ทหารต้วนมองไปที่รอยยิ้มที่ดูไม่เต็มใจของลูกสาว ในใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก เดิมทีเธอเป็นทหารที่มีพรสวรรค์ แต่ทำอย่างไรได้ …
ดวงตาของชิงหลงชุ่มชื้นไปด้วยคราบน้ำตา ลูกพี่ล้มลงจนถึงจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นความผิดของเขาทั้งนั้น
“พวกนายไม่ต้องมองฉันแบบนี้ มันเป็นความสมัครใจของฉันเอง” ต้วนอีเหยาจิ้มข้าวในชามพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันคิดดีแล้ว ฉันจะหาร้านค้าที่เหมาะสมในอีกสองวัน เปิดร้านดอกไม้สักร้าน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปฉันจะเป็นสาวจัดดอกไม้ฟังดูก็ไม่เลวนะ”
“อีเหยา ลูกจริงจังไหม?” ทหารต้วนไม่รู้ว่าเขาควรจะเสียใจหรือชื่นใจดี
ต้วนอีเหยาพยักหน้า “ฉันจริงจัง ฉันเองก็ชอบดอกไม้ ได้ดูสิ่งที่สวยงามน่าจะทำให้อารมณ์ดี”
“โอเค ตอนบ่ายพ่อจะไปหาร้านให้”
“ยังมีของในกองทัพด้วย พ่อช่วยเก็บให้ฉันชั่วคราว กลับมาเมื่อไหร่ค่อยช่วยเอากลับมาให้ฉัน”
ชิงหลงกระวนกระวาย “ลูกพี่ คุณไม่กลับไปบอกลาทุกคนหรอ?”
ต้วนอีเหยากลั้นน้ำตาแล้วยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ไม่ไปแล้ว ถ้าฉันไปต้องร้องไห้แน่ๆ ฉันไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเด็กเปรตอย่างพวกนาย ฉันเป็นถึงลูกพี่พวกนายเลยนะ”
น้ำตาของชิงหลงหยดลงบนโต๊ะ ทหารต้วนเข้าใจความรู้สึกของเขาจึงพูดว่า “อย่าเสียใจไปเลย ที่จริงทางเลือกของอีเหยาก็ดีมากเช่นกัน นายลองคิดดูต่อไปเธอจะได้ไม่ต้องตามพวกนายไปฝ่าอันตายต่างๆอีกไง ถ้าพวกนายอยากเจอเธอก็ค่อยมาเจอตอนช่วงวันหยุด”
ชิงหลงเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อแล้วก้มศีรษะลงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น“ ผมรู้ว่านี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับลูกพี่ แต่ผมก็อดไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะผม ถ้าไม่ใช่เพราะลูกพี่พยายามช่วยผม … ”
“พูดอะไรไร้สาระ เธอเป็นกัปตันของพวกนายดังนั้นเธอควรรับผิดชอบพวกนายทุกคน” ทหารต้วนตำหนิเขาอย่างเคร่งขรึม “เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว ถ้ายังร้องจะทำให้อีเหยาไม่สบายใจ”
“อ้อ” ชิงหลงเช็ดน้ำตาอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้ต้วนอีเหยา
ในช่วงบ่ายทหารต้วนออกไปหาสถานที่ ต้วนอีเหยาเรียนรู้วิธีการอ่านปาก ชิงหลงเองก็ให้ความร่วมมือกับเธอในการฝึกฝน เมื่อใดก็ตามที่เธอพูดประโยคหนึ่งซ้ำ ความหนักอึ้งในใจก็จะลดลงทีละน้อย
ทุกคนต้องพยายามอย่างหนักเพื่อชีวิตของตัวเอง เธอเชื่อว่าความยากลำบากที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นทหารแต่เธอก็จะใช้ชีวิตที่เป็นอยู่อย่างสวยงาม
ในตอนกลางคืน ทหารต้วนนำเป็ดย่างที่มีชื่อเสียงจากทั่วเมืองหลวงกลับมา ปากของทหารต้วนเต็มไปด้วยคราบน้ำมันและเอาแต่พูดว่าอร่อย
“ร้านดอกไม้ที่ลูกต้องการพ่อหาได้แล้วที่หนึ่ง อยู่ใกล้ๆแถวมหาวิทยาลัย ที่นั้นเต็มไปด้วยนักเรียนและอาจารย์ สภาพแวดล้อมค่อนข้างเรียบง่าย” ทหารต้วนห่อเป็ดย่างลงในแผ่นแป้งบางๆให้เธอและพูดอย่างช้าๆว่า “ที่นั้นมีร้านดอกไม้ที่กำลังจะเซ้งพอดี ราคาก็เหมาะสมดี เดี๋ยวพรุ่งนี้ลูกค่อยไปดูพร้อมพ่อ ถ้าชอบเราก็ซื้อไว้ ”
“อ้อๆโอเคๆ” ต้วนอีเหยาพยักหน้าขณะรับประทานอาหาร
ในค่ำคืนนี้ ทหารต้วนได้ยินเสียงร้องไห้ที่อัดอั้นตันใจของลูกสาวดังจากห้องข้างๆอย่างแผ่วเบา ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
เธอเติบโตในขึ้นในพื้นที่กองทัพและเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร หลังจากที่เธอออกจากโรงเรียนเตรียมทหารเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพทันที ทหารได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อของเธอ หากต้องนำส่วนนี้ออกไปก็เหมือนกับการลอกกล้ามเนื้อและกระดูกออก ทำไมจะไม่เจ็บล่ะ?
แต่เธอก็ยังคงยิ้มและพูดว่า พ่อ ฉันไม่เป็นไร
เธอจะเป็นหรือไม่เป็นทำไมคนที่เป็นพ่อจะมองไม่ออก? เธอแค่ไม่อยากให้ตัวเองกังวลกับมันมากเกินไป
ลูกสาวคนนี้ทำให้ผู้คนหมดห่วงตั้งแต่เด็ก
วันรุ่งขึ้น ต้วนอีเหยาและอีกหลายๆคนไปดูร้านดอกไม้ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง การตกแต่งหรูหรามาก เมื่อเดินเข้าไปราวกับว่าเดินอยู่ในทุ่งดอกไม้
เจ้าของร้านดอกไม้เป็นผู้หญิงที่มีออร่าอย่างมาก สามีของเธอสอนอยู่ในโรงเรียนเนื่องจากเธอจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เธอจึงจำเป็นต้องเซ้งร้านดอกไม้ไป
“สวนดอกไม้แต่ละที่ในร้านนี้ฉันล้วนแต่เป็นคนไปดูมาเอง คุณภาพถือว่าดีมาก ถ้าพวกคุณรับช่วงต่อ พวกเขาสามารถส่งดอกไม้มาให้ที่ร้านต่อได้พวกคุณจะได้ไม่ต้องตามหาไปทั่ว “ผู้หญิงคนนั้นแนะนำ ในขณะที่เธอพูด ต้วนอีเหยามองเธออย่างจริงจังและเดาความหมายได้จากการมองที่ริมฝีปากของเธอ
“ยังมียัยสาวน้อยคนนี้” ผู้หญิงคนนั้นเรียกเด็กผู้หญิงในชุดผ้ากันเปื้อนข้างๆเธอ “เธอเป็นพนักงานที่ฉันหามา ย้ายดอกไม้และจัดดอกไม้ต่างๆ ในการทำงานเธอฉลาดมาก พอรู้ว่าฉันกำลังจะเซ้งก็ร้องไห้ไปหลายวัน ถ้าพวกคุณรู้สึกว่าเธอใช้ได้ก็ให้เธอทำงานที่นี้ต่อ อีกอย่างจะได้ไม่ต้องทิ้งงานไป”
ต้วนอีเหยาชำเลืองมองหญิงสาว ใบหน้ากลมดวงตากลมโตเป็นประกายและผิวขาวอมชมพู เธอดูเป็นเด็กสาวที่จิตใจดีและบริสุทธิ์
“เป็นยังไงบ้าง?ชอบไหม?” ทหารต้วนถามลูกสาวของเขา
ต้วนอีเหยาพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน ถ้างั้นก็ร้านนี้แหละ เด็กผู้หญิงคนนี้ก็โอเค ถ้างั้นเธอก็อยู่ต่อเถอะ”
หญิงสาวพูดอย่างมีความสุข “ขอบคุณค่ะเจ้านายคนใหม่ ฉันชื่อฮัวเสี่ยวกุ้ย คุณเรียกฉันว่าเสี่ยวกุ้ยก็ได้ค่ะ”
เธอพูดเร็วมากทำให้ต้วนอีเหยาได้ยินไม่ชัดเจนและพูดอย่างใจเย็นว่า “หูของฉันได้รับบาดเจ็บ รบกวนพูดช้าลงหน่อยฉันถึงจะได้ยินชัดเจน”
นี้เป็นครั้งแรกที่เธอยอมรับข้อบกพร่องของตัวเองต่อหน้าสาธารณชนและดูเหมือนจะไม่ได้ไม่เป็นที่ยอมรับขนาดนั้น
ทั้งฮัวเสี่ยวกุ้ยและผู้หญิงคนนั้นตกตะลึงไปหลายวินาที คนที่อยู่ตรงหน้าก็พูดประโยคเมื่อกี้ซ้ำอีกครั้งแต่ช้าลงกว่าเดิมและระดับเสียงก็ดีขึ้นเช่นกัน ครั้งนี้ต้วนอีเหยาได้ยินอย่างชัดเจน
“เสี่ยวกุ้ยถูกไหม สวัสดีฉันชื่อต้วนอีเหยา ต่อไปเธอเรียกฉันว่าพี่อีเหยาก็พอละ” ต้วนอีเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
ฮัวเสี่ยวกุ้ยถือโอกาสพูดคำว่าพี่อีเหยาออกมาอย่างชัดเจน
ตกลงราคากันแล้ว ทั้งสองก็เริ่มขั้นตอนการส่งมอบในช่วงบ่าย ณ จุดนี้อีเหยาก็มีที่อยู่เล็กๆเป็นหลักเป็นแหล่งของตัวเอง
เดิมทีทหารต้วนอยากซื้อรถให้เธอสักคัน แต่ก็กลัวว่าเธอจะตกอยู่ในอันตรายบนท้องถนน เขาเลยคิดว่าอยากจะจ้างคนขับรถสักคน หลังจากต้วนอีเหยารู้แนวคิดของเขา เธอก็หัวเราะพร้อมกับพูดว่า “พ่อ พ่อกะจะเลี้ยงดูฉันแบบเจ้าหญิงหรือไง?ฉันเช็คมาหมดแล้ว ฝั่งนี้มีรถไฟใต้ดินผ่านฉันนั่งรถไฟใต้ดินก็พอแล้ว”
“แบบนี้มันลำบากเกินไป ครอบครัวเราไม่ใช่ว่าไม่มีเงิน” ทหารต้วนพูดขณะที่ขมวดคิ้ว
ต้วนอีเหยาอธิบายว่า “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน แต่เป็นเพราะฉันอยากเข้าใจเกี่ยวกับสังคมแบบนี้มากขึ้น ฉันอยู่ในกองทัพมานานหลายปีขนาดนั้นรู้สึกตัวเองตัดขาดกับสังคมแบบนี้ไปแล้ว”
“ถ้างั้นก็ได้” ทหารต้วนยื่นบัตรเอทีเอ็มจำนวนสี่ใบให้ลูกสาว “นี่คือสินทรัพย์ทั้งหมดของครอบครัวเรา ถ้าลูกจะใช้เงินก็ไปถอนเองรหัสคือวันเกิดลูก”
ต้วนอีเหยาเก็บมันไว้อย่างไม่เกรงใจ “เข้าใจแล้ว”
อยู่กับลูกสาวในร้านดอกไม้เพื่อทำความคุ้นเคยได้เพียงไม่กี่วัน วันหยุดก็สิ้นสุดลงถึงเวลาที่ทหารต้วนจะต้องกลับไปที่กองทัพ ก่อนที่จะกลับไปเขาก็บอกที่อยู่ร้านดอกไม้ให้กับเพื่อนเก่าทุกคนในเมืองหลวงและขอให้พวกเขาดูแลเอาใจใส่เธอหน่อย
หัวหน้าแผนกตรวจสอบพูดว่า “เหล่าต้วน นายไม่ต้องกังวล ในเมืองหลวงมีแต่ร้านของหลานสาวเราและบ้านเก่าของนายนั้นคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว ”
ทหารต้วนพูดด้วยความพึงพอใจ “ได้ยินคำพูดของนายคำนี้ฉันเองก็สบายใจ”
คนที่มาพร้อมเจ้าหน้าที่แผนกต้อนรับพูดว่า “พี่ต้วน เราต้องดูแลกิจการของหลานสาวด้วยไหม?หรือไม่ก็เอาใบสั่งซื้อทั้งหมดจากหน่วยของเรามาให้หลานสาวทั้งหมดเลย”
ทหารต้วนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ก็แค่งานอดิเรกและความชอบของเธอ หาเงินเข้ากระเป๋านิดหน่อย ถ้านายเอาใบสั่งซื้อให้เธอทั้งหมด แบบนั้นก็ยุ่งตายเลยสิ”
ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทมหาชนจำกัด “พี่ชาย หรือไม่ให้ฉันจัดการเรื่องบอดี้การ์ดให้หลานสาว?”
“ไม่ต้องหรอก บอดี้การ์ดฝั่งนั้นของนายยังสู้เธอไม่ได้เลย ว่างๆแวะไปซื้อดอกไม้สักช่อสองช่อก็พอแล้ว” ถ้าไม่มีลูกค้าเธอคงเบื่อตาย
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน ฉันจะให้คนแวะไปซื้อวันละสองช่อเลย”
หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ในใจทหารต้วนก็รู้สึกปล่อยวางไปได้ครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งยังถูกแขวนไว้ด้วยเรื่องงานแต่งงานของเธอที่เป็นเรื่องใหญ่โต
ปฏิเสธเย่จิงเหยียนไปแล้ว ต่อไปเขาจะต้องเลือกคนดีๆสักคนให้ลูกสาว
วันรุ่งขึ้น ต้วนอีเหยาบอกลาพ่อและชิงหลง
ทหารต้วนกอดเธอแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน หลายปีมาแล้วที่เขาไม่เคยกอดเธอแบบนี้ ต้วนอีเหยารู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ จึงหัวเราะและพูดว่า “พ่อ รีบๆไปเถอะ อย่ามัวชักช้าฉันจะทำมาหากิน”
“มีเรื่องอะไรก็ไปหาพวกลุงๆเขา พ่อไม่ได้อยู่ข้างๆต้องดูแลตัวเองดีๆ”
ต้วนอีเหยาตบหน้าอกของเธอเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ลูกสาวพ่อทักษะอื่นๆไม่มีแต่ความสามารถในการเอาตัวรอดในชีวิตนั้นยอดเยี่ยมมาก”
น้ำตาของชิงหลงที่ยื่นอยู่ข้างๆก็ไหลออกมา ต้วนอีเหยามองไปที่เขาด้วยความดูถูกและพูดว่า “นายเป็นถึงผู้ชายตัวใหญ่แบบนี้ จะร้องไห้ทำไม?”
“ลูกพี่ อย่าลืมพวกผมนะ” ชิงหลงพูดพร้อมกับสะอื้น
ต้วนอีเหยาทำท่ารังเกียจเขาและผลักเขาเข้าไปในรถ “ลืมไม่ลงหรอกๆ ถ้าพวกนายมีวันหยุดก็กลับมาหาฉัน ฉันจะพาพวกนายไปปลดปล่อยในสถานที่ที่หรูที่สุดในเมืองหลวง”
“อีเหยา ถ้างั้นพวกเราไปแล้วนะ” ทหารต้วนพูดอย่างไม่เต็มใจ ชิงหลงนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับและร้องไห้อย่างกับเด็ก
ต้วนอีเหยาอดไม่ได้จึงทำให้ดวงตาของเธอชุ่มชื่นไปด้วยคราบน้ำตา เธอโบกมือให้พวกเขา “ไปเถอะๆ ทำอย่างกับจะไม่ได้เจอกันอีก”
รถสตาร์ทและออกจากลานอย่างช้าๆ ต้วนอีเหยาเฝ้ามองทั้งสองคนจนกระทั่งรถเลี้ยวออกไปและในที่สุดหางตาของเธอก็มีน้ำตาร่วงลงมา
เมื่อหันกลับไปที่สวนอันเงียบสงบ เธอหายใจเข้าลึกๆ จมูกของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นขององุ่นเขียวทุกอย่างดูแปลกไปหมดแต่ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
…
เมืองAที่ห่างไกล
เย่จิงเหยียนไม่กินไม่ดื่มและนอนมาสามวันสามคืน ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันที่สี่
ครั้งก่อนที่เป็นแบบนี้คือตอนต้วนอีเหยาบอกว่าต่างคนต่างเดินตามทางของตัวเอง
เมื่อแสงยามเช้ากระทบกับพรม เย่จิงเหยียนบอกตัวเองว่าเขาจะเอาแต่ซึมเศร้าแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เขายังมีพ่อกับแม่แล้วก็หรูอี้ และเขายังมีเย่ฮวาง
อีเหยาเป็นคนที่รักชีวิตมาก ถ้าเธอเห็นว่าตัวเองเอาแต่ซึมเศร้าแบบนี้ เธอจะต้องโกรธแน่นอน
เขาลุกขึ้นไปอาบน้ำ โกนหนวดเคราและมองไปที่ใบหน้าทั้งแปลกและคุ้นเคยในกระจก ขณะที่เย่จิงเหยียนก้มศีรษะลงดวงตาของเขาก็เข้าไปอยู่ในซิงค์น้ำทันที
ในความเป็นจริงเวลาที่เขากับต้วนอีเหยาได้อยู่ด้วยกันไม่นานนัก อีกอย่างเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในโรงพยาบาล แต่เขารู้ว่าเธออาศัยอยู่ในโลกใบนี้ ยังไม่ทันหมดวันเวลาที่อยากเจอก็เข้าใกล้อีกขั้น นั้นเป็นความหวังอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้……
เย่จิงเหยียนยับยั้งมันเป็นเวลานานก่อนที่จะปล่อยให้อารมณ์ของเขาสงบลง หลังจากล้างหน้าล้างตาด้วยความไม่เต็มใจ เขาก็เดินลงไปชั้นล่างด้วยอาการมึนศีรษะ
แดดข้างนอกส่องแรงมาก ราวกับว่ามันสามารถทำให้คนที่เดินออกไปละลายได้ทันที
มู่เวยเวยประหลาดใจเมื่อเห็นเขาและพูดเบาๆว่า “ในที่สุดลูกก็ตื่นแล้ว”
เย่จิงเหยียนมองไปที่ต้นเบิร์ชสีขาวเป็นแถวที่ตรงผอมในระยะไกลและพูดเสียงแหบว่า “อีเหยาต้องปรารถนาให้ผมมีชีวิตที่ดี”
“ลูกคิดได้แบบนี้ก็ถูกแล้ว” ดวงตาของมู่เวยเวยมีรอยแดงเล็กน้อย ช่วงไม่กี่วันนี้เธอไม่ได้นอนดีๆเลย บางครั้งเธอก็เป็นห่วงลูกชาย บางครั้งก็น่าเสียดายสำหรับอีเหยา เธอยกมือขึ้นและตบไหล่ลูกชายเบาๆและพูดว่า “เรื่องทั้งหมดจะต้องดีขึ้น”
เย่จิงเหยียนละสายตากลับมา ใช่ เวลาเป็นยาที่ดีมันสามารถรักษาทุกอย่างได้ แต่เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หัวใจที่ว่างเปล่าของเขาจะถูกเติมเต็มกลับมา หรือบางทีมันอาจจะว่างเปล่าไปตลอดชีวิต
เมื่อมู่เวยเวยเห็นท่าทางของลูกชายแบบนี้ ก็รู้สึกทุกข์ใจอย่างมากและพูดปลอบใจว่า “ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว แม่ทำโจ๊กไว้ในห้องครัวไปกินก่อนเถอะ ถ้าอารมณ์ยังไม่ดีขึ้นก็ไปผ่อนคลายที่ต่างประเทศสักหน่อย สภาพจิตใจกลับมาเหมือนเดิมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำงาน ”
เย่จิงเหยียนไปกินข้าวพร้อมกับแม่และพูดด้วยความรู้สึกที่ยังคงซึมเศร้าว่า “ไม่ต้องหรอก อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน”
มู่เวยเวยพูดไม่ออก
เย่ชูวเสวียแสดงความประหลาดใจต่อพี่ชายที่ปรากฏตัวที่โต๊ะอาหาร เธอคิดว่าเขาจะนอนต่ออีกสามสี่วัน
“พี่จะไปทำงานหรือ?” เย่ชูวเสวียถามอย่างระมัดระวัง
“อืม”
“เดี๋ยวฉันไปส่งพี่เอง” เธอไม่ไว้ใจเขา ถ้าเขาคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้บนท้องถนนแล้วฆ่าตัวตายขึ้นมาจะทำยังไง?เธอมีแค่พี่ชายแท้ๆคนเดียวเองนะ
“อืม” เย่จิงเหยียนไม่ปฏิเสธ
หลังจากกินโจ๊กไปชามเล็กๆ เย่จิงเหยียนก็ไม่สามารถกินมันได้อีก เขาไม่อยากอาหารจริงๆ
มู่เวยเวยก็ไม่ได้บังคับเขา ตอนปีนั้นที่เธอรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินหายไปเธอก็กินข้าวไม่ลงหลายวันเหมือนกัน
เมื่อพนักงานของเย่ฮวางเห็นประธาน ทุกคนก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขาโดยมิได้นัดหมาย ออร่าที่แพร่ออกมาดูเย็นชากว่าหลายวันก่อนมาก ดวงตาของเขาดูเศร้ามากกว่าเดิมราวกับว่าในใจของเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำตาของความโศกเศร้า
ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจ นี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วเหรอ?
เลขาฯหวังเคาะประตูเข้าไปเพื่อส่งเอกสาร เมื่อเห็นประธานเย่จ้องมองโทรศัพท์ด้วยความเหม่อลอย จนกระทั่งเขาเอาเอกสารมาวางลงบนโต๊ะเขาก็พึ่งได้สติกลับมา
“ ประธานเย่ จะมีงานเลี้ยงรับเชิญในคืนพรุ่งนี้ คือ… ”
ก่อนที่เลขาฯหวังจะพูดจบเย่จิงเหยียนก็ขัดจังหวะเขา “ไม่ไป”
“ครับ” เลขาฯหวังพูดด้วยความเคารพ อารมณ์ของประธานเย่แย่กว่าปกติทั่วไป
เย่จิงเหยียนโยนเอกสารที่เซ็นหมดแล้วให้เขาและพูดอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆว่า “ต่อไปเรื่องแบบนี้เอาออกไปให้หมด”
เลขาฯหวังผงะเล็กน้อยและรีบพูดว่า “ครับ”
เมื่อเห็นว่าประธานเย่ไม่มีคำสั่งใดๆแล้ว เลขาฯหวังจึงรีบออกจากห้องของประธาน แปลกอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศก็ไม่ต่ำขนาดนั้น ทำไมห้องทำงานของประธานถึงรู้สึกหนาวขนาดนั้นล่ะ?
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เย่จิงเหยียนใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ก่อนหน้านี้เขาจะยิ้มอย่างสุภาพให้กับผู้หญิง แต่ตอนนี้เขาไม่แสดงสีหน้าใดๆเลย บางครั้งเมื่อไปทานข้าวนอกบ้านมีเด็กผู้หญิงเดินมาคุยด้วยก็จะถูกสายตาของเขาไล่กลับไป
เขาปิดกั้นหัวใจของตัวเองไว้อย่างแท้จริงและไม่มีผู้หญิงคนใดกล้าเข้าใกล้เขาในระยะสิบไมล์
เย่ชูวเสวียมองไปที่พี่ชายของเธอด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าเธอจะเข้าใจพี่ชาย แต่อีเหยานั้นจากไปแล้ว เขาจะไม่แต่งงานอีกในตลอดชีวิตนี้คงไม่ได้หรอกมั้ง
ถ้าเป็นแบบนั้นก็เป็นพระนะสิ?
“คิดอะไรอยู่ล่ะ?ทำไมดูมุ่งมั่นแบบนั้น?” มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งถามเธอ
“ไม่มีอะไร” เย่ชูวเสวียตอบส่งเดชและเงยหน้าขึ้นมอง นี้มันราชาปีศาจไม่ใช่หรือ? มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าและถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คุณมาทำอะไร?”
“ซื้อเค้กไง” หนานกงเจาพูดไปตามธรรมชาติ อันที่จริงเขาคิดถึงเธอต่างหากแต่เขากลัวว่าถ้าพูดแล้วจะโดนไล่ออกไป
“จะเอาชิ้นไหนเลือกเองแล้วกัน”เย่ชูวเสวียขี้เกียจทักทายเขา เธอนั่งลงบนโซฟาแล้วเอามือท้าวคางต่อด้วยความเหม่อลอย
หนานกงเจามองเธออย่างลึกซึ้งและพูดว่า “คุณไม่แนะนำให้ผมหน่อยหรอ?”
ถ้าเป็นแขกคนอื่นๆ เย่ชูวเสวียต้องเห็นด้วยกับคำขอนี้ แต่ถ้าเป็นเขา … ฮึฮึ …
“มีอะไรน่าแนะนำอีก ขนมในร้านของฉันเป็นร้านที่ดีที่สุดในเมือง” เย่ชูวเสวียพูดด้วยความภาคภูมิใจ
หนานกงเจากวาดมองไปที่ตัวอย่างในตู้โชว์และพูดว่า “งั้นขอเค้กอย่างละชิ้นให้ผมหน่อย”