เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ตอบกลับมาในทันที เขาถามตะกุกตะกัก “จะบอกว่าคุณผู้หญิงโดนลอบทำร้ายหรอ”
“ครับ โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ”
“พระเจ้า แต่ตอนที่ฉันดูข่าว ตอนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ”
ทหารต้วนอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข่าวถูกปิด ทุกอย่างที่พวกคุณเห็นถูกตัดต่อหมดแล้ว และฆาตกรก็ใช้ปืนสไนเปอร์ไร้เสียงคุณภาพสูง นอกจากคนที่ถูกยิงแล้ว คนอื่นไม่มีทางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อย่างนี้นี่เอง ตอนนี้การผ่าตัดเป็นยังไงบ้าง” เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงลูกชายขึ้นมา
“ทั้งคู่กำลังอยู่ในการรักษา ทั้งสองคนสบายใจได้ หมอจะพยายามรักษาอย่างเต็มที่”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รู้สึกประหม่าและกังวลแบบนี้มานานแล้ว “ผมทราบดี ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ คนที่คุณควรขอบคุณคือเย่จิงเหยียน ถ้าไม่มีเขาวันนี้ คุณผู้หญิงคงไม่สามารถออกมาได้”
มู่เวยเวยไม่พูดจานานมาก เพราะเธอยังตะลึงอยู่ ไม่ว่าเธอจะมีจินตนาการเป็นเลิศขนาดไหน ก็คิดไม่ถึงว่าเย่จิงเหยียนจะทำเรื่องอย่างนี้ได้
ทหารต้วนเตือนเป็นอย่างสุดท้าย “เรื่องนี้ผมเห็นว่าพวกคุณเป็นคนฐานะพิเศษถึงยอมบอก อย่าบอกคนอื่นเด็ดขาด แม้แต่คนสนิทก้ห้ามบอก”
เย่ฉ่าวเฉินรู้ดี เขาจึงพยักหน้า “วางใจได้ พวกเราจะไม่บอกใคร”
“ขอบคุณมากครับ” ทหารต้วนมองใบหน้าซีดเซียวของมู่เวยเวย “พวกคุณไปพักก่อนเถอะครับ เพิ่งผ่าตัดไปได้แค่สามชั่วโมง ผมว่าอีกนานเลยกว่าจะเสร็จ”
“ครับ” เย่ฉ่าวเฉินประคองมู่เวยเวยไปนั่งตรงโซนพักผ่อน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มาค้นหาชื่อของทหารต้วน เมื่อเห็นผลลัพธ์เขาก็อึ้งทันที
พระเจ้า เขาเป็นแม่ทัพภาคC
ลูกชายตกหลุมรักลูกสาวท่านแม่ทัพ อนาคตลูกสะใภ้ไม่ธรรมดาแล้ว
เมื่อพลิกดูประวัติโดยย่อของเขา เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกนับถือเขาขึ้นมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เวยเวยก็ได้สติกลับมา เธอรีบจับแขนสามี และถามอย่างตื่นๆ “ผิงอันทำเจ๋งๆอย่างนั้นจริงๆหรอ”
“ใช่ๆ เบาๆหน่อยคุณ” เย่ฉ่าวเฉินปลอบภรรยาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แต่คุณเป็นแม่ต้องกังวลเรื่องผ่าตัดของลูกสิถึงจะถูก”
มู่เวยเวยพูดอย่างมั่นใจ “ฉันก็เป็นห่วง แต่คนตระกูลมีเก้าชีวิตทั้งนั้น ไม่มีทางเป็นอะไรหรอก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเธอ ทหารต้วนก็หันไปมองเธออย่างแปลกใจถ้าเป็นผู้หญิงปกติตอนนี้คงต้องร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล แต่แม่ของเย่จิงเหยียนแปลกมาก เธอดันพูดแบบนี้ออกมา
เย่ฉ่าวเฉินเข้าใจคำพูดของมู่เวยเวย
ตอนนั้นเขาก้ได้รับบาดเจ็บมามากมาย โดนปืน โดนมีด จมน้ำ ความจำเสื่อม แต่สุดท้ายเขาก็รอดมาได้ สถานการ์ตอนนี้มู่เวยเวยเลยไม่ได้รู้สึกหนักใจ
แน่นอนว่าลูกชายกำลังผ่าตัด มู่เวยเวยก็เป็นห่วงมาก แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกราวกับโลกจะถล่มลงมาตรงหน้า
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มบางๆ “อารมณ์ของคุณดีจริงๆ ถ้าลูกชายฟื้นแล้วได้ยินคุณพูดแบบนี้ ไม่รู้จะดีใจหรือร้องไห้ดี”
“หลายปีมานี้เขาดำเนินชีวิตราบรื่นเกินไป ฉันยังงงเลยว่าพระเจ้าคงจะลืมเขาไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะเริ่ม” มู่เวยเวยลูบมือสามี และพูดอีก “พวกเราต้องเตรียมตัวดี ถึงจะรับมือกับเรื่องร้ายแรงกว่านี้ในอนาคตได้”
“เห็นคุณเป็นแบบนี้ผมก็สบายใจ”
ทหารต้วนพูดไม่ออก ต้องเป็นพ่อแม่แบบไหนกัน ขนาดเขาเป็นทหารเห็นความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน ยังอดเป็นเป็นห่วงลูกสาวไม่ได้ แต่พวกเขากลับมั่นใจมากว่าลูกของตัวเองจะไม่เป็นอะไร
ถ้าอย่างนั้นจะบอกพวกเขาดีมั้ยว่าเมื่อกี้หมอออกมาบอกว่า เย่จิงเหยียนอยู่ในขีดอันตราย เขาจึงโทรตามทั้งคู่มา
เขาคิดๆดูแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจไป เขากำลังทำการผ่าตัดอยู่ พูดอย่างนั้นคงไม่เหมาะสม
ทุกคนรอการผ่าตัดอย่างเบื่อหน่าย เย่ฉ่าวเฉินอยากเอาใจพ่อตาช่วยลูกชาย เขาจึงเดินไปคุยกับทหารต้วน “คุณต้วนครับ ผมว่าคุณก็น่าจะรู้ความสัมพันธ์ของเด็กสองคนแล้ว ไม่ทราบว่าคุณมีความเห็นยังไงบ้าง”
ใบหน้าเย็นชาของทหารต้วน เผยความอ่อนโยนออกมา “ผมเคารพการตัดสินใจของลูกมาตลอด ถ้าเธอชอบผมก็ไม่ขัด”
“โอ้ บังเอิญจริงๆ ผมก็คิดแบบเดียวกับคุณเลย” เย่ฉ่าวเฉินสบายใจมาก เขาพูดยิ้มๆ “ในฐานะพ่ออย่างพวกเราสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็คือ ให้ลูกปลอดภัย แข็งแรง ทางเดินข้างหน้าเป็นทางที่พวกเขาต้องเดินไปเอง พวกเราทำได้แค่เตือนและชี้แนะ เพราะยังไงมันก็เป็นเรื่องของพวกเขา”
“ถูก ผมก็คิดแบบนั้น”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างพอใจ แต่สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด เขาก็คิดกับลูกสาวของเขาอย่างนี้จริงๆ ถ้าเย่ชูวเสวียได้บิยเช้าคงนั่งร้องไห้เป็นแน่
ทั้งสองคุยกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเมืองAในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเรื่องอื่นๆไปเรื่อย ทำให้บรรยากาสไม่อึดอัดอีกต่อไปแล้ว
เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงกลางคืน เย่ชูวเสวียกลับมาบ้านแล้วไม่เห็นใครอยู่สักคน เธอจึงขับรถออกมาจากบ้านพลางโทรหาแม่ไปด้วย
“โรงพยาบาลหรอ หนูจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ยังไม่ทันที่มู่เวยเวยจะบอกว่าไม่ต้องมา เธอก็วางสายไปก่อน หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เย่ชูวเสวียก็วิ่งมาด้วยความรีบร้อน “พ่อแม่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชาย ทำไมถึงมาอยู่โรงพยาบาล”
“ตอนบ่ายเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เย่ชูวเสวียกวาดตาไปมองรอบๆ ก่อนจะเห็นคนคุ้นเคย “อ้าว คุณก็อยู่ที่นี่หรอ พี่สาวได้รับบาดเจ็บด้วยหรอคะ”
ชิงหลงรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้า
“ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ ยังไม่เรียกว่าเรื่องใหญ่อีกหรอคะ” เย่ชูวเสวียแปลกใจมาก เธอมองชายวัยกลางคนที่ใส่ชุดทหาร ใบหน้าคล้ายกับต้วนอีเหยามาก จากนั้นเธอก็รู้ทันทีว่าเขาคือใคร ดังนั้นเธอจึงถามอย่างมีมารยาท “คุณอาท่านนี้คือพ่อของพี่สาวใช่มั้ยคะ”
ชายกลางคนได้ยินเธอเรียกลูกสาวเขาว่าพี่สาว เขาก็รู้สึกดีกับเด็กใบหน้าสะสวยคนนี้มาก “ใช่ อาเป็นพ่อของอีเหยา”
เย่ชูวเสวียโค้งคำนับ “สวัสดีค่ะคุณอา หนูเป็นน้องสาวของเย่จิงเหยียน ชื่อเย่ชูวเสวียค่ะ”
“สวัสดี”
ทันใดนั้นประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก ทุกคนต่างกรูกันเข้าไปหาหมอ หมอบอกว่า “การผ่าตัดของต้วนอีเหยาเรียบร้อยดีครับ ประสบความสำเร็จดีมาก คนไข้ถูกส่งไปดุอาการต่อที่ห้องICU ชั้นหกแล้ว”
“ขอบคุณครับ อีกคนล่ะ”
“อีกคนยังทำการผ่าตัดอยู่ คนไข้ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส กระสุนอยู่ใกล้หัวใจแค่นิดเดียว และมีอาการเสียเลือดมาก หมอกำลังช่วยอยู่ครับ”
ทหารต้วนพุดด้วยความจริงใจ “รบกวนด้วยนะครับ”
หมอพยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าห้องผ่าตัดไป
ตอนนั้นมู่เวยเวยถึงเพิ่งเริ่มกังวลขึ้นมาจนมือสั่นไปหมด
ทหารต้วนมองเธออย่างรีบร้อน “พวกคุณเชิญไปนั่งก่อนเถอะครับ ผมจะไปดูอีเหยาก่อน”
“รีบไปเถอะค่ะ”
เมื่อทุกคนไปแล้ว เย่ฉ่าวเฉินถึงเพิ่งรู้ว่ามือภรรยาเย็นมาก จึงถามอย่างเป็นห่วง “กลัวหรอ เมื่อกี้คุณเพิ่งพูดไปเองไม่ใช่หรอ บ้านตระกูลเย่มีเก้าชีวิตกันทั้งนั้น ผิงอันก็ปลอดภัยเหมือนชื่อของเขานั่นแหละ”
มู่เวยเวยซบอกสามี พูดอย่างประหม่า “แต่ถ้าเกิด…”
“แม่ สบายใจเถอะ มันจะไม่มีถ้าเกิดอะไรทั้งนั้น” เย่ชูวเสวียปลอบ “พี่ชายต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน เขารักครอบครัว รักพี่สาวขนาดนั้น เขาไม่ทางเป็นอะไรแน่”
“ขอให้เป็นอย่างนั้น”
ห้องไอซียูชั้นล่าง ต้วนอีเหยานอนบนเตียงเงียบๆ ใบหน้าของเธอครอบหน้ากากออกซิเจนอยู่ ร่างกายก็เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ข้างๆมีเครื่องวัดชีพจรและความดันของเธออยู่
“ทางเจ้าหน้าที่ได้ข่าวยังไงบ้าง” ทหารต้วนถามบอดี้การ์ดข้างๆ
“ยังไม่ได้อะไรเลยครับ”
ทหารต้วนด่าเสียงต่ำ “ไร้ประโยชน์”
ชิงหลงก้มหน้าลง จริงๆเขาจับคนได้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำสารภาพ แถมเจ้าหน้าที่ก็ทำงานสะเพร่า เหมือนว่าจะจับทุกคนที่ดูน่าสงสัยมาจนหมด
“ท่านยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เที่ยง อยากกินอะไรครับ ผมจะไปซื้อมาให้”
“ไม่ต้อง ฉันไม่หิว”
บอดี้การ์ดถอนหายใจ มีแต่คนบอกว่าท่านเข้มงวดกับลูกสาว จะมีใครรู้บ้างว่าที่จริงแล้วคนที่เป็นห่วงลูกสาวมากที่สุดก็คือเขาเอง
หมอที่ทำการผ่าตัดต้วนอีเหยาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกมา “ท่านควรไปพักผ่อนนะครับ คนไข้จะฟื้นพรุ่งนี้”
“ตอนนี้อาการเธอเป็นยังไงบ้าง” ทหารต้วนถามอย่างเป็นห่วง
หมอบอก “การผ่าตัดประสบความสำเร็จมาก ตอนที่เธอขึ้นรถพยาบาลมา แผลของเธอถูกปิดอย่างดีทำให้ไม่เสียเลือดมาก กระสุนก็ไม่ได้เข้าตแหน่งสำคัญ ดังนั้นเลยไม่มีปัญหาใหญ่อะไร”
ทหารต้วนแปลกใจ “เธอได้รับการพันแผลมาก่อนหรอ”
“ครับ ใช้ชายเสื้อพัน และผมได้ยินพยาบาลพูดกันว่า ตอนที่นำเธอมาขึ้นรถ เย่จิงเหยียนใช้มือข้างหนึ่งปิดแผลให้เธอตลอดทั้งสภาพสะลืมสะลือ….”
เมื่อทหารต้วนได้ฟังคำพูดของหมอ เขาก็รู้สึกดีกับเย่จิงเหยียนมากขึ้นไปอีก ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะรักลูกสาวเขาด้วยใจจริง ถ้าครั้งนี้เขามีชีวิตรอดมาได้ เขาจะไม่ยุ่งกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่อีก
นอกห้องผ่าตัด เย่ฉ่าวเฉินและคนอื่นๆกำลังรอคอยอย่างกังวลใจ จ้าวเสวียนที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่ก็กำลังรออยู่เช่นกัน
ห้าทุ่มแล้ว แต่เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยก็ยังไม่กลับบ้าน จ้าวเสวียนจึงคิดว่าตัวเองควรจะโทรไปแสดงความเป็นห่วงหน่อยมั้ย
เมื่อคิดอยู่ครู่ใหญ่ เธอก็โทรเข้าเบอร์มู่เวยเวย
“จ้าวเสวียนเธอนอนก่อนเลย พวกเรามีธุระ วันนี้ไม่กลับ”
“โอเคค่ะ ต้องหารให้ฉันช่วยอะไรมั้ยคะ”
“ไม่ต้อง”
ปลายสายตัดไปทันทีโดยไม่พูดอะไรต่อ จ้าวเสวียนข่มอารมณ์โกรธ มู่เวยเวยไม่พูดอะไรกับเธอสักนิด ตอนนี้เธอดูเป็นคนนอกของคนในบ้านหลังนี้
เย่ชูวเสวียถอนหายใจยาวๆ “แต่ตามตำนานเขาว่าชักศึกเข้าบ้านง่ายกว่าไล่ออกไป เราจะไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไปยังไง”
มู่เวยเวยก็ลำบากใจเช่นกัน “แต่จ้าวเสวียนท้อง เราจะไม่ยุ่งไม่ได้หรอก”
เย่ชูวเสวียยักไหล่ “หนูบอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าเธออยากอุ้มลูกต่อไป เราก็ซื้อบ้านให้ แล้วให้แม่บ้านสองสามคนไปดูแล ทำไมต้องมาอยู่ในบ้านพวกเราด้วย พี่ชายไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยสักนิด แต่เธอต้องการจะเอาลูกมาบังคับให้พี่ชายแต่งงานกับเธอ เรื่องแค่นี้แม่ดูไม่ออกหรอ”
มู่เวยเวยทำอะไรไม่ถูก “แม่รู้ว่าหนูหมายความว่าไง แม่ไม่ใช่ไม่คิด แต่เรื่องของพี่ชายหนูกับต้วนอีเหยาจบลงไปแล้ว และผู้หญิงคนนี้ก็รักพี่ชายของหนู ไม่แน่ถ้ามีลูกด้วยกัน นานมาอาจจะรักกันไปเองก็ได้ แต่ใครจะไปคาดคิดว่า…”
เจ้าผิงอันรักต้วนอีเหยาจนยอมแลกชีวิตด้วย เรื่องนี้มันชักยากขึ้นไปแล้ว
เย่ชูวเสวียถอนหายใจ “พี่ชายชอบพี่สาวมานานขนาดนี้มันตัดกันง่ายๆไม่ได้หรอกค่ะ”
“งั้นจะทำยังไงล่ะ”
เย่ชูวเสวียออกความเห็น “ให้จ้าวเสวียนออกไป”
มู่เวยเวยยังคงปฏิเสธข้อเสนอแนะนี้ “อย่างนั้นจะทำให้บ้านตระกูลเย่ของเราดูไร้น้ำใจเกินไป ไม่เหมาะสม ยังไงเธอก็ตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเรา”
“เห้อ” เยชูวเสวียร้องอย่างหน่ายใจ “แม่ใจดีเกินไป ถ้าแม่ห่วงหน้ามาก หนูจะไปพูดเอง ยังไงหนุก็ดูเป็นตัวร้ายในสายตาเธออยู่แล้ว”
“อย่างงั้นก็ไม่ได้ เธอเพิ่งท้องได้ไม่ถึงสามเดือน มันเสี่ยงแท้งมาก พวกเรารอก่อนเถอะ”
เย่ชูวเสวียมองแม่ตัวเองอย่างพิจารณา “แม่อยากอุ้มหลานใช่มั้ย ถึงได้ปกป้องจ้าวเสวียนขนาดนี้”
“การเป็นแม่คนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหนูมีลูกขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะเข้าใจความรู้สึกของแม่เอง”
เย่ชูวเสวียหมดคำจะเถียง พี่ชายที่น่าสงสารของเธอกับพี่สาวจะได้อยู่ด้วยกันอย่างที่ใจปรารถนามั้ยคงต้องรอดูกันต่อไป
ตอนกลางคืนในฤดูใบไม้ร่วงหนาวมาก การผ่าตัดยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง เย่ชูวเสวียรอไปเรื่อยๆจนผลอยหลับไป
“ทำไมการผ่าตัดยังไม่เสร็จอีก เกิดปัญหาอะไรขึ้นรึเปล่า” มู่เวยเวยเริ่มกังวลมากขึ้น
เย่ฉ่าวเฉินโอบไหล่เธออย่างปลอบโยน “ถ้ามีปัญหาคงไม่ใช้เวลาขนาดนี้หรอก อย่าคิดไปเรื่อย”
เมื่อพูดจบประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออกมาอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยจึงเดินไป “หมอ ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้าง”
สีหน้าของหมอดูเหนื่อยล้ามาก “ครอบครัวของเย่จิงเหยียนใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ พวกเราเอง”
น้ำเสียงของหมอแผ่วเบามาก “การผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้วครับ ถือว่าผ่าตัดได้สำเร็จ แต่จะพ้นขีดอันตรายมั้ยตอนนี้ขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยอย่างเดียวแล้ว”
“เขาอยู่ไหน”
“ถูกส่งไปที่ห้องไอซียูชั้นห้าแล้วครับ แล้วเดี๋ยวหมอจะบอกข้อควรระวังให้อีกทีนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ทุกคนขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นห้า มู่เวยเวยดันประตูเข้าไป แต่ก็ถูกพยาบาลในห้องกันไว้ซะก่อน “ขอโทษด้วยค่ะ ตอนนี้คนไข้ต้องอยู่ในเขตปลอดเชื้อให้มากที่สุด ครอบครัวเข้าไปไม่ได้นะคะ”
“ค่ะ….” มู่เวยเวยพูดขอโทษเสียงเบา จากนั้นก็เดินไปดูเขาผ่านกระจกนอกห้อง เมื่อเห็นลูกชายน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาทันที
ร่างกายของเย่จิงเหยียนเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง ใบหน้าซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษ เขานอนอยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนแรง และไร้ชีวิตชีวา มีเพียงไฟสีแดงและเหลืองข้างๆเท่านั้นที่แสดงว่ายังมีชีวิตอยู่
ตั้งแต่เล็กจนโต มู่เวยเวยไม่เคยเห็นเขาในสภาพนี้มาก่อน ใจแม่อย่างเธอแทบแตกสลาย
เย่ฉ่าวเฉินยังคงสงบอยู่ “ไม่ต้องร้องแล้ว การผ่าตัดของลูกประสบความสำเร็จแล้วไม่ใช่หรอ”
“ฉันแค่เสียใจ เขาทำเพื่อผู้หญิงคนเดียวจนต้องมาอยู่ในสภาพนี้”
เย่ฉ่าวเฉินกระซิบข้างหูเธอ เพื่อไม่ให้ลุกสาวและจางเห่อได้ยิน “ลูกชายไม่ได้ทำเพื่อผู้หญิงคนนั้นคนเดียว ยังทำเผื่อผู้หญิงอีกคนด้วย”
มู่เวยเวยตะลึง ก่อนจะค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา ใช่สิ ทำไมเธอถึงลืมไปได้
ทหารต้วนรู้ว่าวันนี้ตระกูลเย่ไม่กลับบ้าน จึงจัดการห้องในโรงพยาบาลให้พวกเขาสองห้องเพื่อรับรอง
“ตอนนี้คนไข้ยังอยุ่ในขีดอันตราย ถึงการผ่าตัดจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่จะฟื้นมั้ยนั้นบอกได้ยากมาก” หมอเจ้าของไข้พูดอย่างเคร่งขรึม เพราะทำการผ่าตัดมากว่าสิบชั่วโมง ทำให้ตอนนี้ตาของเขาแดงไปหมดแล้ว
เปลือกตาของเย่แ่าวเฉินกระตุก “งั้นพวกเราทำอะไรได้บ้างครับ”
“ช่วง 24 ชั่วโมงนี้พวกคุณทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น หลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว ถ้าอาการของเขายังคงตัว ตอนนั้นพวกคุณถึงจะช่วยได้”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว “ขอบคุณครับหมอ”
คืนนั้นคนตระกูลเย่และตระกูลต้วนนอนไม่หลับกันเลย ทุกคนต่างกังวลเกี่ยวกับคนป่วยทั้งสอง ตอนที่ผ่าตัด ท่านผู้นำก็ได้โทรมาถามอาการแล้ว และบอกว่าถ้าเขาฟื้นให้โทรบอกด้วย
ลมทะเลในเมืองAพัดเข้ามา ก่อนที่วันถัดไปจะมีเมฆครื้ม และมีแนวโน้มว่าฝนจะตก
ตอนเที่ยง ต้วนอีเหยาค่อยๆลืมตาขึ้นมา นั่นจึงทำให้ทหารต้วนวางใจลงมามาก
“เหยาเหยา ตื่นแล้วหรอลูก” ทหารต้วนจับมือลูกสาว ตอนนี้เขาใส่ชุดปลอดเชื้ออยู่
ต้วนอีเหยายังใส่หน้ากากออกวิเจนอยู่ เธอพูดอะไรออกมา ทหารต้วนก็ไม่ได้ยิน แต่เมื่อเห็นท่าทางของลูกสาว เขาก็บอกเสียงเบา “การผ่าตัดของเย่จิงเหยียนประสบความสำเร็จมาก ลูกวางใจเถอะ”
ดวงตาของลูกสาวเป็นประกายขึ้นมา จากนั้นก็ปิดเปลือกตาหลับไปอีกครั้ง
เมื่อหมอได้ยินว่าเธอฟื้นแล้วก้เข้ามาตรวจอย่างละเอียด ก่อนจะบอกทหารต้วน “ผู้นำครับ คนไข้อาการดีขึ้นมาแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ตอนบ่ายก็ฟื้นแล้วครับ แต่เดี๋ยวอาจจะปวดแผลหน่อยนะครับ”
“ทราบแล้วครับ”
เป็นดังที่หมอว่า ประมาณบ่ายสี่โมงต้วนอีเหยาก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หน้ากากออกซิเจนของเธอถูกเปลี่ยนเป็นท่อออกซิเจน แต่ใบหน้าของเธอก็ยังซีดเซียวอยู่
“ฟื้นแล้วหรอคะ” พยาบาลที่ดูแลเธอพูดข้างเธอยิ้มๆ
ต้วนอีเหยากวาดตามองรอบห้องคนไข้ แต่ก็เห็นแค่พยาบาล
พยาบาลเป็นหญิงสาวร่าเริง เธอใช้สำลีเช็ดปากให้ปากของเธอพอมีความชุ่มชื้นเล็กน้อย “ตอนนี้คุณยังดื่มน้ำไม่ได้ ผู้นำไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน ผู้อำนวยการเพิ่งให้เขาไปพักผ่อนเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ”
ต้วนอีเหยามองไปที่เพดานสีขาว ความเจ็บปวดของร่างกายทำให้เธอนึกถึงฉากที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
คนโง่นั่น ถ้าเมื่อวานเธอโดนยิงตาย เธอก็ตายในหน้าที่ แต่เขากลับเป็นฮีโร่มาช่วยเธอไว้ได้ โชคดีที่เขาผ่าตัดได้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นชาติเธอก็ไม่รู้จะชดใช้ให้เขาหมดมั้ย
“โอ้ย” ต้วนอีเหยาร้องด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บไปทุกอนูร่างกาย
พยาบาลรีบวางสำลีลง และถาม “ปวดแผลมากใช่มั้ยคะ หมอบอกว่าหลังยาชาหมดจะเจ็บแผลค่ะ ใช้ยาไม่ได้แลเว คุณต้องอดทนนะคะ”
ต้วนอีเหยาพยักหน้าเบาๆ ถามด้วยเสียงแหบพร่า “คนที่มา..พร้อมฉัน….”
พยาบาลพูด “ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เขาผ่าตัดเสร็จแล้ว แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่าคุณ ตอนนี้เลยยังไม่ฟื้น” เมื่อเธอพูดจบ เธอก็เห็นว่าอัตรการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตในจอมนิเตอร์เพิ่มสูงขึ้น เธอตกใจรีบปลอบว่า “คุณอย่ากังวลนะคะ ตอนนี้เขาไม่ฟื้นเป็นเรื่องปกติมากค่ะ ไม่แน่คืนนี้อาจจะฟื้นก็ได้ค่ะ คุณอย่าตระหนกไป”
จอมอนิเตอร์ค่อยๆกลับมาแสดงค่าปกติ
พยาบาลพูดเสียงอ่อน “ถ้าคุณอยากไปเยี่ยมแฟนคุณเร็วๆ แฟนคุณใช่มั้ยคะ คุณก็ต้องรีบรักษาตัวให้หายไวๆนะคะ”
ดวงตาของต้วนอีเหยาแสดงรอยยิ้มออกมา แฟนหรอ ฟังดูไม่เลวเลย
ข้างนอกฝนเริ่มตั้งเค้า วันนี้เมืองAเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง อย่างแรกคือนายกเทศบาล
รวมทั้งผู้อำนวยการตำรวจถูกปลดเนื่องจากการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้หัวหน้าแผนกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยนี้ยังถูกลดตำแหน่ง และแม้แต่ผู้บัญชาการตำรวจประจำจังหวัดก็ถูกลดตำแหน่งไปสองระดับ
เลขานุการถูกลดระดับลงหนึ่งระดับ และยังมีข้อหาอื่นๆ ได้แก่ การละทิ้งหน้าที่ การคอร์รัปชั่นและการรับสินบนเป็นต้น
คนที่ถูกไล่ออก หรือถูกลดตำแหน่งไม่ได้ว่าอะไร เพราะพวกเขารู้ว่าโชคดีที่ผู้หญิงคนนั้นสบายดี มิฉะนั้นการลงโทษจะรุนแรงมากกว่านี้ และจะมีผู้เกี่ยวข้องเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น
ห้องผู้ป่วยชั้นห้า เย่จิงเหยียนยังไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมา
ดวงตาของมู่เวยเวยเป็นสีแดงก่ำ เพราะเมื่อคืนเธอน่าจะแอบร้องไห้ เมื่อเย่ชูวเสวียเห็นแม่แล้วรู้สึกเสียใจมาก จึงบอกให้แม่กลับบ้านไปพักผ่อน
“พี่ของหนูยังไม่ฟื้น แม่จะกลับไปอย่างสบายใจได้ยังไง” มู่เวยเวยเกาะกระจกดูลูกชายด้วยความเป็นห่วงยิ่งกว่าตอนผ่าตัดเมื่อวานอีก
เย่ชูวเสวียรู้ว่าแม่ของเธอดื้อรั้น จึงไม่ได้ว่าอะไรอีก “งั้นแม่อยากได้อะไรมั้ยคะ หนูจะกลับบ้านไปเอาให้”
“เอาเสื้อผ้ามาไว้ให้แม่เปลี่ยนสองชุด แล้วก็เอาอุปกรณ์ล้างหน้ากับสกินแคร์ด้วย อ้อแล้วก็เสื้อผ้าของพี่ชายหนูด้วย แล้วก็ของพ่อ….”
เย่ชูวเสวียฟังแล้วรู้ทันทีว่าแม่ตั้งใจจะลงหลักปักฐานอยู่ที่โีงพยาบาลอีกนาน แต่ก็ถูกเพราะถ้าพี่ชายตื่นแล้วก็ต้องพักฟื้นอีกพักใหญ่ และแม่ก็คงอยากดูแลด้วยตัวเอง ดีที่โรงพยาบาลทหารไม่ให้ทำอาหารเอง ไม่อย่างนั้นแม่คงย้ายห้องครัวมานี่ด้วย
“รู้แล้วค่ะ งั้นหนูกลับไปเอาของก่อนนะคะ” เย่ชูวเสวียเดินไป และพูดกับจางเห่ออีกว่า “ลุงจางเห่อ เดี๋ยวไปซื้อข้าวให้แม่หน่อยนะคะ ตอนเที่ยงแม่กินข้าวไปนิดเดียว พ่อกำลังไปจัดการบริษัทอยู่ น่าจะมาหลังเลิกงานเย็นๆ”
จางเห่อพยักหน้า “ครับ เรื่องพวกนี้ผมรู้ดี คุณขับรถระวังด้วยนะครับ”
กว่าเย่ชูวเสวียจะขับรถมาถึงบ้านก็มืดแล้ว เธอไปเก็บของห้องพ่อแม่ก่อน ก่อนนั้นก็ได้ยินเสียงจ้าวเสวียนดังขึ้นมา “คุณป้ากลับมาแล้วหรอคะ”
เมื่อเย่ชูวเสวียได้ยินเสียงนี้ก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที เธอจับเสื้อผ้าออกมาจากห้อง เมื่อจางเสวียนเห็นเธอก็อึ้งไป ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ “หรูอี้กลับมาแล้วหรอ”
“หรูอี้มีแค่พ่อแม่ และพี่ชายฉันเท่านั้นที่เรียกได้ เธอเรียกฉันเย่ชูวเสวียเถอะ พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” เย่ชูวเสวียพูดอย่างเย็นชา
สีหน้าของจ้าวเสวียนเปลี่ยนไป แต่รอยยิ้มก็ยังคงอยู่ “ชูวเสวีย ทำไมเธอต้องเกลียดฉันขนาดนั้นด้วย ฉันทำอะไรผิดไปหรอ”
เย่ชูวเสวียพูดอย่างไม่ไว้หน้า “ฉันไม่ชอบหน้าเธอ ไม่มีเหตุผล”
สีหน้าของจ้าวเสวียนดูอึดอัดและเสียใจ ราวกับเป็นผู้หญิงบอบบาง “งั้นฉันต้องทำยังไงเธอถึงจะไม่รังเกียจฉัน”
“ง่ายมาก ออกไปจากบ้านฉันซะ”
จ้าวเสวียนยืนจ้องเธอนิ่ง ในใจโกรธจนแทบระเบิด แต่ก็ยังปั้นหน้ายิ้มต่อไป “ชูวเสวียฉันอุ้มท้องเลือดเนื้อตระกูลเย่อยู่นะ เธอเป็นน้าก็อย่าใจดำนักเลย”
“อาหรอ” เย่ชูวเสวียยิ้มเย็น “อย่าเรียกอย่างนั้นเชียว ฉันบอกแล้วว่าเธอกับฉันไม่เกี่ยวข้องกัน ฉันไม่มีอารมณ์ไปเป็นอาให้ลูกของเธอหรอกนะ” พูดจบเธอก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าต่อ
จ้าวเสวียนกัดฟันมองตามหลังเธอไป จากนั้นเธฮก็เดินจากไปเช่นกัน
เมื่อเย่ชูวเสวียเก็บของเสร็จก็ให้สาวใช้ยกลงมาข้างล่าง จากนั้นมองผ่านจ้าวเสวียนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยไม่พูดอะไร