หลังจากวางสายโทรศัพท์ต้วนจื่ออิ๋งก็ถามเขาว่า “พี่จิงเหยียนขอเลขบัญชีAlipayของพี่หน่อย เดี่ยวคุณแม่จะโอนเงินคืนให้พี่”
เย่จิงเหยียนไม่ใช่องค์กรการกุศลและแน่นอนว่าเขาคงไม่ใจกว้างพอที่จะจ่ายเงินให้เธอทุกอย่าง แต่ก็ยอมให้หมายเลขบัตรของเขาแก่เธอแล้วหยิบจำนวนเงินหนึ่งพันหยวนจากกระเป๋าตังค์ยื่นให้เธอ “เอาไปใช้ได้เลย เดี๋ยวค่อยโอนคืนพี่ก็ได้”
“ขอบคุณค่ะพี่จิงเหยียน”
เย่จิงเหยียนไม่ค่อยชอบให้เธอเรียกเขาแบบนี้ แต่เธออายุน้อยกว่าตัวเองห้าปีจะให้เรียกแบบนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้ “ต่อไปนี้เรียกว่าพี่เย่ดีกว่า”
“แต่เรียกว่าพี่จิงเหยียนมันดูสนิทกันมากกว่า หนูชอบเรียกพี่แบบนี้”
เย่จิงเหยียนไม่พูดอะไรและพูดก่อนขึ้นรถว่า “งั้นก็ตามที่สะดวก”
เธอมองดูเขาขับรถออกไปต้วนจื่ออิ๋งบีบมือตัวเองแน่น ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้เธอจะปล่อยไปเด็ดขาด แต่คนที่เขารักคือต้วนอีเหยาหรือเปล่า?
ถ้ารักต้วนอีเหยาขนาดนี้ทำไมไม่ไปอยู่กับเธอ?
เย่ชูวเสวียกำลังเตรียมตัวไปทำงานเลยถามเธอว่า “วันนี้เธอต้องไปทำอะไรหรือเปล่า ให้ฉันไปส่งในเมืองไหม”
“งั้นก็ได้ ฉันจะไปหาซื้อเสื้อผ้า จะขอใส่เสื้อผ้าเธอไปตลอดแบบนี้ไม่ได้”
ในรถต้วนจื่ออิ๋งอยากจะถามเย่ชูวเสวียว่าคนรักของพี่ชายเธอคือใคร? แต่เพราะมารยาทเลยไม่ได้ถามออกไปและเธอก็รู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลา
ในอีกสองวันถัดมาต้วนจื่ออิ๋งถือตัวเองว่าเป็นคนในครอบครัว เธอค่อนข้างเป็นคนที่รู้จักตัวเองดีและหลังจากแสดงท่าทีบนโต๊ะอาหารค่ำเธอก็พบว่าผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลเย่ดูเหมือนจะไม่คัดค้านอะไร เธอก็ยิ่งกล้าแสดงออกมากขึ้น
ในบ่ายวันศุกร์ต้วนจื่ออิ๋งเฝ้ารอเขาเลิกงานในร้านขนมของเย่ชูวเสวีย เมื่อเห็นเขาเดินออกมาเธอก็วิ่งไปเกาะแขนเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “พี่จิงเหยียนไปเดินซื้อกระเป๋าเป็นเพื่อนหนูหน่อยนะ พรุ่งนี้จะสะพายไปเที่ยว”
แม่ของเธอกลัวว่าเธออยู่ที่เมืองAจะลำบากจึงให้เงินหนึ่งแสนหยวนแก่เธอ ซึ่งเพียงพอให้เธอใช้จ่ายได้สักพัก
“พี่เหนื่อยมาก อยากกลับบ้านแล้ว” เย่จิงเหยียนไม่คอยชอบการช้อปปิ้ง
“ไปกันเถอะนะ หนูซื้อของไม่นานหรอก” ต้วนจื่ออิ๋งเกาะแขนของเขาแน่นทำเอาพนักงานที่ผ่านเข้าออกมองดูอย่างเงียบๆ เย่จิงเหยียนไม่กล้าปฏิเสธจึงตอบตกลงไป “งั้นก็ได้”
ต้วนจื่ออิ๋งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เย่จิงเหยียนขับรถพาเธอไปห้างสรรพสินค้าบริเวณใกล้ๆ
เธอเดินนำหน้าเขาเย่จิงเหยียนเดินถือชุดสูทอยู่ด้านหลัง พอเดินผ่านร้านเสื้อผ้าผู้หญิงทำให้เขานึกถึงครั้งนั้นที่พาต้วนอีเหยามาซื้อเสื้อผ้า ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มเดทกันกับต้วนอีเหยา
เพียงไม่ถึงปีเธอก็จากไป
ต้วนจื่ออิ๋งสังเกตดูสีหน้าของเขาที่หนักอึ้งเลยอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่จิงเหยียนมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ ไม่สบายใจที่มาช้อปปิ้งกับหนูหรือเปล่าคะ?”
“เปล่าอ่ะ พี่แค่เหนื่อยนิดหน่อย” เย่จิงเหยียนพูดเบาๆ
“รอแป๊บหนึ่งนะคะใกล้จะซื้อเสร็จแล้ว เราไปดูร้านนั้นกันนะคะ”ต้วนจื่ออิ๋งดึงแขนของเขาเดินเข้าไปในร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมจากนั้นก็หยิบใบที่ชอบขึ้นมาแล้วถามว่า “ใบนี้สวยไหมคะ?”
“ก็โอเคนะ” เย่จิงเหยียนตอบแบบผ่านๆ
“แล้วใบนี้ล่ะคะ”
“ได้อยู่”
ต้วนจื่ออิ๋งถามไปเยอะมาก แต่เย่จิงเหยียนทำเพียงพยักหน้าตอบแล้วพูดสองคำว่า
“ได้อยู่”
“งั้นเอาใบนี้ก็ได้ค่ะ สวยและก็เป็นคอลเลคชั่นใหม่ด้วย” ต้วนจื่ออิ๋งเมื่อเลือกได้แล้วก็เดินไปจ่ายเงิน”เอาใบนี้ค่ะ ห่อให้อย่างดีด้วยนะคะ”
“สวัดดีค่ะคุณลูกค้า ทั้งหมด28888หยวนค่ะ” แคชเชียร์พูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มใจบริการ
เย่จิงเหยียนยื่นบัตรเครดิตให้แคชเชียร์คิดเงิน เขาคิดในใจตอนที่ต้วนอีเหยาจะซื้อเสื้อหนึ่งตัวราคาประมาณหนึ่งหมื่นหยวนยังบอกว่าแพงจะตาย แต่เธอซื้อกระเป๋าราคาเกือบสามหมื่นหยวนยังดูชิลๆ เธอทั้งสองคนช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่เดินออกมาจากร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนม เย่จิงเหยียนก็บังเอิญเจอกับคนรู้จักที่ชื่อว่าจ้าวเสวียน
“สวัสดีค่ะ นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าจะเจอท่านประธานเย่อยู่ที่นี้” จ้าวเสวียนยิ้มแปลก ๆ เมื่อเธอเห็นต้วนจื่ออิ๋งยืนอยู่ข้างๆเขาก็อึ้งไปสองสามวินาที “คุณคนนี้……หน้าตาคล้ายต้วนอีเหยามากเลยนะคะ”
เมื่อต้วนจื่ออิ๋งได้ยินเธอพูดถึงชื่อคนนั้นจึงแนะนำตัวเองต่อเธอ”สวัสดีค่ะ ฉันคือ
ต้วนจื่ออิ๋ง ไม่ใช่ต้วนอีเหยาค่ะ”
“ฮ่าฮ่า จริงๆแล้วงานอดิเรกของประธานเย่คือ…… ” จ้าวเสวียนยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ทหารต้วนคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ? อย่างว่านะเธอไม่ต้องการคุณ คุณเลยไปหาคนที่หน้าคล้ายเธอมาแทนที่อ่ะ”
เย่จิงเหยียนจ้องมองเธอด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงเขาก็อยากจะชกหน้าเธอ
“อย่ามองฉันแบบนี้สิ เพราะคำพูดของฉันก็เลยพาลโกรธ?”ตอนนี้จ้าวเสวียนไม่ใช่ลูกจ้างของเขาแล้ว เธอจึงไม่กลัวอะไร
เย่จิงเหยียนกำหมัดแน่นพร้อมกับเดินหนีจากตรงนั้น ต้วนจื่ออิ๋งรีบวิ่งตามเขาไป
ในระหว่างทางเย่จิงเหยียนไม่พูดอะไรแต่มีสีหน้าที่เคร่งเครียด เขาเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ต้วนจื่ออิ๋งที่นั่งอยู่เบาะข้างๆกลัวจนหลับตาแน่นพร้อมกับเอามือไปจับไว้ที่จับข้างประตูรถ
จนกระทั่งเธอรู้สึกว่าล้อรถกำลังจะหลุดเธอจึงพูดด้วยเสียงสั่นๆว่า “พี่จิงเหยียนขับช้ากว่านี้ได้ไหม”
“จี๊ด”มีเสียงเบรกอย่างรุนแรงและทันใดนั้นรถก็หยุดที่ข้างทาง ทำเอาต้วนจื่ออิ๋งสะดุ้งจนเหงื่อตก
หลายต่อหลายครั้งที่เขาจับพวงมาลัยรถเหมือนเอาชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้าย ในหัวของเขาคิดถึงเรื่องราวมากมาย ชีวิตบนโลกใบนี้ที่ไม่มีต้วนอีเหยามันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
บรรยากาศในรถอึดอัดมาก ต้วนจื่ออิ๋งจึงรวบรวมความกล้าที่จะถามว่า “พี่จิงเหยียน ต้วนอีเหยาคือใคร?เธอหน้าคล้ายหนูมากเลยเหรอคะ”
เย่จิงเหยียนเงยหน้าขึ้น เปิดหน้าต่างรถแล้วหยิบบุหรี่หนึ่งม้วนมาสูบ เขานิ่งไปนานก่อนพูดว่า”เธอเป็นผู้หญิงที่พี่รักมาก”
หัวใจของต้วนจื่ออิ๋งสั่นไหวแล้วถามว่า “แล้วเธอไปไหนแล้วล่ะคะ”
“เธอไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”เย่จิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สีหน้าโศกเศร้าอย่างหนักราวกับว่าเขาจะร้องไห้ในวินาทีถัดไป
ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกสะเทือนใจ เธอไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว? มิน่าล่ะพูดถึงชื่อนี้ทีไรพี่
จิงเหยียนมีสีหน้าเศร้าๆทุกครั้งเลย
“สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดก็ถูก พี่แค่เอาต้วนจื่ออิ๋งมาเป็นตัวแทนของเธอ แต่ยังไงก็ไม่สามารถมาแทนที่เธอได้อยู่ดี ไปเถอะอย่ามาหวังอะไรกับพี่เลย”เย่จิงเหยียนพูดอย่างเย็นชาเขาไม่ต้องการทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องด้วย
ต้วนจื่ออิ๋งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “หนูจะไม่ไปไหน ต่อให้เป็นตัวแทนของใครก็ตาม ในเมื่อพี่อีเหยาไม่อยู่แล้วให้หนูมาดูแลพี่แทนเธอเถอะนะ พี่ก็ทำเป็นว่าหนูคือเธอก็ได้ หนูไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
อย่างไรก็เป็นคนที่ไม่มีชีวิตบนโลกใบนี้แล้วคงจะมาแย่งเย่จิงเหยียนคืนไม่ได้ เพียงแค่เธออยู่ข้างๆเขาตลอดสักวันคงชนะใจเขาได้
เย่จิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจจึงพูดว่า “แต่ว่าพี่คงชอบเราไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ให้หนูชอบพี่ฝ่ายเดียวก็พอแล้ว” ต้วนจื่ออิ๋งยิ้มด้วยความเต็มใจ
เย่จิงเหยียนไม่รู้จะพูดอะไร
เป็นอย่างที่แม่เธอพูดไว้ว่าเธอเต็มใจที่จะเป็นแค่ตัวแทน
หลังจากกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านของตระกลูเย่ ต้วนจื่ออิ๋งก็ชวนเย่ชูวเสวียไปเดินเล่น
“ชูวเสวีย พี่อีเหยาเสียชีวิตเพราะอะไรเหรอ?”เธอเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมามาตลอด ไม่ชอบอะไรที่มันอ้อมค้อม
เย่ชูวเสวียมองเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอรู้ไดยังไง”
“พี่จิงเหยียนบอกฉันวันนี้และบอกว่าเขาใช้ฉันแทนของพี่อีเหยา” ต้วนจื่ออิ๋งถอนหายใจอย่างไรก็ตามสักวันเธอจะต้องขึ้นมาเป็นตัวจริงให้ได้
เย่ชูวเสวียไม่คาดคิดว่าพี่ชายของตัวเองจะพูดแบบนี้ “แล้วเธอคิดว่ายังไง?”
ต้วนจื่ออิ๋งยักไหล่ “ฉันยังไงก็ได้ แค่ได้คบหากับพี่จิงเหยียนฉันก็พอใจแล้ว
เฮ้อ……
เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าเธอควรจะบอกต้วนจื่ออิ๋งว่าโง่หรือยังไงดี นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้?
“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามที่ฉันเพิ่งถามไปเลยนะ” ต้วนจื่ออิ๋งเร่งเธอพูด
เย่ชูวเสวียถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่อีเหยาประสบอุบัติเหตุ”
“อ่อ แล้วพี่จิงเหยียนชอบพี่อีเหยามากเลยเหรอ?”
เย่ชูวเสวียยิ้มเบาๆก่อนหันไปมองเธอ “เธอถามพวกนี้ไปเพื่ออะไร”
ต้วนจื่ออิ๋งตบหน้าอกตัวเองเบาๆ “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฉันก็แค่อยากรู้จักเรื่องราวของพี่จิงเหยียนมากขึ้นแค่นั้นเอง ทุกครั้งที่เขาพูดถึงพี่อีเหยาเขาเหมือนคนสติแตกทุกครั้งเลย”
“เขาเคยสติแตกอย่างบ้าคลั่ง ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวญาติพี่น้องเขาคงตามพี่อีเหยาไปนานแล้ว”
“เขาเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เย่ชูวเสวียน้ำตาซึม”ใช่ เขายอมตายแทนพี่อีเหยาได้ เธอคิดว่าหนักไม่หนักล่ะ”
ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกสะเทือนใจมาก แต่เมื่อฟังแบบนี้กลับทำให้เธอรู้สึกชอบเย่จิงเหยียนมากขึ้น ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีและมีเสน่ห์แถมเป็นคนรักเดียวใจเดียวอีกต่างหาก ช่างสมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้
“ต้วนจื่ออิ๋ง ชีวิตของเธอยังอีกยาวไกล”เย่ชูวเสวียตบไหล่เธอเบาๆ
“ไม่เป็นไร ฉันมีความมั่นใจยังเหลืออีกตั้งห้าสิบหกสิบปีนะ ใครจะกลัวใครล่ะ”
วันรุ่งขึ้นอากาศแจ่มใส
เย่จิงเหยียนถูกต้วนจื่ออิ๋งชวนออกไปเที่ยวเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ต้องไปเที่ยวสองต่อสองกับผู้หญิง เขาสะกิดเย่ชูวเสวียที่กำลังกินข้าวอยู่ “ไปด้วยกันสิ”
“ไม่ไป วันเสาร์อาทิตย์ที่ร้านงานค่อนข้างยุ่ง” จริงๆแล้วเย่ชูวเสวียไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอ
เย่จิงเหยียนเลิกคิ้ว “แน่ใจเหรอ?”
เย่ชูวเสวียกดดันเล็กน้อย หันหน้าไปก็เจอสายตาพิฆาตจากพี่ชายตัวเอง ทันใดนั้นเธอนึกเรื่องที่เธอเจอหนานกงเจา ก็เลยรีบเปลี่ยนคำ “เอ่อ จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นหรอก ฉันไปด้วยก็ได้ เดี๋ยวเรียกเจ้ามอนสเตอร์น้อยไปด้วยไปกันเยอะๆจะได้สนุก พวกเรานานแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน”
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างพอใจ มันต้องอย่างนี้สิ
ต้วนจื่ออิ๋งยังไงก็ได้ แค่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเย่จิงเหยียนก็พอใจแล้ว ถึงคนจะไปกันเยอะก็ตาม
เย่ชูวเสวียเรียกให้ทุกคนรวมตัวกันออกเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวเมืองโบราณที่อยู่ไม่ไกลมาก
ณ เมืองหลวงที่แสนไกล
ต้วนอีเหยากับฮัวเสี่ยวกุ้ยกำลังขนถ่ายของลงจากรถ ไป่จิ่นอี้ก็เดินมาพอดี
“เธอสองคนไปพักก่อน เดี๋ยวฉันช่วยขนลงเอง”เขาพับแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นกล้ามแขนเล็กๆ
ต้วนอีเหยาเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มออกมา “นายมายังไง”
“พอดีผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะมา ฉันจะไปหาข้อมูลต่างๆที่โรงเรียนสักหน่อย” ไป่จิ่นอี้เอาดอกไม้มัดใหญ่ที่อยู่ในมือของเธอมาถือไว้ “เธอไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวฉันช่วย”
“มันไม่หนักสักหน่อย” ต้วนอีเหยาวางมือลง หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อากาศร้อนขนาดนี้ เธอไปพักหาน้ำดื่มก่อนเถอะเหลือนิดหน่อยเอง เดี๋ยวฉันช่วย”
ต้วนอีเหยามองดูฮัวเสี่ยวกุ้ยกับไป่จิ่นอี้ยุ่งอยู่การเดินเข้าเดินออก ใช้เวลาไม่นานดอกกุหลาบสดเต็มคันรถก็ถูกขนย้ายเข้าไปเก็บในโกดังหมดแล้ว
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นไป่จิ่นอี่้ก็ปาดเหงื่อที่ท่วมตัว แล้วถามต้วนอีเหยาว่า “ทำไมเธอถึงสั่งดอกกุหลาบจำนวนมากในคราวเดียว ถ้าขายไม่หมดจะทำยังไง?”
ต้วนอีเหยายื่นน้ำให้เขาหนึ่งขวด “อย่าลืมสิว่าในอีกสองวันนี้ก็ถึงเทศกาลชีซีแล้ว จะต้องมีคนจำนวนมากมาซื้อดอกกุหลาบในวันนั้นอย่างแน่นอน”
ไป๋จิ่นอี้จิบน้ำแล้วก็นึกขึ้นได้ “ใช่จริงๆด้วย ฉันลืมไปเลย” เขาหัวเราะออกมา”เฮ้อ คนที่ไม่มีแฟนอย่างฉันคงไม่มีใครให้ดอกไม้หรอก”
“จริงๆแล้วฉันก็จำเทศกาลพวกนี้ไม่ค่อยได้หรอก ถ้าไม่ได้ฮัวเสี่ยวกุ้ยเป็นคนบอกฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอเป็นคนทีค่อนข้างใส่ใจในทุกสิ่ง” ต้วนอีเหยาชมฮัวเสี่ยวกุ้ยที่กำลังปัดกวาดเช็ดถู หลังจากนั้นก็ถามไป่จิ่นอี้ว่า” พรุ่งนี้ไม่ใช่เป็นวันหยุดเหรอ นายยังต้องทำงานอีกเหรอ?”
“ฉันกำลังวิจัยหัวข้อสำคญเรื่องหนึ่งอยู่อ่ะ ต้องไปหาข้อมูลสักหน่อย”
“อ่อ งั้นนายรอแป๊บหนึ่งนะ”ต้วนอีเหยาเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ แล้วสักพักก็เดินถือกระถางพลูด่างสีเขียวชอุ่มออกมา กระถางทำจากกระเบื้องเคลือบสีขาว “ต้นพลูด่างนี้ฉันให้นาย นายเอาวางไว้ข้างๆคอมพิวเตอร์มันสามารถป้องกันรังสีได้ มันเหมาะกับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เยอะๆมากเลยแหละ”
ไป๋จิ่นอี้ประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็รับไว้ด้วยความเต็มใจ “ฉันกำลังอยากได้สักกระถางพอดี งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ”
“ฉันไม่ได้ให้นายเฉยๆนะ แต่ให้เพื่อเป็นการขอบคุณที่ครั้งนั้นนายช่วยฉัน”
ไป๋จิ่นอี้ยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงก็ถูกทุกอย่าง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนง่ายๆสบายๆไม่มีลับลมคมใน แน่นอนว่าเขาก็พอดูออกว่าเธอเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรอยู่ใกล้ชิดเธอไว้สักวันเธอจะมองเห็นเอง
หลังจากไป๋จิ่นอี้กลับไปแล้วต้วนอีเหยาก็เริ่มตรวจเช็คดอกไม้ในร้าน ฮัวเสี่ยวกุ้ยขยิบตาถามเธอ”พี่อีเหยา ทำไมอยู่ๆพี่ถึงไปสนิทกับหนุ่มหล่อคนนั้นได้”
“ก็ครั้งก่อนที่ไปช้อปปิ้งอ่ะ พี่ทำเครื่องช่วยฟังตกพื้นเกือบจะโดนรถชนแล้ว พอดีได้เขามาช่วยไว้หลังจากนั้นก็มีการเลี้ยงข้าวกันบ่อยๆเลยทำให้สนิทกัน”ต้วนอีเหยาอธิบายแบบง่ายๆ
ฮัวเสี่ยวกุ้ยพูดอย่างมีความหมายแฝง “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
แม้ว่าเธอจะดูออกว่าหนุ่มหล่อคนนั้นมีความสนใจในตัวของเจ้านายของเธอ แต่ว่าเรื่องแบบนี้เธอไม่ควรเข้าไปยุ่งจะดีกว่า เพราะเกรงว่าถ้าเจ้านายไม่ได้ชอบอีกฝ่ายหลังจากนี้อาจจะกลายเป็นว่ามองหน้ากันไม่ติด
เธอทั้งสองคนกำลังยุ่งอยู่กับงาน โทรศัพท์ของฮัวเสี่ยวกุ้ยดังขึ้นเธอเลยรับสายแบบเปิดลำโพงไปด้วย “ฮัลโหล มีอะไรเหรอ? ฉันกำลังงานยุ่งอยู่”
“ตอนเย็นเธอว่างไหม ฉันจะชวนเธอไปกินข้าว”เสียงเด็กวัยรุ่นผู้ชายดังมาจากในสาย
ต้วนอีเหยาฟังเสียงที่ดังออกมาจากสายโทรศัพท์ก็ต้องตกตะลึงใจ
เธอนึกว่าตัวเองฟังไม่ได้ยินเสียงในโทรศัพท์มาโดยตลอด แต่ถ้าเปิดลำโพงก็สามารถได้ยินได้? ถึงแม้ว่าจะฟังไม่ได้ชัดเจนแต่ก็พอได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแบบรางเลือน
ดูเหมือนว่าเครื่องช่วยฟังรุ่นใหม่นี้จะมีคุณภาพดีมาก
ตอนเที่ยงฮัวเสี่ยวกุ้ยออกไปซื้ออาหารกลางวัน ต้วนอีเหยากำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเปลพับ ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอไปเปิดดูรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์
ก่อนจากกันพ่อของเธอได้ให้เบอร์โทรใหม่แก่เธอ ความหมายก็คือให้เธอเริ่มต้นใหม่อย่าได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนนั้นอีก เธอเข้าใจความหมายของพ่อดีแต่เธอก็ยังเก็บเบอร์โทรนั้นไว้อยู่
เย่จิงเหยียน……เย่จิงเหยียน……
ต้วนอีเหยาเรียกชื่อของเขาในใจ เธอพบว่าเธอกำลังจะลืมเสียงของเขา
จ้องมองหมายเลขที่คุ้นเคยเป็นเวลานาน ต้วนอีเหยาหายใจเข้าลึกๆแล้วกดปุ่มโทรออกแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรแต่ได้ฟังเสียงของเขานิดเดียวก็ยังดี อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขาสบายดี
เสียง”ตู๊ด” ต้วนอีเหยาหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาเมื่อเขารับสาย
“ฮัลโหล?ใครเหรอ?”
เสียงของเขาอ่อนโยนมาก แต่ต้วนอีเหยาไม่สามารถควบคุมน้ำตาของเธอไม่ให้ไหลได้เธอเอาโทรศัพท์แนบหูเพื่อฟังเสียงของเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“ฮัลโหล?สายจากใครครับ?”
เสียงของเขายังคงอบอุ่นเสมอ ต้วนอีเหยาเอามือปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา น้ำตาของเธอไหลไม่หยุด
ในขณะนี้มีเสียงของหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากโทรศัพท์”พี่จิงเหยียนลองชิมอันนี้ดูค่ะ……เดี๋ยวหนูป้อนนะคะ……อร่อยไหมคะ?