วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 344 เขาคือคนรักของฉัน

หลังจากวางสายโทรศัพท์ต้วนจื่ออิ๋งก็ถามเขาว่า “พี่จิงเหยียนขอเลขบัญชีAlipayของพี่หน่อย เดี่ยวคุณแม่จะโอนเงินคืนให้พี่”

เย่จิงเหยียนไม่ใช่องค์กรการกุศลและแน่นอนว่าเขาคงไม่ใจกว้างพอที่จะจ่ายเงินให้เธอทุกอย่าง แต่ก็ยอมให้หมายเลขบัตรของเขาแก่เธอแล้วหยิบจำนวนเงินหนึ่งพันหยวนจากกระเป๋าตังค์ยื่นให้เธอ “เอาไปใช้ได้เลย เดี๋ยวค่อยโอนคืนพี่ก็ได้”

“ขอบคุณค่ะพี่จิงเหยียน”

เย่จิงเหยียนไม่ค่อยชอบให้เธอเรียกเขาแบบนี้ แต่เธออายุน้อยกว่าตัวเองห้าปีจะให้เรียกแบบนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้ “ต่อไปนี้เรียกว่าพี่เย่ดีกว่า”

“แต่เรียกว่าพี่จิงเหยียนมันดูสนิทกันมากกว่า หนูชอบเรียกพี่แบบนี้”

เย่จิงเหยียนไม่พูดอะไรและพูดก่อนขึ้นรถว่า “งั้นก็ตามที่สะดวก”

เธอมองดูเขาขับรถออกไปต้วนจื่ออิ๋งบีบมือตัวเองแน่น ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้เธอจะปล่อยไปเด็ดขาด แต่คนที่เขารักคือต้วนอีเหยาหรือเปล่า?

ถ้ารักต้วนอีเหยาขนาดนี้ทำไมไม่ไปอยู่กับเธอ?

เย่ชูวเสวียกำลังเตรียมตัวไปทำงานเลยถามเธอว่า “วันนี้เธอต้องไปทำอะไรหรือเปล่า ให้ฉันไปส่งในเมืองไหม”

“งั้นก็ได้ ฉันจะไปหาซื้อเสื้อผ้า จะขอใส่เสื้อผ้าเธอไปตลอดแบบนี้ไม่ได้”

ในรถต้วนจื่ออิ๋งอยากจะถามเย่ชูวเสวียว่าคนรักของพี่ชายเธอคือใคร? แต่เพราะมารยาทเลยไม่ได้ถามออกไปและเธอก็รู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลา

ในอีกสองวันถัดมาต้วนจื่ออิ๋งถือตัวเองว่าเป็นคนในครอบครัว เธอค่อนข้างเป็นคนที่รู้จักตัวเองดีและหลังจากแสดงท่าทีบนโต๊ะอาหารค่ำเธอก็พบว่าผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลเย่ดูเหมือนจะไม่คัดค้านอะไร เธอก็ยิ่งกล้าแสดงออกมากขึ้น

ในบ่ายวันศุกร์ต้วนจื่ออิ๋งเฝ้ารอเขาเลิกงานในร้านขนมของเย่ชูวเสวีย เมื่อเห็นเขาเดินออกมาเธอก็วิ่งไปเกาะแขนเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “พี่จิงเหยียนไปเดินซื้อกระเป๋าเป็นเพื่อนหนูหน่อยนะ พรุ่งนี้จะสะพายไปเที่ยว”

แม่ของเธอกลัวว่าเธออยู่ที่เมืองAจะลำบากจึงให้เงินหนึ่งแสนหยวนแก่เธอ ซึ่งเพียงพอให้เธอใช้จ่ายได้สักพัก

“พี่เหนื่อยมาก อยากกลับบ้านแล้ว” เย่จิงเหยียนไม่คอยชอบการช้อปปิ้ง

“ไปกันเถอะนะ หนูซื้อของไม่นานหรอก” ต้วนจื่ออิ๋งเกาะแขนของเขาแน่นทำเอาพนักงานที่ผ่านเข้าออกมองดูอย่างเงียบๆ เย่จิงเหยียนไม่กล้าปฏิเสธจึงตอบตกลงไป “งั้นก็ได้”

ต้วนจื่ออิ๋งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เย่จิงเหยียนขับรถพาเธอไปห้างสรรพสินค้าบริเวณใกล้ๆ

เธอเดินนำหน้าเขาเย่จิงเหยียนเดินถือชุดสูทอยู่ด้านหลัง พอเดินผ่านร้านเสื้อผ้าผู้หญิงทำให้เขานึกถึงครั้งนั้นที่พาต้วนอีเหยามาซื้อเสื้อผ้า ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มเดทกันกับต้วนอีเหยา

เพียงไม่ถึงปีเธอก็จากไป

ต้วนจื่ออิ๋งสังเกตดูสีหน้าของเขาที่หนักอึ้งเลยอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่จิงเหยียนมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ ไม่สบายใจที่มาช้อปปิ้งกับหนูหรือเปล่าคะ?”

“เปล่าอ่ะ พี่แค่เหนื่อยนิดหน่อย” เย่จิงเหยียนพูดเบาๆ

“รอแป๊บหนึ่งนะคะใกล้จะซื้อเสร็จแล้ว เราไปดูร้านนั้นกันนะคะ”ต้วนจื่ออิ๋งดึงแขนของเขาเดินเข้าไปในร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมจากนั้นก็หยิบใบที่ชอบขึ้นมาแล้วถามว่า “ใบนี้สวยไหมคะ?”

“ก็โอเคนะ” เย่จิงเหยียนตอบแบบผ่านๆ

“แล้วใบนี้ล่ะคะ”

“ได้อยู่”

ต้วนจื่ออิ๋งถามไปเยอะมาก แต่เย่จิงเหยียนทำเพียงพยักหน้าตอบแล้วพูดสองคำว่า

“ได้อยู่”

“งั้นเอาใบนี้ก็ได้ค่ะ สวยและก็เป็นคอลเลคชั่นใหม่ด้วย” ต้วนจื่ออิ๋งเมื่อเลือกได้แล้วก็เดินไปจ่ายเงิน”เอาใบนี้ค่ะ ห่อให้อย่างดีด้วยนะคะ”

“สวัดดีค่ะคุณลูกค้า ทั้งหมด28888หยวนค่ะ” แคชเชียร์พูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มใจบริการ

เย่จิงเหยียนยื่นบัตรเครดิตให้แคชเชียร์คิดเงิน เขาคิดในใจตอนที่ต้วนอีเหยาจะซื้อเสื้อหนึ่งตัวราคาประมาณหนึ่งหมื่นหยวนยังบอกว่าแพงจะตาย แต่เธอซื้อกระเป๋าราคาเกือบสามหมื่นหยวนยังดูชิลๆ เธอทั้งสองคนช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ทันทีที่เดินออกมาจากร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนม เย่จิงเหยียนก็บังเอิญเจอกับคนรู้จักที่ชื่อว่าจ้าวเสวียน

“สวัสดีค่ะ นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าจะเจอท่านประธานเย่อยู่ที่นี้” จ้าวเสวียนยิ้มแปลก ๆ เมื่อเธอเห็นต้วนจื่ออิ๋งยืนอยู่ข้างๆเขาก็อึ้งไปสองสามวินาที “คุณคนนี้……หน้าตาคล้ายต้วนอีเหยามากเลยนะคะ”

เมื่อต้วนจื่ออิ๋งได้ยินเธอพูดถึงชื่อคนนั้นจึงแนะนำตัวเองต่อเธอ”สวัสดีค่ะ ฉันคือ

ต้วนจื่ออิ๋ง ไม่ใช่ต้วนอีเหยาค่ะ”

“ฮ่าฮ่า จริงๆแล้วงานอดิเรกของประธานเย่คือ…… ” จ้าวเสวียนยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ทหารต้วนคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ? อย่างว่านะเธอไม่ต้องการคุณ คุณเลยไปหาคนที่หน้าคล้ายเธอมาแทนที่อ่ะ”

เย่จิงเหยียนจ้องมองเธอด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงเขาก็อยากจะชกหน้าเธอ

“อย่ามองฉันแบบนี้สิ เพราะคำพูดของฉันก็เลยพาลโกรธ?”ตอนนี้จ้าวเสวียนไม่ใช่ลูกจ้างของเขาแล้ว เธอจึงไม่กลัวอะไร

เย่จิงเหยียนกำหมัดแน่นพร้อมกับเดินหนีจากตรงนั้น ต้วนจื่ออิ๋งรีบวิ่งตามเขาไป

ในระหว่างทางเย่จิงเหยียนไม่พูดอะไรแต่มีสีหน้าที่เคร่งเครียด เขาเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ต้วนจื่ออิ๋งที่นั่งอยู่เบาะข้างๆกลัวจนหลับตาแน่นพร้อมกับเอามือไปจับไว้ที่จับข้างประตูรถ

จนกระทั่งเธอรู้สึกว่าล้อรถกำลังจะหลุดเธอจึงพูดด้วยเสียงสั่นๆว่า “พี่จิงเหยียนขับช้ากว่านี้ได้ไหม”

“จี๊ด”มีเสียงเบรกอย่างรุนแรงและทันใดนั้นรถก็หยุดที่ข้างทาง ทำเอาต้วนจื่ออิ๋งสะดุ้งจนเหงื่อตก

หลายต่อหลายครั้งที่เขาจับพวงมาลัยรถเหมือนเอาชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้าย ในหัวของเขาคิดถึงเรื่องราวมากมาย ชีวิตบนโลกใบนี้ที่ไม่มีต้วนอีเหยามันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

บรรยากาศในรถอึดอัดมาก ต้วนจื่ออิ๋งจึงรวบรวมความกล้าที่จะถามว่า “พี่จิงเหยียน ต้วนอีเหยาคือใคร?เธอหน้าคล้ายหนูมากเลยเหรอคะ”

เย่จิงเหยียนเงยหน้าขึ้น เปิดหน้าต่างรถแล้วหยิบบุหรี่หนึ่งม้วนมาสูบ เขานิ่งไปนานก่อนพูดว่า”เธอเป็นผู้หญิงที่พี่รักมาก”

หัวใจของต้วนจื่ออิ๋งสั่นไหวแล้วถามว่า “แล้วเธอไปไหนแล้วล่ะคะ”

“เธอไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”เย่จิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สีหน้าโศกเศร้าอย่างหนักราวกับว่าเขาจะร้องไห้ในวินาทีถัดไป

ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกสะเทือนใจ เธอไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว? มิน่าล่ะพูดถึงชื่อนี้ทีไรพี่

จิงเหยียนมีสีหน้าเศร้าๆทุกครั้งเลย

“สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดก็ถูก พี่แค่เอาต้วนจื่ออิ๋งมาเป็นตัวแทนของเธอ แต่ยังไงก็ไม่สามารถมาแทนที่เธอได้อยู่ดี ไปเถอะอย่ามาหวังอะไรกับพี่เลย”เย่จิงเหยียนพูดอย่างเย็นชาเขาไม่ต้องการทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องด้วย

ต้วนจื่ออิ๋งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “หนูจะไม่ไปไหน ต่อให้เป็นตัวแทนของใครก็ตาม ในเมื่อพี่อีเหยาไม่อยู่แล้วให้หนูมาดูแลพี่แทนเธอเถอะนะ พี่ก็ทำเป็นว่าหนูคือเธอก็ได้ หนูไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”

อย่างไรก็เป็นคนที่ไม่มีชีวิตบนโลกใบนี้แล้วคงจะมาแย่งเย่จิงเหยียนคืนไม่ได้ เพียงแค่เธออยู่ข้างๆเขาตลอดสักวันคงชนะใจเขาได้

เย่จิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจจึงพูดว่า “แต่ว่าพี่คงชอบเราไม่ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ให้หนูชอบพี่ฝ่ายเดียวก็พอแล้ว” ต้วนจื่ออิ๋งยิ้มด้วยความเต็มใจ

เย่จิงเหยียนไม่รู้จะพูดอะไร

เป็นอย่างที่แม่เธอพูดไว้ว่าเธอเต็มใจที่จะเป็นแค่ตัวแทน

หลังจากกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านของตระกลูเย่ ต้วนจื่ออิ๋งก็ชวนเย่ชูวเสวียไปเดินเล่น

“ชูวเสวีย พี่อีเหยาเสียชีวิตเพราะอะไรเหรอ?”เธอเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมามาตลอด ไม่ชอบอะไรที่มันอ้อมค้อม

เย่ชูวเสวียมองเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอรู้ไดยังไง”

“พี่จิงเหยียนบอกฉันวันนี้และบอกว่าเขาใช้ฉันแทนของพี่อีเหยา” ต้วนจื่ออิ๋งถอนหายใจอย่างไรก็ตามสักวันเธอจะต้องขึ้นมาเป็นตัวจริงให้ได้

เย่ชูวเสวียไม่คาดคิดว่าพี่ชายของตัวเองจะพูดแบบนี้ “แล้วเธอคิดว่ายังไง?”

ต้วนจื่ออิ๋งยักไหล่ “ฉันยังไงก็ได้ แค่ได้คบหากับพี่จิงเหยียนฉันก็พอใจแล้ว

เฮ้อ……

เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าเธอควรจะบอกต้วนจื่ออิ๋งว่าโง่หรือยังไงดี นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้?

“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามที่ฉันเพิ่งถามไปเลยนะ” ต้วนจื่ออิ๋งเร่งเธอพูด

เย่ชูวเสวียถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่อีเหยาประสบอุบัติเหตุ”

“อ่อ แล้วพี่จิงเหยียนชอบพี่อีเหยามากเลยเหรอ?”

เย่ชูวเสวียยิ้มเบาๆก่อนหันไปมองเธอ “เธอถามพวกนี้ไปเพื่ออะไร”

ต้วนจื่ออิ๋งตบหน้าอกตัวเองเบาๆ “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฉันก็แค่อยากรู้จักเรื่องราวของพี่จิงเหยียนมากขึ้นแค่นั้นเอง ทุกครั้งที่เขาพูดถึงพี่อีเหยาเขาเหมือนคนสติแตกทุกครั้งเลย”

“เขาเคยสติแตกอย่างบ้าคลั่ง ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวญาติพี่น้องเขาคงตามพี่อีเหยาไปนานแล้ว”

“เขาเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เย่ชูวเสวียน้ำตาซึม”ใช่ เขายอมตายแทนพี่อีเหยาได้ เธอคิดว่าหนักไม่หนักล่ะ”

ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกสะเทือนใจมาก แต่เมื่อฟังแบบนี้กลับทำให้เธอรู้สึกชอบเย่จิงเหยียนมากขึ้น ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีและมีเสน่ห์แถมเป็นคนรักเดียวใจเดียวอีกต่างหาก ช่างสมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้

“ต้วนจื่ออิ๋ง ชีวิตของเธอยังอีกยาวไกล”เย่ชูวเสวียตบไหล่เธอเบาๆ

“ไม่เป็นไร ฉันมีความมั่นใจยังเหลืออีกตั้งห้าสิบหกสิบปีนะ ใครจะกลัวใครล่ะ”

วันรุ่งขึ้นอากาศแจ่มใส

เย่จิงเหยียนถูกต้วนจื่ออิ๋งชวนออกไปเที่ยวเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ต้องไปเที่ยวสองต่อสองกับผู้หญิง เขาสะกิดเย่ชูวเสวียที่กำลังกินข้าวอยู่ “ไปด้วยกันสิ”

“ไม่ไป วันเสาร์อาทิตย์ที่ร้านงานค่อนข้างยุ่ง” จริงๆแล้วเย่ชูวเสวียไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอ

เย่จิงเหยียนเลิกคิ้ว “แน่ใจเหรอ?”

เย่ชูวเสวียกดดันเล็กน้อย หันหน้าไปก็เจอสายตาพิฆาตจากพี่ชายตัวเอง ทันใดนั้นเธอนึกเรื่องที่เธอเจอหนานกงเจา ก็เลยรีบเปลี่ยนคำ “เอ่อ จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นหรอก ฉันไปด้วยก็ได้ เดี๋ยวเรียกเจ้ามอนสเตอร์น้อยไปด้วยไปกันเยอะๆจะได้สนุก พวกเรานานแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน”

เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างพอใจ มันต้องอย่างนี้สิ

ต้วนจื่ออิ๋งยังไงก็ได้ แค่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเย่จิงเหยียนก็พอใจแล้ว ถึงคนจะไปกันเยอะก็ตาม

เย่ชูวเสวียเรียกให้ทุกคนรวมตัวกันออกเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวเมืองโบราณที่อยู่ไม่ไกลมาก

ณ เมืองหลวงที่แสนไกล

ต้วนอีเหยากับฮัวเสี่ยวกุ้ยกำลังขนถ่ายของลงจากรถ ไป่จิ่นอี้ก็เดินมาพอดี

“เธอสองคนไปพักก่อน เดี๋ยวฉันช่วยขนลงเอง”เขาพับแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นกล้ามแขนเล็กๆ

ต้วนอีเหยาเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มออกมา “นายมายังไง”

“พอดีผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะมา ฉันจะไปหาข้อมูลต่างๆที่โรงเรียนสักหน่อย” ไป่จิ่นอี้เอาดอกไม้มัดใหญ่ที่อยู่ในมือของเธอมาถือไว้ “เธอไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวฉันช่วย”

“มันไม่หนักสักหน่อย” ต้วนอีเหยาวางมือลง หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“อากาศร้อนขนาดนี้ เธอไปพักหาน้ำดื่มก่อนเถอะเหลือนิดหน่อยเอง เดี๋ยวฉันช่วย”

ต้วนอีเหยามองดูฮัวเสี่ยวกุ้ยกับไป่จิ่นอี้ยุ่งอยู่การเดินเข้าเดินออก ใช้เวลาไม่นานดอกกุหลาบสดเต็มคันรถก็ถูกขนย้ายเข้าไปเก็บในโกดังหมดแล้ว

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นไป่จิ่นอี่้ก็ปาดเหงื่อที่ท่วมตัว แล้วถามต้วนอีเหยาว่า “ทำไมเธอถึงสั่งดอกกุหลาบจำนวนมากในคราวเดียว ถ้าขายไม่หมดจะทำยังไง?”

ต้วนอีเหยายื่นน้ำให้เขาหนึ่งขวด “อย่าลืมสิว่าในอีกสองวันนี้ก็ถึงเทศกาลชีซีแล้ว จะต้องมีคนจำนวนมากมาซื้อดอกกุหลาบในวันนั้นอย่างแน่นอน”

ไป๋จิ่นอี้จิบน้ำแล้วก็นึกขึ้นได้ “ใช่จริงๆด้วย ฉันลืมไปเลย” เขาหัวเราะออกมา”เฮ้อ คนที่ไม่มีแฟนอย่างฉันคงไม่มีใครให้ดอกไม้หรอก”

“จริงๆแล้วฉันก็จำเทศกาลพวกนี้ไม่ค่อยได้หรอก ถ้าไม่ได้ฮัวเสี่ยวกุ้ยเป็นคนบอกฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอเป็นคนทีค่อนข้างใส่ใจในทุกสิ่ง” ต้วนอีเหยาชมฮัวเสี่ยวกุ้ยที่กำลังปัดกวาดเช็ดถู หลังจากนั้นก็ถามไป่จิ่นอี้ว่า” พรุ่งนี้ไม่ใช่เป็นวันหยุดเหรอ นายยังต้องทำงานอีกเหรอ?”

“ฉันกำลังวิจัยหัวข้อสำคญเรื่องหนึ่งอยู่อ่ะ ต้องไปหาข้อมูลสักหน่อย”

“อ่อ งั้นนายรอแป๊บหนึ่งนะ”ต้วนอีเหยาเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ แล้วสักพักก็เดินถือกระถางพลูด่างสีเขียวชอุ่มออกมา กระถางทำจากกระเบื้องเคลือบสีขาว “ต้นพลูด่างนี้ฉันให้นาย นายเอาวางไว้ข้างๆคอมพิวเตอร์มันสามารถป้องกันรังสีได้ มันเหมาะกับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เยอะๆมากเลยแหละ”

ไป๋จิ่นอี้ประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็รับไว้ด้วยความเต็มใจ “ฉันกำลังอยากได้สักกระถางพอดี งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ”

“ฉันไม่ได้ให้นายเฉยๆนะ แต่ให้เพื่อเป็นการขอบคุณที่ครั้งนั้นนายช่วยฉัน”

ไป๋จิ่นอี้ยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงก็ถูกทุกอย่าง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนง่ายๆสบายๆไม่มีลับลมคมใน แน่นอนว่าเขาก็พอดูออกว่าเธอเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรอยู่ใกล้ชิดเธอไว้สักวันเธอจะมองเห็นเอง

หลังจากไป๋จิ่นอี้กลับไปแล้วต้วนอีเหยาก็เริ่มตรวจเช็คดอกไม้ในร้าน ฮัวเสี่ยวกุ้ยขยิบตาถามเธอ”พี่อีเหยา ทำไมอยู่ๆพี่ถึงไปสนิทกับหนุ่มหล่อคนนั้นได้”

“ก็ครั้งก่อนที่ไปช้อปปิ้งอ่ะ พี่ทำเครื่องช่วยฟังตกพื้นเกือบจะโดนรถชนแล้ว พอดีได้เขามาช่วยไว้หลังจากนั้นก็มีการเลี้ยงข้าวกันบ่อยๆเลยทำให้สนิทกัน”ต้วนอีเหยาอธิบายแบบง่ายๆ

ฮัวเสี่ยวกุ้ยพูดอย่างมีความหมายแฝง “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

แม้ว่าเธอจะดูออกว่าหนุ่มหล่อคนนั้นมีความสนใจในตัวของเจ้านายของเธอ แต่ว่าเรื่องแบบนี้เธอไม่ควรเข้าไปยุ่งจะดีกว่า เพราะเกรงว่าถ้าเจ้านายไม่ได้ชอบอีกฝ่ายหลังจากนี้อาจจะกลายเป็นว่ามองหน้ากันไม่ติด

เธอทั้งสองคนกำลังยุ่งอยู่กับงาน โทรศัพท์ของฮัวเสี่ยวกุ้ยดังขึ้นเธอเลยรับสายแบบเปิดลำโพงไปด้วย “ฮัลโหล มีอะไรเหรอ? ฉันกำลังงานยุ่งอยู่”

“ตอนเย็นเธอว่างไหม ฉันจะชวนเธอไปกินข้าว”เสียงเด็กวัยรุ่นผู้ชายดังมาจากในสาย

ต้วนอีเหยาฟังเสียงที่ดังออกมาจากสายโทรศัพท์ก็ต้องตกตะลึงใจ

เธอนึกว่าตัวเองฟังไม่ได้ยินเสียงในโทรศัพท์มาโดยตลอด แต่ถ้าเปิดลำโพงก็สามารถได้ยินได้? ถึงแม้ว่าจะฟังไม่ได้ชัดเจนแต่ก็พอได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแบบรางเลือน

ดูเหมือนว่าเครื่องช่วยฟังรุ่นใหม่นี้จะมีคุณภาพดีมาก

ตอนเที่ยงฮัวเสี่ยวกุ้ยออกไปซื้ออาหารกลางวัน ต้วนอีเหยากำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเปลพับ ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอไปเปิดดูรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์

ก่อนจากกันพ่อของเธอได้ให้เบอร์โทรใหม่แก่เธอ ความหมายก็คือให้เธอเริ่มต้นใหม่อย่าได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนนั้นอีก เธอเข้าใจความหมายของพ่อดีแต่เธอก็ยังเก็บเบอร์โทรนั้นไว้อยู่

เย่จิงเหยียน……เย่จิงเหยียน……

ต้วนอีเหยาเรียกชื่อของเขาในใจ เธอพบว่าเธอกำลังจะลืมเสียงของเขา

จ้องมองหมายเลขที่คุ้นเคยเป็นเวลานาน ต้วนอีเหยาหายใจเข้าลึกๆแล้วกดปุ่มโทรออกแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรแต่ได้ฟังเสียงของเขานิดเดียวก็ยังดี อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขาสบายดี

เสียง”ตู๊ด” ต้วนอีเหยาหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาเมื่อเขารับสาย

“ฮัลโหล?ใครเหรอ?”

เสียงของเขาอ่อนโยนมาก แต่ต้วนอีเหยาไม่สามารถควบคุมน้ำตาของเธอไม่ให้ไหลได้เธอเอาโทรศัพท์แนบหูเพื่อฟังเสียงของเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ฮัลโหล?สายจากใครครับ?”

เสียงของเขายังคงอบอุ่นเสมอ ต้วนอีเหยาเอามือปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา น้ำตาของเธอไหลไม่หยุด

ในขณะนี้มีเสียงของหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากโทรศัพท์”พี่จิงเหยียนลองชิมอันนี้ดูค่ะ……เดี๋ยวหนูป้อนนะคะ……อร่อยไหมคะ?

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset