“ จ้าวเสวียน เธอ……. ”
“คุณน้า ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ” จ้าวเสวียนขัดจังหวะเธอ หันหน้ามาและพูดว่า “ฉันอยากอยู่สงบสติอารมณ์คนเดียว”
มู่เวยเวยทำอะไรไม่ถูก “ ก็ได้ ถ้ายาใกล้หมด เธอตะโกนเรียกสาวใช้ข้างนอกนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เหลือเพียงจ้าวเสวียนในห้องคนเดียว ก็เผยตัวตนที่ชั่วร้ายออกมา คิดๆแล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากด้านข้างและส่งข้อความไปยังเบอร์แปลกๆ
เย่จิงเหยียนเธอทำโหดเหี้ยมมาก อย่าโทษว่าฉันไม่ยุติธรรม ยังมีต้วนอีเหยา ฉันไม่ปล่อยไปแน่
โรงพยาบาลทหาร
ต้วนอีเหยายืนอยู่ที่หน้าต่าง ดูฝนที่ตกลงมาข้างนอกด้วยความกังวล
เธอไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเย่จิงเหยียน แต่เป็นพ่อของเธอที่อยู่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายวัน จนถึงวันนี้ยังไม่มีข่าวสารอะไรแจ้งมาเลย ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังใช้แผนอะไรและพวกเขาจะกำจัดกองกำลังก่อการร้ายพวกนั้นได้ไหม
ในขณะที่กำลังคิด โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบมันขึ้นมาก็ยืดตัวขึ้นทันที เธอรับโทรศัพท์และตะโกนด้วยความเคารพว่า “สวัสดีค่ะคุณนาย”
“ อีเหยา ดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เสียงนุ่มฟของคุณนายดังเข้ามาในโทรศัพท์
“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ”
“ดีขึ้นมากก็ดีแล้ว ฉันเป็นห่วงมาก แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นล่ะ? ฉันได้ยินมาว่าอาการบาดเจ็บสาหัส”
ต้วนอีเหยาตอบอย่าเจ็บใจ “เขาก็ไม่เป็นอะไรแล้วเหมือนกัน”
“งั้นก็ดีแล้ว” คุณนายพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกฉันว่าจะแนะนำใครสักคนให้เธอ แต่ไม่คิดว่าเธอมีคนในใจแล้ว ฉันได้ยินจากผู้นำว่า ผู้ชายคนนั้นไม่เลว อย่าลืมบอกฉันนะถ้ามีงานแต่งแม้ว่าฉันจะไปไม่ได้ แต่จะส่งของขวัญไปแน่นอน ”
ต้วนอีเหยากัดริมฝีปากของเธอและพูดเบาๆ “ขอบเธอค่ะคุณนาย นี่เป็นเกียรติของฉันมาก” เธอไม่รู้ว่าไม่มีวันนี้เกิดขึ้น
“ดูแลตัวเองดีๆนะ ฉันวางสายก่อน”
“ สวัสดีค่ะคุณนาย”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ ต้วนอีเหยาจ้องมองไปที่สายฝนนอกหน้าต่าง หัวใจของเธอก็เหมือนฟองน้ำที่เปียกโชกหนักและอึดอัด
ฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้เมือง A กลายเป็นทะเลสาบ เย่ชวูเสวียเองก็กังวลเรื่องที่บ้าน เธอจึงขับรถกลับบ้านทันทีที่เอากุญแจรถมา
เมื่อครึ่งทาง เซียวอวี้หลินโทรมาคุยกับเธอ พอดีกับที่เธอรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เธอจึงพ่นออกมาเล่าให้เขาฟังทั้งหมด
“เธอไม่ได้กำลังบอกว่าพี่ชายเราสมองตื้อ จะไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นหรอนะ ฉันไม่ชอบเธอจริงๆ เธอเต็มไปด้วยกลิ่นควันของคนชั่วร้าย” เย่ชวูเสวียสวมหูฟังสีฟ้าและน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจ
เซียวอวี้หลินยิ้มและพูดว่า “พี่ชายของฉันจะไม่โง่ขนาดนั้นหรอก เขาไม่ทหารหญิงคนนั้นแล้วหรอ?”
“ชอบแล้วจะทำอะไรได้? จ้าวเสวียนมาเป็นก้านขวางอยู่ไม่ใช่หรอ? ตอนนี้ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ฉันว่าเขากับพี่อีเหยาคง…….โอ้ย ” ในขณะที่กำลังพูด เย่ชวูเสวียเบรกกะทันหัน กระตุกไปข้างหน้า และถูกเข็มขัดนิรภัยดึงกลับมา
เซียวอวี้หลินถามอย่างกังวล “หรูอี้ เธอเป็นอะไร? รถชนหรอ?”
เย่ชวูเสวียมองไปที่ด้านหน้าและพูดอย่างหดหู่ว่า “ไม่ได้ชน ถนนเต็มไปด้วยฝนและล้อหน้าขวาดูเหมือนจะติดอยู่ในท่อระบายน้ำ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เธอกำลังจะไปไหน? ฉันจะไปรับ”
“ไม่ต้อง ฝนตกหนักขนาดนี้ คงใช้เวลากว่าชั่วโมงกว่าเธอจะมาจากบ้าน ฉันนั่งแท็กซี่กลับเอง ไว้ค่อยคุยกันนะ ฉันจะลงไปดูสักหน่อย”
“ระวังด้วยนะ”
“รู้แล้ว ฉันวางก่อนนะ” เย่ชวูเสวียโยนหูฟังออก เปิดไฟคู่หน้ารถ และลงจากรถ กำลังจะไปที่ท้ายรถเพื่อเอาร่ม หยดน้ำจำนวนมากเทลงบนตัวเธอ เย่ชวูเสวีย ได้รับความชุ่มชื้นทั้งตัวในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีพร้อมกับฝนที่ตกหนัก
เย่ชวูเสวียตะโกนใส่รถที่เพิ่งขับผ่านไปมา “ แม่งเอ้ย ขับรถเร็วขนาดนี้รีบไปตายหรือไง” เอาล่ะ ทีนี้ก็ไม่ต้องเอาร่มแล้ว
เมื่อฝนตกหนักลงมาที่หน้ารถ น้ำฝนทำให้มองไม่เห็นทาง ล้อหลังจึงตกลงไปในท่อน้ำ
การทำงานของฝ่ายเทศกิจห่วยเป็นบ้า ฝาท่อระบายน้ำหายไปยังไม่รู้ ถ้ามีคนตกลงไปจะทำยังไง?
เมื่อมองไปรอบๆ นอกเหนือจากม่านฝนอันกว้างใหญ่ ไม่มีรถหรือรถแท็กซี่ผ่าน เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ฉันน่าจะให้เซียวอวี้หลินมารับเธอ ในตอนนี้ฉันจะหาแท็กซี่ได้ที่ไหน?
เมื่อหันกลับไปที่รถเพื่อขอความช่วยเหลือ มีรถรับด้วยความเร็วอีกคันเข้ามาในเลนถัดไป เย่ชวูเสวียไม่ต้องการที่จะโดนน้ำสกปรกสาดเข้าอีกครั้ง เธอจึงก้าวถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
ถอยหลังไปก็ตกลงไปในรอยหลุมที่รถทับผ่านไว้
คำนั้นพูดยังไงนะ เย่ชวูเสวียรู้สึกว่าคนจะซวยนี่มันซวยจริงๆ
ช่วงนี้เธอก็ไม่ได้ทำอะไรชั่วร้าย ทำไมวันนี้เธอถึงมีชะตากรรมแบบนี้? ถ้ารู้แบบนี้วันนี้ไม่มาทำงานดีกว่า
ฝนตกหนัก น้ำฝนก็ไหลลงท่อระบายน้ำ เย่ชวูเสวียมองไม่เห็นว่าเท้าของเธอติดอยู่ที่ไหน รู้สึกเจ็บขึ้นมา
นี่จะทำยังไงดี?
เย่ชวูเสวียยืนอยู่อย่างว่างเปล่าท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก ด้วยภาพราวกับว่าถูกทิ้งโดยคนทั้งโลก ณ จุดๆนี้ถ้ามีผู้ชายปรากฏมาช่วยเธอสักคน หน้าตาไม่ขี้เหร่ขนาดนั้น เธอจะยอมแต่งงานด้วยเลยทันที
หลังจากฝนตกนานกว่าสิบนาที ขาของเย่ชวูเสวียก็หมดแรง จนเธอหมดหวัง เมื่อเธอกำลังจะลองเคลื่อนย้าย ทันทีฝนที่อยู่เหนือศีรษะของเธอก็หยุดลงอย่างอธิบายไม่ได้ เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นว่ามีร่มสีดำกางอยู่
“ทำไมเธอถึงมายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน?” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาในหูของเธอ เย่ชวูเสวียกำลังคิดว่าเจ้าชายคนใดมาช่วยเธอ ทันทีที่ได้ยินเสียงเธอก็ตกตะลึง
เสียงที่คุ้นเคย
“เท้าติดอยู่ข้างในหรอ?” หนานกงเจาถามอย่างกังวล
เย่ชวูเสวียหันหน้าไปช้าๆ ทำไมถึงเป็นตาคนนี้?
“เธออยู่กลางสายฝนมานานหรือยัง? หน้าซีดหมดแล้ว” ขณะที่หนานกงเจาถอดชุดและห่อรอบตัวของเธอ หนานกงเจาก็ขมวดคิ้ว เมื่อสัมผัสมือเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ “ ทำไมมือเย็นขนาดนี้?”
หัวของเย่ชวูเสวียเปียกโชกด้วยสายฝนและเธอไม่รู้จะตอบอะไร
ชายคนนั้นจับมือเล็กๆสองข้างของเธอ หายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ถือร่มไว้ ฉันจะช่วยเธอเอาเท้าออก”
เย่ชวูเสวียรับร่มมาและดูเขาหมอบลง หลังและขาของเขาชุ่มชื้นทันที จากฝนที่ตกหนัก เธอขยับร่มไปกางให้เขาโดยไม่รู้ตัว แต่ได้ยินเขาพูดว่า “ไม่ต้องสนฉัน อย่าให้ตัวเองเป็นหวัดก็พอ”
เย่ชวูเสวียคิดสักพักและขยับร่มกลับมา
ท่ามกลางสายฝน เธอซึ่งกำลังจะหมดสติในที่สุดก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของนิ้วมือเขาคลำหาตำแหน่งของเท้าเธอเจอ จากนั้นใช้มือจับเท้าอย่างระมัดระวังแล้วดึงออก
“โอ้ย-” เย่ชวูเสวียร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและหนานกงเจาก็หยุดทันทีและพูดอย่างเป็นห่วง ” ใกล้จะเอาออกแล้ว ทนหน่อยนะ”
เย่ชวูเสวียตอบอืมคำเดียว เสื้อเชิ้ตระดับไฮเอนด์ของเขาเปียกโชกไปด้วยสายฝน ที่หลังของเขาและสามารถมองเห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอย่างชัดเจน
ในตอนนี้จู่ๆ เย่ชวูเสวียก็รู้สึกว่าเขาดูไม่น่ารำคาญอีกต่อไป
เม็ดฝนเม็ดใหญ่กระทบร่มเล่นโน้ตตกลงมาอย่างร่าเริง ราวกับว่ามีเพียงคนสองคนเหลืออยู่บนโลก
ด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของหนานกงเจา ทำให้เท้าของเย่ชวูเสวียดีงออกจากท่อระบายน้ำได้อย่างราบรื่นและมันก็พอง
“ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล” หนานกงเจาพูดและขมวดคิ้ว “กินยาแก้หวัดด้วยซะหน่อย”
เย่ชวูเสวียไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้“ เดี๋ยวก่อน ฉันจะไปเอากุญแจรถกับโทรศัพท์”
“ หยุดอยู่ตรงนี้แหละ ฉันจะไปเอาให้”
หนานกงเจาลุยฝนไปอีกครั้ง เอาของสองอย่างแล้วล็อครถเดินไปหาเธอโดยไม่พูดอะไร พยุงเธอขึ้นมาแล้วเดินไปที่รถที่จอดอยู่เลนตรงข้าม
“หนาวไหม? ฉันเปิดเครื่องทำความร้อน” หนานกงเจาถามเธอขณะที่เขากำลังสตาร์ทรถ
ในขณะที่เย่ชวูเสวียกำลังจะบอกว่าไม่หนาวเธอก็ “ฮะชิ้ว” จามออกมาใส่ชุดสุทสีดำของเธอทันที
ดวงตาของหนานกงเจาเต็มไปด้วยความกังวล เขาเปิดเครื่องทำความร้อนและขับรถไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด สายตาของเย่ชวูเสวียมองไปที่มือของเขาและผิวหนังที่มีรอยขีดข่วน มันน่ากลัวนิดหน่อย น่าจะโดนตอนเอามือเข้าไปในท่อ
“มือของเธอ…… ” ในที่สุดเย่ชวูเสวียก็พูดอะไรบางอย่าง เธอรู้สึกไม่ดี
หนานกวเจาพูดอย่างสบายๆว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวทายาก็หายแล้ว”
เย่ชวูเสวียรู้สึกหน่วงๆด้วยเหตุผลบางอย่างและบรรยากาศก็ค่อนข้างอึดอัด
ทุกครั้งที่พบกันดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้น
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล ลงทะเบียน ถ่ายรูป และสั่งยาทุกอย่างเสร็จสิ้น ทุกขั้นตอนหนานกงเจาเป็นคนจัดการให้ เย่ชวูเสวียรู้สึกอายเล็กน้อย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้
“เธอส่งฉันกลับบ้านหน่อย” เย่ชวูเสวียกลับไปที่รถ จากนั้นกผ่พูดสั้นๆอีกคำ “ขอบคุณนะ”
หนานกงเจารู้สึกประหลาดใจอยู่สองสามวินาที จากนั้นก็ยิ้ม “ไม่เป็นไร”
เย่ชวูเสวียหันศีรษะของเธออย่างเชื่องช้าโดยไม่กล้าที่จะมองไปที่ดวงตาที่อ่อนโยนของเขา
บางทีมันอาจจะเหนื่อยเกินไป หรือบางทีความร้อนในรถอาจมากเกินไป เย่ชวูเสวียก็หลับไปไม่นานหลังจากที่รถขับออกไป
หนานกงเจาหันหน้าไปมองใบหน้าที่หลับใหลของเธอด้วยความใจสั่นและหันกลับไปที่สี่แยกข้างหน้า
สายฝนนอกหน้าต่างรถค่อยๆลดลง
ในขณะที่หนานกงเจากำลังอุ้มหญิงสาวลงจากระ ใบหน้าของเธอแดง เขาเอามือจับหน้าผากของเธอเบาๆ ปรากฏว่าเธอตัวร้อนเป็นไข้แล้ว
“เป็นไข้จริงๆซะแล้ว” หนานกงบ่นพึมพำอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน
เย่ชวูเสวียรู้สึกว่าเธอกำลังแช่อยู่ในน้ำร้อนสบายๆ ด้วยความงุนงงคิดว่าเธอกลับบ้านแล้วและพูดเบาๆว่า “แม่ ฉันกระหายน้ำ”
ทันใดนั้น น้ำอุ่นหนึ่งช้อนก็เข้าปาก เธอจิบแล้วขมวดคิ้ว “ ขม…… ”
“โอ๋ นี่เป็นยา เธอมีไข้แล้ว”
เย่ชวูเสวียขมวดคิ้วและดื่มยาแก้หวัดหนึ่งถ้วยและหลับไปอย่างราบรื่น
เมื่อตื่นขึ้นมา ฝนก็หยุดตก หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เย่ชวูเสวียมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดและอยู่ในความงุนงง เธอนอนหลับไปนานแค่ไหน?
ขยี้ตา เธอก็อึ้งตัวแข็งทันที
เดี๋ยวก่อน ที่นี่คือที่ไหน?
เย่ชวูเสวียมองไปรอบๆ ห้องที่เธออยู่การตกแต่งแบบเปิดโล่ง การจัดระเบียบสีดำและสีขาวอย่างเรียบง่ายและมีสไตล์ เย่ชวูเสวียยกผ้าห่มขึ้น เธอกำลังสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ โดยไม่มี……กางเกงชั้นใน!
“ไอ้บ้า!” เย่ชวูเสวียตบหัวตัวเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ฉากสุดท้ายที่เธอจำได้คือนั่งอยู่ในรถและบอกให้หนานกงเจาไปส่งเธอที่บ้าน ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ทำตามที่พูด
อย่าบอกนะว่าเขาทำแอบทำอะไรตอนที่เธอหลับ
ความโกรธออกมา ความประทับใจที่เพิ่งมีของเธอ ตอนนี้…….
เมื่อได้ยินเสียงหม้อและกระทะ เย่ชวูเสวียก็ตะโกนว่า “หนานกงเจา!”
ฝีเท้าที่รีบวิ่งมาของหนานกงเจาก็ดังขึ้น วิ่งมาและถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า? มีอะไร?” จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าเย่ชวูเสวีย เขามีผมฟูๆ สวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เล็กๆ ถือฝาไว้ในมือ อีกข้างหนึ่งถือช้อน
ไม่เคยเห็นหนานกงเจาทำงานบ้านแบบนี้ เย่ชวูเสวียตกตะลึงอยู่สองสามวินาที มองไปที่เขาและหัวใจก็เต้นแรงทันที “เธอ…..ฉันบอกให้ส่งฉันกลับบ้านไม่ใช่หรอ?”
หนานกงเจายิ้มเบาๆด้วยความจริงใจ “ฉันกลัวว่าถ้าส่งเธอกลับแล้ว พ่อแม่เธอจะทำให้เธอลำบากใจ”
“แล้วทำไมเธอถึง…… ” เย่ชวูเสวียหน้าแดงด้วยความอับอายและไม่สามารถพูดต่อได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงเจาเคร่งขรึม “ เธอเป็นไข้ จะนอนแบบตัวเปียกหรือไง?”
เย่ชวูเสวียดึงผ้าห่มสีน้ำเงินเข้มมาที่คางของเธอ จ้องมองไปที่เขาเหมือนลูกแมวโกรธ “ถ้าอย่างนั้นเธอหาผู้หญิงมาเปลี่ยนให้ฉันไม่ได้เหรอ?”
“นี่คืออพาร์ตเมนต์ของฉัน ฉันจะหาผู้หญิงจากไหน?”
“ แต่……แต่…….”
หนานกงเจาเห็นดวงตาสีแดงของเธอและรีบเดินไปปลอบเธอ “อย่าร้องไห้สิ ฉันไม่ได้ทำอะไรกับเธอ ฉันแค่อาบน้ำให้เธอและเปลี่ยนชุดให้”
“เธอยังช่วยฉันอาบน้ำอีกด้วย?” เย่ชวูเสวียเบิกตากว้าง ใบหน้าของเธอแดงกว่าตอนที่เธอเป็นไข้
“ก็แค่ให้แช่ในน้ำอุ่น……”
เย่ชวูเสวียรู้สึกกังวล และชกไหล่เขาด้วยมือทั้งสองข้างเธอ “เธอนี่มันเจ้าเล่ห์ ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้? ชั่วจริงๆ ผู้ชายเลว!”
หนานกงเจายิ้มและปล่อยให้เธอทุบตี แรงที่เธอทุบตีเบาราวกับว่ากำลังถูกนวด หลังจากที่เธอทุบพอแล้ว เขาก็ถามว่า “ไม่โกรธแล้วหรอ?”
เย่ชวูเสวียหายใจออกมาอย่างเย็นชา หันหน้าไปทางอื่นและพูดเสียงดัง
“พอแล้ว พอแล้ว เมื่อกี้ฉันให้คนส่งเสื้อผ้ามาให้แล้ว ไปเปลี่ยนแล้วออกมากินข้าวซะ” หนานกงเจาจ้องมองที่ริมฝีปากสีชมพูของเธอรู้สึกถึงความยุ่งเหยิง
ผู้หญิงอย่างเย่ชวูเสวียเกิดมาเพื่อเป็นที่รักของผู้คน แม้ว่าเธอจะต้องการดวงดาวบนท้องฟ้า ผู้ชายทุกคนก็จะเอามันมาให้เธอ
“ยังโกรธอยู่หรอ? ถ้ายังโกรธอยู่ฉันจะจูบละนะ?” หนานกงเจาโยนมือสังหารของเขาออกไป เย่ชวูเสวียก็หันหน้าไปถามเขาด้วยความโกรธ “เสื้อผ้าอยู่ไหน?”
หนานกงเจาชี้ไปที่โซฟา “อยู่นั่นไง ฉันจะไปเอามาให้”
“ไม่ต้อง ” เย่ชวูเสวียกระดิกนิ้วสองที เสื้อผ้าทั้งหมดก็ลอยมา หนานกงเจาเห็นเช่นนั้นตกอยู่ในความตะลึง
จนกระทั่งเย่ชวูเสวียใส่เสื้อผ่า เขาก็ได้สติและถามว่า “ชวูเสวีย เธอเป็นนางฟ้าบนสวรรค์หรอ”
เย่ชวูเสวียหัวเราะเบาๆและความโกรธที่ทั้งสองคนมีต่อกันเมื่อกี้ก็หายไป
“ฉันไม่ใช่นางฟ้า ฉันเป็นปีศาจพันปี” เย่ชวูเสวียเอียงศีรษะและกระแทกเขา ดวงตาสีม่วงของเธอเปล่งประกายและน่าทึ่ง
หนานกงเจามองดูเธออย่างหลงใหลและพูดเบาๆว่า “ต่อให้เธอจะเป็นนางปีศาจ ก็เป็นปีศาจที่สวยที่สุด”
“ เธอไม่กลัวเหรอ?”
“ไม่กลัว” หลังจากพูดจบหนานกงเจาก็บีบคางของเธอและจูบอย่างแรง
จูบนี้รุนแรงและอ่อนโยนราวกับจะทำให้จิตวิญญาณของเย่ชวูเสวีบวหมดแรง……
กลิ่นไหม้ของอาหารขัดจังหวะการจูบที่แสนรัก เย่ชวูเสวียผลักไหล่ของเขาออกไป หอบและพูดว่า “อะไรไหม้เนี่ย”
หนานกงเจาลุกขึ้นอย่างหงุดหงิดและพูดเบาๆ “ไหม้ไม่เป็นเวล่ำเวลาเลย”