เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง ต้วนอีเหยาก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา เธอปล่อยมือออกจากรถเข็น ก่อนจะได้ยินเสียงป้าหลี่ร้องขึ้นมาด้วยความกังวล
เธอล้มลงบนถนน หูอื้อ และจากนั้นก็ค่อยๆหมดสติไป
ป้าหลี่รีบมาอยู่ข้างๆต้วนอีเหยา ขอให้รถที่ขับผ่านไปมาช่วยเธอ แต่ก็ไม่มีรถคันไหนหยุดสักคัน
พวกเขาไม่รู้ว่าต้วนอีเหยาเป็นหรือตาย แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าสกปรกของพวกเธอ พวกเขาก็กลัวจะโดนหลอก ดังนั้นจึงรีบขับไปอย่างรวดเร็ว
ป้าหลี่ไม่มีโทรศัพท์ หาโทรศัพท์ของต้วนอีเหยาตั้งนานก็ไม่เจออยู่ที่ตัว
เธอกระวนกระวาย ก่อนจะออกไปยืนขวางกลางถนนเพื่อกั้นรถที่ผ่านมาอย่างใจกล้า
….
เยจิงเหยียนหงุดหงิดมาก เขาเจอโทรศัพท์ของต้วนอีเหยาอยู่บนถนน เขารู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงที่เจอเมื่อกี้คือต้วนอีเหยา
พวกเธอน่าจะเข็นรถไปได้ไม่ไกลมากนัก เขารีบวิ่งกลับไปเอารถที่บ้านทันที
“พี่จะไปไหน” มู่หยู่ฉีรู้สึกถึงความผิดปกติจึงวิ่งตามเขามา เย่จิงเหยียนไม่ตอบคำถาม แต่รีบวิ่งไปนั่งที่นั่งคนขับทันที เขาจึงไปยืนขวางหน้ารถไว้
“หลบไป”
เย่จิงเหยียนขี้เกียจอธิบาย ยิ่งนานไปต้วนอีเหยาก็ยิ่งอยู่ไกลจากเขามากขึ้นเท่านั้น เขาเหยียบคันเร่งอย่างไม่ลังเล
มู่หยู่ฉีเห็นว่าเขาเอาจริง จึงรีบหลบไปอยู่ข้างๆ เมื่อรู้ตัวอีกทีรถก็ขับออกไปแล้ว
ถนนริมทะเลกว้างขวางมาก เย่จิงเหยียนขับรถไปเรื่อยๆ ก่อนจะเห็นหญิงชราและเด้กสาวคนหนึ่งกำลังเข็นรถเข็นอยู่ริมถนน
เย่จิงเหยียนรีบเบรกรถขวางหน้าเธอไว้ และจากนั้นก็รีบลงจากรถไปหาหญิงสาวคนนั้น “อีเหยา”
ผู้หญิงคนนั้นรีบเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเย่จิงเหยียนเธอก็ก้มหน้าลงทันที “คุณทักคนผิดแล้วค่ะ”
เย่จิงเหยียนตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะรีบร้อนจนขนาดเห็นคนข้างถนนเป็นต้วนอีเหยา เขาเอ่ยขอโทษและกลับขึ้นรถไป
เขาจุดบุหรี่ และขับรถตามหาอีกครั้ง และเมื่อเขาเลี้ยวมามุมหนึ่ง เขาก็เห็นคนคนหนึ่งกำลังนอนหมดสติอยู่บนถนน และข้างๆก็มีคุณป้าคนหนึ่งอยู่
คุณป้ากำลังร้องขอความช่วยเหลือ แต่เพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาล จึงไม่มีใครมาช่วยพวกเธอ เย่จิงเหยียนจอดรถทันทีที่คุณป้าขวางไว้
เขาเปิดรถลงมา ก่อนจะเห็นใบหน้าของคุณป้าเต็มไปด้วยน้ำตา นั่นทำให้เขาจากที่หงุดหงิดก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
เขารีบวิ่งไปที่คนที่สลบอยู่ แม้หน้าของเธอจะเลอะไปด้วยโคลน แต่เขาก็จำเธอได้ทันทีในแวบแรกที่เจอ
อีเหยา
“เธอเป็นอะไรไป” เย่จิงเหยียนอุ้มต้วนอีเหยา พลางถามคุณป้าที่อยู่ข้างๆ
ป้าหลี่เช้ดน้ำตา “ป้าก็ไม่รู้ เดินอยู่ดีๆก็เป็นลมไป น่าจะเพราะว่าเธอเข็นรถเหนื่อยเกินไป”
เหนื่อยเกินไปแล้วยังให้เธอเข็นอีก
เย่จิงเหยียนแอบตำหนิในใจด้วยสีหน้าเย็นชา จนทำให้ป้าหลี่ที่อยู่ใกล้ๆรู้สึกตัวสั่นขึ้นมา
เขาอุ้มต้วนอีเหยาไปวางไว้ที่เบาะหลัง และป้าหลี่ก็ตามขึ้นไปบนรถเช่นกัน เย่จิงเหยียนปากกระตุกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เขาเหยียบคันเร่งจนสุด ทำให้ป้าหลี่เวียนหัวมาก กว่าป้าหลี่จะรู้ตัวอีกที รถก็มาจอดลงที่โรงพยาบาลแล้ว
เย่จิงเหยียนไม่รอให้เธอปรับตัว เขารีบอุ้มต้วนอีเหยาเข้าไปในโรงพยาบาลทันที พยาบาลทั้งหลายที่ขวางหน้าเขาต่างกลัวกับสายตาของเขาทั้งสิ้น
“หมอตรวจดูสิว่าเธอเป็นอะไร”
เขาอุ้มต้วนอีเหยามาจนถึงห้องตรวจ ก่อนที่หมอจะรีบตามมา เมื่อได้ยินคำถามของเย่จิงเหยียน เขาก็รีบใส่เครื่องตรวจฟังเสียงบนหน้าอกของต้วนอีเหยา
เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อย ก่อนที่หมอจะขมวดคิ้วขึ้นมา “เราต้องทำการผ่าตัดให้เธอ”
“เธอเป็นอะไร”
หมอขมวดคิ้ว
“ปัญหาที่หูของเธอเริ่มหนักขึ้นแล้ว ผมทำได้แค่ลองพยายามอย่างเต็มที่”
“หูอะไร อาการแย่คืออะไร หูหนวกหรอ ลองอะไร” ดวงตาของเย่จิงเหยียนแดงก่ำ เขากำคอเสื้อของหมอ พร้อมตะโกนออกมาเสียงดัง
“คุณเย่ใจเย็นๆก่อน”
หมอมองเขาอย่างสั่นๆ “โรคที่หูของเธอเป็นมาได้สามเดือนแล้ว ช่วงนี้นอกจากจะไม่หายแล้วยังรุนแรงขึ้นอีกด้วย และการที่อาการทรุดหนักอย่างนี้ก็จะกระทบกับหูอีกข้างที่ทำงานปกติด้วย ดังนั้นเธออาจจะต้องหุหนวกทั้งสองข้าง”
“ผมไม่สนว่าคุณจะใช้วิธไหน แต่เธอจะต้องหาย”
“ยัง…ยังมีอีกเรื่อง เธอท้องได้หนึ่งเดือนแล้ว ผนังมดลูกของเธออ่อนแอมาก และเพราะปัญหาทางร่างกายนี้ ทำให้มดลูกไม่แข็งแรง อาจจะ…”
“อาจจะอะไร” เย่จิงเหยียนถูกโจมตีอีกครั้ง เธอท้อง
เธอไม่บอกอะไรเขาเลย
และทำไมเธอต้องหนีเขามา เพราะโรคหูงั้นหรอ
“อาจจะรักษาเด็กไว้ไม่ได้….”
“ว่ายังไงนะ” เย่จิงเหยียนจ้องหมออย่างโหดร้ายท่ารุณ “รักษาอะไรไว้ไม่ได้นะ พุดอีกทีซิ”
“ผม…ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมพยายาม…”
“ฉันไม่ต้องการพยายาม ฉันต้องการคำยืนยันว่าทั้งคู่จะต้องปลอดภัย”
“คะ…ครับ”
หมอมองเขาอย่างหวาดๆ จากนั้นก็ให้คนมาเข็นเตียงคนไข้ไป
เย่จิงเหยียนยืนอยู่กับที่มองดูเตียงค่อยๆเคลื่อนไกลออกไป ในใจเขามีคลื่นแห่งความอ่อนแอขึ้นมา เขาจะต้องปล่อยเธอให้ห่างจากเขาอีกหลายชั่วโมง ให้เธอต่อสู้กับโรคเพียงลำพังโดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
เขาวิ่งตามเธอไปอย่างทนไม่ได้
“คุณเย่เข้าไปไม่ได้นะคะ” พยาบาลหลายคนมากันประตูห้องฉุกเฉินไว้ ไม่ให้เย่จิงเหยียนเข้าไป
เย่จิงเหยียนไม่สนใจ เขาดันคนที่กันเขาไว้ แต่ทันใดนั้นประตูห้องฉุกเฉินก็ปิดลง
เขานั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง ยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความรู้สึกรำคาญใจ
ทำไมเขาถึงรู้ช้าอย่างนี้ เธอมีอาการแปลกๆบ่อยมาก แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ ถ้ารู้เร็วกว่านี้….
ในที่สุดป้าหลี่ก็มาถึง เมื่อเห็นเย่จิงเหยียนทรุดลงบนพื้นเธอก็รู้ทันทีว่าอาการของต้วนอีเหยาไม่ดีนัก จึงได้แต่แอบเช็ดน้ำตาอยู่ใกล้ๆ
ผู้หญิงดีๆทำไมต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ด้วย
หลังจากรออยู่นานมาก ประตูห้องฉุกเฉินก็ค่อยๆเปิดออก เตียงคนไข้ถูกเข็นออกมา
เมื่อเย่จิงเหยียนได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เขาก็รีบยืนขึ้น พุ่งตัวไปข้างเตียง พร้อมรีบถาม “เธอเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ เรารักษาเด็กเอาไว้ได้” หมอถอนหายใจออกมา
ดีที่เรารักษาอนาคตตัวเองไว้ได้
“แล้วเธอล่ะ”
“หูข้างหนึ่งของผู้ป่วยเสื่อมลงอย่างมาก รักษาให้หายขาดได้ยาก ส่วนอีกข้างหนึ่งถึงแม้จะสามารถใช้งานได้ แต่ก็ถือว่าไม่ปกติ เราได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว แต่รายละเอียดอื่นๆต้องรอเธอฟื้นก่อนถึงจะรู้ได้”
“หมายความว่าไง” เย่จิงเหยียนข่มอารมณ์ “คุณหมายความว่าเธออาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาหรอ”
“ไม่ใช่ครับ” หมอกลัวเขาชักคอเสื้ออีกจึงรีบอธิบาย “ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้อาการของหูคนไข้แน่ชัด ต้องรอเธอตื่นขึ้นมาก่อนถึงจะรู้ได้ว่าอยู่ระดับไหนแล้ว”
เย่จิงเหยียนไม่ได้มอบความลำบากใจให้เขาอีก เขาเดินตามพยาบาลไปที่ห้องพักคนไข้ เมื่อพยาบาลออกไป ทั้งห้องก็เหลือแค่เขาและต้วนอีเหยา
ป้าหลี่เดินออกไปนอกประตู แม้ว่าเธออยากจะเข้าไป แต่เธอก็รู้สึกว่าไม่ควรรบกวนทั้งสองคน
ในห้อง เย่จิงเหยียนนั่งอยู่หน้าเตียง ยื่นมือปัดผมที่ปรกหน้าเธอออกเบาๆ แค่เห็นใบหน้าที่หลับสนิทของเธอใจเขาอ่อนลงมาก
ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่โทษเธอที่จากไปโดยไม่ล่ำลา ว่าเธอว่าเป้นคนใจหิน แต่ตอนนี้…เขาไม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว
เธอเหมือนจะรู้ตัวว่าถ้าเขาหาเธอเจอ เขาต้องคิดบัญชีกับเธอแน่ ดังนั้นเธอจึงแกล้งหลับเพื่อให้เขาใจอ่อนรึเปล่า
เย่จิงเหยียนหัวเราะออกมาเบาๆ “อีเหยาถ้าคณยังไม่ยอมตื่น ผมอาจจะทนไม่ไหวแล้วจูบคุณนะ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ เขาค่อยๆค้อมตัวลง “ผมพูดจริงนะ”
“จะจูบแล้วนะ”
เย่จิงเหยียนเห็นว่าเธอยังเงียบ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้ จึงได้แต่จูบขมับเธอเบาๆ
เขาหมดหวังแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต้วนอีเหยาต้องรีบลุกขึ้นมาผลักเขาออก แต่ตอนนี้เธอกลับนอนอยู่บนเตียงอย่างไร้สติ
เย่จิงเหยียนก้มหน้าลงอย่างหดหู่ ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา และทันใดนั้นขอบตาของอีเหยาก็ขยับเบาๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว
เธอฟื้นมานานแล้ว และก็รู้ว่าเย่จิงเหยียนอยู่ใกล้ๆเธอ แต่เพราะว่าเสียงของเขาเบาเกินไป ดังนัั้นเธอจึงฟังไม่ชัดว่าเขาพูดว่าอะไร จนกระทั่งเขาจูบที่หน้าผากเธออย่างอ่อนโยน เธอถึงเพิ่งมีการตอบสนอง
ตั้งแต่วินาทีนั้น ใจของเธอก็หล่นไปอยู่ตาตุ่ม หูของเธอได้ยินว่าเขาอยู่ไกลมาก แต่ไม่ใช่เลย
เสียงที่เธอได้ยินเบามาก เมื่อเปิดปากจะพูดก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี
ราวกับเย่จิงเหยียนรู้สึกได้ว่าคนข้างๆกำลังเสียใจอยู่ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเห็นต้วนอีเหยาลืมตาขึ้นมาด้วยแววตาเศร้า
“อีเหยา คุณตื่นแล้วหรอ รู้สึกยังไงบ้าง” เย่จิงเหยียนจับมือเธออย่างกระตือรือร้น
ต้วนอีเหยาหดคอลง และพูดเบาๆ “อืม”
เสียงของเธอต่ำมาก แต่เธอก็ไม่ได้ยินเสียงตัวเอง จึงจับหูของตัวเองไว้ “ฉัน…” ลูกของฉันเป็นยังไงบ้าง
ประโยคหลังเธอพูดไม่ออก เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง แม้แต่โทนเสียงก้ไม่สามารถควบคุมได้
เย่จิงเหยียนเห็นเธอจับหูก็นึกว่าเธอถามถึงอาการหุของตัวเอง เขาจึงทำท่าทางอธิบายให้เธอรู้ “หูของเธอไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็หายแล้ว”
เมื่อต้วนอีเหยาเห็นเขาบอกเธอในเรื่องที่เธอไม่ได้ถามก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น เธอลูบท้องดู เมื่อไม่ได้รู้สึกเจ็บถึงค่อยเบาใจ
การกระทำของเธอดึงดูดความสนใจของเขา เขาจึงรีบพุดว่า “ลูกไม่เป็นไร เขาดวงแข็งจะตาย”
พูดจบเขาก็เพิ่งนึกออกว่าต้วนอีเหยาไม่ได้ยิน จึงก้มหน้าลงคิดว่าจะบอกกับเธอยังไงดี
แต่ต้วนอีเหยาอ่านปากเขาออก จึงรู้สึกแปลกใจที่เขารู้เรื่องลูกแล้ว
ป้าหลี่ได้ยินเสียงในห้องก็รีบเข้ามา เมื่อเห็นต้วนอีเหยานั่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเผือด เธอก็อดน้ำตาไหลออกมาไม่ได้
“หนูดีขึ้นรึยัง” ป้าหลี่เดินมาจับมือเธอ “ป้าผิดเอง ป้าไม่น่าให้หนูเข็นรถกับป้า หนูก็เหมือนกัน เป็นสาวเป็นแส้ทำไมถึงฝืนตัวเองอย่างนั้น”
ต้วนอีเหยายังวล แต่ก็ไม่มีเสียงออกมา เสียงพึมพำในคอทำให้เธอคิดว่าตัวเองพูดออกมาเสียงดังแล้ว
ป้าหลี่พูดไม่ออก น้ำตาไหลออกตามใบหน้า
“หนูเป็นอะไร”
ป้าหลี่ไม่เข้าใจ เธอหันไปมองเย่จิงเหยียนก่อนที่เย่จิงเหยียนจะพูดอย่างขมขื่น “หูเธอไม่ได้ยินครับ”
“อะไรนะ” ป้าหลี่แปลกใจ เข็นรถมาอยู่ดีๆเธอเป็นลมก็ตกใจแย่แล้ว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นลมเฉยๆ แต่….
ป้าหลี่เริ่มรู้สึกผิดมากขึ้น ต้วนอีเหยาที่อยู่บนเตียงอยากจะอธิบายให้ฟัง แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจเสียงของเธอได้
แต่เย่จิงเหยียนเข้าใจเธอจึงเอื้อมมือไปลูบปลอบเธอเบาๆ “ไม่ต้องกังวล รักษาตัวเองเถอะ”
พูดจบก็หันไปบอกป้าหลี่ “ไม่ใช่เพราะเข็นรถ เพราะเหตุผลอื่นครับ”
เมื่อป้าหลี่ได้ยินก็ไม่ได้หยุดโทษตัวเอง “ถึงไม่ใช่เพราะเข็นรถ แต่ก็เพราะว่าเข็นรถเธอถึงเป็นลมอย่างนี้”
เธอลูบหัวต้วนอีเหยาเบาๆ จากนั้นก็ดึงเธอมากอด “ชีวิตหนูน่าสงสารจริง…”
ต้วนอีเหยาซบไหล่ป้าหลี่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ พวกเธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อรู้จักกัน ป้าหลี่ก็ดูแลเธอราวกับเป็นลูกสาวแท้ของเธอ….
ความอบอุ่นที่เหมือนได้จากแม่ ทำให้เธอไม่อยากพลากจากไป
“ปังๆๆ”
จู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นข้างนอก ทำลายความเศร้าโศกของทั้งสามคน
“เข้ามา” เย่จิงเหยียนเห็นว่าทั้งสองคนอยู่ในความเศร้าโศก เขาจึงพูดให้คนเข้าไป
หมอคนก่อนหน้านี้เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสาร “ผมมาตรวจครับ”
เย่จิงเหยียนไม่ได้พูดอะไร เขาหลีกให้หมอเข้ามา เมื่อป้าหลี่เห็นหมอเข้ามาก็ปล่อยต้วนอีเหยาเช่นกัน “หมอมาดูเร็วว่าลูกสาวฉันหูเป็นยังไงบ้าง”
หมอพยักหน้านั่งลง และหยิบอุปกรณ์มาตรวจที่หูของเธอ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว บางทีก็ถอนหายใจ ทำให้เย่จิงเหยียนกับป้าหลี่ต่างไม่สบายใจไปตามๆกัน
นานมาก ในที่สุดหมอก็เก็บอุปกรณ์
ป้าหลี่ทนไม่ไหวถามว่า “หมอ หูของเธอเป็นยังไงบ้าง”
หมอถอนหายใจ “การได้ยินของเธอแย่มาก พวกเราพูดคุยกันปกติเธอก็ไม่ได้แล้ว”
มือของป้าหลี่ร่วงลงจากแขนเสื้อของหมอด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ต้วนอีเหยาทั้งน้ำตา
เธอค่อยๆพูดทีละคำ “หนูไม่ต้องกลัว หมอบอกว่าเดี๋ยวหนูก็หายแล้ว”
ต้วนอีเหยายิ้มออกมาบางๆ เธอรู้อาการของเธอดี ที่ป้าหลี่พูดอย่างนี้ก็เพราะอยากปลอบเธอเท่านั้น
“ใช้เครื่องช่วยฟังล่ะ”
เย่จิงเหยียนที่ไม่ได้พูดมานานพูดขึ้น เขาไม่ได้เอ่ยชื่อว่าถามใคร แต่หมอก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างรู้ตัว
“เครื่องช่วยฟังช่วยได้น้อยมาก บอกได้ยากมาก บางที…”
“บางทีอะไร”
เย่จิงเหยียนกังวลมาก เมื่อหมอหยุด เขาก็โกรธขึ้นมาทันที
“คุณเย่คุณอย่ากังวล คุณลองไปซื้อเครื่องช่วยฟังที่โรงพยาบาลเซนต์โทมัสดู มันเป็นเครื่องใหม่ล่าสุด จากที่ผมรู้โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลรักษาหูที่ดีที่สุด….”
“อย่างนั้นหูเธอจะดีหรอ”
“หูของเธอมีปัจจัยหลายอย่างมากที่ไม่แน่นอน ดังนั้นผมไม่สามารถการันตีได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เธอได้ยินเสียงที่พวกเราคุยกันปกติได้”
หมอพูดจบก็พยักหน้าให้เย่จิงเหยียน จากนั้นก็เดินออกไปด้วยความรีบร้อน สิ่งที่เขากลัวยิ่งกว่าอาการของต้วนอีเหยาไม่แน่นอนก็คืออารมณ์ที่ไม่ปกติของเย่จิงเหยียน ที่มักจะโมโหได้ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
หลังจากพักโรงพยาบาลได้สองสามวัน เย่จิงเหยียนก็พาต้วนอีเหยาไปลาป้าหลี่ ยิ่งนานไปก็ยิ่งอันตรายขึ้นเท่านั้น เขาไม่อยากให้มันช้าไปกว่านี้
ป้าหลี่จับมือต้วนอีเหยาอย่างไม่อยากจากไป แต่สุดท้ายก็สั่งเธอว่า “รักษาตัวเองให้ดีนะ อย่าลืมมาเยี่ยมคนแก่บ้างล่ะ”
ต้วนอีเหยาน้ำตาไหลออกมา เธอมีเรื่องจะพูดมากมาย แต่สุดท้ายก็ได้แต่ตอบไปว่า “อืม”
เย่จิงเหยียนมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงแล้ว เขานัดพบหมอที่นั่นตอนสองโมงตรง เขารู้ว่าช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว จึงกระแอมออกมาเบาๆ
ป้าหลี่รู้แล้วปล่อยมือของต้วนอีเหยา “ไปกันเถอะ”
ต้วนอีเหยาพยักหน้า และเดินตามเย่จิงเหยียนเข้าไปในรถ ป้าหลี่โบกมือให้ทั้งคู่ตามหลังรถไปจนลับสายตา
ตาของเธอร้อนผ่าวขึ้น เย่จิงเหยียนลูบหลังเธอเบาๆ “รอคุณหายแล้วเราค่อยกลับมาใหม่”
พูดจบเพิ่งนึกได้ว่าต้วนอีเหยาไม่ได้ยิน เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ และจับมือเธอขับรถไปจนถึงสนามบิน
ต้วนอีเหยารอเงียบๆมาหลายชั่วโมง เย่จิงเหยียนพยายามจะทำลายความเงียบแต่ก็ถูกเธอเมินมาตลอด
ระหว่างเช็คอิน เย่จิงเหยียนก็ตัวติดกับต้วนอีเหยาตลอด พลางจับมือไว้แน่น เพราะกลัวว่าถ้าเผลอไปแล้วจะหลงกัน
ต้วนอีเหยาไม่ใช่ไม่รู้ถึงความเห็นห่วงของเขา แต่เธอเลือกจะมองข้ามไป ถ้าเป็นเธอตอนก่อนที่จะเจอกันในงานเลี้ยง เธอก็คงจะซึ้งใจอยู่หรอก
แต่ในงานเลี้ยงเธอเห็นว่าเขาใกล้ชิดกับต้วนจื่ออิ๋ง จึงทำให้ฟางเส้นสุดท้ายระหว่างเธอกับเขาขาดลง
ตอนนั้นเธอเพิ่งจากเขามาได้ไม่กี่วัน เขาก็รีบไปหาคนอื่นมาแทนที่เธอแล้ว จะไม่ให้เธอเจ็บใจได้ยังไง
ดีที่เธอไม่ได้ยินจะได้ไม่ต้องคุยกับเขา
เครื่องบินเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็เกิดอากาศแปรปรวนขึ้นระหว่างทาง ทำให้ทุกคนตื่นขึ้นมาอย่างสะลมสะลือ
เย่จิงเหยียนจับมือแอร์โฮสเตทที่กำลังจะเดินผ่านไป และถาม “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นครับ”
“ผู้โดยสารไม่ต้องกังวลนะคะ วกเราพ้นชายแดนออกมาแล้วค่ะ ตอนนี้เราเจอกระแสลมเครื่องบินเลยสั่นนิดหน่อย”
เย่จิงเหยียนฟังจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันไปบอกต้วนอีเหยา “ไม่ต้องกลัว มีผมอยู่ ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
แต่ต้วนอีเหยาไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดกับแอร์โฮสเตท จึงทำให้เธอกังวลยิ่งกว่าเดิม
ยิ่งเธอเห็นท่าทีอ่อนโยนผิดปกติของเขา เธอยิ่งมั่นใจว่าต้องเกิดอะไรขึ้น เธอกอดเอวของเขาไว้ พร้อมตั้งปนิธานว่ายังไงก็จะไม่ปล่อยเขา
ทันใดนั้นเครื่องบินก็สั่นไหวอีกครั้ง ต้วนอีเหยารู้สึกหูอื้อ และตัวเอียงไปตามเครื่องบิน
ต้วนอีเหยาอดที่จะตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ เธอกอดเขาจนมือชา แต่ก็ยังกอดแน่นเหมือนเดิม
“อีเหยาไม่ต้องกลัว” เย่จิงเหยียนลูบหลังเธอ และตะโกนบอกเสียงดัง เพราะเสียงเครื่องบินดังเกินไป เขาจึงฟังเสียงตัวเองแทบไม่ออก
แต่ต้วนอีเหยากลับฟังออกแล้ว ถึงแม้ว่าหูจะอื้อ แต่เธอก็ฟังออกแล้ว…
เครื่องบินสั่นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เธอรู้สึกว่าตัวเครื่องเริ่มดิ่งลง จึงหลับตาลงคิดในใจว่า ให้มันจบลงแค่นี้เถอะ อย่างน้อยช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก็มีเย่จิงเหยียนอยู่ข้างๆ พระเจ้ายังเมตตาเธออยู่ไม่น้อย
ในที่สุดพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกก็ได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง….
เสียงเครื่องบินเงียบไป ต้วนอีเหยาไม่ได้รู้สึกเจ็บเลย เธอรู้สึกว่ามันแปลก แต่เมื่อคิดดูดีๆก้รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
เครื่องบินระเบิดแค่ในพริบตา เธอไม่ทันได้เจ็บปวดร่างกายก็แตกออกเป็นชิ้นๆแล้ว
ตอนนี้ที่เธอยังมีความคิดอยู่ เพราะนี่เป็นวิญญาณของเธอสินะ
“อีเหยา อีเหยา”
ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดบนหัวของเธอ เธอค่อยๆลืมตาขึ้น ก่อนจะสบตากับสายตาอ่อนโยนของเย่จิงเหยียนพอดี
“ลุกขึ้นได้แล้ว” เย่จิงเหยียนลูบหัวเธอและพูดยิ้มๆ
ต้วนอีเหยาตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเธอได้ยินเสียง
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามด้วยเสียงแหบๆ “เราถึงสวรรค์แล้วหรอ”
ไม่อย่างนั้นเธอจะได้ยินเสียงเบาๆได้ยังไง
เย่จิงเหยียนก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดได้ หลังจากเข้าใจความคิดของเธอแล้วเขาก็หัวเราะออกมา
“เราจอดลงอย่างปลอดภัยแล้ว จะไปถึงสวรรค์ได้ยังไง”
สายตาของต้วนอีเหยาเต็มไปด้วยความสับสน จนกระทั่งมีคนมาแจ้ง “เราถึงที่หมายแล้วค่ะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”
เย่จิงเหยียนพยักหน้า และถอดเข็มขัดนิรภัยให้ต้วนอีเหยา “ไปกันเถอะ”
เมื่อเธอตอบรับ เย่จิงเหยียนก็จูงมือเธอออกมาจากชั้นเฟิร์สคลาส
เมื่อมายืนอยู่บนพื้นดิน ต้วนอีเหยาก็ยังรู้สึกแทบไม่อยากจะเชื่อ ร่างกายของเธออ่อนแรงไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะมีเย่จิงเหยียนพยุงไว้เธอคงล้มลงไปบนพื้นแล้ว
เธอได้ยินเสียงคนคุยกันรอบ ทำให้เธอรู้สึกไม่ชินมาก เธออยู่ในโลกแห่งความเงียบมาหลายวัน แต่อยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงขึ้นมาเบาๆ
เย่จิงเหยียนอาจสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เขาจึงโอบเอวเธอแน่น “อย่ากลัวผมอยู่นี่”
น้ำเสียงสงบของเขาทำให้ต้วนอีเหยาหายจากตวามกลัว
ท่าทางของทั้งคู่ดึงดูดสายตาของคนอื่นๆมาก ผู้หญิงก็สวยผู้ชายก็หล่อเจริยตาจริงๆ
ต้วนอีเหยากลัวเล็กน้อย ตั้งแต่สูญเสียการได้ยิน เธอก็กลัวสายตาของคนอื่นมาตลอด เพราะไม่ว่าพวกเขาจะพูดแบบไหน เธอก็คิดว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่
เธอก้าวถอยหลัง และดึงแขนของเย่จิงเหยียนออกไป แต่เพราะไม่ได้ตั้งตัว เธอจึงล้มลงไปเพราะสะดุดก้อนหินเล็กๆ
ต้วนอีเหยารีบเงยหน้าขึ้น และเห็นว่าคนอื่นกำลังมองมาที่พวกเธออยู่ เสียงจอแจทำให้เธอไม่รู้ว่าพวกเขาพูดว่าอะไร เธอรู้แค่ว่าปากที่ขยับเหล่านั้น คงกำลังหัวเราะเยาะเธอเป็นแน่
“อีเหยา”
เธอได้ยินว่ามีคนเรียกเธอจากที่ไกลๆ สายตาของเธอเริ่มพร่าลงเรื่อยๆ เมื่อเห็นคนกำลังตรงเข้ามา แต่เธอยังไม่อยากหลับตา ห้ามหลับนะ
เธอพยายามฝืนลืมตา ก่อนจะเห็นว่าเย่จิงเหยียนมาหาเธอแล้วไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน เขาพูดอะไรบางอย่างแต่เธอไม่ได้ยินเลย
เย่จิงเหยียนเห็นสายตาเธอเหม่อๆ จึงอุ้มเธอขึ้นมา “หลบไป หลบไปให้หมด”
เขาเสียสติไปแล้ว เมื่อกี้ยังยิ้มหัวเราะกันอยู่เลย แต่อยู่ดีๆเธอก็มาสลบอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างนี้ จะไม่ให้เขากังวลได้ยังไง
เธอเป็นอะไรกันแน่
เธอจะเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
ตอนแรกคนแถวนั้นก้อยากจะช่วย แต่เมื่อเห็นเขาตะคอก ทุกคนก็ถอยหลังออกไปแหวกทางให้เขา
มีคนใจดีช่วยเรียกรถแท้กซี่ให้เขา เย่จิงเหยียนพูดขอบคุณ และอุ้มต้วนอีเหยาขึ้นไปบนรถทันที
คนขับรถกำลังลังเลว่าจะสื่อสารกับเขายังไงดี แต่เย่จิงเหยียนก็บอกสถานที่ที่จะไปด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงดีซะก่อน