“อีเหยา….”
“เห้อ…” ต้วนอีเหยานวดขมับ ยิ้มอย่างอึดอัด “คือ….ไป๋จิ่นอี้ ฉัน…”
เธอไม่รู้จะพูดยังไงให้เขาไม่เศร้าจนเกินไป แต่เธอก็รู้ว่าเธอตอบตงลงเขาไม่ได้
ไป๋จิ่นอี้มองเธออย่างมีความหวัง เขาไม่รู้เลยว่าต้วนอีเหยากำลังลำบากใจอยู่ เขามองว่าเธอกำลังเขินอายอยู่
“ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องพูดก็ได้” เขายื่นกล่องแหวนมาใกล้ๆ เพื่อส่งสัญญาณว่าแค่เธอรับก็พอ
สำหรับเขา ขอแค่ต้วนอีเหยาตอบตกลงก็พอ เขาไม่ต้องการให้เธอตอบสนองกลับมา ยังไงวันข้างหน้าก็ยังมีอีกยาวไกล ต้องมีวันหนึ่งที่เธอจะดีกับเขา
“ไม่…ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ต้วนอีเหยาโบกมือ เธอรู้ว่าไป๋จิ่นอี้เข้าใจผิด จึงรีบอธิบาย
“ฉันจะบอก…จะบอกว่า….”
“ฉันไม่สามารถรับรักคุณได้” เธอกลัวจะเห็นสายตาผิดหวังของไป๋จิ่นอี้ จึงหลับตาและพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา
ไป๋จิ่นอี้ตะลึง กล่องหลุดจากมือตกลงไปบนพื้น เพราะแหวนไม่ได้เก็บไว้อย่างดีจึงหลุดออกจากกล่องกลิ้งมาหยุดตรงข้างเข่าของเขา
“จิ่นอี้….ฉัน…ชอโทษ..”
นอกจากขอโทษ ตอนนี้เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว เธอก้มหน้าลงด้วยความเสียใจไม่กล้ามองไปที่เขา
“อี้เหยา มันเร็วเกินไปใช่มั้ย เธอถึงยังไม่ตกลง” ไปจิ๋นอี้สับสนเป็นเวลานานก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
เขาคิดว่าที่เธอไม่ตอบตกลงเป้นเพราะเวลามันเร็วเกินไป รู้จักกันแค่อาทิตย์กว่าก็เป็นแฟนกัน พอรู้จักกันเดือนกว่าก็ขอเธอแต่งงาน เขารีบเกินไปจนทำให้ผู้หญิงอาจจะกลัวได้
ต้วนอี้เหยาได้ยินคำพูดของเขาก็เงยหน้าขึ้นมา “ไม่ใช่ จิ่นอี้ ฉัน…..ฉันตกลงไม่ได้จริงๆ”
“เพราะฉันมีคนที่ชอบแล้ว”
ไปจิ่นอี้มองเธออย่างเหม่อลอย ไม่ใช่เพราะเขิน ไม่ใช่เพราะลังเล แต่เพราะเธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว….
“ใช่เย่จิงเหยียนมั้ย” สมองของไป๋จิ่นอี้ฉายภาพตอนเธอกับผู้ชายคนนั้นสบตากันขึ้นมา ในแววตาทั้งคู่ดูมีเรื่องราวบางอย่าง
ต้วนอีเหยาไม่ได้ตอบ เธอเงียบอย่างยอมรับ
ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญเจอเย่จิงเหยียนที่งานแต่ง ไม่รู้ว่าเขารักเธอ เธออาจจะตอบตกลงแต่งงานไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอไม่กล้าแม้แต่จะพูดโกหก
ในร้านอาหาร เปียโนยังคงบรรเลงอยู่ แต่บริกรที่รออยู่ข้างๆก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ปกติ เขาจึงเดินไปที่เปียโน และส่งสัญญาณให้นักเปียโนหยุดเล่น
“คุณรักเขาหรอ” ไป๋จิ่นอี้ยังคงไม่ตัดใจ เขาแอบคิดในใจว่าถ้าเธอไม่ยอมรับ เขาก็ยังมีหวัง
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ ต้วนอีเหยาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พยักหน้าอย่างไม่ลังเล
ตอนนั้นใจไป๋จิ่นอี้สลายในทันที เขาก้มหน้าลง เพื่อให้ผมปกปิดสายตาอันผิดหวังของเขา
……
อีกด้านหนึ่งในโรงพยาบาล
ตกดึก ต้วนจื่ออิ๋งก็เตือนให้แม่ของเธอพักผ่อนหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน ส่วนเธอก็ไปนั่งแทนที่แม่ของเธอ
ตั้งแต่พ่อป่วย เธอก็รู้สึกโตขึ้นในพริบตา ความไร้เดียงสาก่อนหน้านี้หายไปจนหมด เหลือแต่ความสงบนิ่ง
เธอรู้ความเอาแต่ใจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พี่จิงเหยียนไม่มีทางชอบเธอ และพ่อก็ยังป่วยติดเตียงแบบนี้
เธอห่มผ้าห่มให้พ่อต้วนเสร็จ เธอก็ยกมือมาแตะหน้าของพ่อ เมื่อเห็นตัวยังอุ่นอยู่เธอก็สบายใจ
ขอแค่พ่อยังตัวอุ่น ก้แปลว่าพ่อยังไม่จากไปไหน
เสียงเท้าดังมาจากข้างหลัง เธอไม่ต้องหันไปมองก้รู้ว่าเย่จิงเหยียนมาแล้ว ช่วงนี้เขานอนแค่วันละสามสี่ชั่วโมง เมื่อถึงกลางดึก เขาก็ต้องมาปรากฎตัวที่ห้องผุ้ป่วยทุกที
เขาเดินเข้ามาเงียบๆ ดึงเก้าอี้ไปนั่งหลังเธอไกลๆ
“พี่จิงเหยียน….”
ต้วนจื่ออิ๋งหันไปทำลายความเงียบ เย่จิงเหยียนเงยหน้ามองเธอด้วยความสงสัย
“พ่อฉันจะฟื้นมั้ย”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่สามารถตอบได้ ขนาดหมอที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลยังไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าพ่อต้วนจะฟื้นมั้ย
“พวกเรารอไปด้วยกันเถอะ” เย่จิงเหยียนนวดหว่างคิ้วและพูดเบาๆ
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเขาก็แดงกำ่ ต้วนจื่ออิ๋งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
เธอรู้สึกตื่นเต้นมากกว่ากลัว อย่างนี้ก็แสดงว่าพี่จิงเหยียนน่าจะชอบเธอเหมือน ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงมาเฝ้าไข้กับเธอทุกวัน ไม่ไปหาต้วนอีเหยา
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ต้วนจื่อจินก็ยิ้มออกมา พร้อมกับกอดแขนเขาอย่างรักใคร่ “ฉันเชื่อว่าพ่อจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่ๆ”
เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ ในที่สุดต้วนจื่ออิ๋งก็หลับไปอย่างทนไม่ไหว เธอซบไหล่เย่จิงเหยียนหลับอย่างสะลืมสะลือ
เย่จิงเหยียนไม่ได้ดันเธอออก เขาค่อยๆนั่งหลับตาไปเช่นกัน กลางดึกเปลือกตาของพ่อต้วนที่นอนอยู่บนเตียงก้ค่อยๆขยับโดยที่ทุกคนไม่มีใครสังเกตุเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆนี้เลย
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาว เย่จิงเหยียนขยับไหล่ด้วยความเมื่อยขบ ต้วนจื่ออิ๋งจึงตื่นขึ้นมาเพราะการเคลื่อนไหวของเขา
“อะไรหรอคะ” เขาค่อยๆขยับตาตื่น เธอลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองอยู่ที่ไหน จนเมื่อเธอตื่นเต็มตา ห้องสีขาวสะอาดก็ทำให้เธอนึกออกว่าเธออยู่ในห้องผู้ป่วยของพ่อ
เย่จิงเหยียนไม่ได้ตอบ ตั้งแต่วันนั้น เขาก็พูดกับเธอน้อยมาก เขาหรี่ตาเล็กน้อย จนเมื่อสายตาปรับเข้ากับแสงสว่างได้จึงลืมตาขึ้นมาเต็มตา
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เตียงคนไข้ ก่อนจะตะลึง บนเตียงไม่มีพ่อต้วนนอนอยู่
เขารีบเด้งตัวขึ้น ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกแปลกๆกับท่าทางของเขาจึงมองตามสายตาของเขาไป…
“พี่จิงเหยียน….” สายตาของต้วยจื่ออิ๋งหม่นลง มองไปบนเตียง “พ่อฉันไปไหนแล้ว”
เย่จิงเหยียนตอบอย่างสงบ “ไม่รู้”
เช้าขนาดนี้ ถ้าหมอจะมาตรวจก็น่าจะปลุกพวกเขา แล้วยิ่ง….ตรวจแล้วเอาตัวไปด้วย มันจะเป็นไปได้ยังไง
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังตามหาอย่างรีบร้อน พ่อต้วนก็เดินเกาะกำแพงเข้ามาตัวสั่นๆ เมื่อต้วนจื่ออิ๋งหันไปเห็นก้น้ำตาไหลออกมา พร้อมกับตรงเข้าไปกอดเอวเขาทันที
“พ่อ…พ่อไปไหนมา”
พ่อต้วนแทบจะไม่มีแรง เขาเกาะผนังด้วยสองมือ พร้อมกับพร้อมเปล่งเสียงพูด “อยากเข้าห้องน้ำ เห็นทุกคนหลับอยู่เลยไม่ได้ปลุก”
ต้วนจื่ออิ๋งร้องไห้ “พ่อต้องปลุกหนูสิ พวกเราคิดว่า…”
พ่อต้วนพยายามยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าเศร้าๆของเธอ “อย่าร้อง โตแล้วนะ ทไเป็นเด็กๆไปได้”
พูดจบเขาก็มองไปที่เย่จิงเหยียน ถึงสีหน้าจะไม่ดีมากนัก แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก
แม่ต้วนถือกล่องอาหารเช้าเข้ามา เมื่อเห็นพ่อต้วนยืนอยู่หน้าประตู เธอก็ยืนอึ้งอยู่กับที่ อ้าปากค้างนานมาก ก่อนจะพูด “คุณต้วน….”
เมื่อพูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมาทันที เธอรอมาหลายวัน ผิดหวังวันแล้ววันเล่า จนคิดจะถอดใจไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงวาเขาจะตื่นเข้ามา
เธอเดินเข้าไปจับมือเขา และพูดด้วยตื่นเต้น “ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
พ่อต้วนค่อยๆยิ้มออกออกมาอย่างอ่อนโยน “คุณลองตีตัวเองดุสิ จะได้รู้ว่าจริงมั้ย”
เมื่อแม่ต้วนโดนหยอกก็ค่อยๆมีรอยยิ้มขึ้นมา พลางใช้ผ้าเช้ดหน้าซับน้ำตา “ฟื้นขึ้นมาก็ดีๆ…”
พวกเขาทั้งสามคนใช้เวลาอยู่ด้วยกัน โดยมีเย่จิงเหยียนมองดูเงียบๆ เขาค่อยๆถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดสิ่งที่หนักใจอยู่ก็หายไป เมื่อทุกคนหยุดคุยกัน เขาจึงเดินไปลา “คุณพ่อต้วนฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้วครับ ผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”
ทั้งสามคนมองมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียง ต้วนจื่ออิ๋งตำหนิเบาๆ “พี่จิงเหยียนไม่อยู่ก่อนหรอคะ พ่อฉันเพิ่งฟื้นนะ…”
เย่จิงเหยียนส่ายหน้า “ในเมื่อฟื้นแล้วก้ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว ฉันยังมีธุระที่ต้องจัดการ”
เขาไม่ต้องบอกว่ามีธุระอะไร สายตาอันชาญฉลาดก็พอจะเดาความคิดเขาออกได้ พ่อต้วนจึงพูดอย่างเย็นชา “ไปเถอะ ไม่มีใครขอให้อยู่”
เย่จิงเหยียนตั้งใจจะพูดอะไร แต่พ่อต้วนก็หันหน้าหนี เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทำแค่หันไปคำนับให้แม่ต้วน และเดินจากไป
ต้วนจื่ออิ๋งกำลังจะเดินตามไป แต่เมื่อเห้นสายตาของแม่ก็ได้แต่นั่งอยู่กับที่อย่างสงบเสงี่ยม
พ่อต้วนหันกลับมาไม่เห็นเย่จิงเหยียนอยู่ในห้องก็ยิ่งโกรธ เขาจึงหันมาพูดกับลูกสาวว่า “ตอนนี้ตาสว่างรึยัง ฉันเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา มันก็อดรนทนไม่ไหวรีบไปหาผู้หญิงอื่น บอกไว้ตรงนี้เลย ฉันจะไม่ญาติดีกับมันอีก”
“พ่อ พี่จิงเหยียนไม่ใช่คนแบบนั้น เขาต้องมีเรื่องสำคัญมากแน่ๆ”
“แก…แกจะทำให้ฉันโกรธให้ได้เลยใช่มั้ย”
พ่อต้วนเห็นลูกสาวยังคงปกป้องเย่จิงเหยียนอยู่ หน้าอกเขาก็กระเพื่อมขึ้ยลงอย่างรุนแรง แม่ต้วนจึงรีบลูบหน้าอกเขาอย่างรวดเร็ว
เธอพูดกับต้วนจื่ออิ๋งเสียงต่ำ “ทำตามพ่อสั่งสิ”
“พ่อ ไม่ต้องโกรธแล้ว หนู…ยอมแล้ว พ่อพูดถูก”
ต้วนอี้เหยารีบตอบรับโดยไวด้วยความกลัว พ่อเธอเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา เธฮไม่อยากให้เขาเป็นลมไปอีกครั้ง
…..
ต้วนิีเหยาล้างหน้าและจ้องหน้าซีดๆของตัวเองในกระจก เมื่อวานการขอแต่งงานของไป๋จิ่นอี้ล้มเหลว
พวกเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเอง แต่เรื่องเมื่อคืนก็ทำให้เธอนอนไม่หลับทั้งคืน
เธอคิดเยอะมาก ตั้งแต่เจอไป๋จิ่นอี้ไปจนถึงตอนเห็นสายตาของเย่จิงเหยียนที่มองเธอมา เธอคิดยิ่งติดพัน จนในที่สุดต้องพึ่งยานอนหลับ
ใบหน้าของเธอในกระจกอิดโรยมาก ขอบตาบวมช้ำ และดำจนเธอได้แต่กดรอยคล้ำนั้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมื่อวานเธอทำให้ไป๋จิ่นอี้ยุ่งเปล่าทั้งวัน ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกผิดอย่างท้วมท้น
ต้วนอีเหยาพิงอ่างล้างหน้า และส่ายหน้าแรงๆ “ไม่เป็นไรๆ ไป๋จิ่นอี้ไม่เสียใจง่ายขนาดนั้นหรอก”
เมื่ออาบน้ำเสร็จ เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและไปที่ร้านดอกไม้ ฮัวเสี่ยวกุ้ยยังมาไม่ถึงร้าน และข้างนอกก็ยังไม่มีคนมาซื้อดอกไม้
ต้วนอีเหยาเปิดประตูด้วยึวามสับสน จากนั้นครึ่งชั่วโมง ฮัวเสี่ยวกุ้ยก็มาที่ร้าน
“เจ้านาย” ฮัวเสี่ยวกุ้ยมองต้วนอีเหยาอย่างแปลกใจ เธอมาที่ร้านแต่เช้าอย่างนี้น้อยมาก โดยเฉพาะช่วงนี้ ต้วนอีเหยาแทบจะไม่มาร้านเลยทั้งวัน ดังนั้นเมื่อเห็นเธอนั่งดื่มชาบนเก้าอี้ยิ่งทำให้รู้สึกประหลาดใจ
“คนที่มาซื้อดอกไม้ เขามาตอนไหน” เมื่อต้วนอีเหยาเห็นใบหน้าของเธฮมีเหงื่อเต็มหน้าก็รินชาให้
ฮัวเสี่ยวกุ้ยรับน้ำชามาดื่ม “น่าจะมาถึงตั้งนานแล้วนะคะ ปกติเวลานี้มาซื้อไปแล้ว หรือเพราะวันนี้รถติดหนัก พอเห็นที่ร้านไม่มีคน เขาก็เลยไปแล้ว”
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว “ฉันมานานแล้วนะ ยังไม่เห็นมีคนมารอหน้าประตูเลย”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยเกาหัว “งั้นก็ไม่รู้แล้วค่ะ หรือวันนี้บังเอิญเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
แต่ทำไมมันถึงบังเอิญเป็นวันแรกที่เจ้านายมาที่ร้านพอดี
…..
เย่จิงเหยียนออกมาจากโรงพยาบาล มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของเมือง เข้านึกถึงเมื่อสองวันก่อนที่มู่ยู่วฉีเอาเอกสารมาให้เขาได้
“พี่ใหญ่ ผมหาเจอแล้ว เธออยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง”
“อยู่ทางทิศตะวันออกหรอ”
“ใช่ เปิดร้านดอกไม้ ถ้าตอนกลางวันไม่มีธุระอะไรก็ขายดอกไม้อยู่ร้าน”
เย่จิงเหยียนดึงสติกลับมามองเส้นทางตามจีพีเอส แล้วอดขมวดคิ้วชึ้นมาไม่ได้ ที่ตรงนั้นเขาเคยไป และไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวด้วย…
หน้าร้านดอกไม้ รถโรลรอยส์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู ฮัวเสี่ยวกุ้ยที่อยุ่หน้าร้าน เมื่อได้ยินเสียงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางรถ
ประตูที่นั่งคนขับเปิดออก ปรากฏรูปร่างสูงสง่าดั่งชายชาตรีลงมาจากรถ เขาเดินมาถึงหน้าประตูและหยุดเดิน ที่นี่เหมือนเขาจะเคยมา…
หัวของเขาฉายภาพวันที่มาถึงที่นี่เป็นวันแรก เขาช่วยมู่ยู่วฉีซื้อดอกไม้ และร้านที่เขามาก็คือร้านนี้
“คุณจะรับอะไรคะ” ฮัวเสี่ยวกุ้ยมองเขาอย่างลุ่มหลง รีบวางของในมือลง และเดินไปแนะนำตรงหน้าเขา
เย่จิงเหยียนมองเธอนิ่งๆ “ไม่ต้อง ผมไปดูเองดีกว่า”
ไม่ทันที่ฮัวเสี่ยวกุ้ยจะตอบกลับมา เขาก็เดินหายเข้าไปในร้านแล้ว ในร้านเต็มไปด้วยดอกไม้ เขาแอบเห็นว่าคนในร้านกำลังจะเดินไป จึงรีบตามไปดูให้เห็นชัดๆ
เมื่อหันตัวไปเขาก็เบิกตากว้าง ร่างนั้นหายไปแล้ว ในมือเขากำได้แค่ดอกไม้ ดอกไม้สีม่วง ดอกที่สูงส่งและไม่อาจคาดเดาได้
เย่จิงเหยียนก้มหน้ากำลังจะเดินกลับไป แต่เมื่อหันกลับมา เขาก็เห็นต้วนอีเหยายืนอยู่ตรงหน้า ทั้งคู่ต่างคนต่างตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเจอกันและกันที่นี่
“คุณมาได้ไง” ต้วนอีเหยาตะลึง จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ
“ผมคิดถึงคุณ”
เย่จิงเหยียนมองเธอไม่ละสายตา หัวใจของเขาค่อยๆเต้นขึ้นมาช้าๆ รอบไม้ที่อยู่รอบๆทำให้ทั้งคู่อยุ่ในบรรยากาศที่โรแมนติก
แค่คำสี่คำนี้ก็ทำให้เธอใจเต้นขึ้นมา ที่เธอรอมาหลายวันก็รอแค่คำคำนี้
“เจ้านาย มีลูกค้า….”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยเห็นเย่จิงเหยียนเข้ามานานและไม่ได้ออกไปสักที จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาบอกต้วนอีเหยา แต่เพียงแค่เข้าประตูมาเธอก็หยุดทันที
เธอขยี้ตามองอีกครั้ง ถ้าเธอตาไม่ฝาดไป รู้สึกว่าเจ้านายของเธอกำลังกอดกับผู้ชายหล่อๆคนนั้น
ต้วนอีเหยาได้ยินเสียงฮัวเสี่ยวกุ้ยก็รีบออกมาจากอ้อมกอดของเขา “คือ….เสี่ยวกุ้ย พวกเรา…”
เธอมองเสี่ยวกุ้ย และสายตาของเสี่ยวกุ้ยก็แสดงออกมาว่าเธอไม่ต้องอธิบายแล้ว แค่ดูก็พอจะเข้าใจอะไรแล้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ต้วนอีเหยาโบกมือ และรีบดึงเย่จิงเหยียน “คุณรีบอธิบายสิ”
เย่จิงเหยียนงง “อธิบายอะไร”
“พวกเรา…”
“พวกเรากอดกันไง ไม่ใช่รึไง” เย่จิงเหยียนถามอย่างช่วยไม่ได้
ถ้าเป็นอาการของต้วนอีเหยาก่อนหน้านี้ ฮัวเสี่ยวกุ้ยก็ยังสงสัยอยู่ว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นรึเปล่า แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเย่จิงเหยียนความสงสัยของเธอก็หายไปทันที
ต้วนอีเหยาตบหน้าผากตัวเอง “ช่างเถอะ เสี่ยวกุ้ยดีร้านไปก่อน ฉันมีเรื่องต้องจัดการ”
ขณะที่ดึงเย่จิงเหยียนออกจากร้าน ระหว่างที่เดินผ่านฮัวเสี่ยวกุ้ยนั้น เธอก็ส่งรอยยิ้มชั่วร้ายมา “ไม่ต้องห่วงเจ้านายไปเดทเถอะ”
ต้วนอีเหยาส่ายหน้า ก่อนจะเห็นจะเห็นรอยยิ้มนั้นของเธอพอดี เธอจึงอดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมา “สมองนี่คิดแต่เรื่องอะไรฮะ พวกเรามีธุระจริงๆ”
“ฉันเข้าใจๆ”
ต้วนอีเหยาขี้เกียจอธิบายให้เธอฟังแล้ว จึงรีบเดินออกจากร้านพร้อมเย่จิงเหยียนอย่างรวดเร็ว เธอรู้ว่าถ้ายังไม่รีบไป สายตาของฮัวเสี่ยวกุ้ยคงแทงเธอทะลุไปแล้ว
ในร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ต้วนอีเหยากัดหลอดดูดน้ำอย่างสดชื่น
“อีเหยา…”
ต้วนอีเหยาเงยหน้าจ้องเย่จิงเหยียน รอให้เขาพูดต่อ
“คุณสบายดีมั้ย”
เขาลังเลอยู่นานสุดท้ายก็ถามประโยคพื้นฐานออกมา หลายวันมานี้เขาคิดอยู่นานมากว่าจะเจอกันยังไง จะพูดยังไงจนท่องได้ แต่เมื่อมาเจอกัน เขาก็ยังรู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
ต้วนอีเหยาไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับถามกลับมา “พ่อของเธอเป็นยังไงบ้าง”
สิ่งที่เธอสนใจก็คือเรื่องนี้ ตอนนี้ทั้งสามคนมีความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ในเมื่อมันไม่ชัดเจนเธอก็ไม่อยากยุ่ง จึงเปิดหัวข้อเรื่องนี้ให้กับเขา
เมื่อเย่จิงเหยียนได้ยินเขาก้อึ้ง จากนั้นก้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “เรื่องของผมกับจื่ออิ๋งเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
เขาจับมืออีเหยา และรีบอธิบาย “ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ก็เลย….”
“คุณก็เลยหาคนที่เหมือนฉันมาแทนที่ฉันหรอ”
เย่จิงเหยียนพูดไม่ออก เรื่องหลายเรื่องในช่วงนี้เขาอธิบายได้ไม่ชัดเจน และก็ไม่อยากเอาเวลาอันมีค่าอย่างนี้ปล่อยให้มันเสียไปกับการทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เขาจิบกาแฟ และความหวานในนั้นทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว “สรุปก็คือ อีเหยาผมจะไม่ปล่อยคุณไปอีกแล้ว”
หลังผ่านเรื่องราวมามากมาย จนมาได้เจอกันอีกครั้ง เขาก็อยากจับมือเธอไว้ให้มั่น ไม่ยอมให้ใครมาพรากจากกันอีก
ต้วนอีเหยาก้มหน้ายิ้มอย่างขมขื่น เขาประกาศมาขนาดนี้แล้ว เธอจะปฏิเสธก็คงไม่มีผล งั้นเธอจะพูดอะไรได้อีก
หลังจากนั่งเงียบอบู่หลายนาที ต้วนอีเหยาก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา ขอบตาที่ดำก่ำทำให้เธออยากหลับสักตื่น
“ผมไปส่ง” เย่จิงเหยียนเห็นเธอเหนื่อย จึงหยิบเสื้อที่พาดไว้ และเดินออกไปข้างนอก
รถจอดลงที่ชั้นล่างอพาร์ทเม้นของอีเหยา เมื่อเย่จิงเหยียนหันไปก็เห็นเธอหลับสนิทไปแล้วตรงที่นั่งข้างคนขับ
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ถอดเสื้อคลุมบนตัวของเขาไปคลุมให้เธอ สายตาของเขามองเธอด้วยความอ่อนโยน ก่อนจากกันเขาก็เล่นจมูกของเธอเบาๆ จนเธอแทบจามออกมา
หัวใจของเย่จิงเหยียนอิ่มเอมมาก นี่เป็นความรู้สึกที่แท้จริง เขาไม่สงสัยอีกแล้วว่าตัวเองฝันไปรึเปล่า เพราะตอนนี้คนที่เขาคิดถึงกำลังนอนอยู่ข้างๆเขา
ใบหน้าอ่อนนุ่ม คิ้วสวยที่หลับสนิท ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปจูบเบาบนหน้าผากของเธอ ก่อนที่ต้วนอีเหยาจะขยับตัว และตื่นขึ้นมาเพราะการรบกวนของเขา
เธอสะลืมสะลือมองเย่จิงเหยียนที่ยังไม่ทันได้ลุกออกไป “คุณทำอะไร”
เย่จิงเหยียนถูกเธอจับได้ ไม่รู้จะทำยังไงดีจึงก้มหน้าลงจุมพิตเธอ
“อื้อ” ต้วนอีเหยาร้อง และยื่นมือออกมาเพื่อจะดันเขาออก แต่ก็หยุดลงเมื่อสัมพัสเข้ากับหน้าอกของเขา
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ขัดขืน เย่จิงเหยียนก็ยิ่งรุกหนักมากขึ้น ตอนแรกเขายังอ่อนโยนอยู่ แต่สุดท้ายก็ทนความเย้ายวนไม่ไหว จึงเริ่มรุกล้ำอย่างร้อนแรงขึ้น
จากที่จะดันออก ต้วนอีเหยาก็เปลี่ยนเป็นกอดเขาแทน เธอเอามือไว้บนไหล่ของเขา และเริ่มตอบสนอง เธอลองอยู่ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปนัวเนียกับเขา กลืนคำพูดที่ยังพูดไม่จบทั้งหมดลงคอไป
ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมานานแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงจมอยู่ในวังวนปรารานา ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งลุ่มหลงมากขึ้นเรื่อยๆ
เย่จิงเหยียนจูบเธออย่างหนักตั้งแต่ริมฝีปาก หน้า คาง ลำคอ และลงไปเรื่อยๆอย่างร้อนแรง
ร้อนน
ต้วนอีเหยาเริ่มครางออกมาเบาๆ มือของเธอเริ่มต่อต้าน แต่ในใจกับเรียกร้องมากกว่านี้
ความร้อนในร่างกายทำให้เธอทนแทบไม่ไหว เธออยากปลดปล่อยความรู้สึกนี้ออกไปเร็วๆ แต่ยิ่งเย่จิงเหยียนเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งทรมานมากขึ้นเท่านั้น
“คุณจะทำอะไร” เย่จิงเหยียนจูบลงบนหน้าอกของเธอ ทำให้เธอได้สติในทันที จึงก้มหน้าถามเขา
เย่จิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสับสน มีทั้งความเสียใจและความปรารถนาที่ยังไม่ถึงจุดสุดยอด แต่อีเหยาก็มาทิ้งเขาไว้กลางทาง
เขาดึงอีเกยาเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “อีเหยาฟังเสียงหัวใจของคุณสิ ผมรู้สึกเหมือนฝันเลย คุณกลับมาแล้วจริงๆ คุณกลับมาอยู่ข้างผมแล้ว…”
“ตอนที่รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุกับคุณ ผมก็มักฝันถึงเรื่องนี้ แต่พอถึงช่วงสำคัญคุณก็หายไปต่อหน้าต่อตาของผม ผมกลัวว่าครั้งนี้ก็จะ….”
เย่จิงเหยียนพุดอย่างสะอื้นหลายครั้งและหยุด แต่เพราะอย่างนี้ต้วนอีเหยายิ่งรู้สึกลึกซึ้ง ความรู้สึกที่แท้จริงของเขาถึงจะแสดงความรักของเขาที่มีต่อเธอได้ดีที่สุด
เธอไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะโจมตีเขารุนแรงขนาดนี้ จนถึงขนาดว่าไม่กล้าเชื่อว่าที่เธออยู่กับเขาในตอนนี้คือเรื่องจริง ความรู้สึกอย่างนั้นของเขาทำให้เธออดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้
“จิงเหยียน ฉันขอโทษ” ต้วนอีเหยากอดและลูบหลังเขาเบาๆ
เย่จิงเหยียนราวกับเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ เอาแต่ซบอยู่บนไหล่ของเธอ “พวกเราห้ามแยกจากกันอีกนะ”
“อืม”
พวกเขากาอดกันนานมาก จนกระทั่งยามมาเคาะประตูทั้งคู่ถึงค่อยๆแยกจากกัน
“นี่เป็นที่ที่คุณอยู่ในช่วงหลายเดือนนี้หรอ”
เย่จิงเหยียนมองไปรอบๆอพาร์ทเม้นของต้วนอีเหยา ห้องเล็กๆ ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่อุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ก็ครบครัน
ต้วนอีเหยาถอดเสื้อมาคล้องไว้ในตู้เสื้อผ้า “อืม ห้องตรงนี้ค่อนข้างถูก”
เมื่อเทียบกับใจกลางเมืองแล้ว ห้องที่มีสองสามห้องพวกนั้น แพงกว่าอพาร์ทเม้นนี้มาก
เธอเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง เมื่อเห็นว่าถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว เธอก็คิดได้ว่าของในตู้เย็นใช้ไปหลายวันแล้ว ดังนั้นจึงเหลือแค่ผักกวางตุ้งและแครอท
ถ้าเธอจำไม่ผิด เย่จิงเหยียนไม่ชอบกินแครอท
“ตอนเที่ยงกินอะไร”
เย่จิงเหยียนไม่มีไอเดีย จึงโบกมือให้เธอ “อะไรก็ได้”
ต้วนอีเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จุดท้ายก็เลือกทำซาลาเปากับเกี๊ยว อย่างนี้พอบดแครอทเข้าไปก็ไม่มีรสชาติแล้ว เย่จิงเหยียนต้องกินโดยแยกไม่ออกแน่
เธอมองเย่จิงเหยียนที่นั่งเล่นจิกซอว์อยู่ในห้องน่ังเล่น จากนั้นก็ค่อยๆปิดประตูห้องครัว เริ่มทำแป้ง
เพราะกลัวว่าเขาจะมาปรากฏตัวกะทันหัน เธอจึงเอาแคแรทที่หั่นแล้วใส่ไว้ในตู้เย็น และทำอย่างอื่นต่อไป