ี่คนที่อยู่เบื้องหลังของผิงอัน มักจะมีคนเห็นการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีน้ำหนัก เสมอ แล้วก็มีคนคอยช่วยเหลือตลอด
เมื่อเย่จิงเหยียนนั่งทานอาหารเช้าแล้วรับแสงแดดในยามเช้าอยู่ ต้วนอีเหยากับพวกเพื่อนทหารก็หมอบคลานอยู่ในภูเขาหิมะคุนหลุนแล้ว
คนร้ายชาวต่างชาติกลุ่มนี้ได้บุกเข้ามาทางเขตชายแดน ก็ถูกไล่ล่าและซ่อนตัวอยู่ในภูเขาคุนหลุน ที่นี่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งตลอดทั้งปี มีไม่กี่คนที่เคยไปที่นั่น ทว่าเป็นละมั่ง หมาป่า หมีสีน้ำตาลรวมทั้งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเสือดาวหิมะ
ต้วนอีเหยานำกองกำลังทหารเข้าสู่ภูเขาหิมะ นี่เป็นเวลาสามวันแล้ว ยังไม่เป็นผลสักนิด แม้ว่าจะสวมหน้ากากป้องกันตา สวมเสื้อหนาวหนาๆ แต่มือและเท้ายังคงได้รับบาดเจ็บจากความเย็นจัด ใบหน้าก็แดงจากการถูกลมพัด
หลังจากสี่ชั่วโมงของการเดินทาง เสียงของเพื่อนร่วมทีมดังมาจากชุดหูฟังของต้วนอีเหยา “วอ 1 ฉันพบเบาะแสที่นี่”
“พูด” ดวงตาที่เฉียบคมของต้วนอีเหยาเผยประกายแวววาวออกมา
“ฉันพบกล่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 7 กล่องถูกทิ้งไว้ ยังมีห่อไส้กรอก ตามที่ฉันคาดการณ์ มันถูกทิ้งไว้เมื่อสามวันก่อน จนถูกหิมะปกคลุม”
“โอเค ไล่โจมตีต่อไป รายงานทันทีหากมีความคืบหน้า”
“ครับ”
ลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดโหยหวน พัดมาที่ใบหน้าราวกับถูกกรีดด้วยมีด ฟ้าดินเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ บางครั้งที่ละมั่งวิ่งผ่านมาจึงรู้สึกว่าที่นี่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่
ตลอดวันนี้คิดว่าจะกลับไปมือเปล่า คาดไม่ถึงว่าตอนใกล้จะมืด ต้วนอีเหยาก็ได้ยินเสียงคนลางๆ
“ฉันคือวอ 1 มีสถานการณ์ ระวังตัวให้มากขึ้น”
เคลื่อนที่ไปตามทิศทางของเสียงอย่างช้าๆ ต้วนอีเหยาเห็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เสียงนั้นดังออกมาจากถ้ำ
แม่งเอ้ย บอกว่าหาเจ้าพวกนี้ไม่เจอ ปรากฎว่าซ่อนตัวอยู่ครึ่งทางของภูเขาคุนหลุน เธอเอาแผนที่ออกมาดู จากที่นี่เข้าสู่แผ่นดินใหญ่ แค่จำเป็นต้องคนหาบนยอดภูเขาหิมะอีกสองลูก แต่โชคดีที่ตนเองเจอแล้ว
ในหูฟังแจ้งให้เพื่อนร่วมทีมโฟกัสไปในทิศทางของตนเอง ต้วนอีเหยาแฝงตัวอีกครั้งแล้วรออย่างเงียบๆ
ด้านในพูดอะไรได้ยินไม่ชัด แต่แน่ใจได้ว่า ไม่ใช่ภาษาจีน
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ชิงหลงกับจูเชวี่ยก็มาหาเธออย่างเงียบๆ “หัวหน้า มีสถานการณ์อะไร”
ต้วนอีเหยาชี้นิ้วไปที่ภูเขาหิมะ “ด้านในมีคน”
ชิงหลงรู้สึกตื่นเต้น “ฉันจะไปสืบล่วงหน้าสักหน่อย”
“ระวังความปลอดภัยด้วย”
“รับทราบ”
เพื่อร่วมทีมคนอื่นๆอีกสิบกว่าคนก็ทยอยตามกันมา ต้วนอีเหยากำชับในชุดหูฟังว่า “คนร้ายมีอาวุธเคมีอยู่ในมือ ต้องระวังเป็นพิเศษ สามารถจับเป็นได้ก็พยายามจับเป็น ทั้งหมดใส่ปืนพกเก็บเสียง เสียงที่ดังมากเกินไปทำให้เกิดหิมะถล่ม
“รับทราบ รับทราบ”
ชิงหลงเป็นนักสืบฝีมือดี ไม่นานก็กลับมา พูดอย่างหอบเหนื่อยเล็กน้อย “หัวหน้า ด้านในมีคนสี่คน เป็นคนต่างชาติทั้งหมด กำลังกินข้าวอยู่ ข้างๆตังมีกระเป๋าขนาดใหญ่สี่กระเป๋า ไม่รู้ว่าด้านในใส่อะไรไว้”
“สี่คนหรอ?” ต้วนอีเหยาสงสัย หันไปถามหนึ่งในนั้น “ตอนเช้าคุณพบกล่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเจ็ดกล่องใช่ไหม?”
“ครับ”
จำนวนคนที่สำนักใหญ่บอกคือ 15 คน นั่นหมายความว่ายังมีอีก 11 คนที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ช่างเถอะ จับสี่คนนี้ก่อนค่อยว่ากัน
“ทุกคนเสริมสมรรถภาพทางกายเล็กน้อย รอให้ฟ้ามืดพวกเขานอนหลับแล้วเราค่อยปฏิบัติการ”
“ครับ”
เพื่ออำพราง ต้วนอีเหยาและพวกเขาสวมเสื้อกันหนาวสีขาว นอนอยู่บนพื้นหิมะ กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน
ทุกคนหยิบห่อเนื้อวัวที่แข็งจนเป็นก้อนจากในกระเป๋ามาแทะสองคำ หากกลืนไม่ลงก็ยัดหิมะให้กลายเป็นน้ำลงไป ไม่นานท้องฟ้าในภูเขาก็มืดลง เหลือเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวในอากาศ
ต้วนอีเหยานอนอยู่บนพื้น ขาแข็งไปหมดแล้ว
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ ไฟในภูเขาหิมะก็ดับลง พวกเขานอนกันแล้ว
รออีกหนึ่งชั่วโมง ต้วนอีเหยาก็สั่งการ “ไป”
ทหารสิบกว่าคนเปลี่ยนจากตุ๊กตาหิมะยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆเข้าใกล้ภูเขาหิมะ เพราะสวมแว่นมองตอนกลางคืน ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ในเวลากลางคืน
ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างในกำลังนอนหลับสนิท วางกระเป๋าเป้ไว้ข้างๆมือ
“อย่านอนเลย ลุกขึ้น” ต้วนอีเหยาใช้เท้าเตะหนึ่งในนั้น
ทั้งสี่คนถูกทำให้ตกใจตื่น ลืมตาขึ้นมา ก็มีปืนมากกว่าหนึ่งโหลเล็งมาที่พวกเขาแล้ว
“พูด พวกคุณชื่ออะไร มาจากที่ไหน?” ต้วนอีเหยาถามเป็นภาษาอังกฤษ
ทั้งสี่คนแกล้งฟังไม่ออก ยกสองมือแล้วส่ายหัว
“แม่งเอ้ย แกล้งเป็นใบ้กับฉันใช่ไหม?” ต้วนอีเหยาเข้าไปชกหนึ่งหมัด คนนั้นที่อยู่ใกล้เธอที่สุดถูกต่อยจนมึนงง
“ให้พวกเขาเปิดกระเป๋าออก”
เพิ่งจะพูดจบ หนึ่งในนั้นดึงกริชออกมาจากที่เท้าของเขาและรีบตรงขึ้นมา ผลคือเพียงแค่ครึ่งนาที ทั้งสี่คนถูกจับมัดจนกลายเป็นบ๊ะจ่าง
ในกระเป๋าเป้ทั้งสี่ใบมีของไม่มาก เข็มทิศ แผนที่ ปืน ส่วนที่เหลือเป็นบิสกิตและเนื้อวัว ไม่มีอะไรที่ต้วนอีเหยาต้องการ
ชิงหลงนั่งยองๆตรงหน้าคนคนหนึ่ง ถามเสียงแข็งว่า “ชื่ออะไร? มาจากไหน?”
“พวกเรา……เรามาปีนภูเขาหิมะ” ชายคนั้นพูดภาษาอังกฤษอย่างตะกุกตะกัก
ปีภูเขาหิมะหรอ? ปีภูเขาหิมะแล้วเอาปืนมาทำอะไร? ยังมีกระสุนอีกไม่น้อย
“จูเชวี่ย ถ่ายรูปคนเหล่าแล้วส่งกลับไปที่สำนักงานใหญ่ ทำการเปรียบเทียบ”
“โอเค หัวหน้า”
ต้วนอีเหยาหัวเราะเยาะแล้วขู่ว่า “จะบอกพวกคุณให้นะ ถ้าพวกคุณยอมรับสารภาพ ฉันจะพิจารณาส่งพวกคุณไปให้คนของเราทั้งยังมีชีวิตอยู่ ถ้ายังมีท่าทีเช่นนี้ ก็จะหักขาพวกคุณ แล้วจับโยนไว้ในหิมะ หมาป่ากับเสือดาวหิมะน่าจะสนใจเป็นอย่างมาก”
“พวกคุณทำฝ่าฝืนกฏหมาย” ชายคนนั้นพูดอย่างเคร่งขรึม
“ฝ่าฝืนกฏหมาย?” ต้วนอีเหยายิ้มอย่าเจ้าเล่ห์ “ธารน้ำแข็งคุนหลุนนี้นอกจากสัตว์ป่าก็เป็นพวกเรา พวกคุณถูกสัตว์ป่าจับกิน ใครจะรู้ล่ะว่าพวกเราฝ่าฝืนกฏหมาย”
“หัวหน้าพูดถูก พาพวกเขาไปก็เป็นภาระ ให้เป็นอาหารหมาป่าไปเถอะ” เพื่อนทหารข้างๆสนับสนุนขึ้นมา
หลังจากสองสามนาที ข่าวจากสำนักงานใหญ่ก็ส่งมา ว่าสี่คนนี้เป็นพวกผิดกฏหมายจริงๆ
ต้วนอีเหยาจับคอเสื้อของคนคนหนึ่งขึ้นมา พูดอย่างดุดันและเกรี้ยวกราดว่า “ฆ่าคนของพวกกูแล้วยังคิดจะตบตาอีกหรอ? คนที่เหลือมันอยู่ที่ไหน?”
ชายคนนั้นมองต้วนอีเหยาด้วยสายตาเหยียดหยาม แล้วเบนหน้า
“ไม่พูดใช่ไหม เชื่อไหมล่ะว่าฉันจะฆ่าคุณ?” ต้วนอีเหยาเอาปืนจ่อที่หน้าอกเขา
ชายคนนั้นไม่ยี่หระต่อความเป็นความตาย “อยากฆ่าก็ฆ่า สักคำพวกกูก็จะไม่พูด เพราะว่าอีกไม่นาน ก็จะมีคนจีนอีกนับไม่ถ้วนได้โดนฝังพร้อมกันกับพวกกู ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……”
“ตุ๊บ!” ต้วนอีเหยาทุบเข้าที่หัวของเขา คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ทนต่อการต่อยตีเช่นนี้ จึงหมดสติล้มลงไป
“พวกมึงก็ไม่พูดใช่ไหม?” ต้วนอีเหยาดึงอีกคนขึ้นมา
คนนั้นถ่มน้ำลายลงพื้น “พวกกูต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและเกียรติยศ ตอนที่มาก็ไม่คิดว่าจะได้กลับไปอยู่แล้ว”
“ยังคงหัวแข็งอยู่” ต้วนอีเหยาปล่อยเขาลงแล้วพูดกับพวกพี่น้องว่า “จัดการให้ฉันหน่อย ตายแล้วก็โยนไว้ในหิมะเป็นอาหารหมาป่า”
ชิงหลงสะดุ้งตกใจ ดึงต้วนอีเหยาไปด้านข้าง “หัวหน้า จะทุบตีให้ตายจริงๆหรอ หากเบื้องบนรู้ว่าทั้งสี่คนนี้ถูกทุบตีจนตาย จะอธิบายยังไง”
ต้วนอีเหยาเหลือบมองเขา “คุณเป็นคนหังรั้นไปได้ยังไง? ฉันไม่ได้โง่นะ ขู่ๆไปก่อน ฉันยังไม่พูดสรุปเลย ทุบตีให้สลบแล้วมัดไว้ จากนั้นก็แจ้งเบื้องบนมารับตัวไป”
“ก็ถูก ต้องสนุกกับพวกนี้ก่อน อย่างไรก็ดึกขนาดนี้แล้ว พวกเราเดินต่อไม่ไหวหรอก ก็พักในภูเขาหิมะนี้สักหน่อยเถอะ”
“เป็นเพราะเหตุผลนี้แหละ”
ต้วนอีเหยารู้ว่าพวกพี่น้องลงมือหนัก เกรงว่าจะตามขึ้นมาจริงๆ จึงค่อยๆพูดว่า “เอาล่ะ พอ เก็บแรงไว้”
หัวหน้า เช่นนี้จะปล่อยพวกเขาไปหรอ?” จูเชวี่ยไม่สบายใจ สองสามวันจับได้สี่คนไม่ง่ายเลย
“ใครบอกว่าจะปล่อยพวกเขาไปล่ะ?” ต้วนอีเหยายิ้มแล้วขยับตาให้ชิงหลง
ชิงหลงรู้ใจ เหน็บปืนไว้ที่เอว “คืนที่ยาวนาน เราค่อยๆสนุกกับพวกมัน จะรีบร้อนไปทำไม?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่ใช่ ค่อยๆสนุก” พวกพี่น้องทุกคนหัวเราะกันใหญ่
คนสติแตกทั้งสามมองพวกเขาด้วยความหวาดกลัว ขยับๆถอยหลังอยู่บนพื้นไม่หยุด “พวกมึง……พวกมึงคิดจะทำอะไร?”
ชิงหลงตั้งท่าต่อสู้ “น่าสนุก ฉันเห็นลูกพี่คนนี้รูปร่างหน้าตาไม่เลว งั้นเริ่มที่เขาก่อนเลย”
ชายคนนั้นถูกชิงหลงจัดการจนหน้าเขียวไปหมด “ลูกผู้ชายฆ่าได้แต่หยามไม่ได้! พวกมึง……พวกมึงยังคงเป็นทหารของประเทศจีน จะทำเรื่องน่าละอายแบบนี้ได้ยังไง”
“ห๊ะ มึงเรียนภาษาจีนด้วยหรอ ถึงได้รู้สุภาษิตของพวกกู” ชิงหลงพูดถากถางเขา “มา พวกพี่น้องลงมือเลย”
จากนั้น ในสายตาของชาวต่างชาติคนนี้ทั้งหวาดกลัวและงุนงง ทั้งสองคนรีบถอดรองเท้าของเขา แล้วก็ม้วนถุงเท้าจนกลมแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา
ชาวต่างชาติคนนั้นยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ แค่รู้สึกจั๊กจี้ที่ฝ่าเท้า หัวเราะฮ่าฮ่าฮ่า ถุงเท้าเหม็นๆถูกกลืนเข้าไปในปาก สะอิดสะเอียนอยากจะอ้วก
“อื้ออื้ออื้อ……อื้อ……”
ชิงหลงหยิบลูกบอลนุ่มๆออกมาจากไหนไม่รู้แล้วโยนให้เพื่อนทหาร เวลานี้ ชาวต่างชาติคนนั้นก็ยิ่งทรมานมากขึ้น อยากจะหลีกเลี่ยงการจั๊กจี้ แต่ขาถูกมัดไว้ เดิมทีก็ไม่มีแรงอยู่แล้วอีกทั้งยังถูกคนกดไว้ คนทั้งคนนอนบิดตัวขดอยู่บนพื้นที่เย็นเป็นน้ำแข็ง ในใจคิดแต่อยากจะตาย
แม่งเอ้ย นี่ทรมานยิ่งกว่าเขาถูกทุบตีเสียอีก
นอกจากนี้สองคนข้างๆเห็นก็อกสั่นขวัญแขวน รู้สึกจั๊กจี้เช่นนั้นเหมือนถูกเกาอยู่บนตัวเอง
“หยุด”
ต้วนอีเหยาเดินไปตรงหน้าชาวต่างชาติ ดึงถุงเท้าออกมาแล้วพูดว่า “มีอะไรอยากจะพูดไหม?”
“ไม่พูด” คนคนนั้นหอบแฮ่กๆ น้ำตาไหลพราก
ต้วนอีเหยาก็ยัดถุงเท้าเข้าไปในปากต่อ “ทำต่อเลย”
ผ่านไปไม่กี่นาที ในที่สุดคนๆนั้นก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป พูดอู้ๆอี้ๆใส่ต้วนอีเหยา
“อยากพูดแล้วใช่ไหม?” ต้วนอีเหยาถาม
เขาพยักหน้าอย่างสุดๆ
“ชิงหลง พาเขาออกไป แล้วถามให้ชัดเจน”
“โอเค” ชิงหลงจับคอเสื้อของชายคนนั้นแล้วลากเขาออกไป เนื่องจากพื้นเต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ไม่สามารถใช้แรงมากๆได้
ต้วนอีเหยาเดินไปตรงหน้าสองคนที่เหลือ “จะพูดหรือไม่พูด?”
ทั้งสองมองหน้ากัน พูดอย่างโมโหๆว่า “พวกกูจะไม่ทรยศเพื่อขัดขวางยับยั้ง”
“ได้ เอาเข้าเครื่องทรมาน” ต้วนอีเหยาไม่พูดเรื่องไร้สาระกับพวกเขา
……
เป็นธรรมดา อีกครึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนก็ยอมแพ้
หลังจากไต่สวนรายบุคคลแล้ว เปรียบเทียบเส้นทางที่ทั้งสามคนกล่าว เหมือนกันทั้งหมด
“เอาล่ะ แจ้งให้เบื้องบนทราบ ให้พวกเขามารับตัวไป”
“ครับ หัวหน้า”
มีทิศทางแล้ว ต้วนอีเหยากับพวกเพื่อนทหารก็ไม่ต้องหาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป ความเร็วของพวกเขาก็จะเร็วขึ้นมาก
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเมืองA
เย่จิงเหยียนมักจะคิดถึงต้วนอีเหยาในงานยุ่งๆของเขา เธอจากไปเจ็ดวันแล้ว แต่ไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย เขาอยากจะไปไต่ถามข่าวคราวเล็กน้อยแต่ไม่รู้จะไปที่ไหน
เลขาฯหวังเคาะประตูแล้วเข้ามา “ประธานเย่ เย็นนี้มีงานเลี้ยงธุรกิจเชิญให้คุณเข้าร่วม”
“บริษัทไหนเป็นเจ้าภาพ?” เย่จิงเหยียนวางมือถือ บนหน้าจอคือภาพของหญิงสาวที่มองย้อนกลับไปที่หน้ากระจก
“EE-Media”
“รู้แล้ว รับมาเถอะ”
เมื่อเลขฯหวังเดินไปถึงหน้าประตู ก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “ประธานเย่ คุณต้องการผู้หญิงไปเป็นเพื่อนไหม?”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
“คาดว่างานเลี้ยงอาจจะมีการเต้นรำ”
“รู้แล้ว ฉันจะพาน้องสาวของฉันไป” เย่จิงเหยียนอยู่ทางด้านนี้ยังคงให้ความสำคัญอย่างมาก
เลขาฯหวังยิ้มเล็กน้อย “รองประธานเย่เหมาะสมที่สุดเสมอ”
“คุณไปเถอะ ส่งชุดไปให้เธอ ตอนนี้เธอน่าจะอยู่ที่ร้านขนมหวาน” เย่จิงเหยียนกลับมาให้ความสำคัญกับงาน
“ครับ ประธานเย่”
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เลขาฯหวังก็ขมวดคิ้วเข้ามาอีกครั้ง “ประธานเย่ รองประธานเย่ไม่อยู่ในร้าน ฉันโทรไปแล้ว เธอบอกว่าตอนเย็นมีธุระ ไม่เป็นเพื่อนคุณไม่ได้”
เย่จิงเหยียนโยนเม้าส์ในมือลง นิ้วมือคลึงๆดวงตาที่เมื่อยล้า “อย่างนั้นหรอ งั้นช่างเถอะ ฉันไปคนเดียวก็ได้”
เลขาฯหวังพูดด้วยความลังเลใจเล็กน้อยว่า “ต้องการให้เลขาฯไปเป็นเพื่อนคุณไหม?”
เย่จิงเหยียนสีหน้าเย็นชา กล่าวปฏิเสธอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่ต้อง”
“เข้าใจแล้ว” เลขาฯหวังออกจากห้องไป พูดในใจว่า ดูท่าแล้วประธานเย่ไม่ได้มีความคิดอะไรกับจ้าวเสวียน ภายหลังงานราชงานหลวงของเขา ก็จะหลีกเลี่ยงที่จะเอาตนเองเข้าไป
เวลาสองทุ่ม เย่จิงเหยียนปรากฏตัวในชุดสูทและรองเท้าหนังที่ทางเข้าโรงแรมที่จัดงานเลี้ยง ด้านหน้ามีสาวสวยคนหนึ่งเดินอรชรอ้อนแอ้นมา เดรสสีชมพูอ่อน เผยให้เห็นไหล่และขาเรียวยาว เท้าใส่รองเท้าส้นสูงสีเงินที่ทั้งเล็กทั้งสูง
ผู้หญิงเหล่านี้ยอมทุกอย่างเพื่อความงามจริงๆ อากาศเย็นขนาดนี้ยังใส่น้อยชิ้นแบบนี้ อีเหยาของตนเอง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเปิดเผย แต่งตัวมิดชิดกว่าใครๆ
เมื่อผ่านข้างๆสาวสวย จู่ๆเท้าสาวสวยก็พลิกเล็กน้อย ล้มมายังเย่จิงเหยียนอย่างสวยงาม แทบจะเป็นการกระทำโดยจิตสำนึก เย่จิงเหยียนประคองเธอ สาวสวยโผเข้าหาร่างของเขา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงลอยเข้าจมูก เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว
เขาไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมแบบนี้ หรือสามารถพูดได้ว่า เขาไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมใดๆเลย เพราะต้วนอีเหยาไม่ฉีดน้ำหอม
สาวสวยตกใจจนหน้าถอดสี รีบยืนตรงจากในอ้อมกอดเขาทันที ก้มหน้าพูดว่า “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” น้ำเสียงเย่จิงเหยียนเยือกเย็นมาก
สาวสวยเงยหน้าขึ้น ในสายตามองอย่างเซอร์ไพรส์ ยิ้มนุ่มนวลและงดงามเป็นพิเศษ ที่แท้ก็คือประธานเย่ เมื่อกี้ต้องขอบคุณจริงๆนะคะ”
เย่จิงเหยียนพยักหน้าไปยังเธอ แล้วก้าวเท้าเดินไปยังงานเลี้ยงต่อไป
สาวสวยมองภาพด้านหลังของเขาอย่างหลงใหล มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ตัวจริงหล่อกว่าในรูปภาพไม่รู้เท่าไร อีกทั้งความมีเสน่ห์ล้ำค่านี้ ไม่ใช่ลูกคนรวยเหล่านั้นจะสามารถเทียบได้
พอเย่จิงเหยียนก้าวเข้าไปในงานเลี้ยง ก็ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย
เขาอายุเจ็ดขวบก็ได้ควบคุมอำนาจของเย่ฮวาง เรียกได้ว่าเป็นตำนานหนุ่มที่มีความสามารถมากที่สุดและฮอตที่สุดในเมืองA อีกทั้งได้ยินว่าไม่มีแฟน กลายเป็นบุคคลที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นลูกเขยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของครอบครัวที่ร่ำรวยทุกคนไปโดยธรรมชาติ
“ประธานเย่ เป็นเกียรติที่มา ทำให้ที่นี่มีชีวิตชีวาขึ้นมาในชั่วพริบตา” ประธานของEE-Mediaเข้ามาต้อนรับด้วยตนเอง จับมือของเขาอย่างกระตือรือร้น
“ประธานเฉินเกรงใจไปแล้ว” เย่จิงเหยียนพูดอย่างสุภาพ หลังจากนั้นก็ปล่อยมือ
“เห็นประธานเย่แล้วทำให้คนปลงจริงๆ ร่วงโรยไปตามกาลเวลา” ประธานเฉินเดินพาเขาเข้าด้านในไปพลาง ทอดถอนใจไปพลาง
เย่จิงเหยียนยิ้ม “ประธานเฉินล้อเล่นแล้ว คุณยังดูหนุ่มอยู่เลย”
ประธานเฉินหวนรำลึกถึงอดีต “ที่ไหนกัน นึกถึงปีนั้นที่ฉันพบคุณครั้งแรก คุณเพิ่งจะเรียนมัธยม ชั่วพริบตาเดียวก็เข้ามาควบคุมเย่ฮวางแล้ว อิจฉาฉ่าวเฉินจริงๆ ได้ลูกชายดีๆแบบนี้”
“คุณชายเฉินก็ไม่เลวเลยนะ ได้ยินมาว่าลงทุนทำหนังเรื่องหนึ่ง เต็มไปด้วยผลกำไร”
“ฮ่าๆๆ เจ้าหมอนั่นก็ชอบทำแล้วทำเล่า”
คนทั้งสองเดินพูดไปยิ้มไปเข้ามายังใจกลางงานเลี้ยง สาวสวยในชุดราตรีสีขาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ดวงตาสวยงามมาก ยิ้มขึ้นมาประหนึ่งพระจันทร์เสี้ยว “คุณลุง”
“เสี่ยวอิ่ง นี่คือประธานเย่จิงเหยียนของเย่ฮวางกรุ๊ป ประธานเย่ นี่คือหลานสาวของฉัน”
“สวัสดีครับ” รอยยิ้มของเย่จิงเหยียนจางอย่างมาก
“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวอิ่งพูดอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ประธานเย่เก่งมาก อายุน้อยก็สามารถบริหารจัดการบริษัทใหญ่ขนาดนั้น พ่อของฉันและลุงของฉันชื่นชมคุณตลอด”
“ชมเกินไปแล้ว” เย่จิงเหยียนยิ้มเจื่อนๆโค้งคำนับ
จุดประสงค์ของประธานเฉินสำเร็จ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกคุณทั้งสองคุยกันไปก่อนนะ ฉันจะไปทักทายแขก”
“เชิญประธานเฉินตามสบาย”
“เสี่ยวอิ่ง ดูแลประธานเย่ให้ดีๆนะ”
“ฉันรู้แล้วคุณลุง”
เย่จิงเหยียนมองคนทั้งสอง ในใจก็ยิ้มอย่างจนปัญญา เขามาที่นี่ เดิมทีก็คืออยากจะคบค้าสมาคมคนในแวดวงธุรกิจสักเล็กน้อย ถึงอย่างไรเขาก็ยังหนุ่มเกินไป รายชื่อการติดต่อล้วนมาจากพ่อ ดังนั้นเขาอยากจะรู้จักคนจำนวนมาก คาดไม่ถึงว่าเจ้าของบ้านจะเชิญเขามาด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์
เสี่ยวอิ่งหยิบไวน์แดงแก้วหนึ่งแทนเขา “ประธานเย่ นี่เป็นไวน์ที่ดีที่คุณลุงเก็บมานานหลายปี คุณลองดื่มดู”
เย่จิงเหยียนหยิบมา “ขอบคุณครับ”
“ปกติประธานเย่ชอบทำอะไรล่ะ?” เสี่ยวอิ่งเริ่มหาหัวข้อสนทนา
“โดยทั่วไปก็เป็นงานทั้งนั้น”
“นอกเหนือจากงานล่ะ? อย่างเช่นตีกอล์ฟ ปีนเขา ว่ายน้ำต่างๆ”
จู่ๆเย่จิงเหยียนก็นึกถึงใครบางคน มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่น “ฉันชอบทำอาหาร”
ดวงตาเสี่ยวอิ่งเป็นประกายในชั่วพริบตา “คาดไม่ถึงว่าประธานเย่ทำอาหารเป็นด้วย?”
“ทำอาหารเป็นแปลกหรอ?” เย่จิงเหยียนถามกลับ
เสี่ยวอิ่งรีบพูดว่า “ไม่ๆ คือคิดว่า ฐานะของคุณแบบนี้ทำไมต้องไปทำอาหารอาหารด้วยล่ะ?”
“ฉันก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง” เย่จิงเหยียนพูดจบอย่างนิ่งๆ ในที่สุดฉันก็เห็นหุ้นส่วนที่เคยพบในธุรกิจ พูดกับเด็กผู้หญิงว่า “ขอโทษนะ ฉันขอตัวก่อน”
ไม่รอให้เสี่ยวอิ่งเอ่ยปาก เย่จิงเหยียนก็วางแก้วไวน์แดงลงและเดินผ่านข้างๆเธอไปอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำ เย่จิงเหยียนก็ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งหลงใหล
โอ้มายก็อด ทำอาหารเป็น ช่างเป็นผู้ชายที่อบอุ่นเหลือเกิน ชอบมาก
“ไฮ ประธานไป๋ ไม่เจอกันนาน” เย่จิงเหยียนกล่าวทักทายเสียงดัง
“นี่ใช่ประธานเย่ไหม?”
สลัดผู้หญิงที่รายล้อมได้แล้ว เย่จิงเหยียนก็สบายอกสบายใจอย่างมาก ด้วยเหตุนี้งานเลี้ยงคืนนี้ เย่จิงเหยียนล้วนอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ร่วมทำธุรกิจด้วยกัน มีเด็กผู้หญิงมาเชิญเต้นรำ เขาก็พูดขอบคุณอย่างสุภาพแล้วก็กล่าวปฏิเสธไป
ประธานไป๋พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ฉันเห็นว่าคุณควรออกไปเต้นรำสักเพลงเถอะ ประธานกับฉันนั่งอยู่ด้วยกัน ฉันจะถูกผู้หญิงเหล่านั้นมองเป็นตะแกรง”
เย่จิงเหยียนถอนหายใจ “ฉันอยากอยู่อย่างสงบๆ ไม่ได้เลยหรอ?”
“เถอะน่า คุณมาที่นี่ยังสงบได้อีกหรอ?” ประธานไป๋นำแก้วเหล้าในมือของเขาวางลง “ต่อไปสาวสวยคนไหนมาชวนคุณเต้นรำ คุณก็ออกไปคบค้าสมาคมหน่อย โยกย้ายพลังโจมตีในร่างกายฉันสักเล็กน้อย”
เย่จิงเหยียนยิ้มเจื่อนๆ “ฉันยังมีตัวเลือกอื่นไหม?”
“ไม่มี”
วางแก้วเหล้าลงไม่ถึงหนึ่งนาที ก็มีสาวสวยชุดเดรสชมพูท่านหนึ่งเข้ามาชวนเต้นรำจริงๆ เย่จิงเหยียนเก็บขายาวๆ ยืนขึ้นมา
ในใจสาวสวยดีใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับเธอ? อีกทั้งยังปฏิเสธลูกสาวตระกูลที่มีชื่อเสียงไปหลายคนมาก
เย่จิงเหยียนจูงมือสาวสวยก้าวเข้าฟลอร์เต้นรำ ก็สังเกตเห็นถึงสายตาที่มองเข้ามาอย่างนับไม่ถ้วน ชื่นชม อิจฉา มีทั้งหมด เพลงขึ้น เย่จิงเหยียนก็จับที่เอวเล็กบางของสาวสวย สายตาเรียบเฉยอย่างมาก ในใจไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
สาวสวยใช้โอกาสที่ดีมากแบบนี้พูดว่า “เมื่อกี้ต้องขอบคุณประธานเย่อย่างมาก”
เย่จิงเหยียนงุนงง เป็นครั้งแรกที่สายตามองไปยังสาวสวย
“ประธานเย่ลืมแล้วหรอ? ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม ฉันเกือบจะล้มที่ประตูทางเข้า คือคุณที่ช่วยประคองฉันไว้” สาวสวยเงยหน้ามองเขา ในสายตาเก็บความชื่นชอบเอาไว้ไม่อยู่
เย่จิงเหยียนเพิ่งนึกออก ยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดว่า “อ้อ ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“สำหรับประธานเย่แล้วเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับฉันไม่ใช่ ประธานเย่ได้โปรดให้เกียรติ ให้ฉันได้เลี้ยงข้าวคุณ”
“ไม่ต้อง ฉันอาจจะไม่มีเวลา” เย่จิงเหยียนปฏิเสธโดยตรง
สาวสวยยิ้มอย่างฉอเลาะ ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความออดอ้อน “งานยุ่งก็ต้องทานข้าวนะ ประธานเย่ไว้หน้าฉันสักหน่อยสิ”
“ต้องขอโทษด้วยครับ ช่วงนี้งานยุ่งมาก ไม่มีเวลาจริงๆ”
เย่จิงเหยียนปฏิเสธซึ่งหน้าเช่นนี้ สาวสวยก็ไม่กล้าดึงดันอีก เธอกลัวว่าเย่จิงเหยียนจะโกรธและจากไปโดยตรง อย่างนั้นเธอก็จะขายหน้ามาก
เพียงแค่เขาไม่ยินยอม เธอก็มีวิธีที่จะนั่งโต๊ะเดียวกันทานข้าวกับเขา
“งั้นฉันก็ทำได้เพียงแสดงการขอบคุณด้วยวาจาเท่านั้น” สาวสวยพูดอย่างเสียดาย
เย่จิงเหยียนไม่ได้รับคำ ต้องการแค่เต้นเพลงนี้จบก็จะรีบออกไป กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาอยากที่จะจาม
พอเพลงเต้นรำจบ เย่จิงเหยียนก็ปล่อยมือของเธอ โค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความสุภาพ หลังจากนั้นก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
วิธีของประธานไป๋ได้ผลอย่างมาก หลังจากที่เย่จิงเหยียนออกไปเต้นรำกับสาวสวยคนนั้น ความแค้นจากผู้หญิงจำนวนมากได้โยกย้ายไปยังเธอ และหลังจากที่เย่จิงเหยียนนั่งลงก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาอีก จนกระทั่งงานเลี้ยงจบสิ้น
กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่จิงเหยียนนำเสื้อสูทและเสื้อเชิ้ตโยนลงบนพื้น ด้านบนทั้งหมดคือกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนนั้น
พูดแล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญ
วันที่สอง เย่จิงเหยียนไปทานอาหารกลางวันคนเดียวที่ร้านอาหารใกล้ ก็บังเอิญพบกับเธอ
“ดูแล้วพระเจ้าจะให้โอกาสฉันได้เลี้ยงข้างประธานเย่นะ” สาวสวยพูดอย่างมีความสุข ชี้ไปยังที่นั่งตรงข้าวเขาแล้วพูดว่า “ประธานเย่ ฉันนั่งตรงนี้ได้ไหมคะ?”
เย่จิงเหยียนอยากจะบอกว่าไม่ได้มาก แต่การเลี้ยวดูมาตั้งแต่เด็กทำให้เขาต้องเก็บคำพูดนี้
“ตามสบายครับ”
สาวสวยสักอาหารที่เหมือนกับเขาชุดหนึ่ง ยิ้มแล้วกล่าวอธิบายว่า “บังเอิญจริงๆเลย พอดีวันนี้ฉันมีถ่ายนิตยสารในระแวกนี้ คาดไม่ถึงว่าจะได้พบประธานเย่”
เย่จิงเหยียนสนใจทานข้าวในจานของตนเอง ไม่ได้ตอบรับคำพูดของเธอ
สาวสวยไม่รู้สึกเขินอายเลยแม้แต่น้อย พูดต่อไปว่า “ประธานเย่ชอบทานอาหารที่เผ็ดหน่อยหรอ?” เพราะประธานเย่สั่งหัวปลานึ่งราดพริกที่หนึ่ง เต้าหู้ผัดซอสเสฉวนที่หนึ่ง แล้วก็หม่าล่าผัดแห้งอีกที่หนึ่ง เพียงได้กลิ่นก็รู้สึกว่ารสชาติเผ็ดอย่างมาก
ในที่สุดบนใบหน้าของเย่จิงเหยียนก็ปรากฎรอยยิ้มออกมา “แฟนของฉันชอบทานเผ็ด ฉันก็ทานตาม”
สีหน้าของสาวสวยนิ่งอึ้งไปสองวินาที หลังจากนั้นก็ยิ้มอย่างนิ่มนวลแล้วกล่าวว่า “ประธานเย่มีแฟนแล้วหรอ?”
“แน่นอน” ถึงแม้ว่าเขาจะป่าวประกาศอยู่ฝ่ายเดียว
มือของสาวสวยถูกกำจนกลายเป็นหมัดอยู่ใต้โต๊ะ “แฟนของประธานเย่ต้องสวยมากแน่นอนเลย ไม่รู้ว่าเป็นใครกัน? ไม่รู้จะโชคดีพอที่จะได้รู้จักสักหน่อยไหม!”