเดินเล่นไปรอบๆคฤหาสน์
“เสี่ยวโยวคนนั้นคือใคร?”
เย่ฉ่าวเหยียนรู้ว่าเขาจะถามว่าอะไร จึงบอกออกไปตรงๆว่า“ไม่ใช่แฟนผมจริงๆ เป็นเพื่อนที่มหาลัย เธอเป็นคนที่มีเชื้อสายจีนแต่โตที่ต่างประเทศ เธออยากรู้มาตลอดว่าคนจีนจัดงานวันตรุษจีนอย่างไร และรู้ว่าผมกำลังจะกลับบ้าน เป็นตายก็จะตามผมมาให้ได้ เรื่องก็เป็นแบบนี้”
“อ้อ……”เย่ฉ่าวเฉินลากเสียงยาว ตอนนี้เป็นแค่เพื่อน ใครจะรู้ว่าปีต่อไปอาจเปลี่ยนไปก็ได้
ตกตอนเย็น แขกก็มารวมตัวกันที่ห้องอาหาร พ่อบ้านหวัง แม่บ้านฉิน จางเห่อ เหยียวราตรีและคนอื่นๆก็มาเข้าร่วมงานด้วย
ปีก่อนๆ วันตรุษจีนมีเย่ฉ่าวเฉินเพียงคนเดียว ปีก่อนมีมู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเหยียนเป็นเพื่อน ปีนี้ทุกๆคนมาร่วมงานวันตรุษจีนในบ้านตระกูลเย่อย่างอบอุ่น
“ปีนี้ลำบากทุกคนแล้ว ปีใหม่ขอให้มีความสุข”เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะยกแก้วขึ้นอวยพรให้ทุกคน
“ปีใหม่ขอให้มีความสุข ปีใหม่ขอให้มีความสุข……”
ในโทรทัศน์ ร้องเพลงอวยพรวันปีใหม่อย่างคึกครื้น ด้านนอกของโทรทัศน์ความสุขแบบเรียบง่ายพึ่งกำลังจะเริ่มขึ้น
เวลาเที่ยงคืน ดอกไม้ไฟสวยงามทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ผิงอันตื่นเต้นดีใจวิ่งไปวิ่งมา มู่เวยเวยยังคงมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินและลูกสาวที่หลับอยู่ในอ้อมกอดของสามี
“ชั่งดีจริงๆ”มู่เวยเวยพูดเบาๆ เธอดื่มไวน์เข้าไปแล้วหนึ่งขวด หน้าของเธอเริ่มแดงขึ้น ดูแล้วชั่งน่ารักเสียจริง
“อะไรนะ?”เสียงดอกไม้ไฟดังมาก เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ยินที่เธอพูด
มู่เวยเวยยืนบนเท้าของเขาและพูดข้างหูของเขาว่า“ฉันพูดว่า แบบนี้ชั่งดีจริงๆ”
เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้าหัวเราะ จากนั้นเขาหันไปมองเธอพร้อมกับจูบลงที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ
ใช่ ความสุขแบบนี้มันชั่งดีจริงๆ
เส้นทางสายนี้ พวกเขาได้รับความทรมานกันมามากแล้ว บ่อยครั้งที่ต้องจากลา บ่อยครั้งที่เหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่ โชคดีที่พวกเขาไม่เคยคิดที่จะบ่อยมือซึ่งกันและกันเลย สุดท้ายการเชื่อมั่นในความรัก แม้ว่าเส้นจะทางเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับคืนมานั้นก็คือความสุข
เมื่อจูบเธอเสร็จ แววตาของมู่เวยเวยก็ดูเป็นประกาย ทันใดนั้นเธอก็นึงถึงคนสองคนตอนที่พึ่งจะเริ่มรู้จักกัน เธอลากมือของเขาเข้ามาและพูดว่า “มานี่ ฉันจะบอกความลับอะไรบางอย่าง”
“ความลับอะไร?”เย่ฉ่าวเฉินเอาหูโน้มลงไปหาเธอ
มู่เวยเวยค่อยๆพูดว่า“แท้จริงแล้ว ปีนั้นผู้หญิงที่อยู่ที่โรงแรมนานาชาติ CK ไม่ใช่เฉียวซินโยว แต่เป็นเป็นฉันเอง”
เย่ฉ่าวเฉินชะงักไปพักหนึ่ง แต่ไม่ถึงขนาดที่มู่เวยเวยคิดไว้
เขาหันกลับไปมองเธอด้วยสายตาที่สงสัย ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ และพูดว่า“ฉันรู้”
มู่เวยเวยตัวแข็งชะงัก“คุณรู้ได้ยังไง?”
เย่ฉ่าวเฉินหันขึ้นไปมองดอกไม้ไฟที่อยู่บนท้องฟ้า เขาทำเป็นไม่สนใจเธอ
“เฮ้ ทำไมถึงรู้ล่ะ?รู้ตั้งแต่ตอนไหน?”มู่เวยเวยอยากรู้มากๆ เธอจับที่แขนของเขาและถามอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย
เย่ฉ่าวเฉินใช้มือข้างหนึ่งโอบไปที่ไหล่ของเธอ และพาเธอเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมกับพูดเบาๆให้ลมกระทบที่ข้างหูเธอ “คืนนี้ถ้าเธอไม่ร้องว่าเจ็บ ไม่ร้องว่าเหนื่อย ฉันก็จะบอกเธอ”
มู่เวยเวยหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอรีบวิ่งขึ้นไปทางด้านบน
“ทำไม่ต้องรีบขนาดนั้น?รอฉันก่อนสิ……”เย่ฉ่าวเฉินรีบวิ่งตามขึ้นไป
ที่ด้านนอกยังคงมีดอกไม้ไฟบานสะพรั่ง เย่ฉ่าวเฉินเชื่อว่าชีวิตของพวกเขาพึ่งจะกำลังเริ่มต้นขึ้น ผิงอันกับหรูอี้เป็นเหมือนดังผ้าม่านที่สวยงายที่พึ่งจะเปิดออก
……
หนึ่งปีผ่านไป ณ โรงเรียนอนุบาลที่ดีที่สุดของเมือง A
วันเปิดเรียนวันแรก สีของดวงตาที่ไม่ปกติของเย่จิงเหยียนดึงดูความสนใจของคนในโรงเรียนเป็นอย่างมาก มีเด็กหลายคนที่ไม่เคยเห็นดวงตาแบบนี้มาก่อน เมื่อเลิกเรียนก็มักวิ่งเข้ามาล้อมรอบห้องเรียนของเขาเพื่อมาดูเขา
ตอนเริ่มแรก เย่จิงเหยียนก็ไม่ค่อยจะคุ้นชินสักเท่าไหร่ แต่ว่าเขาก็พูดอะไรได้ ได้แต่เพียงแค่ค่อยๆยอมรับมัน เพราะพ่อกับแม่เคยบอกเขาว่า เส้นทางนี้เป็นทางเดินที่เขาจะต้องเดิน
เขาครุ่นคิด เด็กพวกนี้ที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาดูสองสามครั้งก็คงจะไม่ดูแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่ายิ่งนานวันเข้ายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ หนักกว่านั้นคือมีคนวิ่งเข้ามาถามต่อหน้าเขา
“เฮ้ ตาของนายทำไมสีไม่เหมือนกันล่ะ”เด็กชายดูรูปร่างอวบอ้วน สูงกว่าเย่จิงเหยียนหนึ่งศีรษะ ดูเหมือนว่าจะเรียนอยู่ชั้นสูงกว่าเขาด้วย
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้มองเขาด้วยสายตาเย็นชา และถามกลับเขาว่า“แล้วทำไมตาสองข้างของนายถึงได้มีสีเหมือนกันล่ะ?”
เมื่อเด็กชายคนนั้นถูกถามกลับ เขาคิดอยู่นานก่อนที่จะพูดออกมาว่า“เดิมทีมันก็ต้องเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ ทุกคนก็เป็นเหมือนกัน มีเพียงแค่นายที่ไม่เหมือนคนอื่น”
“นั่นเป็นเพราะว่านายเจอเพียงคนที่มีสีตาเหมือนกัน โลกใบนี้มีคนตั้งมากมายและแต่ล่ะคนก็ไม่เหมือนกัน เพียงแต่นายไม่เคยเจอก็เท่านั้น”
ความนิ่งของเย่จิงเหยียนทำให้เด็กชายชะงัก หนักว่านั้นเด็กชายเริ่มสงสัยในความคิดของเขา
“นายยังมีอะไรจะถามอะไรอีกไหม?ถ้าไม่มีล่ะก็ไปจากที่นี่ซะ”เย่จิงเหยียนควบคุมความโมโหของตัวเองไม่ให้ตัวเองพูดคำว่า“ไสหัวออกไป”คำนี้ออกมา
อาจเป็นเพราะท่าทีการแสดงออกของเย่จิงเหยียนทำให้เด็กชายดูไม่ค่อยพอใจ เขาโกรธจนกำมือแน่นพร้อมกับพูดว่า“นายรู้ไหมว่าพ่อของฉันเป็นใคร?ถึงได้มาพูดกับฉันแบบนี้?”
เย่จิงเหยียนเอามือมากอดที่อก ท่าทางแบบนี้ดูคล้ายกับเย่ฉ่าวเฉินเอามากๆ
“อ้อ ไม่ว่าพ่อของนายจะเป็นใคร ฉันก็ไม่รู้จักทั้งนั้นแหละ”
“นาย……”เด็กชายกำคอเสื้อของเขา ตอนกำลังที่จะลงมือ อาจารย์ก็รีบวิ่งเข้ามาและร้องตะโกนว่า“หยุดนะ!”
เด็กชายมองอาจารย์ที่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาให่ปล่อยเย่จิงเหยียน “คอยดูนะ”
เย่จิงเหยียนแอบยิ้มเย็นชาอยู่ในใจ คอยดูก็คอยดูสิ
“จิงเหยียน เขาได้ทำร้ายเธอหรือเปล่า”อาจารย์ถามด้วยความเป็นห่วง
เย่จิงเหยียนยิ้มหวาน“เปล่าครับอาจารย์ ผมไม่เป็นอะไร”
รอยยิ้มนี้หวานกระแทกเข้าที่หัวใจของอาจารย์ ทำให้อาจารย์ก็รู้สึกหลงรักในรูปร่างหน้าตาของเด็กชายคนนี้ทันที
เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงแล้ว ไม่คิดว่าตอนบ่ายของวันที่สองเย่จิงเหยียนจะถูกเด็กชายคนนั้นและเพื่อนของเขาขวางไว้ที่มุมหนึ่งของโรงเรียนอนุบาล
“ฮ่าๆ ฉันกลับไปถามแม่ของฉันมาแล้ว แม่ฉันพูดว่าในโลกใบนี้ไม่มีคนที่มีตาสองข้างสีไม่เหมือนกันอย่างนายเลย ฉันว่านายน่าจะเป็นพวกตัวประหลาย ”เด็กชายพูดอย่างหยิ่งสโย
เย่จิงเหยียนกัดฟันแน่น เขาอยากจะใช้ความสามารถพิเศษจัดการเด็กชายคนนี้ แต่พ่อได้สั่งไว้แล้วว่าถ้าไม่ถึงที่สุดอย่าใช้มัน อย่าได้ลงมือ
“ตัวประหลาดๆ……”เด็กๆที่อยู่รอบข้างก็โห่ร้องตาม
เย่จิงเหยียนไม่ได้สนใจพวกเขา ใช้มือผลักไปที่ไหล่ของเด็กชายคนนั้นพร้อมกับพูดว่า“หลีกไป”
แต่ว่าเด็กชายมีรูปร่างที่บึกบึน แรงที่เย่จิงเหยียนในผลักที่ไหล่ของเด็กชายคนนั้นใช้ไม่ได้ผล เด็กชายจึงพูดขึ้นว่า“นึกไม่ถึงว่านายจะกล้าทำร้ายฉัน?อย่างนั้นฉันก็จะให้นายได้ลิ้มลองความเก่งกาจของฉัน”
กำปั้นของเด็กชายยกสูงขึ้น เย่จิงเหยียนคิดในใจว่า หากกล้าเคลื่อนลงมาโดนเขา เขาก็จะหักแขนของเด็กชายคนนั้นซะ
กำปั้นพึ่งจะเคลื่อนลงมาได้แค่ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเด็กชายคนนั้นก็ถูกถีบมาจากทางด้านหลัง ร่างกายของเขาไถลมาทางด้านหน้า เย่จิงเหยียนรีบหลบออกไปทันที เด็กชายล้มกองอยู่กับพื้นอย่างไม่เป็นท่า
“ฮือๆๆๆๆ——”ที่แท้เป็นเด็กผู้หญิง เธอถีบเข้ามาอย่างแรง เขาต้องเจ็บอย่างแน่นอน จากนั้นไม่นานเด็กชายก็ร้องไห้ออกมา
เย่จิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมามองเด็กผู้หญิงที่มีรูปร่างสูงกว่าเขาเล็กน้อย เธอยืนอยู่ท่ามกลางสายลม ผมของเธอถักเปียเล็กๆสองข้าง ผิวไม่ค่อยขาวมากเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าโดนแดดเผามา แก้มของเธอแดงเป็นจ้ำๆ ตาทั้งสองข้างของเธอเป็นสีดำเข้มดูใสสะอาดดูสวยงาม ที่ขอบกระโปรงสีขาวมีโคลนเปื้อนอยู่เล็กน้อย รองเท้าสีขาวที่เธอสวมใส่ก็เปื้อนโคลนด้วย
และขณะนี้เอง ภาพของเธอก็ได้สลักลึกเข้าไปในหัวใจของเย่จิงเหยียน จากที่ย้อนเวลากลับไปนึกถึงแต่ก่อน เย่จิงเหยียนยังไม่เคยมีรอยยิ้มอันอบอุ่นเช่นนี้โผล่ขึ้นมาในใบหน้าเขาเลย
ใช่ ก็คือความรู้สึกอบอุ่น ดูเหมือนว่าแม้แต่กระโปรงสีขาวที่เปื้อนโคลนของเธอก็ยังทำให้เขารู้สึกว่ามันอุ่นขึ้น
ใบหน้าของเด็กผู้หญิงมีรอยยิ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสไพเราะว่า“ไอ้อ้วน นายมารังแกเด็กคนอื่นที่นี่อีกแล้วนะ”
เด็กชายเมื่อได้ยินเสียงพูดของเธอ ก็ร้อนรนรีบลุกขึ้นมา เขาเช็ดน้ำตาละพูดว่า“ฉันไม่ได้รังแกเด็กผู้หญิงสักหน่อย เรื่องนี้เธอก็จะเข้ามายุ่งอีกหรอ?”
“รังแกเด็กผู้ชายก็ไม่ได้ !ไม่เชื่อก็ลองดูว่าฉันจะจัดการนายไหม”เด็กหญิงเดินเข้าไปทางเขาพร้อมกับกำมัดแน่น เด็กชายอ้วนคนนั้นกลัวจนถอยหลังออกไปสองก้าว เด็กคนอื่นที่มาเป็นเพื่อนของเขาก็กลัวเธอด้วย เมื่อเธอปรากฎตัวขึ้นพวกเขาก็หลบออกไปซ่อนอยู่ที่ไกลๆ
เด็กหญิงเป็นคนตรงไปตรงมา เธอเดินเข้าไปจับมือเล็กๆของเย่จิงเหยียน พร้อมพูดกับเด็กอ้วนคนนั้นว่า“จากวันนี้เป็นต้นไป เขาเป็นคนของฉัน หากว่านายยังกล้าที่จะมาทำร้ายเขา ฉันจะจัดการนายแน่”
เย่จิงเหยียนรู้สึกงงๆ เขา……เป็นคนของเธอ?
แต่ว่า มือของเธอชั่งนุ่มจริงๆ
“พวกเราไปกันเถอะ”
เด็กสาวพาเขาเดินออกไปจากตรงนั้น เธอลากเขาตรงไปที่เขตเครื่องเล่นที่กำลังคึกครื้นจากนั้นก็ปล่อยมือของเขาพร้อมกับยิ้มและพูดขึ้นว่า“สวัสดีจ๊ะ ฉันชื่อว่าต้วนอีเหยา นายชื่ออะไรหรอ”
“ฉันชื่อเย่จิงเหยียน”
“จริงๆเมื่อวานฉันก็ได้ยินเรื่องของนายแล้ว ต่อไปเรามาเป็นเพื่อนสนิทกันนะ ถ้านายมากับฉันก็จะไม่มีใครกล้ารังแกนายแล้ว”ต้วนอีเหยาตบที่หน้าอกของเธอพร้อมกับพูดด้วยความภาคภูมิใจ
เย่จิงเหยียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม“ขอบคุณมากนะ”
ต้วนอีเหยามองเห็นรอยยิ้มของเขา ทำให้เธอรู้สึกสดชื้นขึ้น“เวลาที่นายยิ้มมันชั่งดูดีจริงๆ ฉันยังไม่เคยเจอเด็กคนไหนที่ดูหล่อแบบนายเลย”
เย่จิงเหยียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และพูดขึ้นว่า“เธอก็ดูสวยเหมือนกัน”
ต้วนอีเหยาหัวเราะ เหอะๆออกมาหนึ่งครั้ง “แม่ของฉันชอบพูดบ่อยๆว่าฉันเป็นเด็กห่าว นายเป็นคนแรกที่บอกว่าฉันสวย”
“เด็กห่าวหมายถึงอะไร?”เย่จิงเหยียนรู้สึกไม่เข้าใจ
ต้วนอีเหยานั่งลงที่ชิงช้าทางด้านข้าง เธอพูดไปพลางแกว่งชิงช้าไปพลาง “เด็กห่าวก็คือ……เหมือนกับเด็กผู้ชายยังไงล่ะ ชอบวิ่งชนไปมา นายดูพวกเขาสิ”ต้วนอีเหยาชี้ไปทางเด็กหญิงที่สวมกระโปรงอยู่ทางนูน เด็กผู้หญิงพวกนั้นดูเหมือนกับเจ้าหญิงที่ค่อยๆเดินบนทางเดินอย่างมีมารยาทอย่าง เธอจึงพูดต่อว่า“แม่ของฉันอยากให้ฉันเป็นแบบนั้น”
เย่จิงเหยียนผลักไปที่โซ่ของซิงช้าเพื่อให้มันแกว่งเร็วขึ้น “ฉันคิดว่าเธอเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วนิ”
ต้วนอีเหยาเอียงศีรษะของเธอพร้อมกับยิ้มตาหยี๋ๆและถามเขาว่า“จริงหรอ?”
“อือ จริงสิ”
“นายนี่ดีจริงๆ”ต้วนอีเหยายิ้มออกมา ลมพัดโบกโบยมา ใบไม้พัดตกลงมาตามสายลม ค่อยๆหล่นลงมาที่เขาทั้งสองคน
วันนี้ เย่จิงเหยียนได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่ง เธอเป็นเหมือนดอกไม้ที่สามารถยิ้มอยู่ท่ามกลางของสายฝน เธอไม่ใช่สาวห่าวที่ชุกซน เธอเป็นหญิงที่ต่อสู้กับอันตรายเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
จากนั้นไม่กี่วัน ต้วนอีเหยาได้ลากเอาเย่จิงเหยียนมารู้จักกับเพื่อนอีกมากมาย เพราะว่าเธออยู่ชั้นระดับกลาง แต่ที่เย่จิงเหยียนรู้จักส่วนมากจะเป็นเพื่อนระดับชั้นปีที่สูงกว่า
แต่ว่า จิตใจของเด็กล้วนแต่มีความใสบริสุทธิ์ เมื่อเพื่อนร่วมห้องของเขาคุ้นชินกับตาคู่ประหลาดนี้ของเขา พวกเขาก็ค่อยๆยอมรับมันได้ เหตุผลง่ายๆเพียงนิดเดียว นั่นก็คือเขามีหน้าตาที่ดูดี มีมารยาทกับผู้อื่น ดังนั้นจึงมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมากมาย
อย่างไรก็ตามเมื่อมีเวลา เขายังชอบที่จะมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนกับต้วนอีเหยา ไม่ว่าจะเป็นก่อกองทราย หรือว่านั่งแกว่งชิงช้าอย่างเงียบๆ เย่จิงเหยียนกลับรู้สึกชอบมากๆ
ตกตอนเย็น เย่ฉ่าวเฉินนอนบนเตียงพูดคุยกับภรรยาของเขา
“ดูเหมือนว่าผิงอันจะชอบสาวน้อยที่ชื่อว่าต้วนอีเหยาคนนั้น หลายวันมานี้กลับมาบ้านก็พูดถึงแต่เธอ”
“ฉันก็รู้สึกแบบนั้น เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว อยู่ดีๆก็มีเพื่อนสาวคนสนิทมาเพื่อน การเรียนที่โรงเรียนอนุบาลของเขาจะได้มีความสุขขึ้น”
เย่ฉ่าวเหยียนพลิกกลับมาทับที่ตัวของเธอ สายตาเป็นประกายเมื่อมองไปที่ตาของเธอ
“พูดความจริงออกมา เธอมีเพื่อนชายที่สนิทในวัยเด็กไหม?”
เอ่อ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ดูเมือนว่าตอนเด็กๆฉันก็มีเพื่อนชายคนสนิทอยู่นะ”มู่เวยเวยเธอเคลื่อนสายตาออกไปทางด้านข้างทำท่าครุ่นคิด“ให้ฉันลองคิดดูก่อนว่าเขาชื่อว่าอะไรนะ”
“ไม่อนุญาตให้คิด”เย่ฉ่าวเฉินปิดปากของเธอด้วยการจูบหนักๆลงไปที่ริมปากของเธอ เพื่อเป็นการขัดขวางไม่ให้เธอคิดได้
มู่เวยเวยโอบไปที่หลังของเขา ทำเป็นพูดเรื่องอื่นไป คำถามเกี่ยวกับเพื่อนชายในวัยเด็กทันใดนั้นก็ถูกโยนทิ้งหายเข้าไปในกลีบเมฆ
พริบตาเดียว ปีๆหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตอนเช้าของฤดูร้อน อาการร้อนกว่าปกติ
เวลานี้ อากาศจะร้อนมาก
ห้องโถงของโรงเรียนอนุบาล เย่จิงเหยียนตั้งใจจับจ้องไปที่บนเวทีกับการแสดงวันเรียนจบชั้นอนุบาล ต้วนอีเหยาสวมชุดครุยสีแดง ผมยาวประบ่า ตอนยกมือขึ้นมาเพื่อจะเล่นเปียนโน สิบนิ้วราวกับกำลังเต้นระบำ เธอเล่นออกมาได้ไพเราะมากจริงๆ