ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในค่ายทหาร ต้วนอีเหยาก็รับป้ายหยกนี้ไว้ ไปไหนก็พกไปด้วยตลอด คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไป 20 ปี โดยไม่รู้สึกว่าพกมันไว้เลย
เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้า ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องแบบทหาร มีแค่ข้างในสุดที่มีชุดรำรองสองชุด ยังคงเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำกับเสื้อแจ็คเก็ตสีเทาอ่อน ต้วนอีเหยาก้มหน้าลงคิดอยู่ชั่ยครู่ แล้วหยีบกระเป๋าเดินทางพร้อมกับใส่เสื้อลายพรางเข้าไปไม่กี่ตัว กับเสื้อรำรองที่เธอต้องสวมพรุ่งนี้
ไม่เป็นไรหรอก เธอไปเยี่ยมเด็กซุกซน ไม่ใช่ไปสู่ขอซักหน่อย แต่งตัวแบบนี้ก็ถือว่าไว้หน้าเขาแล้ว
รุ่งเช้าของวันที่สอง เสียงนาฬิกาดังขึ้นปลุกเธอตื่น เมื่อเก็บข้าวของเสร็จ เธอถือกระเป๋าเดินทางออกมา ก็เห็นรถจอดอยู่ด้านนอกรอแล้ว
คนขับรถเสี่ยวลิ่วถอดแว่นพร้อมกับทักทายเธอด้วยความไม่พอใจว่า ” เจ้านาย คิดจะสวมแบบนี้ไปจริงๆหรอ ”
ต้วนอีเหยาก้มหน้าสำรวจตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีดำ เสื้อคุมสีเทาอ่อน กางเกงขาม้าลายทหาร รองเท้าบูทคู่หนึ่ง เอวบางๆที่มีเข็มขัดรัดไว้ ดูแล้วแมนมาก ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลย
” ฉันแต่งแบบนี้ ไม่โอเครหรอ” ต้วนอีเหยาถามด้วยความสงสัย และในคำพูดยังมีความกดดันด้วย
“ทั้งหล่อ และเท่ระเบิด ดูก็รู้ว่าสุดยอด” เสี่ยวลิ่วตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะ
ต้วนอีเหยาโยนกระเป๋าเดินทางเขาไปในรถทหาร ประตูยังไม่ทันเปิดก็โดดเข้าไปแล้ว ตบไหล่ของเสี่ยวลิ่วแล้วบอกว่า “ออกเดินทางได้ ไปที่สนามบิน”
“รับทราบ “เสี่ยวลิ่วตอบพร้อมทำความเคารพแบบทหาร จากนั้น “ฮง”เริ่มเดินทาง
ตามทางที่ออกจากค่าย จะเห็นทหารที่กำลังฝึกอยู่ เห็นเหงื่อที่ไหลออกมาอาบบนกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เต็มไปด้วยความเป็นชายฉกรรจ์ แต่ว่าต้วนอีเหยาเห็นภาพแบบนี้ 20กว่าปีแล้ว รู้สึกเบื่อต้้งนานแล้ว
” หัวหน้า เล่นสนุกไหมครับ”ขณะที่ขับผ่านสนามฝึกแห่งหนึ่ง รองผู้บังคับบังชา ทักทายในระหว่างที่กำลังออกกำลังกาย
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างจืดชืดพร้อมพูดว่า “พวกคุณน่ะ อย่าอู้งาน ถ้าฉันกลับมาเห็นว่ากำลังลดลงล่ะก็….”
“หัวหน้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอ มีแต่จะเข็มแข็งขึ้น ไม่มีอ่อนแอลง” รองผู้บังคับบัญชาตอบขณะที่ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ
“รู้ก็ดี ไปล่ะ” ต้วนอีเหยาโบกมือให้พวกเขา
“หัวหน้า ครั้งนี้ท่านจะพาพี่เขยกลับมาด้วยไหม” ทหารนายหนึ่งถามด้วยรอยยิ้มที่เฮฮา
“เจ้าทึ่ม นายหญิงเป็นคนที่หาง่ายอย่างนั้นหรือ” รองผู้บังคับบัญชาตบที่คอของทหารคนหนึ่ง “นายหญิงเราจะแต่งงาน ก็ต้องแต่งงานกับระดับนายพลนั่นแหละ”
“ วิดพื้น เพิ่มอีก 100 ครั้ง” ต้วนอีเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่จืดชืด
“ รับทราบ”เสียงดังขึ้นในสนามฝึก
เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า รถก็มาถึงที่สนามบิน เสี่ยวลิ่วยื่นหัวออกมาถามว่า “หัวหน้า ท่านจะไปที่ไหนนะ”
“เมือง A”
“ท่านจะไปเมืองA ทำอะไรล่ะ”เสี่ยวลิ่วถามด้วยความงง
“ ไปหาคนสนิท ที่ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว”
ในตาของเสี่ยวลิ่วเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น “หัวหน้า อย่าบอกนะว่าจะไปหารักแรกพบของท่าน”
ต้วนอีเหยาใช้บัตรเจ้าหน้าที่ตีลงไปที่หัวเขาที่หนึ่ง” รักแรกพบอะไรเล่า รีบกลับไปเถอะ”
“อ้อ ”เสี่ยวลิ่วเปลี่ยนสีหน้าทันที “หัวหน้า ระวังตัวด้วย”
“รู้แล้วล่ะ ไปเถอะ”
เมื่อรถทหารออกไปแล้ว ต้วนอีเหยาหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม เดินเข้าไปในสนามบิน
เพราะว่ามีบัตรเจ้าหน้าที่ ต้วนอีเหยาขึ้นเครื่องอย่างสบายใจ
จริงๆแล้ว ถ้าเขาอยากได้ข้อมูลของเย่จิงเหยียนเพียงแค่โทรศัพท์ก็ได้แล้ว แต่ว่าต้วนอีเหยาอยากรู้จริงๆว่า เด็กซุกซนคนนี้ยังรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ไหม จึงอยากพยายามจับตามองด้วยตนเอง
เธอตัดสินใจว่า เมื่อถึงเมืองA ค่อยถามคนที่เจอ ดูซิว่าจะมีคนรู้จักต้วนอีเหยาไหม ถ้าหากหาไม่เจอจริงๆแล้วค่อยโทรศัพท์หาคนอื่นก็ยังได้
เมืองA
จากการผ่านการฝึกฝนมา 2 ปี เย่จิงเหยียนรับตำแหน่งประธานบริษัทเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนล
งานนั้น1 เดือนก่อนก็ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เพิ่งจะปิดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เย่ฉ่าวเฉินพร้อม ภรรยามู่เวยเวย รีบวิ่งไปยังสนาม ในที่สุดก็ได้ใช้เวลาด้วยกันสองต่อสอง
ต้วนอีเหยาลงจากเครื่องแล้วตรงไปยังทางออก เผอิญเห็นขโมยคนหนึ่งกำลังลวงมือเข้าไปในกระเป๋าของคนคนหนึ่ง ด้วยว่าเธอเป็นคนที่ยึดความถูกต้อง เธอจึงเดินเข้าไปแล้วดึงมือของขโมยนั้นออกมา พูดอย่างเย็นชาว่า “ทำอะไรน่ะ”
ขโมยถูกหยิกจึงร้อง “ โอ้ยเจ็บ โอ้ยเจ็บ”ออกมา เวลานั้นเจ้าของกระเป๋าถึงรู้สึกตัว บังเอิญจริงๆ คนนั้นก็คือมู่เวยเวย เนื่องจากเย่ฉ่าวเฉินไปเปลี่ยนบัตรที่นั่ง เธอเลยยืนรออยู่ที่นั่นคนเดียว
“ตรวจดูซิของเธอหายไปหรือเปล่า” ต้วนอีเหยาเตือนเธอ
มู่เวยเวยรีบเช็คกระเป๋าของเธอ “ไม่มีอะไรหาย ขอบคุณแม่นางมาก”
“ปล่อยมือปล่อยมือ” เธอจะหักมือฉันอยู่แล้ว โจรร้องด้วยใบหน้าที่ซีดจัง (พูดตลก ต้วนอีเหยาเป็นถึงอันดับ 1 ของ กองCจากการแข่งขันวัดพละกำลัง แม้ผู้ชายในกองทัพยังยอมแพ้ แน่นอนว่ากำลังมือของเธอมีมากกว่าที่คิด)
ต้วนอีเหยาไม่อยากสร้างเรื่อง เมื่อเห็นตำรวจกองบินเดินเข้ามา จึงปล่อยมือหัวขโมย สิ่งที่คิดไม่ถึงคือขโมยกลับคิดจะวิ่งหนี ต้วนอีเหยายืดขาออกไป “โครม”หัวขโมยหกล้มลงบนพื้นทันที
“เกิดอะไรขึ้น”เย่ฉ่าวเฉินถาม หลังจากที่เปลี่ยนบัตรที่นั่นเสร็จแล้ว กลับมาเห็นเหตุการณ์แบบนี้
มู่เวยเวยอธิบายว่า “เขาจะขโมยกระเป๋าของฉัน โชคดีที่ได้แม่นางคนนี้จับได้”
เย่ฉ่าวเฉินหันไปมองต้วนอีเหยา คิดในใจว่า แม่นางคนนี้เต็มด้วยรังสีสังหาร ร่างกายสง่า ดูก็รู้ว่าเป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
“ขอบคุณแม่นาง” เย่ฉ่าวเฉินพูด
ต้วนอีเหยาผยักหน้าเบาๆ ขณะนั้นตำรวจมาพอดี มู่เวยเวยจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกรอบ ตำรวจ 2 นายแสดงออกมาเหมือนกัน “ เข้าใจละ เข้าใจล่ะ พวกคุณไปได้แล้ว”
จากนั้นก็หันไปหาต้วนอีเหยา “แม่นาง ขอบคุณที่ยื่นมือเข้ามาช่วย”
“ไม่เป็นไร แล้วฉันไปได้หรือยัง”
ตำรวจยิ้มแล้วพูดว่า “ ยังครับ ตามระเบียบเราจะต้องจดบันทึกไว้”
ต้วนอีเหยาเริ่มรู้สึกรำคาญ จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบบัตรนายทหารออกมา ตำรวจเปิดดูแป๊บนึง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งสดใสกว่าเดิม
“ไม่ต้องบันทึกแล้วล่ะ เชิญท่านไปได้”
“อืม” ต้วนอีเหยาถือกระเป๋าเดินทางขึ้นมาแล้วเดินออกไปข้างนอก
เย่ฉ่าวเฉินหันกลับไปมองเธออีกหลายครั้ง เพื่อพิสูจน์การคาดเดาของเขา
“คุณดูอะไรน่ะ” มู่เวยเวยก็หันกลับไปดู เห็นแต่ผู้คนไปไปมามา
เย่ฉ่าวเฉินเอามือกอดลงบนไหล่เธอ ยิ้มพูดว่า “แม่นางเมื่อกี้ เป็นทหาร”
มู่เวยเวยถามด้วยความแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไง”
“ ดูออกน่ะ กลิ่นไอบนตัวนางไม่เหมือนคนทั่วไป เป็นกลิ่นไอที่มีในทหาร”
“ใช่หรอ ทำไมฉันดูไม่ออกล่ะ”
“เธอดูไม่ออกก็ไม่แปลกหรอก….”
เมื่อเข้าไปใจกลางเมืองของเมือง A ต้วนอีเหยาไปในที่ที่เธอเคยไปบ่อยก่อน แล้วก็ไปเยี่ยมศูนย์เด็กกำพร้า จากนั้นในช่วงบ่ายเธอเข้าไปร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“กุ้งมังกรน้อยกับปลาต้มน้ำ เอารสเผ็ด”
“ได้”
ในระหว่างที่รออาหาร ต้วนอีเหยาดูโทรทัศน์ที่อยู่ใจกลางของร้านอาหารอย่างตั้งใจ ในนั้นกำลังถ่ายทอดข่าวเกี่่ยวกับเมืองA
“ ข่าวใหม่วันนี้ เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปเย่ฉ่าวเฉินวันนี้ลาออกจากกิจการ ลูกชายของท่านเย่จิงเหยียนรับช่วงต่อกิจการของเว่ฮวางทั้งหมด ตามที่ได้ยินมาปีนี้ เย่จิงเหยียนมีอายุ 25ปี …. ”
ต้วนอีเหยาถึงกับตะลึง “เย่จิงเหยียน” “เป็นคนเดียวกับที่ตนเองรู้จักหรือเปล่า”
เขาเป็นถึงทายากของเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปเลยหรือ ถึงจะไม่รู้ว่าเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปใหญ่แค่ไหน แต่สามารถออกข่าวได้ อยู่ในเมืองA น่าจะไม่ธรรมดา
ต้วนอีเหยาจองหน้าจอทีวี อยากรู้ว่าเย่จิงเหยียนมีรูปร่างหน้าตายังไง แต่ว่าในข่าวมีแต่โลโก้ของบริษัท แม้ว่าจะมีรูปของเขา มันก็เป็นแค่รูปถ่าย
จะว่าไปแล้ว แค่รูปภาพรูปนี้ก็เพียงพอแล้ว บนโลกใบนี้ไม่น่าจะมีคนที่มีตาพิเศษ และชื่อเย่จิงเหยียนแน่นอน
ต้วนอีเหยารู้สึกว่าตนเองโชคดีจริงๆ เพิ่งจะมาถึงก็ได้ข่าวคราวของเขาแล้ว
ประธาน ฮึงฮึง ชื่อนี้ฟังแล้วก็น่าสนใจดี
เมื่อพนักงานเสิร์ฟอาหารมาถึง ต้วนอีเหยาจึงถามนางว่า “สวัสดี ขอถามหน่อย จากนี่ถึงเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปไกลไหม”
“ เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปหรือ ไม่ไกลเท่าไหร่ ถ้าคุณนั่งรถแท็กซี่ 20-30 นาทีก็ถึง อยู่ใจกลางเมือง ตึกที่สูงที่สุดและดูหรูหราที่สุดนั่นแหละคือเย่ฮวาง” พนักงานพูดอย่างสนิทสนม
“ขอบคุณ”
พนักงานดูชุดที่เธอสวม ข้างเก้าอี้เธอมีกระเป๋าเดินใบนึง จึงถามว่า “แม่นาง จะไปสมัครงานหรือ”
ต้วนอีเหยายิ้ม“ไม่ใช่ฉันจะไปหาคน”
“ออ ฉันคิดว่าเธอมาหางานทำซะอีก ได้ยินมาว่า เงื่อนไขการรับพนักงานของเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปมีความเคร่งครัดมาก”หน้างานสังเกตสีหน้าของเธอที่ไม่อยากจะสนทนาด้วย ยิ้มหัวเราะเบาๆมีกี่คำแล้วเดินจากไป
เวลานั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกโบตั๋นบนถนนของเมืองA อยู่เป็นกลุ่มเป็นกลุ่มดูแล้วสวยงาม กลิ่นหอมของดอกไม้ฟุ้งกระจายทั่วบนท้องฟ้า
20 กว่าปีแล้วที่ไม่ได้กลับมา เมืองAเปลี่ยนไปมาก มีหลายที่ที่เธอจำไม่ได้แล้วต้วนอีเหยาไม่ได้ต่อรถไป เธอเลือกที่จะเดิน เพราะเธออยากจะสัมผัสบรรยากาศของเมืองนี้
เดินไปเดินไป ปรากฏว่า 4 โมงกว่า ต้วนอีเหยาถึงจะมาถึงตึกของเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป เป็นอย่างที่พนักงานพูดไว้จริงๆ ตึกนี้เป็นตึกที่สูงที่สุดในบริเวณนั้น เป็นที่น่าอิจฉาของผู้คนจริงๆ
เธอลากกระเป๋าเดินทางเดินเข้าไป แต่ยังไม่ทันเข้าประตู ก็ถูกยามขวางไว้
“ ขอโทษนะ คุณผู้หญิง คุณไม่ใช่พนักงานที่นี่ ไม่สามารถเข้าไปโดยพละการได้”ยามพูดด้วยความสุภาพ
ต้วนอีเหยายืดตัวตรง พูดยังกลางๆว่า “ฉันมาหาคน”
“ ขอถามหน่อย ท่านต้องการหาใคร”
“ฉันมาหาเย่จิงเหยียน ”
ยามอึ้งไปสักพัก ดูเธออย่างละเอียด การแต่งตัวของเธอธรรมดา และยังลากกระเป๋าเดินทาง ดูแล้วน่าหัวเราะจริงๆ “ คุณผู้หญิง ขอถามหน่อยมีใบนัดไหม”
“ จะพบเขายังต้องมีใบนัดหรือ”ต้วนอีเหยาแสดงออกถึงความไม่รู้ เพราะเธอห่างไกลจากการใช้ชีวิตธรรมดามานานแล้ว
“จำเป็นแน่นอน ประธารเย่เป็นประธานของบริษัท งานที่ต้องทำในแต่ละวันมีมาก ถ้าไม่มีนัด ฉันจะไม่ปล่อยคุณเข้าไปเด็ดขาด”
ต้วนอีเหยาก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ “ รบกวนคุณช่วยเข้าไปบอกเขาที มีคนแซ่ต้วนมาหา เป็นเพื่อนเก่าของเขา”
ยามลังเลสักพัก ก็กลัวว่าจะทำให้พระโกรธ ได้แต่พูดว่า “ รบกวนท่านรอสักครู่”
เมื่อมาถึงหน้าห้อง ยามบอกให้พนักงานหน้าห้องว่า “ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาประธานเย่ บอกว่าเป็นเพื่อนเก่า แซ่ต้วน เธอช่วยบอกให้กับเลขาหน่อย”
หน้างานหน้าห้องเช็ดปาก แล้วมองออกไปทางปากประตูเห็นร่างที่สูงสง่า ก็พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “แม้กระทั่งแมวแมวหมาหมาก็จะมาพบประธาน ประธานเย่ยุ่งจะตายอยู่แล้ว อีกอย่าง ฉันว่านางมาพึ่งประธานเย่แน่”
ยามยิ้มอย่างเขินเขินว่า “ ยังไงเธอก็โทรหาเลขาที อาจจะเป็นเพื่อนเก่าจริงๆก็ได้”
“ ไม่ต้องโทรหรอ ประธานเย่หลังประชุมเสร็จ ก็ลงไปยังสาขาอื่นเพื่อเซ็นสัญญาแล้ว ไม่อยู่”
“โอเคร ฉันเข้าใจแล้ว ”
เมื่อกลับมาถึงหน้าประตู ยามพูดด้วยอาการขอโทษว่า “ คุณผู้หญิงท่านประธานแย่ของเรา ไปเซ็นสัญญายังบริษัทลูกแล้ว ไม่ได้อยู่ ห้องทำงาน”
ต้วนอีเหยาปวดคิ้ว “ แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ เรื่องนี้ให้คำตอบยาก ถ้าหากว่าดึกจริงๆ อาจจะรวดกลับบ้านไม่เข้ามาบริษัทแล้ว”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ”
ต้วนอีเหยาลากกระเป๋าเดินทางเดินไปเรื่อยๆ ถ้าหากเหนื่อยก็หาโรงแรม บางทีตัวเองอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไป คิดว่าเมื่อเจอเย่จิงเหยียนก็จะได้พบเลย คิดไม่ถึงการจะเขาได้นั้นจะต้องมีนัดอีก
เย่จิงเหยียน นายพัฒนาได้ไม่ธรรมดา
ตามที่ยามบอก เย่จิงเหยียนไปเซ็นสัญญาบริษัทย่อยน่าจะ เสร็จ1 ทุ่มกว่า เขาน่าจะรวดกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเย่แล้ว
เย่ชูวเสวียนั่งไขว้ขาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา เขาเดินเข้ามาด้วยหน้าตาที่อ่อนล้า จึงถามเขาว่า “เข้ารับตำแหน่งวันแรก รู้สึกเป็นไงบ้าง”
เย่จิงเหยียนนอนลงบนโซฟาพร้อมกับหลับตาพูดว่า “เหนื่อยจริงๆ”
“ เป็นไง รู้แล้วใช่ไหมว่า พ่อลำบากแค่ไหน ยังดีนะที่ฉันฉลาด ไม่ได้เข้าไปบริษัท”เย่ชูวเสวียพูดอย่างยิ้มหวาน
“ ฉันอยากจะเปิดร้าน” เธอลุกออกจากโซฟา ตรงเข้าไปตรงหน้าเขา
“พี่ เปิดร้านให้ฉันหน่อยสิ”
“ อยากเปิดร้านอะไรล่ะ”
“ร้านเค้ก ร้านเค้กที่อร่อยที่สุดในเมืองA”
เปลือกตาของเย่จิงเหยียนยกขึ้นพร้อมพูดว่า “เธอทำเค้กเป็นหรอ”
“ฉันกินเค้กเป็น”เย่ชูวเสวียพูดพร้อมกับยิ้ม “ฉันจะเชิญคนทำขนมหวานระดับสูงมาทำงานร้านนี้ หาพนักงานสาวสวยๆสองสามคน ธุรกิจนี้รุ่งแน่นอน”
เย่จิงเหยียนอมยิ้มแล้วสะบัดหัว “คิดจะกินเองล่ะสิ”
“ เฮ้ยๆ พี่ก็ เปิดให้ฉันทีเถอะนะ ให้ฉันว่างอย่างนี้ทุกวัน ลุงจางรู้สึกจะเบื่อกับฉันแล้วล่ะ”
จางเฮ่อเชียงที่เดินผ่านมาพอดี รีบพูด “ ฉันไม่เคยพูดแบบนั้น”
เย่ชูวเเสวียรีบเอามือไว้ที่ปาก “ชู่” ทำเป็นภาษามือ แล้วง้อเย่จิงเหยียนอีกครั้ง “ พี่ขา ขอร้องล่ะ ช่วยฉันเปิดร้านนะร้ขอร้านข้างๆบริษัทพี่ ที่นั่นมีคนรวยเยอะมาก วันที่ว่างพี่ก็สามารถมาอุดหนุนได้”
เย่จิงเหยียนคิดอยู่นานๆ แต่แล้าก็เอามือจับที่ไหล่ตัวเองพูดเบาๆ “งั้น มานวดให้พี่ที”
“แสดงว่าพี่ตกลงแล้วนะ”เย่ชูวเสวียถามด้วยความดีใจ
“ อืม ตามใจเธอแล้วกัน”
“เย่ชูวเสวียก้มหน้าลงจูบที่แก้มของเขา แล้วค้องคอของเขา “พี่ขา พี่ช่างดีจริงๆ ทำไมฉันถึงมีพี่ชายที่แสนดีแบบนี้นะ”
เย่จิงเหยียนเช็ดน้ำลายของเธอออกความรู้สึกขยะแขยง พูดอย่างเอาจริงว่า “แต่ว่าต้องใช้เงินในธนาคารของเธอ ไม่ให้ใช้ของบริษัทนะ”
“ ได้”เย่ชูวเสวียรีบผยักหน้า เพราะบัญชีธนาคารของเธอ ถ้าเธอต้องใช้เงินจำนวนมาก ต้องได้รับการเซ็นยอมรับจากเย่จิงเหยียน
“ นวดหลังต่อ”
“ได้เลย”
ณโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองA หลังจากที่ต้วนอีเหยาอาบน้ำเสร็จ ก็นอนดูทีวีบนเตียง เธอไม่ได้ดูทีวีเป็นเวลานานแล้ว ช่องรายการเธอเปิดยังคงเกี่ยวกับทหาร
เธอในเวลานี้ ข้างหน้าเต็มไปด้วยเป้าหมาย นัยน์ตาแหลมคม
ในวันที่สอง เย่จิงเหยียนมาถึงบริษัท ทั้งยามและพนักงานต้อนรับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
เมื่อถึงเวลา 10:00 น ต้วนอีเหยาก็มาอีก ยังคงสวมชุดเมื่อวาน แต่ไม่ได้นำกระเป๋าเดินทางมาด้วย
“ เย่จิงเหยียนอยู่ไหม” เขาถามยามอย่างตรงไปตรงมา
ยามถูกคำพูดของเธอขู่จนกลัว ขอให้เธอรออยู่ที่นั่น แล้วรีบวิ่งเข้าไปปรึกษากับพนักงานต้อนรับ
“ ทำไงดี นางมาอีกแล้ว”
พนักงานต้อนรับมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม “นายไปบอกให้เธอว่า ท่านประธานกำลังประชุมอยู่ ไม่มีเวลา”
“อย่างนี้จะดีหรอ”
“หรือว่า นายจะให้นางเข้าไป นายลืมเรื่องครั้งก่อนแล้วหรือ” พนักงานต้อนรับเตือนยามอีกครั้ง
ยามเปลี่ยนสีหน้าทันที “ถ้างั้นให้นางรออยู่หน้าประตูนั่นแหละ ฉันไม่มีเงินเดือนให้หักเยอะขนาดนั้นแล้ว”
จริงๆแล้ว เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีผู้หญิงที่หน้าตาสวยมากคนหนึ่งมายังบริษัท บอกว่าเป็นเพื่อนของเย่จิงเหยียน ยามเห็นว่านางดูจากภายนอกไม่ธรรมดา เสื้อผ้าที่สวนเป็นเสื้อผ้าที่มียี่ห้อ เลยละเมิดกฎปล่อยนางเข้าไป คิดไม่ถึงจริงๆแล้วผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รู้จักกับเย่จิงเหยียน นางแค่อยากจะมามองเย่จิงเหยียน
ครั้งนั้น ยามเกือบจะถถูกไล่ออก ยังดีที่หัวหน้าช่วยพูดให้ ถูกตัดเงินเดือน 3 เดือน
“ แม่นาง คือว่าท่านประธานของเรากำลังประชุมอยู่”
ต้วนอีเหยาจ้องตามองไปยังเขา ในใจของยามรู้สึกกลัวนิดๆ แผ่นหลังเย็นไปหมด เขารู้สึกสายตาของผู้หญิงคนนี้เหมือนกับราชสีห์
“ นี่คุณไม่ได้หลอกฉันใช่ป่ะ” ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ ไม่ใช่แน่นอน หรือว่า….” มองซ้ายมองขวา “ หรือว่า คุณจะลองโทรหาประธานเย่ไหม”
“ถ้าฉันมีเบอร์โทรของเขา ยังจะมาพูดไร้สาระกับคุณอยู่หรือ”
ยามได้ฟังน้ำเสียงของเธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับโกรธ “ถ้างั้นฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วล่ะ ฉันก็แค่ทำตามที่บริษัทบอก คุณคงจะไม่ถือสานะ”
ต้วนอีเหยาคิดจะอ้อนเขาเพื่อที่จะเข้าไปให้ได้ แต่ก็กลัวจะส่งผลต่อศักดิ์ศรีของทหาร ขณะที่เธอกำลังลังเลอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอดูเบอร์โทรบนหน้าจอ เปลี่ยนอารมณ์นิดนึง เดินไปด้วยรับโทรศัพท์ไปด้วย…
“ ผู้กอง มีเรื่องอะไร”
ไม่รู้ว่าทางโน้นพูดอะไรบ้าง สีหน้าของต้วนอีเหยาดูไม่ค่อยดี “ ฉันเข้าใจแล้ว…”
ต้วนอีเหยาเพิ่งจะออกไป เย่ชูวเสวียก็ปรากฎออกมาหน้าบริษัท ในระหว่างที่นั่งรถมาก็เห็นยามพูดอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่ง จึงเข้าไปถามด้วยความประหลาดใจว่า “ผู้หญิงเมื่อกี้เป็นใคร”
ยามตอบด้วยท่าทีที่สุภาพ “ไม่รู้จัก นางบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของประธานเย่ มาหาประธานเย่ แต่ไม่มีนัดหมาย”
“ เพื่อนเก่า” เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว เพื่อนของพี่ชายส่วนใหญ่แล้วเธอจะรู้จัก แต่ผู้หญิงคนนี้เธอก็ไม่เคยเห็น
เดินได้ไม่กี่ก้าว มีความคิดแวบหนึ่งเข้ามาในหัวของเย่ชูวเสวีย หันกลับมาถามยามว่า “ นางบอกไว้ไหมว่าชื่ออะไร”
“ ไม่ได้บอก แต่ว่ารู้สึกว่าจะเคยบอกว่าแซ่…” ยามพยายามที่จะนึก ในที่สุด “ ใช่ๆ เมื่อวานนางบอกว่านางแซ่ต้วน”
“แซ่ต้วน” เย่ชูวเสวียพึมพลำชื่อนี้อยู่สักพัก จู่ๆก็คิดขึ้นมาได้ พี่ชายมักจะพูดอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึกว่าจะแซ่ต้วนเหมือนกัน
“นายแน่ใจนะ”
ยามเห็นสีหน้าของเย่ชูวเสวียเปลี่ยนไป ก็เกิดอาการตื่นเต้น “ น่าจะ… น่าจะใช่”
เย่ชูวเสวียรีบเงยหน้าขึ้นมามองหาาร่องรอยของผู้หญิงคนนั้น แต่ว่าใครจะไปรู้ นางได้หายไปท่ามกลางกลุ่มคนตั้งนานแล้ว
ในขณะที่ยามกลับพนักงานต้อนรับกำลังตกใจอยู่นั้น เย่ชูวเสวียรีบวิ่งไปยังลิฟท์ จนมาถึงห้องทำงานของประธานบริษัท พลักประตูเสียงดัง
“ปึง”
“ พี่ขา—”
ในห้องมีผู้อวุโสของบริษัทหลายท่าน เย่ชูวเสวียได้แต่ยิ้มให้พวกเขา เธอทำอะไรไม่ถูก
ผู้อวุโสของบริษัทหลายท่านก็รู้สึกชื่นชอบ คุณหนูที่ไร้เดียนสาของตระกูลเย่นี้ จึงยิ้มตอบกับเธอ
“ เอกสารพวกนี้ไว้นี่ก่อนแล้วกัน ให้ฉันดูแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ รับทราบ ท่านประธานเย่”
แต่ละคนออกไปอย่างรีบเร่ง เย่จีงเหยียนดูน้องไม่รู้จะทำยังไงดี “บอกกี่ครั้งแล้ว เวลาอยู่ที่บริษัทให้ค่อยๆเดิน ทำไมยังวิ่งมาอย่างนี้อีก”
เย่ชูวเสวียไม่อยากจะทนกับคำพูดของเขา เลยถามตรงๆว่า “พี่ ผู้หญิงที่อยู่ที่ศูนย์เด็กกำพร้าชื่ออะไรนะ”
“ต้วนอีเหยา ทำไมหรอ”เย่จิงเหยียนหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมา
“ แซ่ต้วนจริงๆด้วย ”
“ หรือว่าอาจจะไม่จริง”
เย่ชูวเสวียเดินมาข้างหน้า แล้วปัดเอกสารบนมือเขาออกเอา จับมือเขาวิ่งไปด้วยพูดไปด้วย “รีบหน่อย รีบหน่อย โรงเมื่อกี้ ยามบอกว่ามีผู้หญิงแซ่ต้วนมาหาพี่ แต่เขาไม่มีนัด เลยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ”
“ เธอพูดอะไรนะ ” เย่จิงเหยียนตกใจเมื่อได้ยินข่าวนี้ ในหัวเต็มไปด้วยความว่างเปล่า 20 กว่าปีนี้ ครั้ง กว่าปีนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ได้ข่าวของต้วนอีเหยา
“เข้าไปในลิฟท์ค่อยพูดก็ได้”
“ น้อง เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”
ทั้งคู่เดินเข้าไปในลิฟท์อย่างรวดเร็ว เย่ชูวเสวียจึงพูดว่า “เมื่อกี้ฉันอยู่ด้านล่าง เห็นยามคุยกับผู้หญิงคนนึง หลังจากนางจากไปแล้ว ฉันเข้าไปถามยามว่า เขาเป็นใคร…”
เย่ชูวเสวียพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูบริษัท ใจของเย่จิงเหยียนเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนางพูดจบ ในตาของเขาเต็มด้วยความตกใจ
“ ต้องเป็นต้องเป็นนางแน่ๆ นางมาหาฉันแน่นอน”เย่จิงเหยียนจับแขนของน้องสาวด้วยความตื่นเต้น
เย่ชูวเสวียพูดตัดพ้อว่า “แต่ว่านางไปแล้วนะ”
“ ไม่เป็นไร ฉันจะให้คนไปหาข่าวของนางทุกโรงแรมในเมืองA” ขนาดที่พูดอยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรให้คนไปจัดการเรื่องนี้
เมื่อลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างสุด คนที่สามารถติดต่อได้ก็ติดต่อหมดแล้ว เมื่อยามเห็นเห็นเจ้านายลงมา ก็รู้สึกว่าตนเองแย่แน่ หรือว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนเก่าของเจ้านายจริงๆ
“ประธานเย่”
“นางบอกว่านางแซ่ต้วนหรือ”เย่จิงเหยียนถาม
ฝ่ามือของยามเต็มไปด้วยเหงื่อ “ใช่ครับท่าน”
เย่จิงเหยียนทั้งดีใจและกังวล “ มาเมื่อไหร่ แล้วนางพูดอะไรอีก”
“ มาเมื่อวานตอนบ่าย…”
“เมื่อวานตอนบ่าย” เย่จิงเหยียนพูดด้วยอาการตกใจ “แล้วทำไมไม่มีใครมาบอกฉันล่ะ”
ยามทำอะไรไม่ถูก รู้ว่าตนเองได้ก่อปัญหาแล้ว “ ฉันบอกให้เลขาโทรหาท่าน แต่เลขาบอกว่า ท่านไปยังสาขาอื่น ดังนั้น…”
“ เจ้าโง่”เย่จีงเหยียน พูดด้วยอารมณ์โมโห เย่ชูวเสวียที่ยืนอยู่ข้างๆก็ตกใจ ตั้งแต่จำความได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางเห็นพี่ชายโมโหขนาดนี้
ยามก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไรอีก
เย่จิงเหยียนหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วถาม “นางพูดอะไรบ้าง บอกฉันตั้งแต่ต้นจนจบ”
ยามตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง อยู่ในสถานการณ์แบบนี้มีหรือจะคิดได้ว่าเมื่อวานตอนบ่ายนางพูดอะไรบ้าง
ยามคิดอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็พูดออกมา “ผู้หญิงคนนั้น … นางบอกว่านางเป็นเพื่อนเก่าของท่าน มาหาท่าน จากนั้น…จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย”
“นางพูดแค่นั้นจริงหรือ” เย่จิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ ไม่ไม่มีแล้วจริงๆ เพราะว่านางบอกว่านางไม่มีนัด ฉันบอกนางให้โทรหาท่าน นางบอก… นางบอกว่าถ้านางมีเบอร์โทรของท่าน นางก็คงไม่ต้องพูดไร้สาระกับฉ้นตั้งนาน…”
ใจของเย่จิงเหยียนแทบแตกสลาย ทำไมเขาถึงสะเพร่าแบบนี้ ตั้งแต่แรกเขาก็ควรจะให้คนใช้เหล่านี้รู้จักชื่อของต้วยอีเหยาแล้ว
เขากำมือแน่น ในใจรู้สึกเจ็บปวด “แล้วนางเอาอะไรมาด้วยกลับ”
“เมื่อวานนางลากกระเป๋าเดินทางมาด้วย แต่ว่าเมื่อกี้นางมาตัวเปล่า”
“กระเป๋าเดินทาง” หรือว่าเมื่อวานนางเพิ่งจะมาถึงเมืองA เธอมาหาเขายังอย่างตั้งใจ แต่กลับถูกขวางไว้หน้าประตู ตามนิสัยของนางแล้วต้องโมโหอย่างแน่นอน