อีกฝ่ายกระแอมไอให้คอโล่ง เพื่อพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันคือหนานกงเจา”
เย่จิงเหยียนก็ลุกขึ้นนั่งจากโซฟาทันที “คุณคือใครนะ?”
“หนานกงเจา”
เย่จิงเหยียนแทบจะหัวเราะออกมา แต่ยังอดกลั้นไว้ได้ “อืม ที่แท้ก็คือคุณ โทรหาน้องสาวฉันมีเรื่องอะไร?”
“เอ่อ……ฉันโทรหาเธอมีธุระนิดหน่อย” อีกฝ่ายเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะของเขา ยิ่งทำตัวไม่ถูก
คุณจะหาเธอแล้วโทรหาฉันทำไม?” เย่จิงเหยียนจงใจพูด
“ฉันโทรหาหลายครั้งแล้ว เธอปิดเครื่อง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่จิงเหยียนยิ่งสว่างขึ้น “อ้อ อย่างนี้เอง น้องสาวฉันไม่อยู่บ้าน”
“ขอบคุณครับ”
เย่จิงเหยียนพูดอย่างจริงจังก่อนที่เขาจะวางสายไป “ไอ้หนู ฉันจะเตือนแกไว้เลย อย่าเล่นกับความคิดของน้องสาวฉัน มิเช่นนั้นฉันจะหักขาแก”
มู่เวยเวยมองเขาอย่างประหลาดใจ “ใครหรอ?”
เย่จิงเหยียนนำโทรศัพท์โยนลงบนโซฟา หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “ก็คือเจ้าปีศาจคนนั้นของตระกูลหนานกง คิดไม่ถึงว่าเขาจะโทรมาหาหรูอี้”
“ตระกูลหนานกง?” มู่เวยเวยขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าก็เย็นชาลงทันที “ที่คุณพูดก็คือลูกชายของหนานกงเฮ่าใช่ไหม?”
“ใช่ ยังจะเป็นใครได้อีกหรอ?” เย่จิงเหยียนนั่งลงบนโซฟา “โอ้พระเจ้า หรูอี้ไปยุ่งกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“กลับมาฉันต้องถามยัยหนูนี่ พูดไปแปดร้อยครั้งแล้ว ว่าอย่าไปพัวพันกับครตระกูลหนานกง ทำไมเธอไม่ฟังนะ?” มู่เวยเวยนำดอกไม้โยนลงบนโต๊ะด้วยความโมโห พูดกับเย่จิงเหยียนว่า “โทรหาหรูอี้ ให้เธอกลับมาเดี๋ยวนี้”
เย่จิงเหยียนเห็นว่าแม่โกรธมาก ก็รีบโทรหาน้องสาว แต่ได้ยินแค่สัญญาณเสียงปิดเครื่อง
“ปิดเครื่อง” เย่จิงเหยียนถือโทรศัพท์พร้อมกับพูด
มู่เวยเวยสงบอารมณ์ลงเล็กน้อย แลแล้วหยิบดอกไม้หนึ่งก้านขึ้นมา “ถ้าเธอกล้ามีอะไรกับเจ้าปีศาจคนนั้น ดูได้เลยว่าฉันจะจัดการเธอยังไง”
เย่จิงเหยียนรีบลูบหลังเบาๆแล้วปลอบแม่ว่า “แม่ คุณใจเย็นๆ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่แน่หนานกงเจาอาจจะมาพัวพันเพียงฝ่ายเดียว รอให้หรูอี้กลับมาแล้วค่อยถามให้ชัดเจน”
ในขณะที่เย่ฉ่าวเฉินจูงสุนัขเข้ามา ก็เห็นหน้าตาที่โกรธของภรรยา จึงถามลูกชายว่า “คุณทำให้แม่ของคุณโกรธหรอ?”
“ปรักปรำ” เย่จิงเหยียนรู้สึกไม่เป็นธรรม
“ไม่ใช่เขา ,แต่เป็นลูกสาวหัวโปรดของคุณ” มู่เวยเวยพูดอย่างโมโห
เย่ฉ่าวเฉินสีหน้าตกใจ รีบเดินไปถามภรรยาว่า “หรูอี้ทำอะไร?”
“ลูกชายของหนานกงเฮ่า เขาต้องการจะโทรมาหาหรูอี้ เลยโทรหาผิงอัน คุณว่า นี่มันเป็นเรื่องใหญ่ไหมล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินสีหน้าเปลี่ยนไป “ไอ้สารเลวนี่ เขาคิดจะทำอะไร?”
เย่จิงเหยียนต้อนรับขับสู้อีกครั้ง “พ่อ รอหรูอี้กลับมาค่อยว่ากัน คุณอย่าโกรธไปก่อนเลย”
เขาไม่ค่อยรู้เรื่องในตอนนั้นระหว่างผู้ใหญ่เท่าไหร่ รู้แต่ว่าหนานกงเฮ่าเคยตามจีบแม่เขามาก่อน ทำเรื่องที่น่าขายหน้าไว้มากมาย แทบจะทำให้เขาไม่ได้เกิดมา ฉะนั้น เขาเข้าใจจิตใจของพ่อแม่เป็นอย่างดี
เย่ฉ่าวเฉินทำเสียงไม่พอใจ “ไม่ว่าไอ้ปีศาจนั่นคิดอยากจะทำอะไร ฉันก็ไม่สามารถเห็นด้วยให้เขามาพัวพันกับหรูอี้ ไม่ดูสารรูปตนเองเลย”
ถึงแม้ว่าเรื่องจะผ่านไปนานมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเย่ฉ่าวเฉินจะจับมือกับหนานกงเฮ่าเพื่อสร้างสันติภาพ ชั่วชีวิตนี้ พวกเขาไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว
“ใช่สิ เวลานี้คุณไม่ควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลหรอ? ทำไมกลับมาแล้วล่ะ?”
“ต้วนอีเหยาออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว” เย่จิงเหยียนพูดสั้นๆ กลัวว่าพ่อจะโยนความผิดให้เขา เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เขาเพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ ก็ได้ยินเย่ฉ่าวเฉินพูดว่า “คุณก็เช่นกัน ลูกสาวคนรวยตระกูลมีชื่อเสียงมีมากมายในเมืองA ยังมีสตรีที่มีชื่อเสียงของทั้งประเทศ ทำไมคุณชอบทหารหรือไง? ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะเป็นทหารยศพลเอกแล้วยังไงล่ะ? สามารถดูแลบ้านดูแลครอบครัวได้ไหม? ในไม่ช้าก็เร็วตรกูลเย่นี้ก็ต้องมอบให้คุณกับเธอ คิดว่าเธอสามารถจะเป็นคุณผู้หญิงคนนี้ได้ใช่ไหม?”
นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อว่าต้วนอีเหยาต่อหน้าเขา เย่จิงเหยียนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา “พ่อ ถึงว่าคุณเต็มใจที่จะมอบให้ ไม่แน่ใจว่าเธอจะเห็นด้วยไหม ฉันชอบเธอมาตลอดไม่ใช่ง่าคุณจะไม่รู้ ในเมื่อคุณมีความคิดนี้มานานแล้ว ทำไมก่อนหน้านี้ไม่พูด ตอนนี้เอ่ยขึ้นมาเพื่ออะไร? วันนี้ฉันจะฝากคำพูดไว้ที่นี่ ฉันไม่สนว่าจะเป็นลูกคนรวยหรือไม่ ตระกูลจะมีชื่อเสียงไหม แม้ว่าเจ้าหญิงจะยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันก็ต้องการแค่เพียงเธอเท่านั้น”
เย่ฉ่าวเฉินดึงแขนเสื้อเขาด้วยความโกรธ “เฮ้ย ไอ้หนูนี่ ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม? ถึงกล้ามาปากดีกับฉัน?”
เย่จิงเหยียนลุกขึ้นมาจากโซฟา แล้วก็หายตัวไปในชั่วพริบตา หลบซ่อนไกลๆ แล้วตะโกนพูดว่า “นี่มันเป็นทัศนะคติของฉัน คุณไม่ต้องมาพูดโน้มน้าวฉัน ชั่วชีวิตนี้ถ้าไม่ใช่ต้วนอีเหยาฉันก็จะมาแต่งงาน คุณบอกว่าตระกูลกู้ดูแลฉัน หรือว่าในตอนแรกที่คุณแต่งงานกับแม่ฉัน ก็เพื่อให้เธอดูแลคุณ ดูแลครอบครัวนี้ใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินถูกลูกชายทำให้พูดไม่ออก แน่อนอนเขาแต่งงานกับมู่เวยเวยเพราะความรัก
“ทำไม ไม่พูดล่ะ? ในเมื่อคุณแต่งงานกับแม่ฉันเพราะความรัก ทำไมพอถึงฉันก็ต้องหาคนที่พอใช้ได้แต่ไม่ได้รัก นี่คุณสองมาตรฐานเกินไปแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินชี้ไปที่ลูกชายของเขา “คุณมาหาฉันนี่”
เย่จิงเหยียนเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ไป”
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนเป็นสีม่วงทันที เย่จิงเหยียนก็ตะโกนต่อว่า พ่อลูกสองคนกำลังวิ่งไล่ตามกันอยู่ในคฤหาสน์
ไม่นาน เสียงของเย่จิงเหยียนก็ดังมาจากในความว่างเปล่า “แม่ คุณควบคุมพ่อฉันหน่อย ฉันพูดผิดซะที่ไหนกัน?”
มู่เวยเวยเสียบดอกไม้ของตนอย่างเงียบๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ก้าวก่ายเรื่องระหว่างพวกคุณได้”
หลังจากนั้นสักพัก เย่ฉ่าวเฉินปรากฏตัวบนโซฟา พูดอย่างหอบเหนื่อยเล็กน้อย “ไอ้หนู อย่าให้ฉันจับคุณได้นะ”
ร่างของเย่จิงเหยียนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ “พ่อ ฉันลงมา เรามาคุยกันดีดีเถอะ คุณอย่าลงมือนะ
“โอเค ฉันเห็นด้วย” เย่ฉ่าวเฉินโบกไม้โบกมือพูด
เย่ฉ่าวเฉินไม่เชื่อเขา เคลื่อนมาราวกับพระพุทธรูป “แม่ ครั้งนี้คุณต้องเป็นพยานนะ”
“ได้ลงมาเถอะ พ่อของคุณไม่ลงมือหรอก”
เย่จิงเหยียนลอยลงมาอย่างวางใจ เย่ฉ่าวเฉินดึงแขนเสื้อ รีบหยุดอยู่กับที่ “พ่อ พ่อลูกผู้ชายพูดแล้วต้องไม่คืนคำ”
“ตกใจอะไรขนาดนี้? ฉันจะช่วยแม่คุณจัดดอกไม้ก็เท่านั้น” เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเยาะเขา
เย่จิงเหยียนเบ้ปาก นั่งลงตรงข้ามพวกเขา พูดเกลี้ยมกล่อมว่า “พ่อ เมื่อกี้ที่ฉันพูดไม่ใช่เพราะว่าโกรธ ทุกคำพูดคือเรื่องจริง ฉะนต้องการแต่งกับภรรยาที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต เรื่องนี้ฉันมีสิทธิ์ที่จะพูดที่สุด คุณก็บังคับฉันใช่ไหมล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเขา “ไอ้หนู สิ่งเหล่านั้นที่ฉันพูดไม่ใช่เพื่อดีกับคุณหรอ”
“เพื่อดีกับฉันก็อย่าผสมปนเปเรื่องของฉันกับต้วนอีเหยา ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตัดสินด้วยตัวเองได้”
“โอเคโอเค ฉันไม่ก้าวก่ายแล้ว คุณชอบทำสิ่งไหนก็ทำสิ่งนั้นเถอะ ฉันจะอยู่สบายๆ”
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างปลื้มใจ นี่ก็พอใช้ได้
ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงเร็วมาก ครอบครัวกำลังรอสอบสวนเย่ชูวเสวียอยู่ นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารโดยไม่ขยับตะเกียบเลย จนถึงสองทุ่มกว่า เย่ชูวเสวียจึงปรากฏตัวที่ประตูทางเข้าคฤหาสน์
เธอย่องเข้ามาทางประตู มองไปรอบๆไม่เห็นใครเลย วิ่งตรงไปที่ชั้นสอง ขึ้นไปได้สามขั้น ก็ปรากฏเงาของคนคนหนึ่ง ขวางทางที่เธอจะไป
“ไอ๊หยา คุณทำฉันตกใจมาก” เย่ชูวเสวียตบๆหน้าอกของเธอ หัวใจเต้นตุบๆ
เย่จิงเหยียนคว้าคอเสื้อของเธอ นำเธอลงมาชั้นล่าง “ไปเถอะ ฮ่องเต้กับฮองเฮารอคุณนานแล้ว
เย่ชูวเสวียตาโต “รอฉัน?”
“ใช่” เย่จิงเหยียนยิ้มยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น
เย่ชูวเสวียภามอย่างระวังๆ “รอฉันทำอะไร?”
“วันนี้ หนานกงเจาโทรมาหาคุณที่นี่ คุณว่าไง?”
เย่ชูวเสวียกัดฟัน “สมองเขาโดนลาเตะมาใช่ไหมเนี่ย”
“เอาล่ะ ไปเถอะ สารภาพมาซะดีๆ โทษจะได้เบาลง” เย่จิงเหยียนจับข้อมือของเธอ ลากเธอไปทางห้องอาหาร
เย่ชูวเสวียฉุดรั้งไว้ ดึงมือของพี่ชายแล้วพูดเบาๆว่า “พี่ พี่ คุณช่วยฉันด้วยนะ ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร คุณก็ช่วยฉันด้วย หากวันหลังมีเรื่องอะไร ฉันจะไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเลย”
เย่จิงเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม “ร้านแรงขนาดนี้เลยหรอ?”
เย่ชูวเสวียแทบจะร้องไห้ “นิดหน่อย”
เย่จิงเหยียนจ้องมองเธออย่างเสียใจ “ฉันเห็นว่าคุณจะต้องถูกหักขาแล้วล่ะ”
“คุณช่วยฉันด้วยนะ ขอร้องนะพี่” เป็นครั้งแรกที่เย่ชูวเสวียขอร้องอย่างจริงใจ
เย่จิงเหยียนใจอ่อน เขายังคงรักน้องสาวคนนี้มาก “โอเคๆ ฉันรับปากคุณ”
“ขอบคุณพี่”
สองพี่น้องเดินมาที่ห้องอาหาร อาหารบนโต๊ะเย็นแล้ว แม่ครัวยกเอากลับไปอุ่นใหม่
เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยหน้าดำคร่ำเครียด ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทำไมเพิ่งกลับมาล่ะ?”
เย่ชูวเสวียลดมือของเธอลง ตอบกลับอย่างเฉลียวฉลาด “ยุ่งกับร้านขนมเพิ่งจะเสร็จ”
“ทำไมต้องปิดเครื่อง?”
เย่ชูวเสวียแกล้งตกใจเล็กน้อย “ปิดเครื่องหรอ?” ลองหยิบขึ้นมาดู “อ้อ แบตหมดนะ”
“ฉันจะถามคุณ คุณกับไอ้สารเลวตระกูลหนานกงนั่นรู้จักกันได้ยังไง?” เย่ฉ่าวเฉินเข้าประเด็นหลัก
เย่ชูวเสวียแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ “พ่อ คุณพูดถึงใครหรอ”
“ลูกชายของหนานกงเฮ่า หนานกงเจา”
เย่ชูวเสวียเข้าใจได้ทันที “อ้อ ไอ้ปีศาจคนนั้น เราเคยเจอกันตอนอยู่มัธยมปลาย”
“คุณยังจะเล่นละครกับฉันอีก คุณสารภาพความจริงมากับฉันซะ ทำไมเขาถึงตามหาคุณโดยที่โทรมาที่โทรศัพท์ของผิงอัน” เย่ฉ่าวเฉินแสดงออกอย่างเย็นชา
เย่ชูวเสวียพูดตามความคิดเห็นว่า “ฉันไม่รู้”
“จะบอกหรือไม่บอก? ไม่งั้นฉันจะจับไอ้สารเลวนั่นมา”
“พ่อ……” เย่ชูวเสวียตะโกนเบาๆ มองไปทางแม่ หน้ามู่เวยเวยโกรธหนักกว่าเย่ฉ่าวเฉินอีก
“ผิงอัน โทรเรียกไอ้หมอนั่นมา ฉันยอมเทหมดหน้าตักเพื่อไอ้หน้าด้านคนนี่……”
เย่ชูวเสวียได้ฟังก็ร้อนรน รีบคุกเข่าลงกับพื้น “พ่อ แม่ ฉันผิดไปแล้ว ฉันพูดแล้ว”
พวกเขาทั้งสามคนก็ตกใจ โอ้พระเจ้า นี่เป็นเรื่องใหญ่โตมาก คาดไม่ถึงว่าเย่ชูวเสวียจะคุกเข่าอย่างไม่กลัวเทวดาฟ้าดิน
เย่จิงเหยียนตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องราว คิดว่าให้น้องสาวคุกเข่าจะเหมาะสมกว่า ด้วยเหตุนี้จึงไม่พยุงเธอขึ้นมา แต่นั่งเงียบๆอยู่บนเก้าอี้ที่ใกล้กับเธอที่สุด
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมองตากันทีหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “พูดมา”
“คืนวันก่อน ฉันไปดื่มเหล้าที่บาร์เหล้า…….”
เย่ชูวเสวียไม่ได้ไปดื่มเหล้าคนเดียว เธอนัดเซียวอวี้หลินไปด้วยกัน แต่ระหว่างทางเซียวอวี้หลินมีเรื่องสำคัญไม่ได้มา ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเย่ชูวเสวียเพียงคนเดียว
สวยเช่นนี้ และมาคนเดียว ถึงแม้ว่าเธอจะคือคุณหนูที่สูงส่งของตระกูลเย่ แต่ก็ยังมีคนที่กล้าหาญไม่น้อยที่เข้ามาชวนคุย แน่นอน เย่ชูวเสวียแม้แต่สายตาสักนิดก็ไม่ให้พวกเขา
เดิมทีเธออยากดื่มสักสองแก้วแล้วกลับ คาดไม่ถึงว่าเมื่อออกมา ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายออกมาจากบาน์เหล้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เย่ชูเสวียก็เข้าไปดูอย่างกระตือรือร้น
สุดท้ายพอมองก็เห็นถึงเรื่องราว
ผู้ชายในชุดสูทราคาแพงสองสามคนนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาอย่างเกียจคร้าน ลักษณะดูเป็นเด็กที่เหมือนผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนนั้นที่อยู่ตรงกลางที่หล่อที่สุด เทียบได้กับลูกเทพของตระกูลมู่ ในปากของเขาอมซิการ์มวนหนึ่ง บนใบหน้าคล้ายกับว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่ในสายตาเย็นชาอย่างมาก
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ขายเหล้าคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผู้ชายสองสามคน เวลานี้กำลังรินอยู่หนึ่งแก้ว และบนโต๊ะก็มีขวดเหล้าเปล่าวางอยู่สามขวดแล้ว
เย่ชูวเสวียมองแวบเดียวก็เข้าใจ น่าจะเป็นเพลย์บอยสองสามคนเหล่านี้กำลังแกล้งคนขายเหล้าคนนี้
น่าเบื่อจริงๆ
กำลังคิดที่จะเดินกลับไป ก็ได้ยินเด็กผู้หญิงขายเหล้าพูดอย่างหายใจลำบากว่า “คุณชายทุกท่าน ฉันดื่มไม่ไหวแล้วจริงๆ ขอร้องพวกคุณปล่อยฉันไปได้ไหม?”
“”นี่พูดอะไรกัน? เมื่อกี้ไม่ได้บอกว่าดีหรอ? คุณดื่มหมดหกขวด พวกเราสองสามคนก็จะซื้อหกขวดนี้ของคุณ ทำไมถึงกลับคำล่ะ?” ชายคนหนึ่งพูดอย่างชั่วร้าย
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะดื่มหกขวด คือพวกคุณมาสั่งฉันเองนะ” เด็กผู้หญิงขายเหล้าพูดแก้ตัว
“เห๊อะ สาวสวยคนนี้ทำไมหลอกลวงแบบนี้? พวกเราซื้อเหล้าของคุณไว้หน้าคุณ ทำไม หรือว่าคุณจะไม่ไว้หน้าพวกเรา?”
เด็กผู้หญิงขายเหล้าไม่กล้ายั่วโมโหพวกเขา ทำได้เพียงหยิบขวดนึงขึ้นมาแล้วเงยหน้าขึ้นดื่ม
ถึงอย่างไรมนุษย์ก็ย่อมมีขีดจำกัด เหล้าขวดนี้เพิ่งจะดื่มลงไปเพียงครึ่งขวด เด็กผู้หญิงขายเหล้าอดกลั้นไม่ไหวเสียง”โอ้ก”อ้วกออกมา
“อา——คุณมาอ้วกอะไรตรงนี้?” คนหนึ่งกระโดดขึ้นมา กางเกงของเขาชุ่มไปด้วยเหล้าที่อาเจียนออกมา
เด็กผู้หญิงตกตะลึงพรึงเพริด รีบใช้แขนเสื้อไปเช็ด แต่ถูกคนๆนั้นถีบออกมา “ใครให้มึงมาแตะต้อง?”
เย่ชูเสวียที่เดิมทีเดินไปถึงหน้าประตูบาร์เหล้าแล้ว อย่างไรความสามารถในการได้ยินของเธอก็ดีมาก ฟังบทสนทนาเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน เดิมทีก็ไม่ได้สนใจกลุ่มลูกเศรษฐีเหล่านี้ ต้องหันกลับไปอีกครั้ง
“ขอโทษค่ะๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เด็กผู้หญิงขายเหล้าหน้าซีดเซียว ตุกเข่าก้มหัวไปพลางกล่าวขอโทษไม่หยุดไปพลาง
เย่ชูวเสวียแหวกฝูงชน นำเด็กสาวขายเหล้าดึงขึ้นมา “คุกเข่าให้ไอ้พวกสารเลวนี่ทำไม?”
จู่ๆเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ทำให้สถานที่เกิดเหตุเงียบสงบลงมาในชั่วพริบตา ในฝูงชนที่กำลังตกตะลึง เย่ชูวเสวียล้วงเงินสดจากในกระเป๋าเงินขว้างลงบนโต๊ะ กระทืบเท้าและมองคนๆนั้นอย่างเหยียดหยาม” กางเกงตัวนั้นของคุณมีมูลค่ามากสุดก็ไม่เกินหนึ่งพันหยวน เงินเหล่านี้เพียงพอสำหรับคุณที่จะซื้อตัวใหม่” จากนั้นก็หยิบบัตรใบหนึ่งออกมาให้เด็กผู้หญิงขายเหล้า “ฉันต้องการเหล้าเหล่านี้ของคุณ ในนี้คือห้าหมื่นหยวน พอไหม?”
ผู้หญิงที่ขายเหล้าพยักหน้าอย่างเฉื่อยชา เย่ชูวเสวียตอบกลับ “ไปเถอะ”
ผู้หญิงที่ไหนยังจะกล้าอยู่ต่อไป รีบหันตัวกลับแล้ววิ่งหนีไป
“เห๊อะ ฉันก็ว่าใครใจกว้างนัก ที่แท้ก็ตือคุณหนูตระกูลเย่นั่นเอง” ใครบางคนทำลายความเงียบก่อน
เย่ชูวเสวียเงยหน้ามองเขา รูปร่างลักษณะก็ไม่เลว แล้วเธอก็ไม่ชอบพวกแต่งตัวไร้รสนิยม ไปเถอะ
“คุณหนูเย่ เรื่องวันนี้คุณไม่คิดว่าเป็นการก้าวก่ายเกินไปหรอ?”
เย่ชูวเสวียเลิกคิ้วมองเขา ไม่ได้พูดจา
คนๆนั้นพูดต่อไปว่า “เหล้าเหล่านี้เดิมทีพวกเราต้องการซื้อ จู่ๆคุณแทรกเข้ามา นี่เรียกว่าผิดศีลธรรม ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนของตนะกูลเย่ ก็ไม่สามารถไม่ต่อว่าได้”
เย่ชูวเสวียยิ้มอย่างเย็นชา ในเมื่อเอาตระกูลเย่ออกมาพัวพัน เธอก็ไม่สามารถปล่อยให้พ่อขายหน้า เพียงแค่คนหน้าไม่อายเช่นนี้ เธอเจอมาเยอะแล้ว
“ก็ฉันซื้อแล้ว คุณจะทำไม?” เย่ชูวเสวียพูดอย่างยั่วยุ
คนๆนั้นก็คือคนที่ดำเนินกิจการย่านโคมแดงมาเป็นเวลานาน ยิ้มน้อยๆแล้วกล่าวว่า “ก็ไม่ยังไง? พวกเราก็ไม่อยากทำให้คุณหนูเย่ลำบากใจ ในเมื่อวันนี้ชะตาลิขิตแล้ว ให้คุณหนูเย่ดื่มเป็นเพื่อนพวกเราสักแก้วเป็นยังไง?”
เย่ชูวเสวียโค้งปากยิ้ม พูดอย่างช้าๆว่า “คุณแน่ใจหรอ ว่าต้องการให้ฉันดื่มเป็นเพื่อนพวกคุณ?”
คำพูดนึกทีทำให้รู้สึกแปลกๆ ทุกคนก็นึกถึงบาร์เหล้าอีกบาร์นึงช่วงก่อนหน้านี้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก็คือชายสองสามคนขัดขวางเย่ชูวเสวียต้องการให้เธอดื่มเหล้าเป็นเพื่อน ผลสุดท้ายถูกทำร้ายจนแม่จำแทบไม่ได้
คนๆนั้นชัดเจนว่านึกถึงเรื่องนี้ได้ ยิ้มๆอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็พูดว่าไม่ดื่มไม่ได้ “ในเมื่อ……ในเมื่อคุณหนูเย่ไม่อยากดื่ม งั้น……”
“เย่ชูวเสวีย คาดไม่ถึงว่าคุณจะขี้ขลาดแบบนี้” ผู้ชายที่ถือซิการ์อยู่จู่ๆก็พูดโพร่งออกมาคำหนึ่ง เย่ชูวเสวียชำเลืองมองเขา ทำไมรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอย่างมาก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“คุณเป็นใครอ่ะ” เย่ชูวเสวียถามอย่างตรงไปตรงมา
ผู้ชายที่งดงามมีสง่าลุกขึ้นยืน ดวงตาลึกลับไม่อาจคาดเดาได้ “ฉันคือหนานกงเจา”
“หนานกงเจา?” เย่ชูวเสวียพูดพึมพำคพนี้อยู่ในปาก ทันทีก็นึกขึ้นมาได้ นี่ไม่ใช่ลูกชายคนนั้นของหนานกงเฮ่าหรอ?
“เหอะๆ ที่แท้ก็เป็นคุณ โลกกลมจริงๆ” เย่ชูวเสวีหัวเราะอย่างเย็นชา
หนานกงเจาก็ไม่พูดไร้สาระกับเธอ ยกเหล้าขวดหนึ่งขึ้นมา “กล้าหรือเปล่าล่ะ”
เย่ชูวเสวียก็ไม่ได้โง่ “มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องดื่มกับคุณด้วย?”
หนานกงเจาโค้งตัวเล็กน้อย กระซิบข้างๆหูเธอว่า “สมัยเด็กๆฉันเคยได้ยินพ่อฉันพูดว่า ปีนั้นเขาเกือบจะได้แต่งงานกับแม่ของคุณ เวลานั้นพ่อของคุณเป็นคนขี้ขลาดคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ธรรมเนียมนี้ของตระกูลเย่ยังอยู่”
เย่ชูวเสวียเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน ถูกหนานกงเจายั่วเย้า ก็โกรธเดือดดาล หยิบขวดเหล้าจากในมือเขาแล้วพูดว่า “ได้ ดื่มก็ดื่ม แต่ฉันดื่มคนเดียวจะไปมีประโยชน์อะไร คุณดื่มเป็นเพื่อนฉันไม่ดีกว่าหรอ”
“ได้” หนานกงเจารับปาก หยิบอีกขวดหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ
เย่ชูวเสวียยังไม่เลิกรา “ดื่มเฉยๆก็ไม่มีความหมายอะไร เอาแบบนี้ไหม พวกเราใครเลิกดื่มก่อนก็คุกเข่าคำนับที่พื้นสามครั้ง พูดว่าตนเองผิดไปแล้ว ต่อไปถ้าพบกันโดยบังเอิญอีก ก็ต้องหลีกหนีไปให้ไกล”
หนานกงเจาคาดไม่ถึงว่าเธอจะเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ ตนเองคิดในใจว่าไม่ถูกยัยนี่ให้ดื่มจนเมาหรอก พูดเสียงดังว่า “ได้”
พูดจบ คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นแล้วดื่มอึกๆ
ความสามารถในการดื่มของเย่ชูวเสวียได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก เธอกับพี่ชายเย่จิงเหยียนฉวยโอกาสตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ ก็แอบย่องเข้าไปในห้องเก็บเหล้าขโมยเหล้ามาดื่ม ตลอดปีที่สั่งสมมานาน ความสามารถในการดื่มเหล้าก็เป็นเลิศมาก คนทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอเลย
ตระกูลเย่และตระกูลหนานกงต่างเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงโดดเด่นของเมืองA เวลานี้คนหนึ่งเป็นคุณหนูตระกูลเย่ คนหนึ่งเป็นคุณชายตระกูลหนานกงแข่งดื่มเหล้ากัน ในสถานที่เงียบสงัดไปชั่วขณะ ทุกคนล้าวนอยากรู้ว่า ท้ายที่สุดใครจะเป็นคนต้องคุกเข่าคำนับสามครั้ง
ขวดแล้วขวดเล่า ผู้จัดการบาร์เหล้าก็กลัวจะเกิดเรื่อง อยากการโทรศัพท์ไปยังทั้งสองบ้าน แต่จนปัญญาเพราะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ในมือ
ชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียว คนสองคนก็ดื่มไปแล้วสามขวด แต่นังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะเมา
“ผู้จัดการ เอาขวดที่สี่มาอีก” ผู้ชายคนข้างๆที่มาด้วยกันกับหนานกงเจาตะโกนไปยังเคาท์เตอร์บาร์
อันที่จริงหัวของหนานกงเจามึนงงเล็กน้อยแล้ว เพียงแต่ตอนนี้คือกำลังฝืนทำ และเย่ชูวเสวียจะดีกว่าซักแค่ไหนเชียว แอลกอฮอล์สามขวดลงท้องไปแล้ว จริงๆเธอก็ลำบากอยู่เล็กน้อย
แต่เพื่อศักดิ์ศรีขอวตระกูลเย่ หนานกงเจาไม่เลิกดื่ม เธอจะเลิกดื่มไปได้ยังไง?
ชั่วพริบตาที่แอลกอฮอล์ขวดหนึ่งลงท้องไป เย่ชูวเสวียก็พูดอย่างมึนเมาว่า “ฉันจะไปห้องน้ำหน่อย”
หนานกงเจาคว้าแขนของเธอเอาไว้ เยือกเย็นดั่งหยก “คิดจะหนีใช่ไหมล่ะ?”
เย่ชูวเสวียสะบัดออกจากเขา ยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง นำพาให้หัวใจของหนานกงเฮ่านั้นรักและเอ็นดู “คุณไม่เชื่อฉันหรอ?”
“ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วยล่ะ? พวกเราสองคนคล้ายกับไม่ได้สนิทสนมกันอะไรกันสักหน่อย”
“เชอะ แล้วแต่คุณเถอะ ถึงยังไงฉันก็จะไปห้องน้ำ มีความสามารถก็ตามฉันมาได้นะ”
เย่ชูวเสวียสบัดผม บิดเอวเล็กๆแล้วถามบริกร เดินโซซัดโซเซไปยังห้องน้ำ หนานกงเจาสายตาดุร้ายจ้องมองภาพด้านหลังของเธอสองวินาที ก็ตามไปท่ามกลางสายตาประหลาดใจของฝูงชน
ทุกคนเสียงดังเกรียวกราว ตามไปจริงๆด้วยอะ
เย่ชูวเสวียเข้าห้องน้ำแล้วออกมาล้างหน้า ผิวพรรณของเธอดีมาก คิ้วกับตาเปรียบดั่งวาดไว้ ดังนั้นปกติสกินแคร์ที่ทาเล็กน้อย แบบนี้พอล้างน้ำสะอาดก็รู้สึกเหมือนดอกบัว
ออกจากห้องน้ำแล้ว ถูกคนขวางอยู่ที่หน้าประตู แค่เห็น ก็รู้ว่าเป็นหนานกงเจาที่แข่งดื่มเหล้ากับเธอเมื่อกี้นี้
“เห๊อะ หนานกงเจา คุณมีความจำเป็นนี้หรอ?”
“เย่ชูวเสวีย ฉันถามคุณเรื่องหนึ่ง” สายตาหนานกงเจามองเธออย่างลึกซึ้ง ใบหน้าที่งดงามมีเลือดฝาดเล็กน้อย ราวกับเปื้อนสีดอกท้อ
เย่ชูวเสวียมึนงงหัวเล็กน้อย พิงกำแพงแล้วหันหน้าไปถามเขาว่า “เรื่องอะไร?”
“ตอนมัธยมปลาย ฉันเขียนจดหมายให้คุณฉบับหนึ่ง ทำไมคุณไม่ตอบกลับฉัน?” หนานกงเจาดื่มไปค่อนข้างมากจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่นึกถึงเรื่องในอดีตที่เก็บมานานหลายปีนี้ได้ และไม่สามารถถามต่อหน้าเธอได้
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว “มัธยมต้น? คุณเขียนจดหมายให้ฉันหรอ?” เธอหรี่ตาคิดอยู่นาน ผายมือแล้วพูดว่า “จดหมายที่ฉันได้รับตอนมัธยมทั้งหมดล้วนมอบให้พี่ชายฉันจัดการ”
“อะไรนะ?” หนานกงเจาตกตะลึงอย่างมาก
“คือแบบนี้ จดหมายรักที่ฉันได้รับตั้งแต่ประถมทั้งหมดก็ให้พี่ชายฉันหรือเจ้ามอนสเตอร์น้อยพับเครื่องบินเล่น ตลอดมัธยมปลาย ยังไงก็ไม่มีอะไรต้องดู” เย่ชูวเสวียยิ้มเล็กน้อย “พูดแบบนี้แล้ว คุณเขียนจดหมายให้ฉันหรอ? เมื่อไร?”
หนานกงเจามองดวงตาและใบหน้าที่ชุ่มชื้นของเธอ หัวใจนั้นที่เงียบมานานกลับเต้นแรงอีกครั้ง จับพลัดจับผลูคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเธอ จูบลงไปอย่างรวดเร็ว
สมองของเย่ชูวเสวียถูกระเบิดออก”ตูม” ยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยถูกผู้ชายจูบ เพราะไม่มีใครกล้าหาญเช่นนี้
ต้องการอยากผลักเขาออกด้วยจิตสำนึก แต่คล้ายกับว่าหนานกงเจาจะได้ลิ้มรสเหล้าที่รสชาติดีที่สุดในโลก เปิดฟันของเธอ หลังจากนั้น……..
เขาเป็นมือโปรในเรื่องรัก ฝีมือเชี่ยวชาญและช่ำชอง บวกกับที่คนทั้งสองดื่มเหล้ามามาก ถูกบรรยากาศที่สลัวทำให้ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่
ชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียว เย่ชูวเสวียก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเจาเขาโอบกอดเธอแน่น……..
อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอด ผู้หญิงที่เคยอยู่ในหัวใจมาก่อน อย่างรวดเร็วหนานกงเจาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แทบจะ………ในทางเดิน
“ฉันพาคุณออกไปดีไหม?” หนานกงเจากัดที่ใบหูของเธอ พ่นลมหายใจไปในหูของเธอ
เย่ชูวเสวียจะต้านทานการหยอกล้อแบบนี้ได้อย่างไร ทันทีก็อ่อนระทวยกลายเป็นหยดน้ำ ก็ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน พูดอืมคำหนึ่งไปยังมึนๆงงๆ
หนานกงเจาใจสั่น กัดไปบนริมฝีปากที่แดงระเรื่อของเธอทีหนึ่ง แล้วพาเธอออกไปยังประตูด้านหลังร้านเหล้า