“เธอ!…” มู่เวยเวยกัดฟันจ้องไปที่เธออย่างโกรธแค้น คำพูดมันติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่พูดออกมาไม่ได้ เธอจึงได้แต่อดทนก้ำกลืนอย่างถึงที่สุด
เมื่อเห็นอย่างนี้มู่อี้เหยาก็พอใจขึ้นมาทันที เมื่อตะกี้เธอพนันว่ามู่เวยเวยต้องไม่กล้าบอกเย่ฉ่าวเฉินแน่ ว่าเธอโดนลู่จื่อหางเอาครั้งแรกของเธอไปขายให้ชายแปลกหน้า และเธอก็พนันถูก
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินแย่ขึ้นไปอีก มือของเขากำแน่นอยู่ข้างลำตัว และเมื่อเห็นมู่เวยเวยเงียบยอมรับ ยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งถึงขีดสุด
ยัยผู้หญิงสารเลวนี่…เขาแทบอยากจะฉีกร่างผู้หญิงตรงข้ามให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ
“ฉันจะไปดูในห้องก่อนว่ามีอะไรหลงเหลือไว้มั้ย…” เมื่อถูกสายตาเย็นยะเยือกของเย่ฉ่าวเฉินจ้องเขม็ง มู่เวยเวยก็นั่งไม่ติด จึงหาเรื่องกลับขึ้นไปห้องเดิมของเธอข้างบน
ส่วนเรื่องของคนสองคนที่อยู่ข้างล่าง ถ้าเย่ฉ่าวเฉินกับลู่จื่อหางเป็นคนแบบเดียวกัน อดทนต่อความยั่วยวนของมู่อี้เหยาไม่ได้ เธอก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ
มู่เวยเวยคิด และเพิ่มความเร็วในการเดินมากขึ้น แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเธอเปิดประตูห้องของตัวเองเข้ามา ห้องนี้กลับกลายเป็นห้องของมู่อี้เหยา และบนผนังก็แขวนรูปงานศิลปะของเธออยู่หลายรูป
นี่มัน…
ยังไม่ทันที่มู่เวยเวยจะโกรธ ฟางซินยี่แม่ของมู่อี้เหยาก็เดินยิ้มมาใกล้ๆ พร้อมมองในห้องอย่างพอใจ และปิดประตูลง
ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตู ฟางซินยี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย “อ๊ะ ขอโทษทีนะจ๊ะเวยเวย เธอแต่งงานแล้ว และมู่อี้เหยาก็บ่นว่าห้องตัวเองเล็กเกินไป พวกเราก็เลยให้เธอย้ายมาห้องนี้ ยังไงเธอก็แต่งงานไปแล้ว ของก็ย้ายไปหมดแล้ว คงไม่สำคัญอะไรใช่มั้ยจ๊ะ”
มู่เวยเวยยืนอยู่กับที่ บ้านหลังนี่เป็นบ้านที่พ่อแม่ของเธอซื้อมา ก่อนที่พวกท่านจะเสียชีวิต และห้องของเธอก็เป็นห้องที่เห็นวิวดีที่สุดในบ้าน พี่ชายออกแบบห้องนี้ให้เธอด้วยตัวเอง ข้าวของแม่ของเธอก็เลือกให้ รูปบนผนังพ่อเธอก็ติดเองกับมือ….แต่เธอเพิ่งจะแต่งงานไปสามวัน ห้องนี้กลับกลายเป็นของมู่อี้เหยาแล้ว
มู่เวยเวยตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากแน่น “คุณป้า ฉัน…”
เธอเพิ่งจะเปิดปากพูด ฟางซินยี่ก็หยักริมฝีปากพูดแทรกก่อน “เวยเวย ไม่ใช่ว่าฉันจะว่าอะไรเธอนะ แต่เธอก็แต่งงานกับคุณชายเย่ไปแล้ว บ้านตระกูลเย่ก็ไม่รู้ใหญ่กว่าบ้านเราตั้งกี่เท่า เธออยู่บ้านนู้น ก็คงไม่ค่อยกลับมาที่นี่หรอก อย่ามีปัญหากับมู่อี้เหยาเลย”
มู่เวยเวยกลั้นน้ำตาพยักหน้า ไม่ตอบอะไรกลับไป
ฟางซินยี่ลูบไหล่มู่เวยเวยอย่างพอใจ จากนั้นก็พูดทิ้งท้ายว่า “ฉันไปคุยกับคุณชายเย่ก่อน” และเดินจากไป
หลังจากที่เธอเดินไป มู่เวยเวยก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก เธอไม่อยากทะเลาะ และรู้ดีกว่าทะเลาะไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอไม่ได้กลับมาที่บ้านตระกูลมู่บ่อยๆ ห้องนี้ยังไงก็ต้องถูกมู่อี้เหยาเอาไปสักวัน
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินเข้าห้องมู่เทียนเย่ข้างๆแทน
อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิด ทำให้แม้มู่เทียนเย่จะหายไปนานแล้ว แต่สองสามีภรรยาตระกูลมู่ก็ไม่ได้มายุ่งกับห้องของเขา
มู่เวยเวยเปิดประตูเดินเข้าไป ตั้งแต่ที่เธอไม่อยู่ก็ไม่มีใครเข้ามาทำความสะอาด ทำให้บนโต๊ะมีฝุ่นหนาเตอะ
มู่เวยเวยจึงหยิบเศษผ้าขึ้นมาเช็ดโต๊ะจนสะอาด และจากนั้นเธอก็หยิบกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู ในรูปนั้นมีหนุ่มหล่อกำลังกอดผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งสองคนยิ้มอย่างสดใส
นี่เป็นรูปของพวกเธอสองคนพี่น้อง ตอนวันเกิดอายุยี่สิบปีของเธอ พวกเขาถ่ายรูปกันในสวนสาธารณะ จากนั้นพี่ชายก็เอารูปมาใส่กรอบรูปไว้
พี่ชาย….
พี่อยู่ที่ไหนกันแน่
ทำไมไม่มีข่าวคราวอะไรเลย
พี่ยังมีชีวิตอยู่มั้ย….มู่เวยเวยคิดแล้ว ดวงตาของเธอก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้น ก็มีเสียงต่ำของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากประตู “ดูอะไรอยู่”