ต้วนอีเหยารอให้พวกเขาขึ้นรถ จึงสตาร์ทรถไฟฟ้าอีกครั้ง รถทั้งสองคันสวนกัน ต้วนอีเหยาหันมองด้วยความกระตือรือร้น
จู่ๆเธอก็ลืมไปว่าเธอยังสวมหมวกกันน็อคอยู่บนหัว พอนึกขึ้นได้รถก็ผ่านไปด้านหลังเธอแล้ว
ทันทีที่คลายคันเร่ง รถไฟฟ้าก็มาจอดอยู่ที่ประตูร้านดอกไม้แล้ว นั่นคือจุดที่พวกเขายืนอยู่เมื่อกี้นี้ เขามองไปที่ผู้หญิงที่ปรากฏตัวที่หน้าประตูอย่างอ่อนโยน เหมือนกับสมบัติที่เขาหวงแหนที่สุด
ต้วนอีเหยารู้สึกเจ็บปวดใจ รู้ว่าเขากำลังห่างจากตนเองไปทีละนิดๆ รีบหันกลับไป เห็นเพียงแค่รถที่ห่างออกไปเย่จิงเหยียนในรถดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เปิดหน้าต่างรถ สิ่งที่เห็นคือผู้หญิงสวมหมวกกันน็อคสีชมพูคนหนึ่ง
เขาขมวดคิ้ว มองไปทางเธออยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า ผู้หญิงคนนี้ลักษณะท่าทางเหมือนกับอีเหยาเลย
“พี่จิงเหยาคุณเป็นอะไรหรอ?” ต้วนจื่ออิ๋งยังคงจมอยู่กับความสุขที่สร้างขึ้นด้วยดอกไม้สด หันมาอีกทีก็เห็นผู้ชายข้างๆใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ชะโงกหัวออกไปมองสำรวจ “ด้านนอกมีอะไรที่น่าดูหรอ?”
เย่จิงเหยียนรู้สึกได้ถึงมือที่อยู่บนไหล่ ก็เลยหดกลับมา แล้วปิดหน้าต่างทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เปล่า”
“อ่อ……” ต้วนจื่ออิ๋งเบ้ปากอย่างน้อยใจ เมื่อเหลือบไปเห็นดอกไม้บนเบาะ ก็อดยิ้มไม่ได้
ต้วนอีเหยายืนอยู่หน้าร้านดอกไม้ ค่อยๆถอดหมวกกันน็อค หัวเราะ ขนดอกยิปโซลงจากรถ เธอยังจะเฝ้ารออะไรอีก? ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ได้คาดหวังไว้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ?
พวกเขาป้อนอาหารกันอย่างสนิทสนม เขามอบดอกกุหลาบแทนความรักให้เธอ เธอนำมือสวยๆวางบนไหล่ของเขา ใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนั้น นอกจากคู่รักแล้วยังจะมีเหตุผลอะไรมาอธิบายอีกล่ะ……
“เจ้านาย คุณมองอะไรอยู่?” ฮัวเสี่ยวกุ้ยหยิบดอกกุหลาบมาหนึ่งกำมือแล้วกำลังจะเพิ่มพื้นที่วางให้กับของที่เพิ่งซื้อมา หันไปมองต้วนอีเหยาที่ยืนตกตะลึงอยู่นอกประตู บางคนมองไปในทิศทางที่เธอมองอย่างอยากรู้อยากเห็น
ไม่เห็นมีอะไรเลย……
“ไม่ ไม่มีอะไร” ต้วนอีเหยาสติกลับมา แล้วจัดการกับดอกยิปโซในมือต่อ
“เอ๊?” ถึงแม้ว่าฮัวเสี่ยวกุ้ยจะสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้ซักถาม ช่วยเธอขนดอกยิปโซจากรถเข้าร้านอย่างเงียบๆ
เดิมทีในมือของเธอก็มีดอกกุหลาบแล้ว หนามด้านบนยังไม่ได้รับการตัด ก็เลยถือโอกาสวางไว้ข้างๆก่อน เมื่อหันกลับมาต้วนอีเหยาก็ถือดอกกุหลาบไว้ในมือแล้ว
“เจ้านาย!” ฮัวเสี่ยวกุ้ยเห็นเลือดหยดอยู่บนก้านดอกไม้ ก็ตะโกนอย่างตกใจ “มือคุณเลือดออก!”
“ห๊ะ?” ต้วนอีเหยาเหมือนตื่นจากฝัน ฉับพลันก็เจ็บแปล๊บที่มือ ตอบกลับโดยการปล่อยดอกกุหลาบในมือ
ยืนใจลอยอยู่ ปล่อยให้ฮัวเสี่ยวกุ้ยยุ่งเข้าๆออกๆอยู่กับงาน แล้วหยิบยาทิงเจอร์ไอโอดีนมาฆ่าเชื้อให้เธอ ความเจ็บปวดในมือดูเหมือนจะหายไปทันที เธอเหมือนกับคนนอก มองดูเลือดที่ไหลออกมาจากแผล
“เจ้านาย คุณมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า?”
หลังจากจัดการดีแล้ว ทั้งสองย้ายเก้าอี้เล็กๆไปนั่งในลานบ้าน ฮัวเสี่ยวกุ้ยแอบๆสังเกตุอยู่พักหนึ่งจึงกระซิบถามต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยามองท้องฟ้า ที่มืดครึ้ม อากาศในเมืองหลวงหลายปีมานี้แย่ลง สีเทาเช่นนี้เหมือนกับอารมณ์ของเธอในขณะนี้
“บังเอิญเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่ง”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยดูเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ “เพื่อนเก่าคนนั้นต้องมีความสำคัญกับคุณมากๆแน่เลยใช่ไหม!”
“ก็ประมาณนั้น” ต้วนอีเหยาจิตใจล่องลอยไปไกล นึกถึงเรื่องต่างๆนานาเมื่อก่อนของตนเองกับเย่จิงเหยียน ถอนหายใจ “แค่รู้สึกว่าสิ่งต่างๆไม่เที่ยงแท้”
“หื๊อ?”
“มักจะมีคนไม่กี่คน ที่คุณรู้สึกว่าสำคัญมาก แต่ว่าในชั่วพริบตาเขาก็กลายเป็นที่พึ่งพิงของคนอื่น”
“เจ้านาย……นี่ก็อาจจะเป็นพรหมลิขิต” ฮัวเสี่ยวกุ้ยจะไม่เข้าใจอย่างไรก็รู้ว่าต้วนอีเหยาได้พบกับคนรักเก่า เธอไม่รู้ว่าควรจะปลอบเธออย่างไร จึงได้แต่เลือกคำพูดที่รื่นหูเกี่ยวกับโชคชะตาฟ้าลิขิตนี้
แต่ว่าเธอไม่รู้ ในตอนนั้นต้วนอีเหยารู้สึกว่าเธอกับเย่จิงเหยียนเป็นพรหมลิขิต ตอนนี้ใช้อยู่กับคนอื่น ความรู้สึกในใจก็ชัดเจนอย่างมาก
เดิมที……ตอนนี้เขากับคนอื่นสิจึงจะเป็นพรหมลิขิตกัน
คิดเช่นนี้แล้ว จู่ๆต้วนอีเหยาก็อ่อนแอลง เธอเสียใจเพราะเขา แต่ทว่าเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ถึงกับเอาใจอีกคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจ ช่างน่าตลก……
เธอยิ้มมุมปาก แต่นิ้วมือที่กำแน่นโดยไม่รู้ตัวเผยความในใจของเธอ บาดแผลก็แยกอีกครั้ง
“อีเหยา”
ต้วนอีเหยาได้ยินใครบางคนเรียกเธอ หันไปดู ไป๋จิ่นอี้สวมเสื้อยืดสีขาวยืนอยู่นอกลานบ้านและยิ้มให้เธอ
ต้วนอีเหยาใจลอย เหมือนกับหุ่นกระบอก แล้วก็ยิ้มให้เขา “คุณมาได้ยังไง”
“วันนี้ไม่มีสอน ก็เลยมาดูว่าฉันจะช่วยอะไรได้ไหม”
เขาเดินเข้ามาอย่างคุ้นเคย ย้ายเก้าอี้มาหนึ่งตัว นั่งข้างๆต้วนอีเหยา ช่วยเธอจัดดอกไม้บนพื้น
“วันนั้นที่เห็นคุณมีเรื่องที่ยังไม่ได้พูด วันนี้เลยอยากจะถามสักหน่อย……”
“อะไรหรอ?” ต้วนอีเหยาหันไปมองอย่างประหลาดใจ
“ตอนค่ำไปทานข้าวกับฉันไดไหม?”
“ตอนค่ำ?” ต้วนอีเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่า?”
“ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญหรอก แค่อยากให้เธอมากินข้าวด้วยกันกับฉัน”
“แค่นี้หรอ?”
เห็นไป๋จิ่นอี้พยักหน้า ต้วนอีเหยามองเขาอย่างลังเล “ตอนค่ำค่อยว่ากัน”
ตอนค่ำเก็บห้องดอกไม่เสร็จแล้ว ต้วนอีเหยาก็ให้ฮัวเสี่ยวกุ้ยเลิกงานไปก่อน ตนเองยังยุ่งกับงานอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไป๋จิ่นอี้ยังคงรออยู่ที่นอกประตูอย่างอดทน ก็ถอนหายใจ แล้วเดินออกมา
“ไปกันเถอะ”
“หื๊ม?” ไป๋จิ่นอี้ยิ้มอย่างงดงาม จู่ๆเธอก็พูดออกมา ไม่ได้ฟังคำพูดของเธออย่างชัดเจน แต่เห็นว่าเธอเดินไปที่รถ ก็พอจะคาดเดาได้
เขาจองที่นั่งไว้แล้ว เวลานี้ก็สั่งอาหาร พอพวกเขามาถึง ข้างนอกก็มีคนต่อแถวยาวเหยียดแล้ว
ไป๋จิ่นอี้พาต้วนอีเหยาตรงไปที่ห้องวีไอพี บริกรก็ยืนรับออเดอร์อยู่ตรงหน้าโต๊ะของพวกเขาทันที
“คุณผู้ชาย น้ำดื่มต้องการเป็นกาแฟหรือน้ำเปล่า?”
“อีเหยา คุณว่าไง?” ไปจิ่นอี้เงยหน้าขึ้น ส่งสายตาถามเธอ
ต้วนอีเหยาพยักๆหน้า “ขอเป็นน้ำเปล่า”
“งั้นคุณอยากกินอะไรล่ะ?”
“อะไรก็ได้” ต้วนอีเหยาไม่เคยมาที่โรงแรมนี้ ไม่รู้จักอะไรเลย ได้แต่เปิดเมนู “คุณสั่งเถอะ ฉันอะไรก็ได้”
ไป๋จิ่นอี้พยักหน้า ก็ไม่ถ่อมตัวเกินไป หยิบเมนูขึ้นมาและเริ่มสั่ง “เอาอาหารขึ้นชื่อทุกอย่างของร้านพวกคุณ ไวน์แดงหนึ่งขวด เพิ่มชีสเค้กหนึ่งชิ้น แค่นี้ก่อน”
ปิดเมนู บริกรโค้งคำนับด้วยความเคารพ ไป๋จิ่นอี้มองไปที่ต้วนอีเหยาที่อยู่ตรงหน้าเขา เธอกำลังดูเล็บอย่างเบื่อๆ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” รออาหารมาเสิร์ฟเกือบจะครบแล้ว ต้วนอีเหยาก็อดถามไม่ได้
ตั้งแต่เข้าไปในร้าน ไป๋จิ่นอี้ก็มองเธอหลายครั้งทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ มันเป็นความเลินเล่อของเธอ อดไม่ได้ที่จะอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ไป๋จิ่นอี้ได้ยินเธอถามตนเอง ก็ก้มหน้าทันที ไม่มองเธออีก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เขาจึงตัดสินใจสารภาพในวันนี้ คาดไม่ถึงว่าดวงตาที่เป็นประกายของต้วนอีเหยาที่อยู่ตรงหน้าจะทำให้เขาไม่สามารถมองได้ตรงๆ
“ทานข้าวก่อนเถอะ” ไป๋จิ่นอี้ขยับจานไปตรงหน้าเธอ “หอยทากอบนี่เป็นของขึ้นชื่อร้านนี้ คุณลองชิมหน่อย”
ต้วนอีเหยาเห็นอาหารน่าอร่อย ก็ลืมคำถามเมื่อกี้นี้ไปชั่วขณะ คีบชิ้นหนึ่งใส่ปากเพื่อลองชิม ดวงตาก็เป็นประกาย “อื้ม! อร่อยนะ!”
“คุณชอบก็ดีแล้ว”
ไป๋จิ่นอี้แอบๆเธอถอยหายใจ เพื่อตามหาสิ่งที่ทำให้เธอพึงพอใจ เขาแทบจะวิ่งรอบเมืองดูร้านอาหารทั้งหมด ในที่สุดก็เลือกร้านนี้
“อืมอืม คาดไม่ถึงว่าอาหารฝรั่งเศสที่นี่จะเป็นต้นตำรับ!” ต้วนอีเหยาเคี้ยวอย่างพิถีพิถันแล้วก็อดทอดถอนหายใจไม่ได้
เสลาผ่านไปสักพัก ไป๋จิ่นอี้ก็มองไปที่นาฬิกาข้อมืออยู่หลายครั้ง รอให้ต้วนอีเหยากินดื่มเสร็จแล้ว เมื่อเตรียมเช็ดปาก ก็แอบๆส่งสัญญาณมือ
ทันใดนั้น เพลงก็บรรเลงขึ้นมาจากด้านหลัง ไวโอลิน เชลโล่ เปียโนช่วยเสริมกันและกัน ดูอบอุ่นไพเราะ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะเคลิบเคลิ้ม
“นี่……นี่เกิดอะไรขึ้น?” ต้วนอีเหยายังไม่เข้าใจสถานการณ์ สังเกตุการณ์โดยรอบห้องวีไอพีอย่างงงๆเล็กน้อย ท้ายที่สุดสายตาก็หยุดอยู่ที่ไป๋จิ่นอี้
“อีเหยา” ไป๋จิ่นอี้เรียกชื่อเธอและยืนขึ้น เขาค่อยๆเดินเข้าไปหาเธอ พอเดินถึงตรงหน้าเธอ ก็หยุดลง
หยิบกล่องขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าต้วนอีเหยา “ฉันชอบคุณ ตกหลุมรักคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน เดิมทีเตรียมจะสารภาพกับคุณในวันวาเลนไทน์ แต่คุณมีธุระก็เลยรอถึงวันนี้”
“อีเหยา เป็นแฟนกับฉันนะ!”
คำสารภาพที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันคาดคิดทำให้ต้วนอีเหยาตกตะลึง เธอมองผู้ชายตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ชั่วขณะก็ไม่สามารถรับได้
วันนี้ เธอเพิ่งจะเจอสถานการณ์ที่ไฟลุกโชน พอนึกถึงเย่จิงเหยียน เธอก็อดตัวสั่นไม่ได้ ตอนนี้เขามีคนที่สามารถอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตแล้ว ทิ้งเธอไว้คนเดียวลำพัง
“จิ่นอี้ ฉัน……”
“ไม่เป็นไร คุณไตร่ตรองดูก่อนก็ได้ ฉันรอคุณได้” ไป๋จิ่นอี้กลัวว่าเธอจะปฏิเสธ จึงรีบพูดอย่างรวดเร็ว แต่ความเสียใจภายในแววตาก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาต้วนอีเหยาไปได้
เธอละอายใจไปชั่วขณะ ชอบคนๆหนึ่ง ทว่ารักไม่ได้ เธอก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน ทว่าตอนนี้เธอกลับทำร้ายเขาอยู่……
ชั่วชีวิตนี้เธอไม่อาจมีความสุขได้อยู่แล้ว ฉะนั้นจะตอบรับใคร จะอยู่ด้วยกันกับใครมันจะมีความหมายอะไรล่ะ?
ต้วนอีเหยายิ้มๆ เก็บซ่อนความรู้สึกที่ลึกที่สุดภายในใจ จับมือที่จะถอยกลับของไป๋จิ่นอี้ “ฉันตอบรับคุณ”
“อะไรนะ?”
ไป๋จิ่นอี้รู้สึกไม่น่าเชื่อ เขาเบิ่งตาโพรงจ้องมองไปยังคนตรงหน้า ยิ้มอย่างดีใจเป็นที่สุด “อีเหยา คุณพูดอะไรนะ?”
“ฉันบอกว่า ฉันตอบรับคุณ” ต้วนอีเหยาพูดช้าอย่างมาก แต่ละคำๆล้วนออกเสียงอย่างชัดเจน
“คุณตอบรับฉันแล้ว?”
เขายังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเหมือนเดิม หยิบแหวนในกล่องออกมา สวมที่นิ้วนางของเธอ ยืนขึ้นแล้วโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด
ต้วนอีเหยานึกไม่ถึงว่าเขาจะตื่นเต้นขนาดนี้ ยกมือที่ข้างลำตัวขึ้นไปลูบหลังเขาเบาๆ
ไป๋จิ่นอี้โอบกอดเธอพูดจาสะเปะสะปะ “อีเหยา ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะตอบรับเร็วขนาดนี้ จริงๆ ฉันดีใจจัง!”
“จริงๆคุณชอบฉันขนาดนั้นเลยหรอ?” ในใจของต้วนอี้เหยาว่างเปล่า เธอไม่ได้รู้สึกดีอกดีใจมากนัก ถึงแม้ว่าการมีคนชอบเธอจริงๆเป็นเรื่องราวที่น่ายินดี แต่เวลานี้ในสมองของเธอเต็มไปด้วยผู้ชายอีกคนหนึ่ง
“คุณอาจจะไม่เชื่อ ตั้งแต่ได้พบหน้าเวลานั้นฉันก็ชัดเจนว่าเป็นคุณ รู้สึกแบบว่า……รู้สึกแบบฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่คนทั่วไปมักพูดกันบ่อยๆว่าเป็นรักแรกพบ”
ไป๋จิ่นอี้พูดไร้สาระข้างๆหูเธอไม่จบ ต้วนอีเหยาฟังอยู่นาน เธอบังคับตนเองไม่ให้ไปคิดถึงเย่จิงเหยียนและผู้หญิงข้างกายเขาอีก มือก็โอบไป๋จิ่นอี้กลับไปโดยไม่รู้ตัว
รู้สึกได้ถึงการตอบรับของเธอ ไป๋จิ่นอี้ก็หยุดไปชั่วขณะ จากนั้นก็กอดต้วนอีเหยาแน่นขึ้น
โรงแรมอิมพีเรียลฮอตสปริง เย่จิงเหยียนนั่งอยู่บนโซฟา ไวน์แดงในมือที่ไหลริน จู่ๆ ในใจก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาอย่างฉับพลัน นิ้มมือคลาย แก้วไวน์แดงในมือก็หล่นลง
“เพล้ง——”
แก้วแตกกระจาย ชิ้นส่วนกระเด็นไปที่ขาของเขา บาดเป็นบาดแผลเส้นยาว
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วไม่ได้สนใจบนขา มือจับที่หน้าอก ปวดจนทำให้เขาหมดหนทางที่จะหายใจ
“พี่จิงเหยียน!”
ต้วนจื่ออิ๋งเดินออกมาจากห้องครัว เห็นเย่จิงเหยียนเอนกายอยู่บนโซฟา อดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยความตกใจ
เธอเพิ่งออกไปล้างแก้ว ชั่วพริบตาเดียวทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?
และหลังตากเย่จิงเหยากลับโรงแรม ระหว่างทางที่เธอกลับไปบ้านของตนเอง ในใจก็เป็นห่วงเขาโดยตลอด จึงรีบเข้ามา
เพียงเข้าประตู เขาก็กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่บนโซฟา เธอนั่งอยู่ข้างๆอย่างนิ่งเฉย สุดท้ายพอเข้าห้องครัวก็ได้ยินเสียงแก้วแตกมาจากห้องรับแขก รีบวิ่งออกมาดู ก็เห็นเป็นฉากแบบนี้แล้ว
“คุณเป็นอะไรไป? พี่จิงเหยียน” ต้วนจื่ออิ๋งหันไปกดกริ่งเรียกบริกรให้คนเอากล่องยาขึ้นมา
“ฉันไม่เป็นไร” เย่จิงเหยียนพยายามลุกขึ้น เห็นน้ำตาของต้วนจื่ออิ๋ง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจ ผลักเธอออก แล้วเข้าห้องนอนไป
ต้วนจื่ออิ๋งนั่งอยู่บนโซฟา น้ำตาสองสายไหลออกมาอย่างเจ็บปวดรวดร้าว รอจนกริ่งประตูดังขึ้น จึงค่อยๆเช็น้ำตาแล้วเดินไปเปิดประตู
บริกรยืนอยุ่ที่หน้าประตู ถามอย่างนอบน้อมว่า “คุณผู้หญิง คุณต้องการกล่องยาใช่ไหมครับ?”
“อื้ม”
ต้วนจื่ออิ๋งรับกล่องยามา “ปัง” เสียงปิดประตู
วิ่งไปเคาะประตูห้องของเย่จิงเหยียน “พี่จิงเหยียน คุณเป็นยังไงบ้าง? ฉันไปเอากล่องยามา ช่วยคุณพันแผลไหม?”
รอสักครู่ใหญ่ๆ ไม่ได้ยินเสียงตอบสนอง ก็เคาะประตูแล้วพูดซ้ำคำเดิมอีก จนผ่านไปครั้งที่หก ในที่สุดเย่จิงเหยียนก็สุดที่จะทนได้ ออกไปเปิดประตูให้เธอ
ด้านในห้องนอนมืดตึ๊ดตื๋อ เย่จิงเหยียนนั่งสูบบุหรี่อยู่ด้านหัวเตียง ควันกำลังลอยขึ้นในอากาศ มองแล้ววต้วนจื่อิ๋งก็เคลิบเคลิ้มเล็กน้อย
เย่จิงเหยียนกระดิกนิ้วไปยังเธอ เธอก็เดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง “พี่จิงเหยียน ฉัน……..”
ครึ่งคำหลังยังไม่ทันได้เอ่ย เย่จิงเหยียนก็พลิกฝ่ามือนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด “ไม่ต้องพูด ให้ฉันกอดสักครู่หนึ่ง”
หัวใจของเขาเมื่อกี้เจ็บปวดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลังจากนั้นในสมองของเขาก็เต็มไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มของต้วนอีเหยา อยากจะสูบบุหรี่ให้ใจเย็นๆ แต่ไม่คาดคิดยิ่งสูบก็ยิ่งจนปัญญาที่จะระงับความคิดถึงเธอ
“อีเหยา คุณกำลังตำหนิฉัน” เย่จิงเหยียนคิดเช่นนั้น
เขาหาคนมาแทนที่เธอ เธอจะต้องตำหนิตนเองอย่างแน่นอน ตำหนิที่เขาทรยศความรักความผูกพันธ์ของพวกเขา
ในห้องนอนนอกจากลมหายใจของคนทั้งสองแล้ว ที่เหลือก็คือความเงียบสงัด ต้วนจื่ออิ๋งหายใจได้ไม่สะดวกในความกดอากาศต่ำนี้ เธออดทนอดกลั้นแล้วยังเอ่ยปากถามว่า “พี่จิงเหยียน แผลบนตัวของคุณ……..?”
เย่จิงเหยียนได้ยินเสียงของเธอ ก็ปล่อยมือให้เธอออกจากในอ้อมกอด “ฉันไม่เป็นไร ดึกแล้ว คุณกลับไปเถอะ”
“ฉันจะเรียกคนไปส่งคุณ”
พูดพลาง เขาก็หยิบมือถือขึ้นมา ต่อสายโทรไปยังเบอร์หนึ่ง พูดกับคนในสายสองสามคำ หลังจากฝ่ายตรงข้ามตอบสนองแล้ว ก็วางสายมือถือไป
“พี่จิงเหยียน ฉันไม่ไป” ต้วนจื่ออิ๋งอทบอยากจะอุดปากของตนเอง เมื่อกี้พี่จิงเหยาบอกเธอไม่ให้พูด เธอยังจะพูด ตอนนี้กอดก็ไม่กอด ยังจะไล่เธอไปอีก……..
“คุณไม่ไปแล้วจะนอนไหน?” เย่จิงเหยียนหยิบก้นบุหรี่ขึ้นมาและใส่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ ลุกขึ้นยืนปัดขี้บุหรี่ที่ตัว “ห้องของโรงแรมนี้ถูกคนของบริษัทเราเข้าพักเต็มหมดแล้ว ไม่มีห้องมากกว่านี้แล้ว”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่รักสบายขนาดนั้นหรอก นอนบนโซฟาก็ได้” ต้วนจื่ออิ๋งกวาดสายตาไปยังห้องรับแขก ด้านนอกไม่ได้ปิดไฟ มองแว๊บเดียวก็รู้ชัดเจน
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว “ไม่ได้ พวกเราอยู่ห้องเดียวกันจะถูกคนนินทาเอาได้”
“ฉันไม่กลัว!”
“พาลหาเรื่อง!” เย่จิงเหยียนตวาดเสียงเคร่งขรึม “คุณเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ต้องการชื่อเสียงได้ยังไง”
ต้วนจื่ออิ๋วได้ยินเสียงที่แฝงไปด้วยความโกรธของเขา พูดเบาๆว่า “แต่ฉันเป็นคนของคุณแล้วนะ!”
เย่จิงเหยียนตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าเธอจะพูดออกมาแบบนี้ ทำให้เขาพูดไม่ออกอย่างคาดไม่ถึง
สักครู่ใหญ่ เย่จิงเหยียนวางมือลงอย่างไร้เรี่ยวแรง “ฉันรู้ว่าที่คุณพูดหมายถึงอะไร แต่จื่ออิ๋ง ในใจฉันยังไม่สามารถลืมอีเหยาได้ อยู่ด้วยกันกับคุณไปเฉยๆแบบนี้ มันไม่ยุติธรรม”
“ฉันไม่ใส่ใจ ถึงแม้ในใจคุณยังมีพี่อีเหยา แต่ต้องการเพียงอยู่ด้วยกันกับฉัน สักวันหนึ่งคุณจะต้องประทับใจฉัน”
ต้วนจื่ออิ๋งโอบเอวของเย่จิงเหยียน เสียงอ่อนโยน “ฉันต้องการเพียงอยู่เคียงข้างพี่จิงเหยาไปตลอดชีวิตก็พอแล้ว”
“เฮ้อ……”
เย่จิงเหยียนถอนหายใจ บนโลกนี้ที่ไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือคนลุ่มหลงในความรัก เพียงแต่ต้วนจื่ออิ๋งหลงรักคนผิด เขาอาจไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกของเธอได้อีกต่อไป
“พี่จิงเหยียน เราแต่งงานกันดีไหม?”
ต้วนจื่ออิ๋งโอบกอดเขา แรงในมือโอบไว้แน่น กลัวว่าเขาจะปฏิเสธตนเอง
และต่อมาก็เงียบอยู่สองสามนาที เย่จิงเหยียนก็คิดไปเรื่อยเปื่อย แต่งงาน? ตั้งแต่แยกจากกับต้วนอีเหยา เขาก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร
ตอนนี้จู่ๆจื่ออิ๋งก็พูดว่าต้องการแต่งงานออกมา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับยังไง ชาตินี้เขาจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ไม่สนใจแล้ว แต่ต้วนจื่ออิ๋งที่เขาทำให้ได้รับความเสียหาย ตอนนี้เธอเอ่ยปากให้เขารับผิดชอบ แล้วจะปฏิเสธอย่างไม่ละอายใจได้ยังไง
ต้วนจื่ออิ๋งเห็นเขาไม่ตอบรับ เงยหน้าขึ้นจ้องมองเย่จิงเหยียนเหยียนอย่างน่าสงสาร “จริงๆฉันไม่ได้สนใจคนอื่นที่อยู่ในใจคุณ ฉันต้องการเพียงเห็นคุณในทุกๆคืน ทุกคืนสามารถบอกราตรีสวัสดิ์กับคุณได้ ดีไหม? พี่จิงเหยียน……..”
เย่จิงเหยียนปล่อยให้เธอโอบกอดเอวของตนเอง ในใจขึ้นลงเป็นคลื่น ถ้าเธอไม่รังเกียจ เขาจะสามารถมีความคิดอะไรได้อีก กลับกันใจของตนเองก็ตายไปนานแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่กับใคร?
“ถ้าคุณไม่รังเกียจจริงๆ………”
ฉันไม่รังเกียจ!”
ต้วนจื่ออิ๋งเบิ่งตาโพงด้วยความดีใจ “พี่จิงเหยียน นี่คุณตอบรับฉันแล้วหรอ?”
เย่จิงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย ปล่อยเดิมทีโอยมือของเขา กระโดดโลดเต้นอยู่ด้านหน้าเขา
เธอวนล้อมรอบข้างๆตัวเย่จิงเหยียน ยิ้มสดใสเหมือนดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ด้วยส่วนสูงที่แตกต่างกัน เย่จิงเหยียนสามารถก้มมองที่ศีรษะของเธอได้
“ฉันตอบรับคุณแล้ว ตอนนี้กลับไปได้แล้วหรือยัง?” เย่จิงเหยียนจนปัญญาที่จะระงับอารมณ์ ก้มหน้าแล้วกล่าวถาม
“ไม่ คืนนี้ฉันต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณ!”
เธอเพียงแค่บุ่มบ่ามแต่ไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าเย่จิงเหยาถึงแม้ว่าจะเหมือยคนที่ไม่ได้เป็นอะไร แต่เมื่อกี้จะต้องเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่นอน
ตกลงเป็นเรื่องอะไรที่สามารถทำให้พี่จิงเหยาทุกข์ทรมานได้ขนาดนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับพี่อีเหยาอย่างแน่นอน ทันทีเธอก็ต้องการกลายเป็นภรรยาของพี่จิงเหยา ยิ่งเป็นเวลานี้แล้วก็ยิ่งไม่สามารถแยกจากเขาได้
วันที่สอง ต้วนจื่ออิ๋งเก็บกวาดอย่างคึกคักแต่เช้า รอจนเย่จิงเหยียนลืมตาอย่างสะลึมสะลือ เธอก็นอนฟุบอยู่บนเตียง ปรากฎต่อหน้าเขา พูดอย่างอ่อนโยนมากว่า “อรุณสวัสดิ์”
เย่จิงเหยียนตกตะลึง หลีกเลี่ยงการจับจ้องของเธอทันที ตอบกลับประโยคหนึ่งว่า “อรุณสวัสดิ์”
“พี่จิงเหยา ฉันทำอาหารเช้าให้คุณ คุณรีบลุกขึ้นมาทานเถอะ!”
เย่จิงเหยียนฟังจบก็อดไม่ได้ที่จะขนหัวลุก อาหารเช้า? ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ อาหารกลางวันเมื่อสองสามวันก่อน เธอก็เกือบจะทำห้องครัวระเบิด
คิดถึงตรงนี้ เขาก็รีบลุกขึ้น ไม่สนใจสวมใส่เสื้อผ้า รีบวิ่งเข้าห้องอาหารไป จมูกดมกลิ่นๆ ยังดี ไม่มีกลิ่นเขม่าน้ำมันอะไรให้ฉุนจมูก
เขาเห็นจานสองใบที่ว่างอยู่บนโต๊ะ ด้านบนใช้ฝาครอบปิดไว้สนิท แต่ละจานมีแก้วนมแก้วหนึ่งวางไว้ข้างๆ
เดิมทีเย่จิงเหยียนอยากจะดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง แต่ก็ยังไม่วางใจ เดินเข้าไปมองดูในห้องครัว เห็นแน่นอนแล้วว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆจึงเดินออกมา
ต้วนจื่ออิ๋งก็ตามเธอมาถึงข้างโต๊ะอาหาร “พี่จิงเหยา คุณนั่งลงก่อนเถอะ!”
เย่จิงเหยียนนั่งลงไปด้วยใบหน้างุนงง มองต้วนจื่ออิ๋ง เธอปรบมืออย่างพอใจ โน้มตัวลงไปเปิดจานที่อยู่ใกล้เย่จิงเหยียนมากที่สุด
“นี่คืออาหารเช้าที่ฉันทำให้คุณเองกับมือ พี่จิงเหยียนคุณลองชิมดู!”
ไปตามการกระทำบนมือของเธอ สายตาเย่จิงเหยียนมองจากฝาครอบไปยังของที่อยู่ในจาน สายตาหยุดนิ่ง
อาหารเช้าที่อยู่ในจานเหมือนกับที่เธอทำซะที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นผลไม้หลายขนาดและขนมปังสองสามชิ้นที่ซื้อข้างนอก
เย่จิงเหยียนหยิบสับปะรดชิ้นหนึ่งภายใต้การจ้องมองของเธอและใส่ลงในปาก อดทนต่อรสเปรี้ยวที่พุ่งพล่าน ฝืนกลืนมันลงไป
“เป็นยังไงบ้าง?” ต้วนจื่อิ๋งจ้องมองเย่จิงเหยียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง “นี่คือฉันจัดให้เป็นพิเศษ รสชาติโอเคไหม?”
“มีดที่คุณหั่นผลไม้เคยหั่นหัวหอมมาก่อนใช่ไหม?”
ต้วนจื่ออิ๋งสายตาปรากฎความงุนงง จู่ๆก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง “อ่า! เมื่อกี้เดิมทีฉันอยากทำเนื้อเสต็กให้คุณ แต่หาหม้อไม่เจอดังนั้นอาจจะไปหั่นหัวหอมแล้วไม่ได้ล้าง!”
“ทำไมหรอ?”
“ไม่……ไม่มีไร” เย่จิงเหยียนกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นออกจากมุมตาของเขา หยิบนมที่อยู่ด้านข้างมาดื่มอึกหนึ่ง ก็สำลักและไอขึ้นมาทันที
“ในนมใส่อะไรลงไป?”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันเห็นเมื่อวานคุณไม่สบาย ก็เลยเพิ่มหวงเหลียนเล็กน้อยเพื่อระบายความร้อนให้คุณ”
เย่จิงเหยียนจุกอยู่ในคอไม่พูดจา ตอนนี้ในปากของเขาเต็มไปด้วยรสของหวงเหลียน ขมจนเกินทน
ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกได้ถึงความกดดันที่ต่ำลงของเย่จิงเหยียน มองเขาอย่างน้อยใจ “พี่จิงเหยียน? ฉัน……ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า”
เย่จิงเหยาอ้าปาก คายออกมาหมด “รินน้ำมาให้ฉันแก้วหนึ่ง”
ต้วนจื่ออิ๋งตอบรับ รีบวิ่งไปที่ตู้กดน้ำของห้องรับแขกรินน้ำมาให้เย่จิงเหยียนแก้วหนึ่ง ยื่นส่งข้ามโต๊ะให้กับเขา
เย่จิงเหยียนคว้าแก้วไม่ได้คำนึงถึง ดื่มน้ำเย็นเข้าไปอึกใหญ่ เพิ่งตื่นขึ้นมาตอนเช้า กระเพราะยังคงอบอุ่น น้ำเย็นลงท้องไป ทันใดความรู้สึกไม่สบายก็เกิดขึ้น
“เป็นอะไรไป?” ต้วนจื่ออิ๋งเห็นเย่จิงเหยียนปิดท้อง เดินเข้าไปสังเกตดู แต่ถูกเย่จิงเหยียนโบกมือให้กลับไป
เขาดีขึ้นสักพักแล้ว จึงพูดเบาๆว่า “ฉันไม่เป็นไร คุณไม่ต้องเข้ามาแล้ว”
ทันทีต้วนจื่ออิ๋งก็จะร้องไห้ออกมา “คุณเป็นแบบนี้จะไม่เป็นไรได้ยังไง!”
“เพียงแค่คุณไม่เข้ามาฉันก็จะไม่เป็นไร”
“ฉัน…….”
ต้วนจื่ออิ๋งคิดไม่ออกว่าตนเองทำผิดพลาดตรงไหน เมื่อกี้ตอนตื่นนอกก็ยังดีๆอยู่ หรือว่าเธอทำอาหารเช้าไม่อร่อย?
เธอหยิบสับปะรดชิ้นหนึ่ง ใส่ลงในปาก เคี้ยวอย่างละเอียด ไม่มีปัญหาอะไรนี่!