เย่จิงเหยียนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงจากในห้องครัว เขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ จึงลุกเดินไปทางห้องครัว
“แกรก…”
ประตูกระจกห้องครัวถูกผลักเปิดออก ต้วนอีเหยาใส่ผ้ากันเปื้อนกำลังตั้งใจนวดแป้งอยู่ จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา ผมยาวของเธอถูกรวบไว้ ทำให้เย่จิงเหยียนเห็นลำคอขาวของเธอ
“อะแฮ่มๆ…” เย่จิงเหยียนกระแอมออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของเธอ
ต้วนอีเหยารู้ตั้งนานแล้วว่าเขาเข้ามา แต่เมื่อกี้เธอทำเรื่องปิดบังเขาอยู่เลยตั้งใจไม่สนใจเขา
เมื่อได้ยินเสียงกระแอมของเขา หัวใจที่เต้นรัวก็กลับมาเต้นปกติลงมาก เธอเงยหน้าขึ้น “คุณเข้ามาทำไม”
“คุณทำอะไรอยู่”
ต้วนอีเหยาเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อน “เตรียมห่อเกี๊ยว”
“ให้ผมช่วยมั้ย” เย่จิงเหยียนเดินไปกอดเอวเธอจากด้านหลัง และวางคางไว้บนไหล่ของเธอ
ต้วนอีเหยาหมุนตัวกลับมาหาเขา “คุณไม่ต้องช่วย แค่ออกไปนั่งก็ถือว่าช่วยแล้ว”
เธอหลอกล่อให้เยจิงเหยียนออกไปจากห้องครัว เมื่อกำลังจะปิดประตูกระจกเธอก็สั่ง “อย่าเข้ามา ในนี้มีแต่กลิ่นน้ำมัน”
เธอจ้องจนเย่จิงเหยียนพยักหน้าแล้วจึงปิดประตูอย่างสบายใจ จากนั้นก็เอาแครอทที่หั่นไว้มาคลุกรวมกับเนื้อ
เธอเงียบฟังจนแน่ใจว่าเย่จิงเหยียนไม่เข้ามาแล้ว ก็รีบห่อเกี๊ยวอย่างรวดเร็ว
เย่จิงเหยียนสังเกตุอพาร์ทเม้นอย่างละเอียด การตกแต่งในห้องดูเป็นตัวเธอทุกอย่าง เขาดูทุกอย่างอย่างละเอียด เพื่อจะดูช่วงเวลาหลายเดือนที่ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ขณะที่เขากำลังเหม่ออยู่นั้น ประตูห้องครัวก็เปิดออก เขาหันไปมองต้วนอีเหยาถือจานเกี๊ยวร้อนๆออกมายืนตรงหน้าเขา
“อาหารพร้อมแล้ว”
ต้วนอีเหยาวางเกี๊ยวลง และหายเข้าไปในครัวครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถือชามเล็กๆกับตะเกียบออกมาวางบนโต๊ะ
เธอกอดอกวางไว้บนโต๊ะ และมองเขาอย่างคาดหวัง “ชิมดูสิ”
เย่จิงเหยียนไม่อยากปฏิเสธสายตาเร่งเร้าของเธอ จึงคีบเกี๊ยวหนึ่งชิ้นขึ้นมาใส่ปาก
“เป็นยังไงบ้าง” เขายังไม่ทันรู้รส ต้วนอีเหยาก็ถามเอาอย่างรอไม่ไหว
เย่จิงเหยียนเคี้ยวสองครั้งแล้วขมวดคิ้วพูด “อร่อยมาก”
เขาไม่ได้พูดเอาใจ เกี๊ยวอันนี้อร่อยจริงๆ แต่เขารู้สึกว่าส่วนผสมที่ใส่เพิ่มเข้ามารสหนักไปหน่อย อาจเป็นเพราะรสปากของต้วนอีเหยาเปลี่ยนไป
เมื่อต้วนอีเหยาเห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรก้สบายใจขึ้น โชคดีที่เขาไม่ได้รสชาติแครอท
เย่จิงเหยียนกินไปอีกหลายคำเพราะเลยเวลาอาหารเที่ยงมานานแล้ว ทำให้เขาหิวสุดๆ ยิ่งเป็นเกี๊ยวที่อีเหยาทำให้แล้ว ยิ่งทำให้เขาเจริญอาหารเป็นอย่างมาก
เขากินเกี๊ยวไปสามในสี่ส่วนจากทั้งหมด หลังจากกินอาหารแล้ว เขาก็นอนลูบท้องอยู่บนโซฟา พลางมองต้วนอีเหยาเก็บจานอย่างมีความสุข
จากนั้นไม่นานอีเหยาก็ล้างจานเสร็จและกลับมาอยู่ข้างๆเขา ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งตัวดีก็ถูกแรงมหาศาลดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด
“อย่าดิ้น ให้ผมกอดหน่อย” เย่จิงเหยียนจับมือที่ดิ้นยุกยิกของเธอไว้ จากนั้นก้ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดแน่น
นี่ต่างหากเป็นชีวิตที่เขาต้องการ มีคนที่รัก กินอาหารที่เธอทำ ดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
ทันใดนั้นเย่จิงเหยียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เขารู้สึกคันแขนเล็กน้อยตั้งแต่กินข้าวเสร็จแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ แค่เกาไปลวกๆ ไม่คิดว่ามันจะเริ่มคันมากขึ้น
“คุณเป็นอะไร” ต้วนอีเหยารู้สึกถึงความผิดปกติจึงดึงแขนเขาขึ้นมา ก่อนจะเห็นผื่นสีแดงๆขึ้นเต็มไปหมด
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว ดึงแขนกลับมา ไม่ให้เธอมองเห็น “ไม่รู้ อยู่ดรๆก็คันขึ้นมา เดี๋ยวก็หายเองแหละ”
ต้วนอีเหยาไม่เชื่อ เธอดึงเขาลุกขึ้นมาจากโซฟา “ไปโรงพยาบาลกับฉัน”
“ผมไม่เป็นไร…”
ตอนพูดเสียงเขาก็แหบพร่าลง จนในที่สุดเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เมื่อกี้ในไส้มีอะไรบ้าง”
“กวางตุ้ง เนื้อแล้วก็แครอท ทำไมหรอ”
เธอไม่เข้าใจว่าเวลาแบบนี้จะมาถามเรื่องพวกนี้ทำไม แต่เธอก็ยังยอมตอบตรงๆ
เย่จิงเหยียนรู้สึกหายใจลำบากมากขึ้น จากนั้นก้พยายามลืมตาอย่างยากลำบาก “ผม…ผมแพ้แครอท”
แพ้!
ต้วนอีเหยาตกใจในบันดล ทำไมเธฮไม่เคยได้ยินว่ามีคนแพ้ของอย่างนี้มาก่อน
หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก เธอตบหน้าเย่จิงเหยียนที่กำลังจะหลับตาเบาๆ “คุณอย่าหลับนะ ฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
แม้จะไม่รู้ว่ารุนแรงมั้ย แต่เธอก็รู้ว่าการแพ้อาหารสามารถทำให้ถึงตายได้ แถมเมื่อกี้เขาก็กินไปเยอะขนาดนั้น อาการคงไม่ดีมากนัก
“อืม…” ถึงเย่จิงเหยียนจะตอบตกลง แต่ตาของเขาก็ค่อยๆปิดลง
ต้วนอีเหยามือสั่นรีบควานหาโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เธอกด120
“ฮัลโหล 120 ใช่มั้ยคะ พวกคุณรีบมาเร็ว ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย….”
เธอพูดอย่างร้อนรนจนคนฟังฟังสิ่งที่เธอจะสื่อไม่รู้เรื่องเลย
“คุณผู้หญิงใจเย็นๆนะคะ บอกพวกเราว่าอาการของคนป่วยเป็นยังไง ที่อยู่…”
“เขา…เขาแพ้อาหาร พวกเราอยู่ที่….”
ต้วนอีเหยาวางสายโทรศัพท์อย่างลำบากใจ เธอทำตามคำแนะนำของหมอ หายาแก้แพ้ในบ้านให้เขากิน แต่เย่จิงเหยียนก้ไม่ได้ดีขึ้นมา เธอจึงหาน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้เขา
กว่าหมอจะมาต้วนอีเหยาก็หมดแรงล้มอยู่บนพื้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังออกแรงเฮือกสุดท้ายเรียกรถพยาบาลเข้ามา
“หมอคะ ช่วยเขาด้วย”
ก่อนเข้าไปในห้องฉุกเฉินต้วนอีเหยาก็จับมือของหมอไว้ พร้อมส่งสายตาวิงวอนออกไป
หมอเอามือเธอออกเบาๆ พร้อมพูดอย่างนุ่มนวล “ฉันจะรักษาเต็มที่ คุณวางใจเถอะค่ะ”
ต้วนอีเหยาปล่อยมือ ยืนอยู่ตรงทางเดินด้วยความเดียวดาย ก่อนที่ประตูห้องฉุกเฉินจะค่อยๆปิดลง
หลังจากนั้นบ้านตระกูลเย่ก็รีบมาหลังจากได้รับข่าว มู่เวยเวยเดินไปลูบไหล่เธอ นั่นทำให้เธอร้องไห้ออกมาทันที
“ขอโทษนะคะ ขอโทษ…”
นอกจากคำว่าขอโทษเธอก็พูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว จากที่มู่เวยเวยไม่พอใจก็เริ่มอารมณ์เย็นลง
“ไม่เป็นไร ฉันเชื่อว่าจิงเหยียนจะไม่ทำให้เราเป็นห่วงแน่นอน เธออย่าโทษตัวเอง คนไม่รู้ไม่ผิดหรอก”
ตอนแรกต้วนอีเหยาคิดว่ามู่เวยเวยจะด่าเธอด้วยความโกรธเสียอีก ไม่คิดว่าเธอจะมาปลอบตัวเอง นั่นทำให้เธอยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นไปอีก
เธอเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีคนรอบตัวเต็มไปหมด จึงรีบนั่งลงเช็ดน้ำตา และรีบลงขึ้นมาใหม่
“พี่อีเหยา ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เย่ชูวเสวียกอดต้วนอีเหยา ด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด เธอเพิ่งจะร้องไห้มา น้ำเสียงจึงแหบเล็กน้อย
ทุกคนต่างรู้ดีว่าการแพ้อาหารมีทั้งหนักและเบา แต่เมื่อได้เข้าห้องฉุกเฉินอย่างนี้อาการคงหนักไม่เบาเลย
สีหน้าของทุกคนต่างไม่ค่อยดี จนเมื่อเย่จิงเหยียนถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าปกติ และยังนอนหายใจอยู่บนเตียง ทุกคนถึงได้โล่งใจขึ้นมา
แพทย์เจ้าของไข้มองมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินก่อนจะขมวดคิ้ว “พวกคุณรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอว่าเขาแพ้ ทำไมยังให้เขากินแครอทอยู่อีก”
“อาจจะลืมน่ะค่ะ พวกเราประมาทเกินไป…” ม่เวยเวยรับผิดแทนต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาที่ได้ฟังหน้าแดงขึ้นมาทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเธออวดฉลาด คงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
“เรายื้อชีวิตกลับมาให้แล้ว เหลือรอยแดงตามตัว อาจจะต้องรอสักระยะหนึ่งถึงจะหาย หน้าหล่อขนาดนั้น เห้อ…” หมอเจ้าของไข้ตบไหล่เย่ฉ่าวเฉินเบาๆ จากนั้นก็เดินจากไป
เมื่อมาถึงห้องผู้ป่วย เย่จิงเหยียนก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาลืมตาขึ้นมาเห็นเพดานสีขาวก็แอบถอนหายใจในใจ
เขานี่หนีไม้พ้นโรงพยาบาลจริงๆ…
“ฟื้นแล้ว” มู่เวยเวยเอาหมอนมารองไว้ข้างหลัง เพื่อให้เขาขึ้นมานั่งพิงได้สบายๆ
เย่จิงเหยียนเห็นมู่เวยเวยก็ตกใจขึ้นมา ก่อนจะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เขากวาดสายตาไปทั่วห้อง
“อีเหยาล่ะ”
มู่เวยเวยค่อนขอดเบาๆ “ใช่สิ มีสาวแล้วก็ลืมแม่แล้ว”
เย่จิงเหยียนกลัวเธอโกรธจึงรีบอธิบาย “ไม่ใช่ ผมหมายถึง….”
“แกรก…”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายจบ มู่เวยเวยก็กลั้นขำไม่ไหวหัวเราะออกมา จากนั้นก็หันหลังไป “สาวของลูกอยู่นี่จ้า”
เย่จิงเหยียนหน้ายุ่ง เขาโดนจับได้อีกแล้ว
แต่เมื่อเขามองเห็นต้วนอีเหยา ความไม่พอใจอขงเขาก็หายไปในทันที เหลือแต่ความอ่อนโยน
เขายกมือขึ้นมาลูบมุมตาของเธอเบาๆ ตาของเธอแดงราวกับเพิ่งร้องไห้มา “ไม่ต้องร้อง”
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างขมขื่น “ทำไมคุณโง่ขนาดนั้น”
“ผมรู้สึกว่าอร่อยมากนี่นา”
…..
ต้วนอีเหยาหมดคำจะพูด ทำไมเขาพูดตรงขนาดนั้น
ทั้งสามคนข้างหลังเห็นว่าอยู่ต่อไปก็รังแต่จะเป็นก้างขวางคอ จึงส่งสัญญาณมือให้เย่จิงเหยียน จากนั้นก็ลากเย่ชูวเสวียที่ไม่ยอมไปออกจากห้องไปด้วย
ทั้งหมดนี้ต้วนอีเหยาไม่รู้ เพราะเธอมัวแต่ห่วงอาการป่วยของเย่จิงเหยียน
ตอนที่มู่เวยเวยปิดประตู เย่จิงเหยียนก้แกล้งไอออกมา ทำให้ต้วนอีเหยารีบเข้าไปดูอาการ
“คุณเจ็บตรงไหน” ต้วนอีเหยาอยู่ใกล้เย่จิงเหยียนมากเพียงแค่กระดาษกั้น สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเป้นห่วง
เมื่อเห็นสายตายิ้มๆของผู้ชายตรงหน้า โดยที่ไม่มีอาการเจ็บปวดเลยสักนิด เธอก็ทุบอกเขาไปด้วยความโกรธ
“โอ้ย”
เย่จิงเหยียนร้องออกมา พลางกุมหน้าอกของตัวเอง ต้วนอีเหยาจึงตกใจอีกครั้ง “เป็นอะไรไป ฉันทำคุณเจ็บหรอ”
“เจ็บนิดหน่อย” เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วและหลุบตาลง
ยิ่งทำให้ต้วนอีเหยารู้สึกผิด “ขอ…”
เธอเพิ่งจะพูดออกมาได้คำเดียว เย่จิงเหยียบก็จุ๊บลงบนริมฝีปากของเธอ
“หวานจัง”
จากนั้นเขาก็นอนลงบนเตียงด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ต้วนอีเหยาถูกเขาแกล้งจนหน้าแดงขึ้นมา “คุณ…คุณ…คนบ้า”
เย่จิงเหยียนตอบหน้าตาย “ผมนิสัยไม่ดีอย่างนี้แหละ ถ้าไม่พอใจก็มาจูบคืนสิ”
“คุณ….”
เธอหันหน้าหนีโกรธๆ ตั้งใจจะไม่คุยกับเขาอีกแล้ว
แต่ใครบางคนก้ไม่ยอมให้เธอได้ทำตามที่หวัง เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้จากนั้นก้เอาเปรียบเธออีกครั้ง “เมื่อกี้คุณคุณได้เปรียบชัดๆ ผมต้องเอาคืน”
“ไปให้พ้น”
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างสดใส ผื่นแดงๆบนใบหน้าหล่อเหลาทำให้เขาดูขี้เล่นขึ้นไปอีก
ต้วนอีเหยาสบตากับเขา แต่แค่แปบเดียวก็พ่ายแพ้ไป เธอก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย เขาโตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังเล่นเป็นเด็กๆไปได้
เธอไม่รู้ว่าเย่จิงเหยียนจะแสดงนิสัยอย่างนี้ออกมาเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าเธอเท่านั้น
…..
หลังจากรักษาอยู่หลายครั้ง เย่จิงเหยียนก้ทนอยู่โรงพยาบาลไม่ได้อีก เขาจึงบอกด้วนอีเหยาว่าจะออกมาจากโรงพยาบาล
ต้วนอีเหยาช่วยเขาปอกผลไม้ พลางตอบเขาไปด้วย “ตรวจอีกสักหน่อยเถอะ ถ้าอาการกำเริบขึ้นมาอีกจะทำยังไง”
เย่จิงเหยียนมองผื่นที่อยู่เต็มใบหน้า จากนั้นก็หยิบแอปเปิ้ลมากิน “จะกำเริบอะไรอีก ไม่นะ…พอผมคิดถึงเกี๊ยวขึ้นมาก็อยากอ้วกแล้ว”
ต้วนอีเหยาคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงทำให้มือที่กำลังปอกแอปเปิ้ลกระตุกไปชั่วขณะจนแทบเฉือนนิ้วตัวเอง
“ผมล้อเล่น คุณ…” เย่จิงเหยียนรีบแย่งมีดมา จากนั้นก็ดึงนิ้วเธอมาดู เมื่อไม่เห็นเลือดถึงได้สบายใจลง
“คุณทำอะไรก็อร่อยหมด จริงนะ” เขาพยักหน้าลงไปด้วย เพราะกลัวเธอไม่เชื่อ
ต้วนอีเหยาตอบหยอกๆกับท่าทางของเขา “จากนี้ฉันก็ทำร้ายคุณได้ง่ายมากเลยนะงั้น ถ้าไม่พอใจก็แค่วางยาในอาหาร”
สายตาของเย่จิงเหยียนหม่นลง “ถ้าคุณต้องการผมก็จะกิน”
ถึงแม้เธอจะล้อเล่น แต่มันก็ทำให้เขาคิดถึงเรื่องต้วนจื่ออิ๋งขึ้นมา ถึงเธอไม่พูดแต่เขาก้เข้าใจ ใจของเธอยังติดอยู่กับเรื่องนี้อยู่…
“ช่วยผมทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลหน่อย” เย่จิงเหยียนเอาแอปเปิ้ลที่กินเหลือทิ้งลงในถังขยะ จากนั้นก้นอนลงบนเตียงอีกครั้ง
ต้วนอีเหยาตอบรับ และเอาข้อมูลประจำตัวของเขาเดินออกไป
ตอนออกจากโรงพยาบาลทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้อีก ต้วนอีเหยาพยุงเขาไปทางหน้าประตูใหญ่ ซึ่งตรงนั้นมีต้วนจื่ออิ๋งรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อทั้งคู่เลี้ยวตัวออกมา ก็ชนเข้ากับคนคนหนึ่ง และคนคนนั้นก้พุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเย่จิงเหยียนทันที
“พี่จิงเหยียน”
เย่จิงเหยียนก้มหน้าลง ก่อนจะเห็นว่าคนที่กอดเอวเขาอยู่คือต้วนจื่ออิ๋ง เขาจึงหันไปมองต้วนอีเหยาที่อยู่ข้างๆด้วยความลำบากใจ การที่เห็นว่าเธอไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ
“พี่จิงเหยียน หน้าพี่เป็นอะไร” ต้วนจื่ออิ๋งเห็นว่าเขาไม่ตอบเธอจึงเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหน้าเขามีผื่นเต็มไปหมดก็ตกใจขึ้นมา
เย่จิงเหยียนดันเธอออก จากนั้นก็หันไปมองต้วนอีเหยาอีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วถาม “ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่”
“พ่อฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว” ก่อนจะหันไปมองแม่ต้วนที่กำลังพยุงพ่อต้วน พร้อมกับมองมาที่พวกเขาอยู่
“สวัสดีครับพ่อต้วน แม่ต้วน” เย่จิงเหยียนพยักหน้าให้ทั้งคู่อย่างมีมารยาท จากนั้นก้ดึงเอาต้วนอีเหยามาไว้ข้างหลังเขาอย่างปกป้อง
การแสดงออกนี้ต้วนจื่ออิ๋งไม่ได้สังเกตเห็นเลย เธอยังคงกอดเย่จิงเหยียนไม่ปล่อย แต่พ่อต้วนกับแม่ต้วนมองทุกอย่างออกหมดแล้ว
“จื่ออิ๋งมานี่” พ่อต้วนที่ยังยืนไม่มั่นคง เกาะผนังไว้พร้อมทุบไปหนึ่งครั้ง
ต้วนจื่ออิ๋งรอมาหลายวันมากกว่าจะได้เจอเย่จิงเหยียน จึงไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆ “พ่อ…พี่จิงเหยียนมาเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลแล้ว พ่อไม่ต้องโกรธแล้วน่า”
หน้าอกของพ่อต้วนกระเพื่อมขึ้นลงแรงขึ้น จากนั้นก็พูดอย่างหอบๆ “แก…ทำไมแกถึงเป้นผู้หญิงที่หน้าไม่อายอย่างนี้”
ไม่เห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาเลยรึไง
ต้วนอีเหยาเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีก้เดินถอยหลังไปหลายก้าว เพื่อให้พื้นที่แก่ต้วนจื่ออิ๋ง
ขณะที่เธอเพิ่งถอยหลังได้หนึ่งก้าว เย่จิงเหยียนก็รู้ตัวรีบจับมือเธอไว้ทันที การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ผู้หญิงอีกคนที่กอดเขาอยู่หลุดออกไป
“นายเย่” พ่อต้วนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องต้วนจื่ออิ๋ง “จะมากเกินไปแล้วนะ”
ร่างกายเขายังไม่แข็งแรงดี เมื่อพูดอย่างอ่อนแรงเสร็จ เขาก็พูดอย่างหอบๆ แต่สายตาของเขาก็ยังดุดันเช่นเดิม
เย่จิงเหยียนหันหน้าไปมองพ่อต้วนอย่างอ่อนน้อมพร้อมพูด “งั้นเรื่องวุ่นวายหลายวันมานี้ผมจะมาอธิบายให้คุณฟังแน่ ขอให้คุณรักษาสุขภาพให้ดีนะครับ”
พูดจบเขาก็พาต้วนอีเหยาออกไป เขาไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกไม่สบายใจกับสายตาไม่พอใจของคนพวกนั้น
แต่ต้วนจื่ออิ๋งก็ไม่ยอมให้เขาทำได้อย่างใจคิด เธอวิ่งมากางแขนขวางเขาไว้ “พี่จิงเหยียน พวกเรา…พี่บอกว่าพี่จะแต่งงานกับฉันไม่ใช่หรอ”
เขาพูดอย่างตำหนิ หรือจะบอกว่ามีต้วนอีเหยาแล้ว คำพูดที่พูดไปเขาไม่สนแล้วงั้นหรอ
เย่จิงเหยียนทำอะไรไม่ถูก เขาขมวดคิ้วไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ก่อนหน้านี้เขาบอกเธออย่างนั้นจริงๆ
ตอนนั้นหัวใจของเขาได้ตายไปแล้ว แต่งงานกับใครก็เหมือนกัน เพราะยังไงก็ไม่มีความสุข ยังไงก็ไม่ใช่เธอ
แต่ตอนนี้คนที่เขารักที่สุดกลับมาแล้ว เขาจะไปแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไง
“จื่ออิ๋ง” ต้วนอีเหยาหันกลับไปด้วยความสับสน เมื่อเห็นเธอมองมาที่ตัวเองด้วยความไม่พอใจ เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ฉันไม่ได้จะอะไร แต่เธอเหยียบเท้าฉัน”
ต้วนอีเหยาไม่เชื่อว่าเธอจะมองไม่เห็น เธอตั้งใจจะเหยียบเท้าตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอเหยียบเสร็จก็ไม่ยอมยกขาออก
โชคดีที่เธอไม่ใส่รองเท้าส้นสูง ไม่อย่างนั้นนิ้วของเธอคงขาดไปแล้ว…
ต้วนจื่ออิ๋งแกล้งยกขาออกอย่างตกใจ “อุ้ย ขอโทษค่ะๆ” สายตาของเธอดำมืดลงทันทีที่เย่จิงเหยียนมองไม่เห็น
“อีเหยาไม่เป็นไรใช่มั้ย” เย่จิงเหยียนมองไปที่ต้วนจื่ออิ๋ง แม้น้ำเสียงเขาจะปกติ แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆจะรู้สึกถึงความเป็นห่วงได้
ต้วนอีเหยายิ้มไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร เจ็บแค่นี้ฉันไม่สนใจหรอก”
“พี่อีเหยา ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
เมื่อต้วนจื่ออิ๋งสบตากับสายตาของเย่จิงเหยียน เธอก็อดที่สะสั่นขึ้นมาไม่ได้ จึงต้องขอโทษด้วยความจริงใจมากกว่าเดิม
“ไม่เป็นไร” ต้วนอีเหยาโบกมือ เธอบกไปแล้วว่าไม่สนใจ ก็ยังจะขอโทษอยู่ได้
เพราะเธอควบคุมมือไม่ดี ทำให้มือสะบัดไปโดนไหล่ของต้วนจื่ออิ๋ง
เธอ “อ๊าย” ร้องออกมาและล้มลงไปบนพื้น เมื่อแม้ต้วนเห็นเข้าก็รีบปล่อยพ่อต้วน ก้มลงไปพยุงต้วนจื่ออิ๋งขึ้นมา
“นังผู้หญิงคนนี้”
พ่อต้วนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยกมือขึ้นเตรียมจะตบลงบนใบหน้าของต้วนอีเหยา แต่มือก็ค้างกลางอากาศเมื่อต้วนอีเหยายกมือขึ้นมารับไว้ได้ก่อน
“หนูไม่ได้ทำอะไร” ต้วนอีเหยาพูดด้วยความซื่อสัตย์ เธอจะรับแค่สิ่งที่เธอทำจริง ถ้าอันไหนที่เธอไม่ได้ทำเธอจะไม่ยอมรับเด็ดขาด
พ่อต้วนแสยะยิ้มออกมา “แกคิดว่าพวกเราตาบอดรึไง”
“คนเยอะขนาดนี้ สายตาสี่ห้าคู่ อย่ามาพูดมัวๆ”
พ่อต้วนโมโหจะดึงมือกลับ แต่ขยับยังไงต้วนอีเหยาก็ไม่ปล่อยมือ
ต้วนอีเหยาพูดเสียงเย็น “หนูยังไม่ได้ทำอะไรเธอ”
ขณะพูดสายตาของเธอก็มองไปที่เย่จิงเหยียนตลอดเวลา คนอื่นเชื่อหรือไม่เธฮไม่สนใจ แต่ถ้าเย่จิงเหยียนก็ไม่เชื่อเธอด้วยอีกคน เธอก็ไม่จำเป็นอธิบายอะไรแล้ว
เย่จิงเหยียนยิ้มบางๆ สายตาของเขาไม่มีความสงสัยเลย เขาไม่แม้แต่จะพูดคำว่าขอโทษด้วยซ้ำ เพราะเขาเชื่อเธอ เธอไม่ผิด ทำไมต้องขอโทษด้วย
“ถ้าเธอจะเรียกเงิน ฉันจะให้เธอ แต่ฉันไม่ได้ผลักเธอ ที่ล้มลงไปแบบนั้นก็เพราะเธอทำตัวเอง”
ต้วนอีเหยาไม่ได้โกรธ แต่เธอรู้สึกเวทนา เพื่อจะรั้งผู้ชายคนหนึ่งไว้ถึงกับต้องทำร้ายตัวเองขนาดนี้เลยหรอ
เธอก็ไม่สนใจเช่นกันว่าแม่ต้วนจะมองตัวเองยังไง เธอปล่อยมือของพ่อต้วน และเดินผ่านหน้าของพวกเขาไป
เมื่อผ่านหน้าต้วนจื่ออิ๋ง เธอก็พูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน “เธอทำให้ฉันต้องมองเธอใหม่ น่าสมเพศ”
พูดจบก้เดินจากไปทันทีโดยไม่ลังเล เย่จิงเหยียนโค้งให้พ่อต้วนเล็กน้อย จากนั้นก็ตามต้วนอีเหยาไป
……
ในรถ ต้วนอีเหยานั่งพิงเบาะหลังด้วยความเหนื่อยล้า สมองว่างเปล่า บางเรื่องง่ายมาก แต่พวกเขาก็ชอบทำให้มันซับซ้อน ทำให้คนอื่นรู้สึกเหนื่อยมาก
“อีเหยา ผม…”
“คุณไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้ฉันให้อภัยคุณได้ยากมาก” ต้วนอีเหยานวดขมับ พุดขัดคำพูดของเย่จิงเหยียน
เธอฟังคำอธิบายมามากพอแล้ว เธอเข้าใจได้ แต่เธอไม่อยากให้อภัย ทำไมเธอเพิ่งจากไปได้ไม่นาน เขาถึงเปลี่ยนใจไปหาคนอื่น
เย่จิงเหยียนก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย จึงตั้งใจขับรถแทน
รถมาจอดลงที่หน้าอพาร์ทเม้นของต้วนอีเหยาอย่างรวดเร็ว เขาปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างคุ้นเคย และเตรียมจะลงจากรถ
ต้วนอีเหยายื่นมือมาห้ามเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน ทำไมคุณถึงจะลงด้วย”
“ผมไปส่งคุณข้างบนไง”
“ไม่ต้อง ฉันขึ้นไปเองได้ คุณกลับไปรักษาตัวเถอะ”
“ให้ผมไปส่งคุณข้างบนเถอะ ไม่อย่างนั้นผมไม่สบายใจ”
เย่จิงเหยียนดึงดันจะลงรถ และขึ้นไปส่งต้วนอีเหยาข้างบน เมื่อเธอเปิดประตูเขาก็เข้าไปอย่างรวดเร็ว
“นี่” ต้วนอีเหยาไม่ทันได้สังเกต ทำให้เขาบุกเข้ามาในห้องได้ในทันที
“ฉันถึงแล้ว กลับไปได้แล้วมั้ง”
“ผมเป็นคนป่วย ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อรักษาตัว” เย่จิงเหยียนนอนลงบนโซฟา และยกขาขึ้นอย่างสบายๆ
ต้วนอีเหยากำมือ “แล้วคุณว่าอะไรคือสภาพแวดล้อมที่ดีล่ะ”
“ที่ที่มีคุณ”
ต้วนอีเหยาตะลึง หัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที
และใจของเธอก็กลับมาเป็นปกติเร็วมาก เธอถาม “คุณจะอยู่ที่นี่หรอ”
“ใช่”
“ได้ งั้นฉันไปเอง” ต้วนอีเหยาเข้าไปในห้องนอน เก็บเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้มาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็ค่อยๆจัดเข้ากระเป๋าเดินทาง
“อีเหยานี่คุณเอาจริงหรอ” เย่จิงเหยียนค่อยๆเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นเธอกำลังเก็บกระเป๋า ความโกรธก็ปะทุขึ้นมา
“คุณต้องการความเงียบเพื่อรักษาตัว”
เย่จิงเหยียนกอดเธอ “แต่ผมต้องการคุณมากกว่า”
“ถ้ามีคุณอยู่ ผมยอมไม่หายตลอดไป”
มือของต้วนอีเหยาหยุดนิ่ง ตั้งแต่เจอกัน เขาก็ลดความเย่อหยิ่งลง และขอร้องเธอด้วยความอ่อนโยนตลอด เขาขอร้องให้เธอยกโทษให้ ขอให้เธออยู่ต่อ
ถึงเธอจะเย็นชากับเขาแค่ไหน เขาก็ไม่เคยตำหนิ ท่าทางอย่างนี้ทำให้เธอรู้สึกเสียใจ
ให้อภัยเขาเถอะ
เสียงหัวใจของเธอร่ำร้องออกมา เขาเสียใจมามากพอแล้ว ถ้ายังไม่ยกโทษให้ตอนนี้ จะรอให้เขาจากไปก่อนหรอถึงจะมาเสียใจทีหลัง
มือของต้วนอีเหยาเริ่มสั่นขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆลูบหลังของเขา “ฉันให้อภัยคุณแล้ว”
“คุณว่าไงนะ” เย่จิงเหยียนถามด้วยความดีใจ มือสั่นเป็นอย่างมาก “อีเหยา คุณว่าไงนะ บอกผมอีกรอบสิ”
ต้วนอีเหยารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของเขา “ฉันให้อภัยคุณแล้ว”
“พูดอีกรอบสิ”
“ฉันบอกว่าฉันให้อภัยคุณแล้ว”
ต้วนอีเหยาพูดออกมาเสียงดัง ทำให้เย่จิงเหยียนโห่ร้องอย่างดีใจ ก่อนจะกอดเอวเธอขึ้นมา ในที่สุดคุณก็ให้อภัยผมแล้ว
“ฉันให้อภัยคุณ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ”
ต้วนอีเหยากอดคอเขาไว้ จากนั้นก็เขย่งขึ้นไปจูบปากเขา เย่จิงเหยียนตะลึง ก่อนจะตอบสนองกลับไป ทั้งสองคนมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน ทำให้ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกับครั้งที่แล้วโดยสิ้นเชิง
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงจากในห้องครัว เขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ จึงลุกเดินไปทางห้องครัว
“แกรก…”
ประตูกระจกห้องครัวถูกผลักเปิดออก ต้วนอีเหยาใส่ผ้ากันเปื้อนกำลังตั้งใจนวดแป้งอยู่ จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา ผมยาวของเธอถูกรวบไว้ ทำให้เย่จิงเหยียนเห็นลำคอขาวของเธอ
“อะแฮ่มๆ…” เย่จิงเหยียนกระแอมออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของเธอ
ต้วนอีเหยารู้ตั้งนานแล้วว่าเขาเข้ามา แต่เมื่อกี้เธอทำเรื่องปิดบังเขาอยู่เลยตั้งใจไม่สนใจเขา
เมื่อได้ยินเสียงกระแอมของเขา หัวใจที่เต้นรัวก็กลับมาเต้นปกติลงมาก เธอเงยหน้าขึ้น “คุณเข้ามาทำไม”
“คุณทำอะไรอยู่”
ต้วนอีเหยาเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อน “เตรียมห่อเกี๊ยว”
“ให้ผมช่วยมั้ย” เย่จิงเหยียนเดินไปกอดเอวเธอจากด้านหลัง และวางคางไว้บนไหล่ของเธอ
ต้วนอีเหยาหมุนตัวกลับมาหาเขา “คุณไม่ต้องช่วย แค่ออกไปนั่งก็ถือว่าช่วยแล้ว”
เธอหลอกล่อให้เยจิงเหยียนออกไปจากห้องครัว เมื่อกำลังจะปิดประตูกระจกเธอก็สั่ง “อย่าเข้ามา ในนี้มีแต่กลิ่นน้ำมัน”
เธอจ้องจนเย่จิงเหยียนพยักหน้าแล้วจึงปิดประตูอย่างสบายใจ จากนั้นก็เอาแครอทที่หั่นไว้มาคลุกรวมกับเนื้อ
เธอเงียบฟังจนแน่ใจว่าเย่จิงเหยียนไม่เข้ามาแล้ว ก็รีบห่อเกี๊ยวอย่างรวดเร็ว
เย่จิงเหยียนสังเกตุอพาร์ทเม้นอย่างละเอียด การตกแต่งในห้องดูเป็นตัวเธอทุกอย่าง เขาดูทุกอย่างอย่างละเอียด เพื่อจะดูช่วงเวลาหลายเดือนที่ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ขณะที่เขากำลังเหม่ออยู่นั้น ประตูห้องครัวก็เปิดออก เขาหันไปมองต้วนอีเหยาถือจานเกี๊ยวร้อนๆออกมายืนตรงหน้าเขา
“อาหารพร้อมแล้ว”
ต้วนอีเหยาวางเกี๊ยวลง และหายเข้าไปในครัวครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถือชามเล็กๆกับตะเกียบออกมาวางบนโต๊ะ
เธอกอดอกวางไว้บนโต๊ะ และมองเขาอย่างคาดหวัง “ชิมดูสิ”
เย่จิงเหยียนไม่อยากปฏิเสธสายตาเร่งเร้าของเธอ จึงคีบเกี๊ยวหนึ่งชิ้นขึ้นมาใส่ปาก
“เป็นยังไงบ้าง” เขายังไม่ทันรู้รส ต้วนอีเหยาก็ถามเอาอย่างรอไม่ไหว
เย่จิงเหยียนเคี้ยวสองครั้งแล้วขมวดคิ้วพูด “อร่อยมาก”
เขาไม่ได้พูดเอาใจ เกี๊ยวอันนี้อร่อยจริงๆ แต่เขารู้สึกว่าส่วนผสมที่ใส่เพิ่มเข้ามารสหนักไปหน่อย อาจเป็นเพราะรสปากของต้วนอีเหยาเปลี่ยนไป
เมื่อต้วนอีเหยาเห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรก้สบายใจขึ้น โชคดีที่เขาไม่ได้รสชาติแครอท
เย่จิงเหยียนกินไปอีกหลายคำเพราะเลยเวลาอาหารเที่ยงมานานแล้ว ทำให้เขาหิวสุดๆ ยิ่งเป็นเกี๊ยวที่อีเหยาทำให้แล้ว ยิ่งทำให้เขาเจริญอาหารเป็นอย่างมาก
เขากินเกี๊ยวไปสามในสี่ส่วนจากทั้งหมด หลังจากกินอาหารแล้ว เขาก็นอนลูบท้องอยู่บนโซฟา พลางมองต้วนอีเหยาเก็บจานอย่างมีความสุข
จากนั้นไม่นานอีเหยาก็ล้างจานเสร็จและกลับมาอยู่ข้างๆเขา ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งตัวดีก็ถูกแรงมหาศาลดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด
“อย่าดิ้น ให้ผมกอดหน่อย” เย่จิงเหยียนจับมือที่ดิ้นยุกยิกของเธอไว้ จากนั้นก้ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดแน่น
นี่ต่างหากเป็นชีวิตที่เขาต้องการ มีคนที่รัก กินอาหารที่เธอทำ ดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
ทันใดนั้นเย่จิงเหยียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เขารู้สึกคันแขนเล็กน้อยตั้งแต่กินข้าวเสร็จแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ แค่เกาไปลวกๆ ไม่คิดว่ามันจะเริ่มคันมากขึ้น
“คุณเป็นอะไร” ต้วนอีเหยารู้สึกถึงความผิดปกติจึงดึงแขนเขาขึ้นมา ก่อนจะเห็นผื่นสีแดงๆขึ้นเต็มไปหมด
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว ดึงแขนกลับมา ไม่ให้เธอมองเห็น “ไม่รู้ อยู่ดรๆก็คันขึ้นมา เดี๋ยวก็หายเองแหละ”
ต้วนอีเหยาไม่เชื่อ เธอดึงเขาลุกขึ้นมาจากโซฟา “ไปโรงพยาบาลกับฉัน”
“ผมไม่เป็นไร…”
ตอนพูดเสียงเขาก็แหบพร่าลง จนในที่สุดเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เมื่อกี้ในไส้มีอะไรบ้าง”
“กวางตุ้ง เนื้อแล้วก็แครอท ทำไมหรอ”
เธอไม่เข้าใจว่าเวลาแบบนี้จะมาถามเรื่องพวกนี้ทำไม แต่เธอก็ยังยอมตอบตรงๆ
เย่จิงเหยียนรู้สึกหายใจลำบากมากขึ้น จากนั้นก้พยายามลืมตาอย่างยากลำบาก “ผม…ผมแพ้แครอท”
แพ้!
ต้วนอีเหยาตกใจในบันดล ทำไมเธฮไม่เคยได้ยินว่ามีคนแพ้ของอย่างนี้มาก่อน
หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก เธอตบหน้าเย่จิงเหยียนที่กำลังจะหลับตาเบาๆ “คุณอย่าหลับนะ ฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
แม้จะไม่รู้ว่ารุนแรงมั้ย แต่เธอก็รู้ว่าการแพ้อาหารสามารถทำให้ถึงตายได้ แถมเมื่อกี้เขาก็กินไปเยอะขนาดนั้น อาการคงไม่ดีมากนัก
“อืม…” ถึงเย่จิงเหยียนจะตอบตกลง แต่ตาของเขาก็ค่อยๆปิดลง
ต้วนอีเหยามือสั่นรีบควานหาโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เธอกด120
“ฮัลโหล 120 ใช่มั้ยคะ พวกคุณรีบมาเร็ว ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย….”
เธอพูดอย่างร้อนรนจนคนฟังฟังสิ่งที่เธอจะสื่อไม่รู้เรื่องเลย
“คุณผู้หญิงใจเย็นๆนะคะ บอกพวกเราว่าอาการของคนป่วยเป็นยังไง ที่อยู่…”
“เขา…เขาแพ้อาหาร พวกเราอยู่ที่….”
ต้วนอีเหยาวางสายโทรศัพท์อย่างลำบากใจ เธอทำตามคำแนะนำของหมอ หายาแก้แพ้ในบ้านให้เขากิน แต่เย่จิงเหยียนก้ไม่ได้ดีขึ้นมา เธอจึงหาน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้เขา
กว่าหมอจะมาต้วนอีเหยาก็หมดแรงล้มอยู่บนพื้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังออกแรงเฮือกสุดท้ายเรียกรถพยาบาลเข้ามา
“หมอคะ ช่วยเขาด้วย”
ก่อนเข้าไปในห้องฉุกเฉินต้วนอีเหยาก็จับมือของหมอไว้ พร้อมส่งสายตาวิงวอนออกไป
หมอเอามือเธอออกเบาๆ พร้อมพูดอย่างนุ่มนวล “ฉันจะรักษาเต็มที่ คุณวางใจเถอะค่ะ”
ต้วนอีเหยาปล่อยมือ ยืนอยู่ตรงทางเดินด้วยความเดียวดาย ก่อนที่ประตูห้องฉุกเฉินจะค่อยๆปิดลง
หลังจากนั้นบ้านตระกูลเย่ก็รีบมาหลังจากได้รับข่าว มู่เวยเวยเดินไปลูบไหล่เธอ นั่นทำให้เธอร้องไห้ออกมาทันที
“ขอโทษนะคะ ขอโทษ…”
นอกจากคำว่าขอโทษเธอก็พูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว จากที่มู่เวยเวยไม่พอใจก็เริ่มอารมณ์เย็นลง
“ไม่เป็นไร ฉันเชื่อว่าจิงเหยียนจะไม่ทำให้เราเป็นห่วงแน่นอน เธออย่าโทษตัวเอง คนไม่รู้ไม่ผิดหรอก”
ตอนแรกต้วนอีเหยาคิดว่ามู่เวยเวยจะด่าเธอด้วยความโกรธเสียอีก ไม่คิดว่าเธอจะมาปลอบตัวเอง นั่นทำให้เธอยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นไปอีก
เธอเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีคนรอบตัวเต็มไปหมด จึงรีบนั่งลงเช็ดน้ำตา และรีบลงขึ้นมาใหม่
“พี่อีเหยา ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เย่ชูวเสวียกอดต้วนอีเหยา ด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด เธอเพิ่งจะร้องไห้มา น้ำเสียงจึงแหบเล็กน้อย
ทุกคนต่างรู้ดีว่าการแพ้อาหารมีทั้งหนักและเบา แต่เมื่อได้เข้าห้องฉุกเฉินอย่างนี้อาการคงหนักไม่เบาเลย
สีหน้าของทุกคนต่างไม่ค่อยดี จนเมื่อเย่จิงเหยียนถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าปกติ และยังนอนหายใจอยู่บนเตียง ทุกคนถึงได้โล่งใจขึ้นมา
แพทย์เจ้าของไข้มองมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินก่อนจะขมวดคิ้ว “พวกคุณรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอว่าเขาแพ้ ทำไมยังให้เขากินแครอทอยู่อีก”
“อาจจะลืมน่ะค่ะ พวกเราประมาทเกินไป…” ม่เวยเวยรับผิดแทนต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาที่ได้ฟังหน้าแดงขึ้นมาทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเธออวดฉลาด คงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
“เรายื้อชีวิตกลับมาให้แล้ว เหลือรอยแดงตามตัว อาจจะต้องรอสักระยะหนึ่งถึงจะหาย หน้าหล่อขนาดนั้น เห้อ…” หมอเจ้าของไข้ตบไหล่เย่ฉ่าวเฉินเบาๆ จากนั้นก็เดินจากไป
เมื่อมาถึงห้องผู้ป่วย เย่จิงเหยียนก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาลืมตาขึ้นมาเห็นเพดานสีขาวก็แอบถอนหายใจในใจ
เขานี่หนีไม้พ้นโรงพยาบาลจริงๆ…
“ฟื้นแล้ว” มู่เวยเวยเอาหมอนมารองไว้ข้างหลัง เพื่อให้เขาขึ้นมานั่งพิงได้สบายๆ
เย่จิงเหยียนเห็นมู่เวยเวยก็ตกใจขึ้นมา ก่อนจะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เขากวาดสายตาไปทั่วห้อง
“อีเหยาล่ะ”
มู่เวยเวยค่อนขอดเบาๆ “ใช่สิ มีสาวแล้วก็ลืมแม่แล้ว”
เย่จิงเหยียนกลัวเธอโกรธจึงรีบอธิบาย “ไม่ใช่ ผมหมายถึง….”
“แกรก…”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายจบ มู่เวยเวยก็กลั้นขำไม่ไหวหัวเราะออกมา จากนั้นก็หันหลังไป “สาวของลูกอยู่นี่จ้า”
เย่จิงเหยียนหน้ายุ่ง เขาโดนจับได้อีกแล้ว
แต่เมื่อเขามองเห็นต้วนอีเหยา ความไม่พอใจอขงเขาก็หายไปในทันที เหลือแต่ความอ่อนโยน
เขายกมือขึ้นมาลูบมุมตาของเธอเบาๆ ตาของเธอแดงราวกับเพิ่งร้องไห้มา “ไม่ต้องร้อง”
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างขมขื่น “ทำไมคุณโง่ขนาดนั้น”
“ผมรู้สึกว่าอร่อยมากนี่นา”
…..
ต้วนอีเหยาหมดคำจะพูด ทำไมเขาพูดตรงขนาดนั้น
ทั้งสามคนข้างหลังเห็นว่าอยู่ต่อไปก็รังแต่จะเป็นก้างขวางคอ จึงส่งสัญญาณมือให้เย่จิงเหยียน จากนั้นก็ลากเย่ชูวเสวียที่ไม่ยอมไปออกจากห้องไปด้วย
ทั้งหมดนี้ต้วนอีเหยาไม่รู้ เพราะเธอมัวแต่ห่วงอาการป่วยของเย่จิงเหยียน
ตอนที่มู่เวยเวยปิดประตู เย่จิงเหยียนก้แกล้งไอออกมา ทำให้ต้วนอีเหยารีบเข้าไปดูอาการ
“คุณเจ็บตรงไหน” ต้วนอีเหยาอยู่ใกล้เย่จิงเหยียนมากเพียงแค่กระดาษกั้น สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเป้นห่วง
เมื่อเห็นสายตายิ้มๆของผู้ชายตรงหน้า โดยที่ไม่มีอาการเจ็บปวดเลยสักนิด เธอก็ทุบอกเขาไปด้วยความโกรธ
“โอ้ย”
เย่จิงเหยียนร้องออกมา พลางกุมหน้าอกของตัวเอง ต้วนอีเหยาจึงตกใจอีกครั้ง “เป็นอะไรไป ฉันทำคุณเจ็บหรอ”
“เจ็บนิดหน่อย” เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วและหลุบตาลง
ยิ่งทำให้ต้วนอีเหยารู้สึกผิด “ขอ…”
เธอเพิ่งจะพูดออกมาได้คำเดียว เย่จิงเหยียบก็จุ๊บลงบนริมฝีปากของเธอ
“หวานจัง”
จากนั้นเขาก็นอนลงบนเตียงด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ต้วนอีเหยาถูกเขาแกล้งจนหน้าแดงขึ้นมา “คุณ…คุณ…คนบ้า”
เย่จิงเหยียนตอบหน้าตาย “ผมนิสัยไม่ดีอย่างนี้แหละ ถ้าไม่พอใจก็มาจูบคืนสิ”
“คุณ….”
เธอหันหน้าหนีโกรธๆ ตั้งใจจะไม่คุยกับเขาอีกแล้ว
แต่ใครบางคนก้ไม่ยอมให้เธอได้ทำตามที่หวัง เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้จากนั้นก้เอาเปรียบเธออีกครั้ง “เมื่อกี้คุณคุณได้เปรียบชัดๆ ผมต้องเอาคืน”
“ไปให้พ้น”
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างสดใส ผื่นแดงๆบนใบหน้าหล่อเหลาทำให้เขาดูขี้เล่นขึ้นไปอีก
ต้วนอีเหยาสบตากับเขา แต่แค่แปบเดียวก็พ่ายแพ้ไป เธอก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย เขาโตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังเล่นเป็นเด็กๆไปได้
เธอไม่รู้ว่าเย่จิงเหยียนจะแสดงนิสัยอย่างนี้ออกมาเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าเธอเท่านั้น
…..
หลังจากรักษาอยู่หลายครั้ง เย่จิงเหยียนก้ทนอยู่โรงพยาบาลไม่ได้อีก เขาจึงบอกด้วนอีเหยาว่าจะออกมาจากโรงพยาบาล
ต้วนอีเหยาช่วยเขาปอกผลไม้ พลางตอบเขาไปด้วย “ตรวจอีกสักหน่อยเถอะ ถ้าอาการกำเริบขึ้นมาอีกจะทำยังไง”
เย่จิงเหยียนมองผื่นที่อยู่เต็มใบหน้า จากนั้นก็หยิบแอปเปิ้ลมากิน “จะกำเริบอะไรอีก ไม่นะ…พอผมคิดถึงเกี๊ยวขึ้นมาก็อยากอ้วกแล้ว”
ต้วนอีเหยาคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงทำให้มือที่กำลังปอกแอปเปิ้ลกระตุกไปชั่วขณะจนแทบเฉือนนิ้วตัวเอง
“ผมล้อเล่น คุณ…” เย่จิงเหยียนรีบแย่งมีดมา จากนั้นก็ดึงนิ้วเธอมาดู เมื่อไม่เห็นเลือดถึงได้สบายใจลง
“คุณทำอะไรก็อร่อยหมด จริงนะ” เขาพยักหน้าลงไปด้วย เพราะกลัวเธอไม่เชื่อ
ต้วนอีเหยาตอบหยอกๆกับท่าทางของเขา “จากนี้ฉันก็ทำร้ายคุณได้ง่ายมากเลยนะงั้น ถ้าไม่พอใจก็แค่วางยาในอาหาร”
สายตาของเย่จิงเหยียนหม่นลง “ถ้าคุณต้องการผมก็จะกิน”
ถึงแม้เธอจะล้อเล่น แต่มันก็ทำให้เขาคิดถึงเรื่องต้วนจื่ออิ๋งขึ้นมา ถึงเธอไม่พูดแต่เขาก้เข้าใจ ใจของเธอยังติดอยู่กับเรื่องนี้อยู่…
“ช่วยผมทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลหน่อย” เย่จิงเหยียนเอาแอปเปิ้ลที่กินเหลือทิ้งลงในถังขยะ จากนั้นก้นอนลงบนเตียงอีกครั้ง
ต้วนอีเหยาตอบรับ และเอาข้อมูลประจำตัวของเขาเดินออกไป
ตอนออกจากโรงพยาบาลทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้อีก ต้วนอีเหยาพยุงเขาไปทางหน้าประตูใหญ่ ซึ่งตรงนั้นมีต้วนจื่ออิ๋งรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อทั้งคู่เลี้ยวตัวออกมา ก็ชนเข้ากับคนคนหนึ่ง และคนคนนั้นก้พุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเย่จิงเหยียนทันที
“พี่จิงเหยียน”
เย่จิงเหยียนก้มหน้าลง ก่อนจะเห็นว่าคนที่กอดเอวเขาอยู่คือต้วนจื่ออิ๋ง เขาจึงหันไปมองต้วนอีเหยาที่อยู่ข้างๆด้วยความลำบากใจ การที่เห็นว่าเธอไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ
“พี่จิงเหยียน หน้าพี่เป็นอะไร” ต้วนจื่ออิ๋งเห็นว่าเขาไม่ตอบเธอจึงเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหน้าเขามีผื่นเต็มไปหมดก็ตกใจขึ้นมา
เย่จิงเหยียนดันเธอออก จากนั้นก็หันไปมองต้วนอีเหยาอีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วถาม “ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่”
“พ่อฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว” ก่อนจะหันไปมองแม่ต้วนที่กำลังพยุงพ่อต้วน พร้อมกับมองมาที่พวกเขาอยู่
“สวัสดีครับพ่อต้วน แม่ต้วน” เย่จิงเหยียนพยักหน้าให้ทั้งคู่อย่างมีมารยาท จากนั้นก้ดึงเอาต้วนอีเหยามาไว้ข้างหลังเขาอย่างปกป้อง
การแสดงออกนี้ต้วนจื่ออิ๋งไม่ได้สังเกตเห็นเลย เธอยังคงกอดเย่จิงเหยียนไม่ปล่อย แต่พ่อต้วนกับแม่ต้วนมองทุกอย่างออกหมดแล้ว
“จื่ออิ๋งมานี่” พ่อต้วนที่ยังยืนไม่มั่นคง เกาะผนังไว้พร้อมทุบไปหนึ่งครั้ง
ต้วนจื่ออิ๋งรอมาหลายวันมากกว่าจะได้เจอเย่จิงเหยียน จึงไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆ “พ่อ…พี่จิงเหยียนมาเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลแล้ว พ่อไม่ต้องโกรธแล้วน่า”
หน้าอกของพ่อต้วนกระเพื่อมขึ้นลงแรงขึ้น จากนั้นก็พูดอย่างหอบๆ “แก…ทำไมแกถึงเป้นผู้หญิงที่หน้าไม่อายอย่างนี้”
ไม่เห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาเลยรึไง
ต้วนอีเหยาเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีก้เดินถอยหลังไปหลายก้าว เพื่อให้พื้นที่แก่ต้วนจื่ออิ๋ง
ขณะที่เธอเพิ่งถอยหลังได้หนึ่งก้าว เย่จิงเหยียนก็รู้ตัวรีบจับมือเธอไว้ทันที การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ผู้หญิงอีกคนที่กอดเขาอยู่หลุดออกไป
“นายเย่” พ่อต้วนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องต้วนจื่ออิ๋ง “จะมากเกินไปแล้วนะ”
ร่างกายเขายังไม่แข็งแรงดี เมื่อพูดอย่างอ่อนแรงเสร็จ เขาก็พูดอย่างหอบๆ แต่สายตาของเขาก็ยังดุดันเช่นเดิม
เย่จิงเหยียนหันหน้าไปมองพ่อต้วนอย่างอ่อนน้อมพร้อมพูด “งั้นเรื่องวุ่นวายหลายวันมานี้ผมจะมาอธิบายให้คุณฟังแน่ ขอให้คุณรักษาสุขภาพให้ดีนะครับ”
พูดจบเขาก็พาต้วนอีเหยาออกไป เขาไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกไม่สบายใจกับสายตาไม่พอใจของคนพวกนั้น
แต่ต้วนจื่ออิ๋งก็ไม่ยอมให้เขาทำได้อย่างใจคิด เธอวิ่งมากางแขนขวางเขาไว้ “พี่จิงเหยียน พวกเรา…พี่บอกว่าพี่จะแต่งงานกับฉันไม่ใช่หรอ”
เขาพูดอย่างตำหนิ หรือจะบอกว่ามีต้วนอีเหยาแล้ว คำพูดที่พูดไปเขาไม่สนแล้วงั้นหรอ
เย่จิงเหยียนทำอะไรไม่ถูก เขาขมวดคิ้วไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ก่อนหน้านี้เขาบอกเธออย่างนั้นจริงๆ
ตอนนั้นหัวใจของเขาได้ตายไปแล้ว แต่งงานกับใครก็เหมือนกัน เพราะยังไงก็ไม่มีความสุข ยังไงก็ไม่ใช่เธอ
แต่ตอนนี้คนที่เขารักที่สุดกลับมาแล้ว เขาจะไปแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไง
“จื่ออิ๋ง” ต้วนอีเหยาหันกลับไปด้วยความสับสน เมื่อเห็นเธอมองมาที่ตัวเองด้วยความไม่พอใจ เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ฉันไม่ได้จะอะไร แต่เธอเหยียบเท้าฉัน”
ต้วนอีเหยาไม่เชื่อว่าเธอจะมองไม่เห็น เธอตั้งใจจะเหยียบเท้าตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอเหยียบเสร็จก็ไม่ยอมยกขาออก
โชคดีที่เธอไม่ใส่รองเท้าส้นสูง ไม่อย่างนั้นนิ้วของเธอคงขาดไปแล้ว…
ต้วนจื่ออิ๋งแกล้งยกขาออกอย่างตกใจ “อุ้ย ขอโทษค่ะๆ” สายตาของเธอดำมืดลงทันทีที่เย่จิงเหยียนมองไม่เห็น
“อีเหยาไม่เป็นไรใช่มั้ย” เย่จิงเหยียนมองไปที่ต้วนจื่ออิ๋ง แม้น้ำเสียงเขาจะปกติ แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆจะรู้สึกถึงความเป็นห่วงได้
ต้วนอีเหยายิ้มไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร เจ็บแค่นี้ฉันไม่สนใจหรอก”
“พี่อีเหยา ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
เมื่อต้วนจื่ออิ๋งสบตากับสายตาของเย่จิงเหยียน เธอก็อดที่สะสั่นขึ้นมาไม่ได้ จึงต้องขอโทษด้วยความจริงใจมากกว่าเดิม
“ไม่เป็นไร” ต้วนอีเหยาโบกมือ เธอบกไปแล้วว่าไม่สนใจ ก็ยังจะขอโทษอยู่ได้
เพราะเธอควบคุมมือไม่ดี ทำให้มือสะบัดไปโดนไหล่ของต้วนจื่ออิ๋ง
เธอ “อ๊าย” ร้องออกมาและล้มลงไปบนพื้น เมื่อแม้ต้วนเห็นเข้าก็รีบปล่อยพ่อต้วน ก้มลงไปพยุงต้วนจื่ออิ๋งขึ้นมา
“นังผู้หญิงคนนี้”
พ่อต้วนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยกมือขึ้นเตรียมจะตบลงบนใบหน้าของต้วนอีเหยา แต่มือก็ค้างกลางอากาศเมื่อต้วนอีเหยายกมือขึ้นมารับไว้ได้ก่อน
“หนูไม่ได้ทำอะไร” ต้วนอีเหยาพูดด้วยความซื่อสัตย์ เธอจะรับแค่สิ่งที่เธอทำจริง ถ้าอันไหนที่เธอไม่ได้ทำเธอจะไม่ยอมรับเด็ดขาด
พ่อต้วนแสยะยิ้มออกมา “แกคิดว่าพวกเราตาบอดรึไง”
“คนเยอะขนาดนี้ สายตาสี่ห้าคู่ อย่ามาพูดมัวๆ”
พ่อต้วนโมโหจะดึงมือกลับ แต่ขยับยังไงต้วนอีเหยาก็ไม่ปล่อยมือ
ต้วนอีเหยาพูดเสียงเย็น “หนูยังไม่ได้ทำอะไรเธอ”
ขณะพูดสายตาของเธอก็มองไปที่เย่จิงเหยียนตลอดเวลา คนอื่นเชื่อหรือไม่เธฮไม่สนใจ แต่ถ้าเย่จิงเหยียนก็ไม่เชื่อเธอด้วยอีกคน เธอก็ไม่จำเป็นอธิบายอะไรแล้ว
เย่จิงเหยียนยิ้มบางๆ สายตาของเขาไม่มีความสงสัยเลย เขาไม่แม้แต่จะพูดคำว่าขอโทษด้วยซ้ำ เพราะเขาเชื่อเธอ เธอไม่ผิด ทำไมต้องขอโทษด้วย
“ถ้าเธอจะเรียกเงิน ฉันจะให้เธอ แต่ฉันไม่ได้ผลักเธอ ที่ล้มลงไปแบบนั้นก็เพราะเธอทำตัวเอง”
ต้วนอีเหยาไม่ได้โกรธ แต่เธอรู้สึกเวทนา เพื่อจะรั้งผู้ชายคนหนึ่งไว้ถึงกับต้องทำร้ายตัวเองขนาดนี้เลยหรอ
เธอก็ไม่สนใจเช่นกันว่าแม่ต้วนจะมองตัวเองยังไง เธอปล่อยมือของพ่อต้วน และเดินผ่านหน้าของพวกเขาไป
เมื่อผ่านหน้าต้วนจื่ออิ๋ง เธอก็พูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน “เธอทำให้ฉันต้องมองเธอใหม่ น่าสมเพศ”
พูดจบก้เดินจากไปทันทีโดยไม่ลังเล เย่จิงเหยียนโค้งให้พ่อต้วนเล็กน้อย จากนั้นก็ตามต้วนอีเหยาไป
……
ในรถ ต้วนอีเหยานั่งพิงเบาะหลังด้วยความเหนื่อยล้า สมองว่างเปล่า บางเรื่องง่ายมาก แต่พวกเขาก็ชอบทำให้มันซับซ้อน ทำให้คนอื่นรู้สึกเหนื่อยมาก
“อีเหยา ผม…”
“คุณไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้ฉันให้อภัยคุณได้ยากมาก” ต้วนอีเหยานวดขมับ พุดขัดคำพูดของเย่จิงเหยียน
เธอฟังคำอธิบายมามากพอแล้ว เธอเข้าใจได้ แต่เธอไม่อยากให้อภัย ทำไมเธอเพิ่งจากไปได้ไม่นาน เขาถึงเปลี่ยนใจไปหาคนอื่น
เย่จิงเหยียนก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย จึงตั้งใจขับรถแทน
รถมาจอดลงที่หน้าอพาร์ทเม้นของต้วนอีเหยาอย่างรวดเร็ว เขาปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างคุ้นเคย และเตรียมจะลงจากรถ
ต้วนอีเหยายื่นมือมาห้ามเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน ทำไมคุณถึงจะลงด้วย”
“ผมไปส่งคุณข้างบนไง”
“ไม่ต้อง ฉันขึ้นไปเองได้ คุณกลับไปรักษาตัวเถอะ”
“ให้ผมไปส่งคุณข้างบนเถอะ ไม่อย่างนั้นผมไม่สบายใจ”
เย่จิงเหยียนดึงดันจะลงรถ และขึ้นไปส่งต้วนอีเหยาข้างบน เมื่อเธอเปิดประตูเขาก็เข้าไปอย่างรวดเร็ว
“นี่” ต้วนอีเหยาไม่ทันได้สังเกต ทำให้เขาบุกเข้ามาในห้องได้ในทันที
“ฉันถึงแล้ว กลับไปได้แล้วมั้ง”
“ผมเป็นคนป่วย ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อรักษาตัว” เย่จิงเหยียนนอนลงบนโซฟา และยกขาขึ้นอย่างสบายๆ
ต้วนอีเหยากำมือ “แล้วคุณว่าอะไรคือสภาพแวดล้อมที่ดีล่ะ”
“ที่ที่มีคุณ”
ต้วนอีเหยาตะลึง หัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที
และใจของเธอก็กลับมาเป็นปกติเร็วมาก เธอถาม “คุณจะอยู่ที่นี่หรอ”
“ใช่”
“ได้ งั้นฉันไปเอง” ต้วนอีเหยาเข้าไปในห้องนอน เก็บเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้มาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็ค่อยๆจัดเข้ากระเป๋าเดินทาง
“อีเหยานี่คุณเอาจริงหรอ” เย่จิงเหยียนค่อยๆเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นเธอกำลังเก็บกระเป๋า ความโกรธก็ปะทุขึ้นมา
“คุณต้องการความเงียบเพื่อรักษาตัว”
เย่จิงเหยียนกอดเธอ “แต่ผมต้องการคุณมากกว่า”
“ถ้ามีคุณอยู่ ผมยอมไม่หายตลอดไป”
มือของต้วนอีเหยาหยุดนิ่ง ตั้งแต่เจอกัน เขาก็ลดความเย่อหยิ่งลง และขอร้องเธอด้วยความอ่อนโยนตลอด เขาขอร้องให้เธอยกโทษให้ ขอให้เธออยู่ต่อ
ถึงเธอจะเย็นชากับเขาแค่ไหน เขาก็ไม่เคยตำหนิ ท่าทางอย่างนี้ทำให้เธอรู้สึกเสียใจ
ให้อภัยเขาเถอะ
เสียงหัวใจของเธอร่ำร้องออกมา เขาเสียใจมามากพอแล้ว ถ้ายังไม่ยกโทษให้ตอนนี้ จะรอให้เขาจากไปก่อนหรอถึงจะมาเสียใจทีหลัง
มือของต้วนอีเหยาเริ่มสั่นขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆลูบหลังของเขา “ฉันให้อภัยคุณแล้ว”
“คุณว่าไงนะ” เย่จิงเหยียนถามด้วยความดีใจ มือสั่นเป็นอย่างมาก “อีเหยา คุณว่าไงนะ บอกผมอีกรอบสิ”
ต้วนอีเหยารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของเขา “ฉันให้อภัยคุณแล้ว”
“พูดอีกรอบสิ”
“ฉันบอกว่าฉันให้อภัยคุณแล้ว”
ต้วนอีเหยาพูดออกมาเสียงดัง ทำให้เย่จิงเหยียนโห่ร้องอย่างดีใจ ก่อนจะกอดเอวเธอขึ้นมา ในที่สุดคุณก็ให้อภัยผมแล้ว
“ฉันให้อภัยคุณ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ”
ต้วนอีเหยากอดคอเขาไว้ จากนั้นก็เขย่งขึ้นไปจูบปากเขา เย่จิงเหยียนตะลึง ก่อนจะตอบสนองกลับไป ทั้งสองคนมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน ทำให้ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกับครั้งที่แล้วโดยสิ้นเชิง