เย่จิงเหยียนเหมือนไม่ได้ยิน สะบัดมือของต้วนจื่ออิ๋งออก เดินมึนงงไปทางต้วนอีเหยา
เสื้อของต้วนอีเหยาเปล่งประกายระยิบระยับ ถึงแม้ว่าไฟจะมืดมิด แต่ว่าอยู่ในกลุ่มผู้คนก็สามารถทำให้เขามองเห็นได้ เย่จิงเหยียนรุกเข้าหาเธออย่างรุนแรง
ในสมองของเขาไม่มีความคิดอื่นแล้ว เพียงแค่ทำตามเสียงนั้น อย่าหยุด อย่าหยุด…….
ต้วนอีเหยาก็มึนงงมองมาที่เขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ข้างหูเธอค่อยๆเลือนหายไป ในดวงตาสีดำคู่นั้นมีเพียงเขา แสงไฟสาดส่องมาแต่ทว่าสีหน้าที่แสดงออกมาของเขาถูกปิดบังอยู่ มองเห็นไม่ชัด
สุดท้ายหลังจากที่รอมานาน เย่จิงเหยียนก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ เขาพูดลองหยั่งเชิงว่า”อีเหยา?”
หลังจากที่เรียกออกมาถึงได้พบว่าเสียงตัวเองแหบแห้งไม่คล้ายคำพูด ต้วนอีเหยายืนอยู่ที่เดิม เธอตอบกลับไป แต่ทว่าทำไมถึงไม่มีเสียงออกไป ทำได้เพียงผงกศีรษะ
“ใช่เธอจริงๆใช่ไหม?” เย่จิงเหยียนไม่กล้าที่จะเชื่อยื่นมือออกไป กำลังจะสัมผัสที่หน้าเธอก็ได้หยุด เขาไม่กล้าที่จะสัมผัสเธอ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในฝันอยู่หลายครั้ง ตื่นขึ้นมาความฝันนั้นก็เลือนรางจางหายไป
“ผู้หญิงคนนี้คือเมียน้อย?”
“ใช่เหรอ อย่างนั้นเธอก็หน้าไม่อายจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้ามาปรากฎตัวที่งานแต่ง!”
“ก็นะ หน้าไม่อาย….”
คนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ที่รู้เหตุการณ์ก็ขมวดคิ้วขึ้น คนที่ไม่รู้เหตุการณ์ก็เริ่มพูดคุยซุบซิบกัน ทุกคนกำลังสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร พูดถกกันจนถึงสุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
ต้วนจื่ออิ๋งเห็นว่าเหตุการณ์นี้จัดการได้ไม่ง่าย รีบเดินไปยืนของหน้าทั้งสองคนไว้ สีหน้าอ้อนวอน”พี่จิงเหยียน มีเรื่องอะไร พวกเราแต่งงานกันแล้วค่อยคุยกันเถอะ ได้ไหม?”
“ถอยไป”
“ไม่”ต้วนจื่ออิ๋งดื้อรั้นยืนขวางเขาไว้ สายตามองคนด้านหลังด้วยความพยาบาท
เย่จิงเหยียนมองเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ สายตาแสดงออกถึงความรำคาญ เมื่อก่อนรู้สึกว่าเธอคล้ายอีเหยา ตอนนี้เหมือนว่าตอนนั้นตาลายแล้วจริงๆ อีเหยาจะมีสายตาพยาบาทอาฆาตอย่างนี้ได้อย่างไร
ทั้งสามคนทนรออยู่เฉยไม่ไหว มู่ยู่วฉีกับเย่ชวูเสวียอยู่ด้านหลังในเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เย่จิงเหยียนมองเห็นต้วนอีเหยา การแต่งงานครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป!
มู่ยู่วฉีกับเย่ชูวเสวียมองสบตากัน มีความคิดที่ไม่ได้นัดกันผุดขึ้นมา
มู่ยู่วฉีหันหลังกลับ ทำสัญญาณมือให้สงบ “ทุกคนกรุณาอยู่ในความสงบ ผมมีเรื่องที่อยากจะพูด”
ประโยคเดียวทำให้บทสนทนาของทุกคนชะงักไป พวกเขาเงยศีรษะมองมาที่มู่ยู่วฉี ทุกคนมองมาว่าเขาต้องการที่จะทำอะไร
มู่ยู่วฉีกระแอมที่ลำคอแล้วพูดว่า”ขอบคุณทุกคนที่เดินทางมาไกลเพื่อมาร่วมงาน แต่ว่าวันนี้เกิดเหตุขัดข้องเล็กน้อย เกรงว่าจะไม่สามารถดูแลต้อนรับทุกคนได้แล้ว”
ด้านล่างเสียงดังเกรียวกราว พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเก่าแก่ของห้างสรรพสินค้า รู้ว่ามู่ยู่วฉีต้องการที่จะให้คนกลับไป ละครบนเวทียังเล่นไม่จบ ออกไปอย่างนี้รู้สึกว่ายังไม่โล่งเลย
“ทุกคนอยู่ในความสงบ!”
มู่ยู่วฉีรู้ตั้งนานแล้วว่าจะจบด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ สุดท้ายเย่ชูวเสวียก็มาช่วยพูด เพิ่มระดับของเสียงพูดว่า”ครั้งนี้ทุกคนได้รับความเสียหาย พวกเราจะทำการชดเชยให้ จนกระทั่งหลังจบงานแต่งแล้วพวกเราจะแจ้ง หวังว่าทุกคนจะกลับกันไปก่อน”
พูดเสียงดังมาก ทำให้คนจำนวนมากที่กำลังคุยกันอยู่หยุดชะงัก เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วกำลังจะพูด แต่ทว่าถูกเย่ชูวเสวียรั้งไว้ก่อน
“พี่ มีเรื่องอะไรก็ค่อยคุยกันหลังจากนี้เถอะ!ถึงอย่างไรที่นี่ก็คนเยอะ ทำให้ส่งผลกระทบไม่ดีต่อพวกเรานะ”
เย่จิงเหยียนมองตาของเย่ชูวเสวีย ไม่ได้พูดอะไรออกมา มู่ยู่วฉีก็ทำตามวิธีการของเขาเริ่มต้นพยายามอย่างสุดความสามารถให้แขกแยกย้ายกระจายตัว
สิบนาทีหลังจากนั้น ห้องโถงขาดใหญ่ก็เหลือเพียงพวกเขาหกคน มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉินที่อยู่หน้าประตูได้ยินข่าวก็ลงมาจากชั้นบน
มองอย่างละเอียด ด้านหลังของพวกเขามีพ่อต้วน แม่ต้วน สีหน้าของพวกเขาดูไม่ได้มาก พ่อต้วนเดินมาหยุดตรงหน้าเย่จิงเหยียนด้วยความโมโห คว้าจับที่ปกเสื้อเขาแน่น
“คนที่จะแต่งงานก็เป็นนายที่พูดออกมา ตอนนี้ก็ไม่แต่งแล้ว นายเห็นลูกจื่ออิ๋งของพวกเราเป็นของเล่น?ห้ะ?พูด!”
เย่จิงเหยียนไร้การเคลื่อนไหว ปล่อยให้เขาจับที่ปกเสื้อของตัวเอง พูดขอโทษว่า”ลุงต้วน ผมขอโทษครับ…..”
“ขอโทษ? คำพูดขอโทษมันทำอะไรได้?”
พ่อต้วนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มือข้างซ้ายจะโบกสะบัดเข้าที่หน้าของเย่จิงเหยียน มู่ยู่วฉีสายตาไวมือเร็ว รีบไปจับที่แขนของเขาไว้
มู่ยู่วฉีปล่อยมือของพ่อต้วน แต่ทว่าถูกสายตาพิฆาตของเขามองมาจนต้องก้มศีรษะ “ลุงต้วน ขอโทษครับ อย่างนั้น….พวกเรามีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่านะครับ มีอะไรพูดกันดีๆ!”
“มีอะไรที่จะต้องพูดดีๆ?พวกนายทำให้ตระกูลต้วนเสียหน้า ยังหวังว่าจะให้ฉันขอบคุณพวกนาย?”พ่อต้วนโมโห จับที่หน้าอกหายใจหอบแหก
ต้วนจื่ออิ๋งเห็นอาการไม่ค่อยดี รีบเข้าไปประคองไว้”พ่อ…..”
“พ่อไม่เป็นอะไร”พ่อต้วนยื่นมือออกไปรั้งต้วนจื่ออิ๋งที่กำลังต้องการจะดูให้ละเอียด “วันนี้พ่อต้องพูดเรื่องเน่าเหม็นนี้แทนเธอ ไม่อย่างนั้นตระกูลเย่จะคิดว่าตระกูลต้วนของเราไม่ใช่คน !”พูดถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มองเย่จิงเหยียนด้วยสายตาเกลียดชัง ใช้ไม้เท้าที่อยู่ข้างกายเคาะที่ตัวของเย่จิงเหยียน
ต้วนอีเหยากับไป๋จิ่นอี้ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขามองดูข้อมือม่วงช้ำของเย่จิงเหยียนที่ถูกไม้เท้าเคาะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปกู้หน้าให้อย่างไร
“ลุงต้วน คุณอย่าทำอย่างนี้!”มู่ยู่วฉีอยู่ด้านหลังเย่จิงเหยียน ตอนที่ไม้เท้าโดนตัวของเย่ฉ่าวเฉินก็โดนขาของเขาอยู่ครึ่งหนึ่งเหมือนกัน
เขาอดทนมาตลอดถึงเจ็บจนทนไม่ไหว เขาถึงรีบลุกขึ้นไปบังการโจมตีด้วยไม้เท้าของพ่อต้วน
พ่อต้วนเจอเขาอีก ยิ่งโกรธมากขึ้น”นายหลีกไป ไม่อย่างนั้นฉันก็จะตีนายด้วย!”
มู่ยู่วฉีมองไม้เท้าที่อยู่ในมือของเขา ค่อยๆถอยไปด้านหลัง แต่ปากก็ยังไม่ยอมลดละ “ลุงต้วนต้องคิดให้ดีนะ ตีจนได้รับบาดเจ็บจนพิการเรื่องต้องรับผิดชอบตามกฎหมายนะ!”
“รับผิดชอบตามกฎหมาย!”
ไม้เท้าในมือยกสูงขึ้น กำลังจะฟาดลงมา ต้วนจื่ออิ๋งหลับตาลงมาหยุดขวางอยู่ตรงหน้า”พ่อ ฉันไม่อยากให้พี่เย่จิงเหยียนได้รับบาดเจ็บพิการ พ่อ……”
“เธอ…..ลูกดื้อ!”พ่อต้วนพูดจาสะเปะสะปะ เขาทำอย่างนี้กับเธอแล้ว เธอยังจะปกป้องเขา มันน่าทำให้คนโมโหจริงๆ!
พ่อต้วนรู้สึกว่าเลือดกำลังไหลออกมาจากศีรษะ ตาลาย ล้มลงที่พื้น
“เหล่าต้วน! “แม่ต้วนมองจากด้านหนึ่งอยู่ตลอด จนถึงพ่อต้วนล้มลงที่พื้น อดไม่ได้ที่จะวิ่งมาดูอาการก่อน
เดิมที่ห้องโถงใหญ่เงียบสงบลง แต่พ่อต้วนล้มลงรู้สึกว่าทุกคนดูวุ่นวาย มู่ยู่วฉีเห็นเย่จิงเหยียนยังไงก็ไม่สามารถมีจิตใจขับรถได้ รีบแสดงตัวเป็นคนที่จะไปส่งพ่อต้วนที่โรงพยาบาล
เย่จิงเหยียนหลังจากที่ตื่นตระหนก หมุนตัวกลับมาพูดกับต้วนอีเหยาหนึ่งประโยคว่า”รอฉันนะ”
ต้วนอีเหยาผงกศีรษะ แสดงออกว่าให้เขาวางใจไปได้จากที่นี่ได้เลย จึงทำให้เย่จิงเหยียนวางใจเดินตามไปขึ้นรถ
ห้องโถงขนาดใหญ่ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง เย่ชูวเสวียไม่ได้ขึ้นรถไปด้วย ปล่อยให้อยู่ที่นี่จ้องกันกับต้วนอีเหยาอยู่
ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง เย่ชูวเสวียยากที่จะเข้าใจแล้วยื่นมือมาสัมผัสที่ใบหน้าของเธอ”พี่อีเหยายังมีชีวิตอยู่จริงๆ!”
ต้วนอีเหยาชินกับการตอบคำถามนี้แล้ว จัดการกับตัวเองอยู่สักพัก ก็พูดเรื่องราวความเป็นมาให้เธอฟัง เย่ชูวเสวียเม้มปากอย่างยากที่จะเข้าใจ”ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ พี่ชายคิดว่าพี่อีเหยาตายแล้ว ตอนนั้นพี่ชายเหมือนกับคนที่ตายแล้วยังเคลื่อนไหวได้เลย”
เธอหัวเราะแหะๆ ที่แท้เขาก็ไม่ได้ลืมตัวเอง!แต่ว่าทำไมถึงไปแต่งงานกับคนอื่นล่ะ?
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด!”เย่ชูวเสวียเห็นต้วนอีเหยาไม่เชื่อ อดไม่ได้ที่จะอธิบาย
“ตอนวันวาเลนไทน์ พี่ชายไปไว้อาลัยพี่ ดื่มเหล้าหนักมาก ก็เลยคิดว่าต้วนจื่ออิ๋งเป็นพี่….”
ความพูดด้านหลังเธอไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ทว่าต้วนอีเหยาเข้าใจทั้งหมดแล้ว เขาเอาผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอ และยังต้องการที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ตอนวันวาเลนไทน์เกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคนที่ไม่ต้องเล่าก็รับรู้ได้นะ
“พี่อีเหยา พี่อย่าโทษพี่ชายเลยนะ…..”
ต้วนอีเหยามองเย่ชูวเสวียด้วยความมึนงง ในใจคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องที่น่าตลก “พี่ไม่โทษเขาหรอก….”
เธอเพียงแค่รู้สึกว่านี่เป็นโชคร้าย เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนและหลังเหมือนกับถูกกำหนดไว้แล้ว
ไป๋จิ่นอี้เห็นเธอใจลอยเลยกุมที่มือของเธอ เอาความอบอุ่นในใจมอบให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
พวกเธอยืนอยู่ที่นั่นสักพัก ต้วนอีเหยาไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ เธอควรที่จะนอนหลับสบายใจอยู่ที่บ้าน ตอนบ่ายไปดูเสี่ยวกุ้ยที่ร้านดอกไม้ หนึ่งวันก็ผ่านไปอย่างนี้
เธอไม่รู้ว่าเย่จิงเหยียนจะแต่งงาน เขาก็ไม่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตผ่านไปได้ บางครั้งก็นึกถึงกัน นานวันไปก็สามารถปล่อยวางได้
“อีเหยา พวกเรากลับกันไปก่อนเถอะ”ไป๋จิ่นอี้ตบที่มือเธอเบาๆ ทำให้เธอได้สติกลับมามากขึ้น
เธออำลาเย่ชูวเสวีย และเดินอย่างสง่างามตามไป๋จิ่นอี้ไปขึ้นรถ …….สันหลังที่ตรงเหมือนกับปากกา เพียงแค่โน้มตัวงอลงที่เก้าอี้นั้น หลังเหมือนกับผนังที่ถูกคนตี ล้มตัวอ่อนลงไปในเก้าอี้
เมื่อก่อนเธอทุกข์ทรมานใจ แต่ในที่สุดก็ปล่องวางได้ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาทำอะไรไม่ได้ ในใจจะยินยอมสมัครใจได้อย่างไร…..
“อีเหยา เธอยังหิวอยู่เลย จะกินอะไรหน่อยไหม”ไป๋จิ่นอี้หมุนพวงมาลัยมองไปข้างหน้า ให้เธอพาความรู้สึกภายในของตัวเองออกมา
ต้วนอีเหยาหลับตาส่ายหน้า “ฉันไม่หิว คุณส่งฉันกลับเลยเถอะ”
ไป๋จิ่นอี้ตอบตกลง สายตาหยุดอยู่ที่เสื้อสูทของ เมื่อกี้เขารู้สึกไม่พอใจ ถอดเสื้อนั้นวางไว้บนรถ กระเป๋าเสื้อมีสิ่งหนึ่งนูนออกมา
สายตาเขาหยุดมองไม่กี่วินาที ในใจรู้สึกทุกข์ทรมาน ในนั้นเดิมทีเขาใส่แหวนที่จะขอเธอแต่งงานไว้
อยู่ในสถานที่แต่งงานที่โรแมนติก มองเห็นการแต่งงานของทั้งสองคน เขาคิดว่าการที่ขอเธอแต่งงานในสถานที่เช่นนี้ต้องทำให้เธอตื้นตันใจอย่างสุดขีดแน่นอน แต่คาดไม่ถึงว่า…….
รถคันด้านหลังบีบแตร ไป๋จิ่นอี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองขับช้าลง เขาสะบัดศีรษะไปมาเพื่อควบคุมความคิดของตัวเขาเอง
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเธอกับเย่จิงเหยียนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่การขอแต่งงานในสถานการณ์แบบนี้ อีเหยาไม่มีอารมณ์ตอบตกลงแน่นอน
……………….
ในโรงพยาบาล
เย่จิงเหยียนสูบบุหรี่อยู่ที่ทางเดินไม่หยุด ห้องฉุกเฉินถึงไม่มีที่ดับไฟตั้งแต่ต้น
ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว ก็ชดเชยผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะดีขึ้น ดวงตาของเขาก็แดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“พี่…….”ในที่สุดมู่ยู่วฉีก็ทนดูต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นยืนตัดสินใจแย่งบุหรี่ เขาดับมันแล้วทิ้งลงถังขยะ
“อย่ากังวลใจเลย เขาไม่เป็นอะไรหรอก”
เย่จิงเหยียนไม่ได้สนใจเขา หันศีรษะกลับไปมองคนที่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนฝนตกอย่างแม่ต้วนกับต้วนจื่ออิ๋ง เท้าเหมือนโลหะที่ถูกหล่อไว้เคลื่อนไหวไม่ได้สักเล็กน้อย
ในเวลานั้น เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยก็รีบเดินมา ตลอดทางก็มีคนทักทายพวกเขา
เย่ฉ่าวเฉินห่างจากเย่จิงเหยียนแค่เพียงครึ่งก้าวก็หยุดชะงักฝีเท้า ถามอย่างน่าสะพรึงกลัวว่า”เป็นอย่างไรบ้าง?”
เย่จิงเหยียนไม่ได้ตอบคำถาม มู่ยู่วฉีรีบชักตัดหน้าตอบแทนเย่จิงเหยียนถูกโมโหใส่ “ตอนนี้ยังไม่ออกมาเลยครับ ไม่รู้ว่าสรุปอาการเป็นอย่างไร”
รู้นิสัยของเขา มู่เวยเวยรีบลากเขาออกไป”พวกเราไปถามที่ผู้เชี่ยวชาญแล้วเชิญหมอที่เก่งที่สุดมากัน”
เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้พูดอะไร เม้มฝีปากแล้วเดินไปตามทางเดินของห้องฉุกเฉิน
ตามทางเดินเสียงร้องไห้ระงม เย่ฉ่าวเฉินเดินมาถึงต้วนจื่ออิ๋ง นั่งลงเงียบๆ ต้วนจื่ออิ๋งมองเขาแวบหนึ่ง โน้มศีรษะลงอิงที่ไหล่ของเขา
“ไม่เป็นอะไรหรอก”เขายื่นมือออกไปสัมผัสที่ศีรษะของต้วนจื่ออิ๋งเบาๆเพื่อปลอบโยนเธอ
แม่ต้วนเงยศีรษะขึ้นในตอนที่เขาพูด มองเขาด้วยสายตาตำหนิ”พวกเรามอบลูกสาวให้กับคุณ คุณก็ตอบแทนพวกเราอย่างนี้เหรอ?”
เย่จิงเหยียนไม่มีคำตอบโต้ เป็นความผิดของเขาจริงๆ แต่ถ้าหากให้เขาแต่งงานทั้งอย่างนี้ จะไม่เป็นการทำร้ายจื่ออิ๋งอย่างนั้นเหรอ?
แม่ต้วนถูกเขากระตุ้นให้โมโหมากขึ้น ลุกขึ้นยืนจะตบหน้าเขาหนึ่งครั้ง แต่ทว่าต้วนจื่ออิ๋งที่ร้องไห้มาโดยตลอดมายืนขวางอยู่ด้านหน้าเขา
“แม่ อย่าค่ะ……”
ในเวลาเดียวกัน ไฟในห้องผ่าตัดก็ดับลงในฉับพลัน หมอกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมา แม่ต้วนก็ไม่มีเวลาสนใจเย่จิงเหยียน รีบวิ่งไปจับหมอผ่าตัดที่กำลังจะถอดหน้ากากอนามัยลง
“หมอ เขา…เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
แม่ต้วนเสียงสั่นมาก เขาออกแรงกดที่ลำคอพยายามอย่างมากที่จะให้คนได้ยิน
หมอผ่าตัดถอดถุงมือออก ขมวดคิ้วแล้วพูดกับเธอว่า”อาการยังไม่ดี ผ่าตัดทำเรียบร้อยแล้ว ก็ดูแค่ว่าเขาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ไหมแล้วล่ะ!”
ต้วนจื่ออิ๋งหยุดร้องไห้ ต้องการคิดให้ละเอียดกับความหมายของหมอ แต่ทว่ามองเห็นแม่ต้วนขาทรุดลงบนบริเวณเตียงคนไข้
“แม่!”
ต้วนจื่ออิ๋งวิ่งบุ่มบ่ามเข้าไปต้องการที่จะประคองแม่ต้วน ตรงพื้นไม่รู้ว่าใครเทน้ำหกไว้หนึ่งแก้ว ไม่ได้ระวัง เธอก็หกล้มลงที่พื้นเหมือนกัน
คนบริเวณรอบๆก็วุ่นวาย คนที่ช่วยคนก็ช่วย คนที่เข็นเตียงก็เข็นเตียง มู่ยู่วฉีก็เหมือนกับคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกำลังยืนดูเกมส์อย่างนั้น ถูกคนเพิกเฉยอยู่ที่ซอกมุม
เขาลูบแล้วลูบอีกที่จมูกของตัวเอง ถอนหายใจออกมา ก็ตามคนกลุ่นนั้นไปที่ห้องคนป่วย
ห้องพักคนป่วยVIPใน ต้วนจื่ออิ๋งนั่งตรงกลาง ทั้งสองด้านที่นอนอยู่ด้านหนึ่งคือพ่อต้วน อีกด้านหนึ่งคือแม่ต้วน เธอร้องไห้จนเหือดแห้งแล้ว ดวงตาแดงก่ำเหมือนกับลูกอัลมอนด์
เย่จิงเหยียนอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเธอ ได้ยินเสียงแม่ต้วนว่าต้องการน้ำ รีบลุกขึ้นไปเทน้ำให้แม่ต้วน
แม่ต้วนที่กำลังได้สติฟื้นขึ้นมา มองเห็นว่าคนที่ยื่นน้ำให้คือเย่จิงเหยียน สีหน้าที่ดำเปลี่ยนเป็นสีม่วงเขียว”ทำไมเป็นคุณ?”
“ดื่มน้ำก่อนเถอะครับ”เย่จิงเหยียนก็ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เพียงแค่ยื่นแก้วน้ำไปตรงหน้าเธออยู่ไม่กี่นาที
แม่ต้วนความจริงคือคอแห้งหิวน้ำมาก ไม่นานหลังจากนั้นก็รับน้ำมา ตอนแรกรู้สึกว่าเขาก็ไม่เลว เพราะว่าเขาไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป และก็ดีกับจื่ออิ๋ง เธอถึงพูดเกลี้ยกล่อมให้เหล่าต้วนเห็นด้วยกับการแต่งงานของทั้งสอง
แต่คิดไม่ถึง……คิดไม่ถึงว่าในที่สุดเธอก็ประเมินเขาต่ำไป ที่แท้ผู้ชายก็หลายใจ ยังไม่ได้แต่งงานก็ทำให้เป็นอย่างนี้แล้ว
เธอมองต้วนจื่ออิ๋งที่น่าสงสารของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ “เหล่าต้วนเป็นอย่างไรบ้าง?”
เย่จิงเหยียนรู้ว่าเธอกำลังถามเขา ตอบอย่างไม่ลังเลใจว่า”ยังไม่ฟื้นเลยครับ”
ออกจากห้องผ่าตัดมาก็จะเจ็ดแปดชั่วโมงแล้ว ยาชาก็หมดฤทธิ์ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา….แม่ต้วนขมวดคิ้วแน่นขึ้น
ตอนนี้เธอนอนต่อไม่ไหวแล้ว อยากจะดูพ่อต้วนสักหน่อย ดิ้นรนพยายามอยู่บนเตียงสักพัก สุดท้ายก็ต้องให้เย่จิงเหยียนพยุงลุกขึ้น
พ่อต้วนนอนอยู่ตรงข้ามเธอ สงบเสงี่ยม ขอบตาของแม่ต้วนก็ชิ้น เธอแต่งงานกับเหล่าต้วนมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่กี่วันมานี้ก็รู้สึกใจหวิวหวาดกลัว
พวกเขาอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับคนดีๆมาตลอด ทั้งสองคนก็จะปลดเกษียณ ปลูกดอกไม้เลี้ยงนก ใช้ชีวิตวัยชราอย่างเงียบราบรื่น แต่ทั้งหมดนี้ถูกทำลายแล้ว…….
……….
ต้วนอีเหยานั่งมึนงงอยู่ที่สวนดอกไม้ วันนี้ก็ผ่านวันแต่งงานของพวกเขามาห้าวันแล้ว เธอไม่รู้ว่าสรุปพวกเขาจัดการอย่างไร แต่เธอรู้เพียงว่าใจของเธอดิ่งลงไปทีละน้อย
“เจ้านาย ช่วงนี้มักจะมีคนมาซื้อดอกกุหลาบ ปกติสินค้าเพิ่งจะเข้า ก็ถูกคนซื้อไปแล้ว “ฮัวเสี่ยวกุ้ยเอาของสงสัยของตัวเองมารายงานต้วนอีเหยา
เธอแปลกใจมาก หลังจากวันวาเลนไทน์วันนั้นแล้ว มักจะมีคนซื้อดอกกุหลาบจำนวนมาก สรุปว่าเอาไปใช้ทำอะไร ถึงใช้หมดเป็นชุดใหญ่จำนวนมากขนาดนั้น
ต้วนอีเหยาก็ได้สติจากความคิดนั้นมา “ใคร ไม่ได้เก็บชื่อไว้เหรอ?”
“ไม่เลย พูดว่ามาซื้อแทนเจ้านาย ฉันก็ไม่ได้ถามอะไรมาก”
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว เธอรู้สึกว่าถามดูหน่อยก็ดี”เขามักจะมาซื้อช่วงเวลาไหน?”
“ปกติเป็นช่วงเช้า เช้ามากๆ ฉันยังมาไม่ถึง เขาก็ยืนรออยู่ด้านหน้าประตูร้านแล้ว”
ต้วนอีเหยาตอบไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ เธอตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เธอจะมาแต่เช้า ถามเขาให้แน่ชัด
ทั้งสองคุยกันไปสักพัก ก็มองเห็นรถของไป๋จิ่นอี้จอดอยู่ที่หน้าร้าน
“กำลังพูดอะไร?”
หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่พุดขึ้นมาอีก วก็ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น ทุกวันหลังเลิกเรียนก็จะมาหาต้วนอีเหยาเหมือนเดิม พูดเรื่องไร้สาระก็ดี กินข้าวก็จบ ทุกวันไม่เคยพลาด
ต้วนอีเหยาหันหน้าไปทางแสงแดจ้า พยายามยิ้มออกมา”วันนี้ทำไมมาเร็วจัง?”
“วันนี้คาบเปลี่ยนเป็นหยุดแล้ว กำลังดีพวกเราไปกิข้าวกัน”เขาสั่นที่นาฬิกาที่ข้อมือ
ต้วนอีเหยาลุกขึ้น แกะผ้ากันเปื้อนออกแล้วปัดเศษผงออกจากตัว”ไปกันเถอะ”
เธอยื่นดอกไม้ที่เหลือให้ฮัวเสี่ยวกุ้ย แต่ทว่าอีกครึ่งหนึ่งร่วงหล่นลงมา ด้านบนมีแค่ดอกไม้ไม่กี่ดอก ร่วงอยู่ในฝุ่นละออง ใจของเธอบีบรัดแน่น
“ขอโทษนะ เจ้านาย! ” ฮัวเสี่ยวกุ้ยโค้งตัวลงกำลังจะเตรียมเก็บ แต่ทว่าถูกต้วนอีเหยารั้งไว้
“ไม่เป็นไร ” ต้วนอีเหยาใช้เท้าเหยียบที่กลีบดอกไม้นั้น ออกแรงเบาๆ กลีบดอกไม้ก็รวมเป็นเนื้อเดียวกับดิน ขอบตาเธอชื้นเล็กน้อย
“ก็เป็นแค่ดอกไม้ที่แตกละเอียดย่อยยับเท่านั้นเอง”
ก็เป็นแค่…คนที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น
ไป๋จิ่นอี้ไม่ได้สังเกตท่าทางของต้วนอีเหยา เป็นสุภาพบุรุษเปิดประตูรถให้เธอ รอเธอเข้าไปนั่ง
เขาเปลี่ยนชุดลำลอง แต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คือกล่องเล็กอันหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ผ่านไปตั้งห้าวันแล้ว ไมกี่วันมานี้เขาก็ดูความผิดปกติของต้วนอีเหยาไม่ออก รู้ว่าถ้ายังไม่ลงมือ กลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร
อาหารเย็นเลือกมาที่ร้านอาหารแถบชานเมืองที่เป็นส่วนตัว บริเวณทั้งสองด้านล้อมรอบด้วยแม่น้ำ ทำตามคำสั่งของเขา บนโต๊ะมีเทียนหนึ่งเล่ม มองดูแล้วโรแมนติกอีกทั้งยังอบอุ่น
“ที่นี่ทำไมไม่มีคน?”
ต้วนอีเหยาสงสัยมาก โดยทั่วไปถึงเวลากินข้าว ร้านอาหารที่ดีหน่อยก็ต่อแถวยาวเหยียดแล้ว อีกทั้งยังบรรยาศดีอย่างนี้
ไป๋จิ่นอี้ไม่ได้มีสีหน้าพิรุธแล้วพาเธอเข้าไป “อาจจะเปิดใหม่ ยังไม่มีคนรู้”
ต้วนอีเหยาเหมือนไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตอนที่ไป๋จิ่นอี้ให้เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม ที่จริงในใจของเธอ ก็มีกฎเกณฑ์ตายตัวอยู่แล้ว ต่อคิวยิ่งยาวมากขึ้น ร้านอาหารร้านนั้นต้องอร่อย
ร้านนี้ไม่มีสักคนเดียว อยากจะรู้รสชาติ ยุคสมัยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ร้านอาหารอย่างนี้เธอคาดว่าน่าจะอยู่ไมถึงหนึ่งเดือน สุดท้ายก็จะปิดกิจการ
“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงสวัสดีตอนเย็นครับ “พนักงานถือเมนูอาหารมาหนึ่งชุด กับน้ำอุ่นสองแก้ว
ต้วนอีเหยายกขึ้นมาดื่ม เห็นเมนูอาหารเปิดอยู่ตรงหน้าเธอ เงยศีรษะขึ้น ไป๋จิ่นอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอ
เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับเมนูมาเลือกเมนูอาหารที่แนะนำ แล้วยื่นมันส่งให้ไป๋จิ่นอี้ “ฉันเลือกเสร็จแล้ว คุณดูว่ามีอะไรที่อยากจะเพิ่มไหม?”
ไป๋จิ่นอี้รับเมนูอาหารมาดูแล้วก็ไม่มี ก็ส่งให้กับพนักงานเลย สีหน้าซีดขาวในใจกำลังยิ้ม เริ่มต้นเธอก็เกรงใจถึงตอนนี้ก็ไม่ได้เกรงใจแล้ว ชัดเจนแล้วว่าเธอเห็นเขาเป็นคนสนิท
สายตาของต้วนอีเหยามองไปทางอื่น ผ่านไปแล้วเธอก็ยังทนไม่ไหวต่อสายตาลุ่มหลงของไป๋จิ่นอี้!
เพราะว่ามีแค่เธอกับเขาสองคนที่อยู่สถานที่นี้ อาหารมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ความเก้อเขินของสายตาเมื่อสักครู่หายไป ต้วนอีเหยาคีบอาหารเข้าปาก
ไม่คาดคิดก็คืออาหารรสชาติอร่อยมาก เธออดไม่ได้ที่จะคีบมาอีกหนึ่งชิ้น ยิ่งกินยิ่งถูกปาก ไป๋จิ่นอี้จัดวางอาหารให้เธออย่างอ่อนโยน ตั้งแต่ต้นจนจบน้อยมากที่เขาจะเคลื่อนไหวตะเกียบ
หลังจากดื่มเหล้ากินอาหารอิ่มแล้ว ต้วนอีเหยาลูบที่หน้าท้องเล็กๆของตัวเอง ก็เริ่มสงสัยอีกว่า ร้านอาหารอร่อยขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีคน?
ทันใดนั้นไฟก็ดับลง มุมหนึ่งของร้านอาหารก็มีเสียงไวโอลินดังขึ้น ต้วนอีเหยามองไปตามเสียง มีแค่เสียงเทียนไม่กี่เล่มส่องที่ไวโอลินนั้น
“ทำไมยังมี…….”
ต้วนอีเหยาหันกลับมากำลังจะถามไป๋จิ่นอี้ แต่ทว่ามือของเขาปิดที่ริมฝีปากเธอไว้
ไป๋จิ่นอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ “ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเธอไม่ต้องพูดอะไร ฉันจะเป็นคนพูดเอง”
เขาเห็นต้วนอีเหยาผงกศีรษะ ถึงปล่อยมือออก คุกเข่าลงหนึ่งข้าง หยิบกล่องเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดออกอย่างนุ่มนวล
“ตั้งแต่ที่ช่วยเธอในตอนนั้น ฉันก็คิดว่า ผู้หญิงคนนี้นิสัยไม่เลว ถ้าเธอสามารถเป็นแฟนได้ก็ดี แต่ที่ฉันคิดไม่ถึงก็คือ เธอเป็นแฟนของฉันแล้วจริงๆ วันนั้นที่งานแต่งงานฉันคิดสถานที่ที่โรแมนติกจะขอเธอแต่งงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ทันที่จะได้ทำ”
“เรื่องที่ผ่านมาของเธอฉันไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ฉันอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเธอหลังจากนั้น อีเหยา แต่งงานกับฉันได้ไหม?”
ต้วนอีเหยามึนงงอยู่ที่เก้าอี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ช่วงนี้เขาทำตัวแปลกๆไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ แต่แค่ไม่มีกะจิตกะใจไปสืบสาว
เรื่องของเย่จิงเหยียนวนเวียนอยู่ในใจเธอ เธอคิดไปไกลถึงหากฟลุ๊คอาจจะหลังจากนี้เรื่องนี้กลายเป็นฝุ่นละอองไป ไม่แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะได้เริ่มต้นกันใหม่ ดังนั้น เรื่องของเธอกับไป๋จิ่นอี้ เธอไม่เคยคิดอย่างละเอียดเลย……
เพียงแค่รู้สึกว่าเขาละเอียดอ่อนโยน อยู่กับเขาก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ในใจของเธอ………เห็นเขาเป็นเพียงเพื่อนที่รู้ใจ ไม่ใช่แฟน
เย่จิงเหยียนเหมือนไม่ได้ยิน สะบัดมือของต้วนจื่ออิ๋งออก เดินมึนงงไปทางต้วนอีเหยา
เสื้อของต้วนอีเหยาเปล่งประกายระยิบระยับ ถึงแม้ว่าไฟจะมืดมิด แต่ว่าอยู่ในกลุ่มผู้คนก็สามารถทำให้เขามองเห็นได้ เย่จิงเหยียนรุกเข้าหาเธออย่างรุนแรง
ในสมองของเขาไม่มีความคิดอื่นแล้ว เพียงแค่ทำตามเสียงนั้น อย่าหยุด อย่าหยุด…….
ต้วนอีเหยาก็มึนงงมองมาที่เขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ข้างหูเธอค่อยๆเลือนหายไป ในดวงตาสีดำคู่นั้นมีเพียงเขา แสงไฟสาดส่องมาแต่ทว่าสีหน้าที่แสดงออกมาของเขาถูกปิดบังอยู่ มองเห็นไม่ชัด
สุดท้ายหลังจากที่รอมานาน เย่จิงเหยียนก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ เขาพูดลองหยั่งเชิงว่า”อีเหยา?”
หลังจากที่เรียกออกมาถึงได้พบว่าเสียงตัวเองแหบแห้งไม่คล้ายคำพูด ต้วนอีเหยายืนอยู่ที่เดิม เธอตอบกลับไป แต่ทว่าทำไมถึงไม่มีเสียงออกไป ทำได้เพียงผงกศีรษะ
“ใช่เธอจริงๆใช่ไหม?” เย่จิงเหยียนไม่กล้าที่จะเชื่อยื่นมือออกไป กำลังจะสัมผัสที่หน้าเธอก็ได้หยุด เขาไม่กล้าที่จะสัมผัสเธอ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในฝันอยู่หลายครั้ง ตื่นขึ้นมาความฝันนั้นก็เลือนรางจางหายไป
“ผู้หญิงคนนี้คือเมียน้อย?”
“ใช่เหรอ อย่างนั้นเธอก็หน้าไม่อายจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้ามาปรากฎตัวที่งานแต่ง!”
“ก็นะ หน้าไม่อาย….”
คนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ที่รู้เหตุการณ์ก็ขมวดคิ้วขึ้น คนที่ไม่รู้เหตุการณ์ก็เริ่มพูดคุยซุบซิบกัน ทุกคนกำลังสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร พูดถกกันจนถึงสุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
ต้วนจื่ออิ๋งเห็นว่าเหตุการณ์นี้จัดการได้ไม่ง่าย รีบเดินไปยืนของหน้าทั้งสองคนไว้ สีหน้าอ้อนวอน”พี่จิงเหยียน มีเรื่องอะไร พวกเราแต่งงานกันแล้วค่อยคุยกันเถอะ ได้ไหม?”
“ถอยไป”
“ไม่”ต้วนจื่ออิ๋งดื้อรั้นยืนขวางเขาไว้ สายตามองคนด้านหลังด้วยความพยาบาท
เย่จิงเหยียนมองเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ สายตาแสดงออกถึงความรำคาญ เมื่อก่อนรู้สึกว่าเธอคล้ายอีเหยา ตอนนี้เหมือนว่าตอนนั้นตาลายแล้วจริงๆ อีเหยาจะมีสายตาพยาบาทอาฆาตอย่างนี้ได้อย่างไร
ทั้งสามคนทนรออยู่เฉยไม่ไหว มู่ยู่วฉีกับเย่ชวูเสวียอยู่ด้านหลังในเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เย่จิงเหยียนมองเห็นต้วนอีเหยา การแต่งงานครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป!
มู่ยู่วฉีกับเย่ชูวเสวียมองสบตากัน มีความคิดที่ไม่ได้นัดกันผุดขึ้นมา
มู่ยู่วฉีหันหลังกลับ ทำสัญญาณมือให้สงบ “ทุกคนกรุณาอยู่ในความสงบ ผมมีเรื่องที่อยากจะพูด”
ประโยคเดียวทำให้บทสนทนาของทุกคนชะงักไป พวกเขาเงยศีรษะมองมาที่มู่ยู่วฉี ทุกคนมองมาว่าเขาต้องการที่จะทำอะไร
มู่ยู่วฉีกระแอมที่ลำคอแล้วพูดว่า”ขอบคุณทุกคนที่เดินทางมาไกลเพื่อมาร่วมงาน แต่ว่าวันนี้เกิดเหตุขัดข้องเล็กน้อย เกรงว่าจะไม่สามารถดูแลต้อนรับทุกคนได้แล้ว”
ด้านล่างเสียงดังเกรียวกราว พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเก่าแก่ของห้างสรรพสินค้า รู้ว่ามู่ยู่วฉีต้องการที่จะให้คนกลับไป ละครบนเวทียังเล่นไม่จบ ออกไปอย่างนี้รู้สึกว่ายังไม่โล่งเลย
“ทุกคนอยู่ในความสงบ!”
มู่ยู่วฉีรู้ตั้งนานแล้วว่าจะจบด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ สุดท้ายเย่ชูวเสวียก็มาช่วยพูด เพิ่มระดับของเสียงพูดว่า”ครั้งนี้ทุกคนได้รับความเสียหาย พวกเราจะทำการชดเชยให้ จนกระทั่งหลังจบงานแต่งแล้วพวกเราจะแจ้ง หวังว่าทุกคนจะกลับกันไปก่อน”
พูดเสียงดังมาก ทำให้คนจำนวนมากที่กำลังคุยกันอยู่หยุดชะงัก เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วกำลังจะพูด แต่ทว่าถูกเย่ชูวเสวียรั้งไว้ก่อน
“พี่ มีเรื่องอะไรก็ค่อยคุยกันหลังจากนี้เถอะ!ถึงอย่างไรที่นี่ก็คนเยอะ ทำให้ส่งผลกระทบไม่ดีต่อพวกเรานะ”
เย่จิงเหยียนมองตาของเย่ชูวเสวีย ไม่ได้พูดอะไรออกมา มู่ยู่วฉีก็ทำตามวิธีการของเขาเริ่มต้นพยายามอย่างสุดความสามารถให้แขกแยกย้ายกระจายตัว
สิบนาทีหลังจากนั้น ห้องโถงขาดใหญ่ก็เหลือเพียงพวกเขาหกคน มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉินที่อยู่หน้าประตูได้ยินข่าวก็ลงมาจากชั้นบน
มองอย่างละเอียด ด้านหลังของพวกเขามีพ่อต้วน แม่ต้วน สีหน้าของพวกเขาดูไม่ได้มาก พ่อต้วนเดินมาหยุดตรงหน้าเย่จิงเหยียนด้วยความโมโห คว้าจับที่ปกเสื้อเขาแน่น
“คนที่จะแต่งงานก็เป็นนายที่พูดออกมา ตอนนี้ก็ไม่แต่งแล้ว นายเห็นลูกจื่ออิ๋งของพวกเราเป็นของเล่น?ห้ะ?พูด!”
เย่จิงเหยียนไร้การเคลื่อนไหว ปล่อยให้เขาจับที่ปกเสื้อของตัวเอง พูดขอโทษว่า”ลุงต้วน ผมขอโทษครับ…..”
“ขอโทษ? คำพูดขอโทษมันทำอะไรได้?”
พ่อต้วนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มือข้างซ้ายจะโบกสะบัดเข้าที่หน้าของเย่จิงเหยียน มู่ยู่วฉีสายตาไวมือเร็ว รีบไปจับที่แขนของเขาไว้
มู่ยู่วฉีปล่อยมือของพ่อต้วน แต่ทว่าถูกสายตาพิฆาตของเขามองมาจนต้องก้มศีรษะ “ลุงต้วน ขอโทษครับ อย่างนั้น….พวกเรามีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่านะครับ มีอะไรพูดกันดีๆ!”
“มีอะไรที่จะต้องพูดดีๆ?พวกนายทำให้ตระกูลต้วนเสียหน้า ยังหวังว่าจะให้ฉันขอบคุณพวกนาย?”พ่อต้วนโมโห จับที่หน้าอกหายใจหอบแหก
ต้วนจื่ออิ๋งเห็นอาการไม่ค่อยดี รีบเข้าไปประคองไว้”พ่อ…..”
“พ่อไม่เป็นอะไร”พ่อต้วนยื่นมือออกไปรั้งต้วนจื่ออิ๋งที่กำลังต้องการจะดูให้ละเอียด “วันนี้พ่อต้องพูดเรื่องเน่าเหม็นนี้แทนเธอ ไม่อย่างนั้นตระกูลเย่จะคิดว่าตระกูลต้วนของเราไม่ใช่คน !”พูดถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มองเย่จิงเหยียนด้วยสายตาเกลียดชัง ใช้ไม้เท้าที่อยู่ข้างกายเคาะที่ตัวของเย่จิงเหยียน
ต้วนอีเหยากับไป๋จิ่นอี้ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขามองดูข้อมือม่วงช้ำของเย่จิงเหยียนที่ถูกไม้เท้าเคาะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปกู้หน้าให้อย่างไร
“ลุงต้วน คุณอย่าทำอย่างนี้!”มู่ยู่วฉีอยู่ด้านหลังเย่จิงเหยียน ตอนที่ไม้เท้าโดนตัวของเย่ฉ่าวเฉินก็โดนขาของเขาอยู่ครึ่งหนึ่งเหมือนกัน
เขาอดทนมาตลอดถึงเจ็บจนทนไม่ไหว เขาถึงรีบลุกขึ้นไปบังการโจมตีด้วยไม้เท้าของพ่อต้วน
พ่อต้วนเจอเขาอีก ยิ่งโกรธมากขึ้น”นายหลีกไป ไม่อย่างนั้นฉันก็จะตีนายด้วย!”
มู่ยู่วฉีมองไม้เท้าที่อยู่ในมือของเขา ค่อยๆถอยไปด้านหลัง แต่ปากก็ยังไม่ยอมลดละ “ลุงต้วนต้องคิดให้ดีนะ ตีจนได้รับบาดเจ็บจนพิการเรื่องต้องรับผิดชอบตามกฎหมายนะ!”
“รับผิดชอบตามกฎหมาย!”
ไม้เท้าในมือยกสูงขึ้น กำลังจะฟาดลงมา ต้วนจื่ออิ๋งหลับตาลงมาหยุดขวางอยู่ตรงหน้า”พ่อ ฉันไม่อยากให้พี่เย่จิงเหยียนได้รับบาดเจ็บพิการ พ่อ……”
“เธอ…..ลูกดื้อ!”พ่อต้วนพูดจาสะเปะสะปะ เขาทำอย่างนี้กับเธอแล้ว เธอยังจะปกป้องเขา มันน่าทำให้คนโมโหจริงๆ!
พ่อต้วนรู้สึกว่าเลือดกำลังไหลออกมาจากศีรษะ ตาลาย ล้มลงที่พื้น
“เหล่าต้วน! “แม่ต้วนมองจากด้านหนึ่งอยู่ตลอด จนถึงพ่อต้วนล้มลงที่พื้น อดไม่ได้ที่จะวิ่งมาดูอาการก่อน
เดิมที่ห้องโถงใหญ่เงียบสงบลง แต่พ่อต้วนล้มลงรู้สึกว่าทุกคนดูวุ่นวาย มู่ยู่วฉีเห็นเย่จิงเหยียนยังไงก็ไม่สามารถมีจิตใจขับรถได้ รีบแสดงตัวเป็นคนที่จะไปส่งพ่อต้วนที่โรงพยาบาล
เย่จิงเหยียนหลังจากที่ตื่นตระหนก หมุนตัวกลับมาพูดกับต้วนอีเหยาหนึ่งประโยคว่า”รอฉันนะ”
ต้วนอีเหยาผงกศีรษะ แสดงออกว่าให้เขาวางใจไปได้จากที่นี่ได้เลย จึงทำให้เย่จิงเหยียนวางใจเดินตามไปขึ้นรถ
ห้องโถงขนาดใหญ่ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง เย่ชูวเสวียไม่ได้ขึ้นรถไปด้วย ปล่อยให้อยู่ที่นี่จ้องกันกับต้วนอีเหยาอยู่
ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง เย่ชูวเสวียยากที่จะเข้าใจแล้วยื่นมือมาสัมผัสที่ใบหน้าของเธอ”พี่อีเหยายังมีชีวิตอยู่จริงๆ!”
ต้วนอีเหยาชินกับการตอบคำถามนี้แล้ว จัดการกับตัวเองอยู่สักพัก ก็พูดเรื่องราวความเป็นมาให้เธอฟัง เย่ชูวเสวียเม้มปากอย่างยากที่จะเข้าใจ”ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ พี่ชายคิดว่าพี่อีเหยาตายแล้ว ตอนนั้นพี่ชายเหมือนกับคนที่ตายแล้วยังเคลื่อนไหวได้เลย”
เธอหัวเราะแหะๆ ที่แท้เขาก็ไม่ได้ลืมตัวเอง!แต่ว่าทำไมถึงไปแต่งงานกับคนอื่นล่ะ?
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด!”เย่ชูวเสวียเห็นต้วนอีเหยาไม่เชื่อ อดไม่ได้ที่จะอธิบาย
“ตอนวันวาเลนไทน์ พี่ชายไปไว้อาลัยพี่ ดื่มเหล้าหนักมาก ก็เลยคิดว่าต้วนจื่ออิ๋งเป็นพี่….”
ความพูดด้านหลังเธอไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ทว่าต้วนอีเหยาเข้าใจทั้งหมดแล้ว เขาเอาผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอ และยังต้องการที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ตอนวันวาเลนไทน์เกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคนที่ไม่ต้องเล่าก็รับรู้ได้นะ
“พี่อีเหยา พี่อย่าโทษพี่ชายเลยนะ…..”
ต้วนอีเหยามองเย่ชูวเสวียด้วยความมึนงง ในใจคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องที่น่าตลก “พี่ไม่โทษเขาหรอก….”
เธอเพียงแค่รู้สึกว่านี่เป็นโชคร้าย เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนและหลังเหมือนกับถูกกำหนดไว้แล้ว
ไป๋จิ่นอี้เห็นเธอใจลอยเลยกุมที่มือของเธอ เอาความอบอุ่นในใจมอบให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
พวกเธอยืนอยู่ที่นั่นสักพัก ต้วนอีเหยาไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ เธอควรที่จะนอนหลับสบายใจอยู่ที่บ้าน ตอนบ่ายไปดูเสี่ยวกุ้ยที่ร้านดอกไม้ หนึ่งวันก็ผ่านไปอย่างนี้
เธอไม่รู้ว่าเย่จิงเหยียนจะแต่งงาน เขาก็ไม่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตผ่านไปได้ บางครั้งก็นึกถึงกัน นานวันไปก็สามารถปล่อยวางได้
“อีเหยา พวกเรากลับกันไปก่อนเถอะ”ไป๋จิ่นอี้ตบที่มือเธอเบาๆ ทำให้เธอได้สติกลับมามากขึ้น
เธออำลาเย่ชูวเสวีย และเดินอย่างสง่างามตามไป๋จิ่นอี้ไปขึ้นรถ …….สันหลังที่ตรงเหมือนกับปากกา เพียงแค่โน้มตัวงอลงที่เก้าอี้นั้น หลังเหมือนกับผนังที่ถูกคนตี ล้มตัวอ่อนลงไปในเก้าอี้
เมื่อก่อนเธอทุกข์ทรมานใจ แต่ในที่สุดก็ปล่องวางได้ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาทำอะไรไม่ได้ ในใจจะยินยอมสมัครใจได้อย่างไร…..
“อีเหยา เธอยังหิวอยู่เลย จะกินอะไรหน่อยไหม”ไป๋จิ่นอี้หมุนพวงมาลัยมองไปข้างหน้า ให้เธอพาความรู้สึกภายในของตัวเองออกมา
ต้วนอีเหยาหลับตาส่ายหน้า “ฉันไม่หิว คุณส่งฉันกลับเลยเถอะ”
ไป๋จิ่นอี้ตอบตกลง สายตาหยุดอยู่ที่เสื้อสูทของ เมื่อกี้เขารู้สึกไม่พอใจ ถอดเสื้อนั้นวางไว้บนรถ กระเป๋าเสื้อมีสิ่งหนึ่งนูนออกมา
สายตาเขาหยุดมองไม่กี่วินาที ในใจรู้สึกทุกข์ทรมาน ในนั้นเดิมทีเขาใส่แหวนที่จะขอเธอแต่งงานไว้
อยู่ในสถานที่แต่งงานที่โรแมนติก มองเห็นการแต่งงานของทั้งสองคน เขาคิดว่าการที่ขอเธอแต่งงานในสถานที่เช่นนี้ต้องทำให้เธอตื้นตันใจอย่างสุดขีดแน่นอน แต่คาดไม่ถึงว่า…….
รถคันด้านหลังบีบแตร ไป๋จิ่นอี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองขับช้าลง เขาสะบัดศีรษะไปมาเพื่อควบคุมความคิดของตัวเขาเอง
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเธอกับเย่จิงเหยียนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่การขอแต่งงานในสถานการณ์แบบนี้ อีเหยาไม่มีอารมณ์ตอบตกลงแน่นอน
……………….
ในโรงพยาบาล
เย่จิงเหยียนสูบบุหรี่อยู่ที่ทางเดินไม่หยุด ห้องฉุกเฉินถึงไม่มีที่ดับไฟตั้งแต่ต้น
ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว ก็ชดเชยผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะดีขึ้น ดวงตาของเขาก็แดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“พี่…….”ในที่สุดมู่ยู่วฉีก็ทนดูต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นยืนตัดสินใจแย่งบุหรี่ เขาดับมันแล้วทิ้งลงถังขยะ
“อย่ากังวลใจเลย เขาไม่เป็นอะไรหรอก”
เย่จิงเหยียนไม่ได้สนใจเขา หันศีรษะกลับไปมองคนที่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนฝนตกอย่างแม่ต้วนกับต้วนจื่ออิ๋ง เท้าเหมือนโลหะที่ถูกหล่อไว้เคลื่อนไหวไม่ได้สักเล็กน้อย
ในเวลานั้น เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยก็รีบเดินมา ตลอดทางก็มีคนทักทายพวกเขา
เย่ฉ่าวเฉินห่างจากเย่จิงเหยียนแค่เพียงครึ่งก้าวก็หยุดชะงักฝีเท้า ถามอย่างน่าสะพรึงกลัวว่า”เป็นอย่างไรบ้าง?”
เย่จิงเหยียนไม่ได้ตอบคำถาม มู่ยู่วฉีรีบชักตัดหน้าตอบแทนเย่จิงเหยียนถูกโมโหใส่ “ตอนนี้ยังไม่ออกมาเลยครับ ไม่รู้ว่าสรุปอาการเป็นอย่างไร”
รู้นิสัยของเขา มู่เวยเวยรีบลากเขาออกไป”พวกเราไปถามที่ผู้เชี่ยวชาญแล้วเชิญหมอที่เก่งที่สุดมากัน”
เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้พูดอะไร เม้มฝีปากแล้วเดินไปตามทางเดินของห้องฉุกเฉิน
ตามทางเดินเสียงร้องไห้ระงม เย่ฉ่าวเฉินเดินมาถึงต้วนจื่ออิ๋ง นั่งลงเงียบๆ ต้วนจื่ออิ๋งมองเขาแวบหนึ่ง โน้มศีรษะลงอิงที่ไหล่ของเขา
“ไม่เป็นอะไรหรอก”เขายื่นมือออกไปสัมผัสที่ศีรษะของต้วนจื่ออิ๋งเบาๆเพื่อปลอบโยนเธอ
แม่ต้วนเงยศีรษะขึ้นในตอนที่เขาพูด มองเขาด้วยสายตาตำหนิ”พวกเรามอบลูกสาวให้กับคุณ คุณก็ตอบแทนพวกเราอย่างนี้เหรอ?”
เย่จิงเหยียนไม่มีคำตอบโต้ เป็นความผิดของเขาจริงๆ แต่ถ้าหากให้เขาแต่งงานทั้งอย่างนี้ จะไม่เป็นการทำร้ายจื่ออิ๋งอย่างนั้นเหรอ?
แม่ต้วนถูกเขากระตุ้นให้โมโหมากขึ้น ลุกขึ้นยืนจะตบหน้าเขาหนึ่งครั้ง แต่ทว่าต้วนจื่ออิ๋งที่ร้องไห้มาโดยตลอดมายืนขวางอยู่ด้านหน้าเขา
“แม่ อย่าค่ะ……”
ในเวลาเดียวกัน ไฟในห้องผ่าตัดก็ดับลงในฉับพลัน หมอกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมา แม่ต้วนก็ไม่มีเวลาสนใจเย่จิงเหยียน รีบวิ่งไปจับหมอผ่าตัดที่กำลังจะถอดหน้ากากอนามัยลง
“หมอ เขา…เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
แม่ต้วนเสียงสั่นมาก เขาออกแรงกดที่ลำคอพยายามอย่างมากที่จะให้คนได้ยิน
หมอผ่าตัดถอดถุงมือออก ขมวดคิ้วแล้วพูดกับเธอว่า”อาการยังไม่ดี ผ่าตัดทำเรียบร้อยแล้ว ก็ดูแค่ว่าเขาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ไหมแล้วล่ะ!”
ต้วนจื่ออิ๋งหยุดร้องไห้ ต้องการคิดให้ละเอียดกับความหมายของหมอ แต่ทว่ามองเห็นแม่ต้วนขาทรุดลงบนบริเวณเตียงคนไข้
“แม่!”
ต้วนจื่ออิ๋งวิ่งบุ่มบ่ามเข้าไปต้องการที่จะประคองแม่ต้วน ตรงพื้นไม่รู้ว่าใครเทน้ำหกไว้หนึ่งแก้ว ไม่ได้ระวัง เธอก็หกล้มลงที่พื้นเหมือนกัน
คนบริเวณรอบๆก็วุ่นวาย คนที่ช่วยคนก็ช่วย คนที่เข็นเตียงก็เข็นเตียง มู่ยู่วฉีก็เหมือนกับคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกำลังยืนดูเกมส์อย่างนั้น ถูกคนเพิกเฉยอยู่ที่ซอกมุม
เขาลูบแล้วลูบอีกที่จมูกของตัวเอง ถอนหายใจออกมา ก็ตามคนกลุ่นนั้นไปที่ห้องคนป่วย
ห้องพักคนป่วยVIPใน ต้วนจื่ออิ๋งนั่งตรงกลาง ทั้งสองด้านที่นอนอยู่ด้านหนึ่งคือพ่อต้วน อีกด้านหนึ่งคือแม่ต้วน เธอร้องไห้จนเหือดแห้งแล้ว ดวงตาแดงก่ำเหมือนกับลูกอัลมอนด์
เย่จิงเหยียนอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเธอ ได้ยินเสียงแม่ต้วนว่าต้องการน้ำ รีบลุกขึ้นไปเทน้ำให้แม่ต้วน
แม่ต้วนที่กำลังได้สติฟื้นขึ้นมา มองเห็นว่าคนที่ยื่นน้ำให้คือเย่จิงเหยียน สีหน้าที่ดำเปลี่ยนเป็นสีม่วงเขียว”ทำไมเป็นคุณ?”
“ดื่มน้ำก่อนเถอะครับ”เย่จิงเหยียนก็ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เพียงแค่ยื่นแก้วน้ำไปตรงหน้าเธออยู่ไม่กี่นาที
แม่ต้วนความจริงคือคอแห้งหิวน้ำมาก ไม่นานหลังจากนั้นก็รับน้ำมา ตอนแรกรู้สึกว่าเขาก็ไม่เลว เพราะว่าเขาไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป และก็ดีกับจื่ออิ๋ง เธอถึงพูดเกลี้ยกล่อมให้เหล่าต้วนเห็นด้วยกับการแต่งงานของทั้งสอง
แต่คิดไม่ถึง……คิดไม่ถึงว่าในที่สุดเธอก็ประเมินเขาต่ำไป ที่แท้ผู้ชายก็หลายใจ ยังไม่ได้แต่งงานก็ทำให้เป็นอย่างนี้แล้ว
เธอมองต้วนจื่ออิ๋งที่น่าสงสารของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ “เหล่าต้วนเป็นอย่างไรบ้าง?”
เย่จิงเหยียนรู้ว่าเธอกำลังถามเขา ตอบอย่างไม่ลังเลใจว่า”ยังไม่ฟื้นเลยครับ”
ออกจากห้องผ่าตัดมาก็จะเจ็ดแปดชั่วโมงแล้ว ยาชาก็หมดฤทธิ์ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา….แม่ต้วนขมวดคิ้วแน่นขึ้น
ตอนนี้เธอนอนต่อไม่ไหวแล้ว อยากจะดูพ่อต้วนสักหน่อย ดิ้นรนพยายามอยู่บนเตียงสักพัก สุดท้ายก็ต้องให้เย่จิงเหยียนพยุงลุกขึ้น
พ่อต้วนนอนอยู่ตรงข้ามเธอ สงบเสงี่ยม ขอบตาของแม่ต้วนก็ชิ้น เธอแต่งงานกับเหล่าต้วนมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่กี่วันมานี้ก็รู้สึกใจหวิวหวาดกลัว
พวกเขาอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับคนดีๆมาตลอด ทั้งสองคนก็จะปลดเกษียณ ปลูกดอกไม้เลี้ยงนก ใช้ชีวิตวัยชราอย่างเงียบราบรื่น แต่ทั้งหมดนี้ถูกทำลายแล้ว…….
……….
ต้วนอีเหยานั่งมึนงงอยู่ที่สวนดอกไม้ วันนี้ก็ผ่านวันแต่งงานของพวกเขามาห้าวันแล้ว เธอไม่รู้ว่าสรุปพวกเขาจัดการอย่างไร แต่เธอรู้เพียงว่าใจของเธอดิ่งลงไปทีละน้อย
“เจ้านาย ช่วงนี้มักจะมีคนมาซื้อดอกกุหลาบ ปกติสินค้าเพิ่งจะเข้า ก็ถูกคนซื้อไปแล้ว “ฮัวเสี่ยวกุ้ยเอาของสงสัยของตัวเองมารายงานต้วนอีเหยา
เธอแปลกใจมาก หลังจากวันวาเลนไทน์วันนั้นแล้ว มักจะมีคนซื้อดอกกุหลาบจำนวนมาก สรุปว่าเอาไปใช้ทำอะไร ถึงใช้หมดเป็นชุดใหญ่จำนวนมากขนาดนั้น
ต้วนอีเหยาก็ได้สติจากความคิดนั้นมา “ใคร ไม่ได้เก็บชื่อไว้เหรอ?”
“ไม่เลย พูดว่ามาซื้อแทนเจ้านาย ฉันก็ไม่ได้ถามอะไรมาก”
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว เธอรู้สึกว่าถามดูหน่อยก็ดี”เขามักจะมาซื้อช่วงเวลาไหน?”
“ปกติเป็นช่วงเช้า เช้ามากๆ ฉันยังมาไม่ถึง เขาก็ยืนรออยู่ด้านหน้าประตูร้านแล้ว”
ต้วนอีเหยาตอบไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ เธอตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เธอจะมาแต่เช้า ถามเขาให้แน่ชัด
ทั้งสองคุยกันไปสักพัก ก็มองเห็นรถของไป๋จิ่นอี้จอดอยู่ที่หน้าร้าน
“กำลังพูดอะไร?”
หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่พุดขึ้นมาอีก วก็ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น ทุกวันหลังเลิกเรียนก็จะมาหาต้วนอีเหยาเหมือนเดิม พูดเรื่องไร้สาระก็ดี กินข้าวก็จบ ทุกวันไม่เคยพลาด
ต้วนอีเหยาหันหน้าไปทางแสงแดจ้า พยายามยิ้มออกมา”วันนี้ทำไมมาเร็วจัง?”
“วันนี้คาบเปลี่ยนเป็นหยุดแล้ว กำลังดีพวกเราไปกิข้าวกัน”เขาสั่นที่นาฬิกาที่ข้อมือ
ต้วนอีเหยาลุกขึ้น แกะผ้ากันเปื้อนออกแล้วปัดเศษผงออกจากตัว”ไปกันเถอะ”
เธอยื่นดอกไม้ที่เหลือให้ฮัวเสี่ยวกุ้ย แต่ทว่าอีกครึ่งหนึ่งร่วงหล่นลงมา ด้านบนมีแค่ดอกไม้ไม่กี่ดอก ร่วงอยู่ในฝุ่นละออง ใจของเธอบีบรัดแน่น
“ขอโทษนะ เจ้านาย! ” ฮัวเสี่ยวกุ้ยโค้งตัวลงกำลังจะเตรียมเก็บ แต่ทว่าถูกต้วนอีเหยารั้งไว้
“ไม่เป็นไร ” ต้วนอีเหยาใช้เท้าเหยียบที่กลีบดอกไม้นั้น ออกแรงเบาๆ กลีบดอกไม้ก็รวมเป็นเนื้อเดียวกับดิน ขอบตาเธอชื้นเล็กน้อย
“ก็เป็นแค่ดอกไม้ที่แตกละเอียดย่อยยับเท่านั้นเอง”
ก็เป็นแค่…คนที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น
ไป๋จิ่นอี้ไม่ได้สังเกตท่าทางของต้วนอีเหยา เป็นสุภาพบุรุษเปิดประตูรถให้เธอ รอเธอเข้าไปนั่ง
เขาเปลี่ยนชุดลำลอง แต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คือกล่องเล็กอันหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ผ่านไปตั้งห้าวันแล้ว ไมกี่วันมานี้เขาก็ดูความผิดปกติของต้วนอีเหยาไม่ออก รู้ว่าถ้ายังไม่ลงมือ กลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร
อาหารเย็นเลือกมาที่ร้านอาหารแถบชานเมืองที่เป็นส่วนตัว บริเวณทั้งสองด้านล้อมรอบด้วยแม่น้ำ ทำตามคำสั่งของเขา บนโต๊ะมีเทียนหนึ่งเล่ม มองดูแล้วโรแมนติกอีกทั้งยังอบอุ่น
“ที่นี่ทำไมไม่มีคน?”
ต้วนอีเหยาสงสัยมาก โดยทั่วไปถึงเวลากินข้าว ร้านอาหารที่ดีหน่อยก็ต่อแถวยาวเหยียดแล้ว อีกทั้งยังบรรยาศดีอย่างนี้
ไป๋จิ่นอี้ไม่ได้มีสีหน้าพิรุธแล้วพาเธอเข้าไป “อาจจะเปิดใหม่ ยังไม่มีคนรู้”
ต้วนอีเหยาเหมือนไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตอนที่ไป๋จิ่นอี้ให้เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม ที่จริงในใจของเธอ ก็มีกฎเกณฑ์ตายตัวอยู่แล้ว ต่อคิวยิ่งยาวมากขึ้น ร้านอาหารร้านนั้นต้องอร่อย
ร้านนี้ไม่มีสักคนเดียว อยากจะรู้รสชาติ ยุคสมัยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ร้านอาหารอย่างนี้เธอคาดว่าน่าจะอยู่ไมถึงหนึ่งเดือน สุดท้ายก็จะปิดกิจการ
“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงสวัสดีตอนเย็นครับ “พนักงานถือเมนูอาหารมาหนึ่งชุด กับน้ำอุ่นสองแก้ว
ต้วนอีเหยายกขึ้นมาดื่ม เห็นเมนูอาหารเปิดอยู่ตรงหน้าเธอ เงยศีรษะขึ้น ไป๋จิ่นอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอ
เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับเมนูมาเลือกเมนูอาหารที่แนะนำ แล้วยื่นมันส่งให้ไป๋จิ่นอี้ “ฉันเลือกเสร็จแล้ว คุณดูว่ามีอะไรที่อยากจะเพิ่มไหม?”
ไป๋จิ่นอี้รับเมนูอาหารมาดูแล้วก็ไม่มี ก็ส่งให้กับพนักงานเลย สีหน้าซีดขาวในใจกำลังยิ้ม เริ่มต้นเธอก็เกรงใจถึงตอนนี้ก็ไม่ได้เกรงใจแล้ว ชัดเจนแล้วว่าเธอเห็นเขาเป็นคนสนิท
สายตาของต้วนอีเหยามองไปทางอื่น ผ่านไปแล้วเธอก็ยังทนไม่ไหวต่อสายตาลุ่มหลงของไป๋จิ่นอี้!
เพราะว่ามีแค่เธอกับเขาสองคนที่อยู่สถานที่นี้ อาหารมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ความเก้อเขินของสายตาเมื่อสักครู่หายไป ต้วนอีเหยาคีบอาหารเข้าปาก
ไม่คาดคิดก็คืออาหารรสชาติอร่อยมาก เธออดไม่ได้ที่จะคีบมาอีกหนึ่งชิ้น ยิ่งกินยิ่งถูกปาก ไป๋จิ่นอี้จัดวางอาหารให้เธออย่างอ่อนโยน ตั้งแต่ต้นจนจบน้อยมากที่เขาจะเคลื่อนไหวตะเกียบ
หลังจากดื่มเหล้ากินอาหารอิ่มแล้ว ต้วนอีเหยาลูบที่หน้าท้องเล็กๆของตัวเอง ก็เริ่มสงสัยอีกว่า ร้านอาหารอร่อยขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีคน?
ทันใดนั้นไฟก็ดับลง มุมหนึ่งของร้านอาหารก็มีเสียงไวโอลินดังขึ้น ต้วนอีเหยามองไปตามเสียง มีแค่เสียงเทียนไม่กี่เล่มส่องที่ไวโอลินนั้น
“ทำไมยังมี…….”
ต้วนอีเหยาหันกลับมากำลังจะถามไป๋จิ่นอี้ แต่ทว่ามือของเขาปิดที่ริมฝีปากเธอไว้
ไป๋จิ่นอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ “ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเธอไม่ต้องพูดอะไร ฉันจะเป็นคนพูดเอง”
เขาเห็นต้วนอีเหยาผงกศีรษะ ถึงปล่อยมือออก คุกเข่าลงหนึ่งข้าง หยิบกล่องเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดออกอย่างนุ่มนวล
“ตั้งแต่ที่ช่วยเธอในตอนนั้น ฉันก็คิดว่า ผู้หญิงคนนี้นิสัยไม่เลว ถ้าเธอสามารถเป็นแฟนได้ก็ดี แต่ที่ฉันคิดไม่ถึงก็คือ เธอเป็นแฟนของฉันแล้วจริงๆ วันนั้นที่งานแต่งงานฉันคิดสถานที่ที่โรแมนติกจะขอเธอแต่งงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ทันที่จะได้ทำ”
“เรื่องที่ผ่านมาของเธอฉันไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ฉันอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเธอหลังจากนั้น อีเหยา แต่งงานกับฉันได้ไหม?”
ต้วนอีเหยามึนงงอยู่ที่เก้าอี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ช่วงนี้เขาทำตัวแปลกๆไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ แต่แค่ไม่มีกะจิตกะใจไปสืบสาว
เรื่องของเย่จิงเหยียนวนเวียนอยู่ในใจเธอ เธอคิดไปไกลถึงหากฟลุ๊คอาจจะหลังจากนี้เรื่องนี้กลายเป็นฝุ่นละอองไป ไม่แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะได้เริ่มต้นกันใหม่ ดังนั้น เรื่องของเธอกับไป๋จิ่นอี้ เธอไม่เคยคิดอย่างละเอียดเลย……
เพียงแค่รู้สึกว่าเขาละเอียดอ่อนโยน อยู่กับเขาก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ในใจของเธอ………เห็นเขาเป็นเพียงเพื่อนที่รู้ใจ ไม่ใช่แฟน