“นายว่าไง?”
“ลองดูเถอะ”เย่จิงเหยียนว่างมือค้ำลงไปทางด้านหลังพร้อมกับนั่งลงบนโซฟา จากนั้นก็ชี้ไปที่ราวแขนเสื้อทางด้านข้าง “เสื้อผ้าที่อยู่ตรงนี้เธอลองสวมดูสักรอบ”
ต้วนอีเหยามีท่าทีประหลาดใจ“นายแน่ใจนะว่าทั้งหมดนี้?”
ทั้งราวมีเสื้อแขวนอยู่เกือบยี่สิบชุด หากว่าให้เธอลองทุกชุด คงจะต้องเหนื่อยก่อนแน่!
เย่จิงเหยียนมองดูเธอ รู้ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเธอคงจะต้องเสียแรงมาก เขาจึงลุกขึ้นจากนั่งและเดินมาเลือกเสื้อผ้าในแบบที่เขาชอบมาสองสามชุดส่งให้เธอ
ต้วนอีเหยาเดินเข้ามาหยิบเสื้อผ้าจากเขาด้วยท่าทีที่ลังเล ชุดพวกนี้ล้วนแต่เป็นชุดกระโปรง เธอไม่เคยลืมความอืดอัดใจในครั้งก่อนที่เธอสวมกระโปรง
แต่ว่าชุดกระโปรงที่เขาเลือกมาเป็นกระโปรงยาวเกือบเท่าตาตุ่ม เธอยังสามารถจะเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ ครั้งก่อนต้องที่ฝึกหัดร่างกาย เย่จิงเหยียนก็เลือกเสื้อผ้าให้เธออย่างเหมาะสม เสื้อเป็นแขนแบบห้าส่วน
ต้วนอีเหยาหยิบเสื้อผ้าและเดินเข้าไปในห้องลองเสื้อ แต่ตอนที่ทำการเปลี่ยนชุดไม่มีคนมาช่วยเธอรูดซิบที่ด้านหลัง เธอจึงเปิดประตูออกมา เธอไม่เห็นพนักงานอยู่ที่นี่
“ทำไมหรอ?”เย่จิงเหยียนกำลังเงยหน้าขึ้นมาพอดี เขาเห็นต้วนอีเหยาโผล่หน้าออกมาจากประตู จึงขมวดคิ้วถามเธอ
“คือว่า……”ต้วนอีเหยายืนอยู่ที่ประตูอย่างลังเลใจ เย่จิงเหยียนไม่รอคำตอบจากเธอแล้ว เขาลุกจากที่นั่งแล้วเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“นาย……นายอย่าเข้ามานะ!”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว “เป็นอะไรอย่างนั้นหรอ?”
เธอห้ามเขาไม่ให้เข้ามา แต่เมื่อเธอเห็นเขาแบบนี้แล้ว ให้ความรู้สึกราวกับว่าสัตว์ดุร้ากำลังจะเข้ามาจัดการเหยื่อ
“ไม่เป็นไร นายไปเรียกพนักงานข้ามาหน่อย!”
ทันใดนั้นเย่จิงเหยียนก็พูดเสียงดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว“ให้ฉันดูหน่อย”
ตอนแรกต้วนอีเหยากะว่าจะปิดประตูใส่เขา แต่เขาก็เดินมาถึงตรงหน้าของเธอก่อนและง้างประตูออก เห็นเขาแบบนี้เธอจึงรู้สึกเกรงใจและหันหลังให้กับเขา
“นายช่วยรูดซิบด้านหลังให้ฉันหน่อยสิ”
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เนียนนุ่มของเธออยู่ตรงหน้า มือที่กำลังรูดซิบของเขาถึงกลับชะงัก เขาเคลิ้มไป “เรื่องแค่นี้?”
“ใช่สิ!”ต้วนอีเหยาที่ยืนอยู่นิ่งๆ พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เมื่อกี้เธอมีความรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่เห็นเย่จิงเหยียนมีท่าทีแบบนี้เธอก็ไม่รู้สึกเขินอายอีกต่อไป ตอนนี้คนที่ทำอะไรไม่ถูกน้าจะเป็นเย่จิงเหยียนซะมากกว่า
เขาส่ายหน้าไปมาพร้อมกับช่วยรูดซิบเสื้อขึ้น
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากๆ ใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจของฝ่ายตรงข้าม ต้วนอีเหยาเงยหน้าขึ้นมาก็ได้สบสายตากับเย่จิงเหยียนพอดี หน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นทีละน้อย เธอพยายามควบคุมลมหายใจและความตื่นเต้นของเธอ “พวกเราออกไปกันเถอะ”
เย่จิงเหยียนไม่พูดไม่จาอะไรเอาแต่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอสวมกระโปรงแบบนี้แล้วชั่งดูงดงามมากจริงๆ
ที่ปลายจมูกของเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมมาจากตัวของเธอ เย่จิงเหยียนไม่มีเวลาคิดมาก เขาก้มหน้าลงละจูบลงที่ริมฝีปากของต้วนอีเหยา
“อืม……”
ทันใดนั้นการจู่โจมที่กะทันหันของเขาทำให้ต้วนอีเหยาตั้งรับไม่ทัน มีเสียงเอ๊ะขึ้นมาหนึ่งครั้ง จากนั้นต้วนอีเหยาก็ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ของเขา
บรรยากาศในห้องลองเสื้อที่มีแสงสลัวๆเล็กน้อย และอุณภูมิที่ด้านในของห้องก็ร้อนขึ้นอย่างกะทันหัน ต้วนอีเหยารู้สึกเพียงว่าทั้งร่างกายของเธอมีความเมื่อยล้าและอ่อนแรง ใช้แรงทั้งหมดที่เธอมีจับไปที่ไหล่ของเย่จิงเหยียน เพื่อทรงตัวไม่ให้ล้มลงกับพื้น
ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่ ในหัวของต้วนอีเหยารู้สึกมึนๆ เธอรู้สึกหายใจไม่ออก จึงรีบเอามือผลักเย่จิงเหยียนออกไป
เย่จิงเหยียนที่กำลังจูบกับเธออย่างแบบดูดดื่ม ไม่ทันระวัง ด้านหลังของเขาชนเข้ากับผนักของห้องลองเสื้ออย่างจัง
เขาค่อยๆลูบๆคลำๆไปที่แผ่นหลังของตัวเอง พร้อมกับขมวดคิ้ว“เป็นอะไรไปหรอ อีเหยา?”
“……”ต้วนอีเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง และไม่ตอบคำถามของเย่จิงเหยียน
ด้านหน้าประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น ไม่รู้ว่าพนักงานเดินเข้ามาตอนไหน“คุณผู้หญิงค่ะ ไม่ทราบว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหรือยัง?”
ต้วนอีเหยาพึ่งจะสงบจิตใจลงได้ รนรานกระโดดไปมาอย่างร้อนใจ หันกับมาเห็นเย่จิงเหยียนช่วยพะยุงชุดของเธออยู่ทางด้านข้าง “เฮ้ย……จะทำยังไงดี?”
“ออกไปกันเถอะ”เย่จิงเหยียนพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างอบอุ่น
“นี่นาย……”
หากว่าพวกเขาออกไปทั้งอย่างนี้ พวกเราต้องถูกเธอเห็นเข้าอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าไม่อธิบายให้เธอเข้าใจล่ะก็ อาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดและมองตัวเธอแปลกไปก็ได้
เย่จิงเหยียนเอียงศีรษะพร้อมกับมองไปที่เธอ “มีอะไรไม่สบายใจอย่างนั้นหรอ?หรือว่าไม่ใช่?”
“แน่นอน……”ว่าไม่ใช่!
พวกเขาแค่จูบกัน ไม่ได้ทำเรื่องอะไรเกินเลยไปกว่านั้นซะหน่อย !
แน่นอนว่าเย่จิงเหยียนพอจะเดาออกว่าเธอกำลังคิดอะไร “การจูบกันก็เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่ไหม!”
“นั่นก็……”ต้วนอีเหยาพูดไม่ออก“แต่คุณก็ช่วยคิดหาวิธีหน่อยสิ!”
ทางด้านนอกพนักงานเอียงหูฟังไปพร้อมกับขมวดคิ้ว ประจวบเหมาะกับที่ผู้จัดการของร้านเดินเข้ามา เธอจึงรีบบอกกับผู้จัดการว่า“ในห้องลองเสื้อดูเหมือนว่าจะมีแขกสองท่าน!”
ผู้จัดการมองเข้าไปในห้องลองเสื้ออย่างระมัดระวัง “เป็นไปได้ยังไง?”
“เพราะของจำนวนมาก รถเข็นคันเดียวใส่ของไม่พอ ฉันเลยเดินไปเอารถเข็นมาอีกคัน แต่ตอนกลับมาคุณผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงนี้กลับหายตัวไปแล้ว เมื่อกี้ที่ฉันเดินมาเคาะประตู รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงคนคุยกับอยู่ทางด้านใน”
เมื่อผู้จัดการร้านได้ยินก็เดินไปทางห้องลองเสื้อ จากนั้นก็เคาะประตูสามที“คุณผู้หญิง คุณอยู่ด้านในหรือเปล่า?”
“อือ?ฉันอยู่ด้านใน!”ต้วนอีเหยาได้ยินเสียงของคนแปลกหน้าดังขึ้นมาอีกหนึ่งเสียง ยิ่งรู้สึกหนักใจเข้าไปอีก
“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?ต้องการให้ฉันเข้าไปช่วยไหม?”
“ไม่……ไม่ต้องหรอก!”
ต้วนอีเหยาตอบกับมาทันที เธอมองดูเย่จิงเหยียนที่ไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย พร้อมกับพูดเสียงต่ำว่า“นายอย่ายืนอยู่แบบนี้สิ รีบคิดหาวิธีเข้าสิ!”
เย่จิงเหยียนจึงเริ่มขยับเท้าก้าวออกมา “ฉันก็พูดไปแล้วว่าเราออกไปกันเถอะ หากว่ายังคงยืนทำท่าทางมึนๆงงๆแบบนี้ คิดว่าอีกไม่นานพนักงานทั้งหมดในร้านก็คงมายืนรุมรออยู่ที่หน้าประตูแน่”
ต้วนอีเหยาคิดอยู่สักครู่ มันอาจเป็นไปได้ เธอเชอะออกมาอย่างเย็นชาหนึ่งครั้ง“เป็นเพราะนาย!”
เย่จิงเหยียนไม่ออกความเห็นอะไร รอให้เธอเป็นคนตัดสินใจ
“นาย……นายออกไปซะ!”ต้วนอีเหยาพูดหนึ่งประโยคออกมาอย่างรวดเร็ว
เย่จิงเหยียนไม่ทันรอให้เธอรู้สึกตัว เขาก็ยื่นมือออกไปเปิดประตูทันที
“รอเดี๋ยว!”
สองคนที่อยู่ทางด้านนอกรู้สึกประหลาดใจ รออะไรล่ะ?หรือว่าพวกเธอสามารถมองทะลุเข้าไปด้านในและเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่!
เหตการณ์ในห้องลองเสื้อ เย่จิงเหยียนรู้จำใจจึงถามกลับไปว่า“อะไรอีล่ะ?”
“ออกไปแล้วนายจะพูดว่าอะไรล่ะ?”
“ก็พูดความจริงไงล่ะ!”
ต้วนอีเหยาถลึงตาโต“จะพูดแบบนั้นได้ยังไง เข้ามารูดซิบเสื้อจะเข้ามานานขนาดนั้นเลยหรอ!”
“แต่หากว่าเธอยังไม่ให้ฉันออกไปอีกล่ะก็ ไม่แน่ว่าคนอาจจะเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ก็ได้!”
ต้วนอีเหยารู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่นๆ เธอหลับตาลง“นายออกไปสิ!”
เย่จิงเหยียนพยักหน้า ครั้งนี้ไม่มีเสียงของเธอเรียกเขาไว้แล้ว เขาเปิดประตูอย่างรวดเร็วและเดินออกไปจากห้องลองเสื้อ
สองคนที่อยู่ทางด้านนอกเห็นผู้ชายเดินออกมา ก็ยืนนแข็งทื่อราวกับต้นไม้ จากนั้นต้วนอีเหยาก็ค่อยๆเดินออกมา พวกเขาทั้งสองมองสบตากันหนึ่งครั้ง และพอจะเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เธอมองเห็นสายตาที่พวกเขามองมามี่เธอด้วยความประหลาดใจ จึงรีบพูดขึ้นว่า“ซิบหลังของชุดๆนี้มันรูดยาก ฉันรูดไม่ขึ้น……”
คิดว่าเธอไม่อธิบายจะเป็นการดีกว่า ทันทีที่เธอแก้ตัวออกมาสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ และยิ่งพนักงานกับผู้จัดการแน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาคิดมันอาจจะเป็นไปได้
พนักงานมีไวพริบที่ชาญฉลาด เธอรีบวิ่งเข้ามาแก้ไขสถานะการณ์ “เมื่อครู่นี้ฉันพึ่งไปเอารถเข็นมาอีกคัน จึงได้มาไม่ทัน ยังดีที่คุณผู้ชายนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นคุณผู้หญิงคงรอนานแน่ !”
“เหอะๆ……ใช่……ใช่ค่ะ”ต้วนเออออและยิ้มอย่างมึนๆ
จากนั้นพนักงานก็พูดอีกหนึ่งประโยคหนึ่ง เห็นต้วนอีเหยาไม่มีการตอบสนองจึง ค่อยๆเงียบลง
ต้วนอีเหยาเอาแต่มองไปทางซ้ายทีขาวที เธอกำลังมองว่ามีใครมองเธอด้วยสายตาแปลกๆไหม แต่แม้ว่าเธอจะมองก็ไม่ออกว่าคนอื่นมีท่าทางที่แปลก แต่เธอรู้ดีว่าพวกเขาคงคิดอะไรที่ไม่ดีอยู่แน่
“พวกเราไปกันเถอะ”ต้วนอีเหยาโน้มตัวเขาไปพูดที่ข้างหูของเย่จิงเหยียน
ตอนนี้เธอต้องการที่อยากจะออกไปจากตรงนี้ เป็นแบบนี้แล้วใครมันจะยังมีอารมณ์มาเดินซื้อของอีก
เย่จิงเหยียนเห็นเธอเดินก้าวออกมาจากประตูทีละก้าวๆด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสบายใจ จึงพยัก “อย่างนั้นต้องจ่ายตังค์ก่อน”
“โอ”
มาถึงตอนนี้ต้วนอีเหยาก็ยังไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง และยิ่งตอนที่เดินมาถึงเคาวท์เตอร์คิดเงิน เธอถึงกลับต้องตั้งใจฟังดีๆว่า มีใครมองหรือกำลังนินทาเธออยู่ไหม
“คุณผู้ชาย ทั้งหมดห้าหมื่นเจ็ดพันหยวนค่ะ รบกวนสอบถามว่าต้องการรูดบัตรไหมค่ะ?”
“อืม”เย่จิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นก็ส่งบัตรให้พนักงาน
เมื่อพนักงานเอาของใส่ถุงเสร็จ ต้วนอีเหยาถึงกลับถอนหายใจด้วยความโล่ง เธอเดินตามเย่จิงเหยียนออกจากประตูของร้าน มือไม้ของเย่จิงเหยียนถือถุงเล็กถุงน้อยเต็มไปหมด เวลาเดินก็แถบจะมองไม่เห็นขาของเขาแล้ว
“แบ่งให้ฉันถือบ้างก็ได้!”
ต้วนอีเหยารีบยื่นมือออกไปหยิบของ แต่ก็ถูกเย่จิงเหยียนปฏิเสธ“ฉันถือก็ดีอยู่แล้ว เธอเดินระวังหน่อย”
ต้วนอีเหยาชักมือของธอกลับไป จากนั้นก็เชิดหน้าใส่เขาทันที เวลานี้ต้วนอีเหยาแอบมองกลับไปที่ประตูหน้าร้าน เธอเห็นพนักงานค่อยๆมารวมตัวกัน ทันใดนั้นเธอก็อดกังวลใจไม่ได้
หรือว่าพวกเขาจะกำลังพูดถึงเรื่องเมื่อกี้อยู่นะ ?โอ้ย……รู้สึกขายหน้าชะมัดเลย!
……
ห้องทำงานของประธานอี้ซื่อ
อี้เทียนเฉิงยังคงก้มหน้าดูเอกสารอยู่ เลขาก็ยืนอยู่ตรงด้านข้างของเขาและคอยส่งเอกสารให้เขาแฟ้มแล้วแฟ้มเล่า
“ยังเหลืออีกเท่าไหร่?”อี้เทียนเฉิงปาดเหงื่อพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาถามเลขาที่ยืนทางด้านข้าง
เลขาชี้ไปทางกองเอกสารที่กองรวมกันเป็นภูเขา“ก็เหลือแค่นี้ค่ะ”
อี้เทียนเฉิงค่อยๆทอดสายตามองไปตามมือของเลขา และอดที่จะท้อใจไม่ได้ อะไรคือแค่นี้?กองแค่นี้ของเธอ สามวันก็ไม่รู้ว่าจะทำเสร็จไหม!
เขาเอามือก่ายไปที่หน้าผาก จากนั้นก็ค่อยๆนวดและนวด“เรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว?”
อี้เทียนเฉิงถามขึ้นมาลอยๆ มีแต่คนในบริษัทที่รู้ว่าให้ความสนใจเขาในเรื่องอะไรเป็นสิ่งสำคัญ
เลขาคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง“เหมือนว่าจะยังไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ได้ยินมาว่าเธอเชิญสถาปนิกที่มีชื่อเสียคนหนึ่ง มาวางแผนออกแบบใหม่”
อี้เทียนเฉิงแสยะยิ้ม เขาคิดในใจว่า ต่อให้เธอเชิญคนมีชื่อเสียงมาสักกี่คนก็ไม่มีประโยชน์!
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นเลขากำลังมองเขาด้วยสายตาที่แปลๆ เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังขาดสติ เขาก็ทำเป็นแกล้งไอเพื่อกลบเกลื่อน
“เอ่อ……นั่งทำงานเป็นเวลานานแล้ว ขยับๆผ่อนคลายใบหน้าสักหน่อย”
เลขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา“ ฉันก็นึกว่าท่านประธานรู้วิธีที่จะรับมือกับเธอได้แล้วซะอีก!”
“ฉันก็อยากคิดออกนะ……แต่ตอนนี้สมองของฉันมันรวนไปหมดแล้ว”
อี้เทียนเฉินนอนเอาหัวซบลงไปกับกองเอกสาร อ่านมาทั้งวันแล้วแต่ก็ไม่เข้าสมองเลย เย่จิงเหยียนบอกว่าในบริษัทมีหนอนบ่อนใส้ แต่เป็นใครพวกเขาก็ยังไม่รู้ ศัตรู่อยู่ในที่มืด ฉันอยู่ในที่แจ้ง บัญชีแค้นทำได้เพียงแค่เก็บเอาไว้ภายในใจ หาคนที่ปรึกษาสักคนยังไม่ได้ !
เย่จิงเหยียนคนลืมเพื่อนหลงแฟนคนนั้น ว่าแต่ต้วนอีเหยาเอ่ยปากพูดอะไรหน่อย ก็รีบแจ้นไปหาเธอซะแล้ว โทรไปก็ไม่รับสาย หายไปซะดื้อๆ ตอนนี้อยากจะปรึกษาก็หาตัวไม่พบ!
“ใช่แล้วท่านประธาน เมื่อกี้รู้สึกว่าจะมีคนมาส่งพัสดุถึงคุณ ฉันเกือบจะลืมไปเลย เดี๋ยวฉันจะไปหยิบมาให้นะคะ?
เย่จิงเหยียน?
เป็นไปไม่ได้!หากว่าเย่จิงเหยียนเป็นคนส่งให้เขาจริงๆล่ะก็ อยู่ใกล้กันแค่นี้ ทำไมถึงได้ให้คนเอามาให้ด้วยล่ะ!
ตอนที่เขากำลังคิดอยู่นี้ พัสดุได้อยู่ในมือของเลขาและเธอกำลังจะผลักประตูห้องทำงานของเขาเข้ามาแล้ว พลัดุชิ้นใหญ่บังจนแถบมองไม่เห็นหน้าของเลขา
“ท่านประธาน พัสดุชิ้นนี้ไง!”เลขายกพัสดุวางลงที่โต๊ะทำงานของเขา แต่เป็นเพราะว่าเอกสารมีวางเต็มไปหมด จึงว่าวางได้เพียงแค่ครึ่งเดียว
เธอทำได้แค่ว่างมันลงไปที่พื้น อี้เทียนเฉิงถือโอกาสยืนขึ้นยืดเส้นยืดสาย จากนั้นก็เดินเข้าไปดูอย่างกล่องอย่างละเอียด บนกล่องห่ออย่างแน่นหนา ดูเหมือนว่าคงจะใช้เทปห่อจนหมดม้วน เขาเดินสำรวจอยู่หนึ่งรอบ จากนั้นอี้เทียนเฉินก็คิดฉุดขึ้นมา
ใหญ่ขนาดนี้ คงไม่ใช่ระเบิดหรอกนะ?
เขาค่อยๆเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆ จากนั้นก็คลำๆไปบนกล่องและลองแกะเทปกาวออก แต่ว่าเทปกาวห่ออย่างแน่นและหลายชั้นเกินไป เขาไม่รู้ว่าจะแกะมันยังไง
อี้เทียนเฉิงจนปัญญา เขารู้ว่าการแกะเทปกาวออกคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นจึงได้หันกลับไปพูดกับเลขาว่า“ช่วยไปหยิบมีดมาให้ฉันหน่อย”
เลขาขานรับ จากนั้นก็หันหลังกลับออกไปและไม่นานก็ถือมีดเขามา
อี้เทียนเฉินรับมีดจากเธอ จากนั้นก็ค่อยๆใช้มีดกรีดไปรอบๆกล่อง เมื่อกล่องถูกกรีดปากกล่องก็ค่อยๆอ้าออกทีละน้อยๆ
“เธอถอยไปก่อน”อีเทียนเฉิงมองไปที่เลขาของเขา ไม่รู้ว่าของในกล่องจะเป็นอะไร เขาต้องแน่ใจซะก่อนว่ามันจะไม่เป็นอันตรายกับคนอื่น ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเกิดอยากทำเรื่องบ้าๆอะไรขึ้นมา!
เลขาไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยอมถอยหลังไปสองก้าว สายตาของเธอจ้องไปที่อี้เทียนเฉินไม่ขยับ
อี้เทียนเฉิงหลับตาและเปิดกล่องออก จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมามอง เมื่อเห็นของในกล่องเขาถึงกลับชะงัก
ในกล่องไปมีเสียงอะไรเลย ไม่ใช่เสียงระเบิดอย่างที่เขาคิด มีเพียงแค่กล้องถ่ายรูปหนึ่งตัวที่นอนอยู่ที่ก้นของกล่อง
อี้เทียนเฉินถึงกลับพูดอะไรไม่ออก กล่องใหญ่ขนานนี้ใส่กล้องมาตัวเดียว ชั่งสิ้นเปลืองทรัพยากรณ์จริง!เขาค่อยๆยกกล้องตัวนั้นขึ้นมา
อี้เทียนเฉิงขมวดคิ้วพร้อมกับเปิดกล้องขึ้น ยิ่งมองกล้องตัวนี้เขายิ่งเกิดความสงสัย
เมื่อเปิดกล้องขึ้น ภาพในกล้องก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นมา อี้เทียนเฉิงรู้สึกช็อก ภาพในกล้องเป็นรูปพ่อของเขา เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันพิเศษอะไร แต่เมื่อเห็นรอบๆตัวของเขาถูกมัดเอาไว้ และที่ปากยังมีผ้าขาวผูกปิดปากอยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านประธาน?”เลขามองเห็นเขาไม่พูดไม่จาจึงเดินเข้าไปดูกล้องที่อยู่ในมือของเขา
“นี่……”เลขารู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
อี้เทียนเฉิงวางกล้องและหันหลังกลับไปด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ“คนที่เอาพัสดุนี้มาส่งให้เธอเขาได้พูดอะไรกับเธอไหม?”
“ไม่ได้พูดอะไรค่ะ”
เลขาค่อยๆนึก“ไม่ใช่สิ รู้สึกว่า……รู้สึกว่าจะพูดอะไรสักประโยคหนึ่ง”
“อะไร?”อี้เทียนเฉิงจับไปที่ไหล่ของเธอ ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก
“ท่านประธาน ฉัน……ฉัน……”
“รีบพูดออกมาสิ!”
“เหมือนจะพูดว่าให้คุณวางมือจากเรื่องที่คุณจะทำซะ”
ตาของอี้เทียนเฉิงแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันก็คิดว่าเขาต้องการให้คุณพักพักผ่อนจากการตรวจเอกสารพวกนี้ แล้วมาดูพัสดุ……”
หลังจากที่อี้เทียนเฉินมองเห็นบริเวณหน้าผากและคิ้วของเธอมีเหงื่อซึมออกมาจึงได้เปล่อยมือที่จับไหล่ของเธอ
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
คุณพ่อก็ไม่ใช่ว่าอยู่ที่คฤหาสน์หรอกหรอ แน่นอนว่าในคฤหาสน์คนธรรมดาจะเข้าออกไม่ได้ หลู่ฉีก็ได้หย่ากับคุณพ่อไปแล้ว รหัสทางด้านในก็เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว แล้วเธอจะเข้าไปได้ยังไงกัน ?
เขารู้สึกสับสนไปหมด เรื่องหาตัวหนอนบ่อนใส้ในบริษัทก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ!
……
“ฮาโหล?”
เย่จิงเหยียนนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนที่นอน เขารับสายโทรศัพท์จากอี้เทียนเฉิงพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าหากปลายสายเป็นอี้เทียนเฉิง มันต้องไม่มีเรื่องดีแน่ๆ!
“พ่อของฉันถูกจับตัวไปแล้ว!”
ครั้งนี้อี้เทียนเฉินไม่พูดพร่ำเหมือนครั้งก่อน ทันทีที่เย่จิงเหยียนรับสายเขาก็พูดสถานการณ์ตอนนี้ออกมาทันที
“นายว่าไง?”
“ลองดูเถอะ”เย่จิงเหยียนว่างมือค้ำลงไปทางด้านหลังพร้อมกับนั่งลงบนโซฟา จากนั้นก็ชี้ไปที่ราวแขนเสื้อทางด้านข้าง “เสื้อผ้าที่อยู่ตรงนี้เธอลองสวมดูสักรอบ”
ต้วนอีเหยามีท่าทีประหลาดใจ“นายแน่ใจนะว่าทั้งหมดนี้?”
ทั้งราวมีเสื้อแขวนอยู่เกือบยี่สิบชุด หากว่าให้เธอลองทุกชุด คงจะต้องเหนื่อยก่อนแน่!
เย่จิงเหยียนมองดูเธอ รู้ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเธอคงจะต้องเสียแรงมาก เขาจึงลุกขึ้นจากนั่งและเดินมาเลือกเสื้อผ้าในแบบที่เขาชอบมาสองสามชุดส่งให้เธอ
ต้วนอีเหยาเดินเข้ามาหยิบเสื้อผ้าจากเขาด้วยท่าทีที่ลังเล ชุดพวกนี้ล้วนแต่เป็นชุดกระโปรง เธอไม่เคยลืมความอืดอัดใจในครั้งก่อนที่เธอสวมกระโปรง
แต่ว่าชุดกระโปรงที่เขาเลือกมาเป็นกระโปรงยาวเกือบเท่าตาตุ่ม เธอยังสามารถจะเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ ครั้งก่อนต้องที่ฝึกหัดร่างกาย เย่จิงเหยียนก็เลือกเสื้อผ้าให้เธออย่างเหมาะสม เสื้อเป็นแขนแบบห้าส่วน
ต้วนอีเหยาหยิบเสื้อผ้าและเดินเข้าไปในห้องลองเสื้อ แต่ตอนที่ทำการเปลี่ยนชุดไม่มีคนมาช่วยเธอรูดซิบที่ด้านหลัง เธอจึงเปิดประตูออกมา เธอไม่เห็นพนักงานอยู่ที่นี่
“ทำไมหรอ?”เย่จิงเหยียนกำลังเงยหน้าขึ้นมาพอดี เขาเห็นต้วนอีเหยาโผล่หน้าออกมาจากประตู จึงขมวดคิ้วถามเธอ
“คือว่า……”ต้วนอีเหยายืนอยู่ที่ประตูอย่างลังเลใจ เย่จิงเหยียนไม่รอคำตอบจากเธอแล้ว เขาลุกจากที่นั่งแล้วเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“นาย……นายอย่าเข้ามานะ!”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว “เป็นอะไรอย่างนั้นหรอ?”
เธอห้ามเขาไม่ให้เข้ามา แต่เมื่อเธอเห็นเขาแบบนี้แล้ว ให้ความรู้สึกราวกับว่าสัตว์ดุร้ากำลังจะเข้ามาจัดการเหยื่อ
“ไม่เป็นไร นายไปเรียกพนักงานข้ามาหน่อย!”
ทันใดนั้นเย่จิงเหยียนก็พูดเสียงดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว“ให้ฉันดูหน่อย”
ตอนแรกต้วนอีเหยากะว่าจะปิดประตูใส่เขา แต่เขาก็เดินมาถึงตรงหน้าของเธอก่อนและง้างประตูออก เห็นเขาแบบนี้เธอจึงรู้สึกเกรงใจและหันหลังให้กับเขา
“นายช่วยรูดซิบด้านหลังให้ฉันหน่อยสิ”
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เนียนนุ่มของเธออยู่ตรงหน้า มือที่กำลังรูดซิบของเขาถึงกลับชะงัก เขาเคลิ้มไป “เรื่องแค่นี้?”
“ใช่สิ!”ต้วนอีเหยาที่ยืนอยู่นิ่งๆ พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เมื่อกี้เธอมีความรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่เห็นเย่จิงเหยียนมีท่าทีแบบนี้เธอก็ไม่รู้สึกเขินอายอีกต่อไป ตอนนี้คนที่ทำอะไรไม่ถูกน้าจะเป็นเย่จิงเหยียนซะมากกว่า
เขาส่ายหน้าไปมาพร้อมกับช่วยรูดซิบเสื้อขึ้น
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากๆ ใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจของฝ่ายตรงข้าม ต้วนอีเหยาเงยหน้าขึ้นมาก็ได้สบสายตากับเย่จิงเหยียนพอดี หน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นทีละน้อย เธอพยายามควบคุมลมหายใจและความตื่นเต้นของเธอ “พวกเราออกไปกันเถอะ”
เย่จิงเหยียนไม่พูดไม่จาอะไรเอาแต่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอสวมกระโปรงแบบนี้แล้วชั่งดูงดงามมากจริงๆ
ที่ปลายจมูกของเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมมาจากตัวของเธอ เย่จิงเหยียนไม่มีเวลาคิดมาก เขาก้มหน้าลงละจูบลงที่ริมฝีปากของต้วนอีเหยา
“อืม……”
ทันใดนั้นการจู่โจมที่กะทันหันของเขาทำให้ต้วนอีเหยาตั้งรับไม่ทัน มีเสียงเอ๊ะขึ้นมาหนึ่งครั้ง จากนั้นต้วนอีเหยาก็ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ของเขา
บรรยากาศในห้องลองเสื้อที่มีแสงสลัวๆเล็กน้อย และอุณภูมิที่ด้านในของห้องก็ร้อนขึ้นอย่างกะทันหัน ต้วนอีเหยารู้สึกเพียงว่าทั้งร่างกายของเธอมีความเมื่อยล้าและอ่อนแรง ใช้แรงทั้งหมดที่เธอมีจับไปที่ไหล่ของเย่จิงเหยียน เพื่อทรงตัวไม่ให้ล้มลงกับพื้น
ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่ ในหัวของต้วนอีเหยารู้สึกมึนๆ เธอรู้สึกหายใจไม่ออก จึงรีบเอามือผลักเย่จิงเหยียนออกไป
เย่จิงเหยียนที่กำลังจูบกับเธออย่างแบบดูดดื่ม ไม่ทันระวัง ด้านหลังของเขาชนเข้ากับผนักของห้องลองเสื้ออย่างจัง
เขาค่อยๆลูบๆคลำๆไปที่แผ่นหลังของตัวเอง พร้อมกับขมวดคิ้ว“เป็นอะไรไปหรอ อีเหยา?”
“……”ต้วนอีเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง และไม่ตอบคำถามของเย่จิงเหยียน
ด้านหน้าประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น ไม่รู้ว่าพนักงานเดินเข้ามาตอนไหน“คุณผู้หญิงค่ะ ไม่ทราบว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหรือยัง?”
ต้วนอีเหยาพึ่งจะสงบจิตใจลงได้ รนรานกระโดดไปมาอย่างร้อนใจ หันกับมาเห็นเย่จิงเหยียนช่วยพะยุงชุดของเธออยู่ทางด้านข้าง “เฮ้ย……จะทำยังไงดี?”
“ออกไปกันเถอะ”เย่จิงเหยียนพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างอบอุ่น
“นี่นาย……”
หากว่าพวกเขาออกไปทั้งอย่างนี้ พวกเราต้องถูกเธอเห็นเข้าอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าไม่อธิบายให้เธอเข้าใจล่ะก็ อาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดและมองตัวเธอแปลกไปก็ได้
เย่จิงเหยียนเอียงศีรษะพร้อมกับมองไปที่เธอ “มีอะไรไม่สบายใจอย่างนั้นหรอ?หรือว่าไม่ใช่?”
“แน่นอน……”ว่าไม่ใช่!
พวกเขาแค่จูบกัน ไม่ได้ทำเรื่องอะไรเกินเลยไปกว่านั้นซะหน่อย !
แน่นอนว่าเย่จิงเหยียนพอจะเดาออกว่าเธอกำลังคิดอะไร “การจูบกันก็เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่ไหม!”
“นั่นก็……”ต้วนอีเหยาพูดไม่ออก“แต่คุณก็ช่วยคิดหาวิธีหน่อยสิ!”
ทางด้านนอกพนักงานเอียงหูฟังไปพร้อมกับขมวดคิ้ว ประจวบเหมาะกับที่ผู้จัดการของร้านเดินเข้ามา เธอจึงรีบบอกกับผู้จัดการว่า“ในห้องลองเสื้อดูเหมือนว่าจะมีแขกสองท่าน!”
ผู้จัดการมองเข้าไปในห้องลองเสื้ออย่างระมัดระวัง “เป็นไปได้ยังไง?”
“เพราะของจำนวนมาก รถเข็นคันเดียวใส่ของไม่พอ ฉันเลยเดินไปเอารถเข็นมาอีกคัน แต่ตอนกลับมาคุณผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงนี้กลับหายตัวไปแล้ว เมื่อกี้ที่ฉันเดินมาเคาะประตู รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงคนคุยกับอยู่ทางด้านใน”
เมื่อผู้จัดการร้านได้ยินก็เดินไปทางห้องลองเสื้อ จากนั้นก็เคาะประตูสามที“คุณผู้หญิง คุณอยู่ด้านในหรือเปล่า?”
“อือ?ฉันอยู่ด้านใน!”ต้วนอีเหยาได้ยินเสียงของคนแปลกหน้าดังขึ้นมาอีกหนึ่งเสียง ยิ่งรู้สึกหนักใจเข้าไปอีก
“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?ต้องการให้ฉันเข้าไปช่วยไหม?”
“ไม่……ไม่ต้องหรอก!”
ต้วนอีเหยาตอบกับมาทันที เธอมองดูเย่จิงเหยียนที่ไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย พร้อมกับพูดเสียงต่ำว่า“นายอย่ายืนอยู่แบบนี้สิ รีบคิดหาวิธีเข้าสิ!”
เย่จิงเหยียนจึงเริ่มขยับเท้าก้าวออกมา “ฉันก็พูดไปแล้วว่าเราออกไปกันเถอะ หากว่ายังคงยืนทำท่าทางมึนๆงงๆแบบนี้ คิดว่าอีกไม่นานพนักงานทั้งหมดในร้านก็คงมายืนรุมรออยู่ที่หน้าประตูแน่”
ต้วนอีเหยาคิดอยู่สักครู่ มันอาจเป็นไปได้ เธอเชอะออกมาอย่างเย็นชาหนึ่งครั้ง“เป็นเพราะนาย!”
เย่จิงเหยียนไม่ออกความเห็นอะไร รอให้เธอเป็นคนตัดสินใจ
“นาย……นายออกไปซะ!”ต้วนอีเหยาพูดหนึ่งประโยคออกมาอย่างรวดเร็ว
เย่จิงเหยียนไม่ทันรอให้เธอรู้สึกตัว เขาก็ยื่นมือออกไปเปิดประตูทันที
“รอเดี๋ยว!”
สองคนที่อยู่ทางด้านนอกรู้สึกประหลาดใจ รออะไรล่ะ?หรือว่าพวกเธอสามารถมองทะลุเข้าไปด้านในและเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่!
เหตการณ์ในห้องลองเสื้อ เย่จิงเหยียนรู้จำใจจึงถามกลับไปว่า“อะไรอีล่ะ?”
“ออกไปแล้วนายจะพูดว่าอะไรล่ะ?”
“ก็พูดความจริงไงล่ะ!”
ต้วนอีเหยาถลึงตาโต“จะพูดแบบนั้นได้ยังไง เข้ามารูดซิบเสื้อจะเข้ามานานขนาดนั้นเลยหรอ!”
“แต่หากว่าเธอยังไม่ให้ฉันออกไปอีกล่ะก็ ไม่แน่ว่าคนอาจจะเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ก็ได้!”
ต้วนอีเหยารู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่นๆ เธอหลับตาลง“นายออกไปสิ!”
เย่จิงเหยียนพยักหน้า ครั้งนี้ไม่มีเสียงของเธอเรียกเขาไว้แล้ว เขาเปิดประตูอย่างรวดเร็วและเดินออกไปจากห้องลองเสื้อ
สองคนที่อยู่ทางด้านนอกเห็นผู้ชายเดินออกมา ก็ยืนนแข็งทื่อราวกับต้นไม้ จากนั้นต้วนอีเหยาก็ค่อยๆเดินออกมา พวกเขาทั้งสองมองสบตากันหนึ่งครั้ง และพอจะเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เธอมองเห็นสายตาที่พวกเขามองมามี่เธอด้วยความประหลาดใจ จึงรีบพูดขึ้นว่า“ซิบหลังของชุดๆนี้มันรูดยาก ฉันรูดไม่ขึ้น……”
คิดว่าเธอไม่อธิบายจะเป็นการดีกว่า ทันทีที่เธอแก้ตัวออกมาสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ และยิ่งพนักงานกับผู้จัดการแน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาคิดมันอาจจะเป็นไปได้
พนักงานมีไวพริบที่ชาญฉลาด เธอรีบวิ่งเข้ามาแก้ไขสถานะการณ์ “เมื่อครู่นี้ฉันพึ่งไปเอารถเข็นมาอีกคัน จึงได้มาไม่ทัน ยังดีที่คุณผู้ชายนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นคุณผู้หญิงคงรอนานแน่ !”
“เหอะๆ……ใช่……ใช่ค่ะ”ต้วนเออออและยิ้มอย่างมึนๆ
จากนั้นพนักงานก็พูดอีกหนึ่งประโยคหนึ่ง เห็นต้วนอีเหยาไม่มีการตอบสนองจึง ค่อยๆเงียบลง
ต้วนอีเหยาเอาแต่มองไปทางซ้ายทีขาวที เธอกำลังมองว่ามีใครมองเธอด้วยสายตาแปลกๆไหม แต่แม้ว่าเธอจะมองก็ไม่ออกว่าคนอื่นมีท่าทางที่แปลก แต่เธอรู้ดีว่าพวกเขาคงคิดอะไรที่ไม่ดีอยู่แน่
“พวกเราไปกันเถอะ”ต้วนอีเหยาโน้มตัวเขาไปพูดที่ข้างหูของเย่จิงเหยียน
ตอนนี้เธอต้องการที่อยากจะออกไปจากตรงนี้ เป็นแบบนี้แล้วใครมันจะยังมีอารมณ์มาเดินซื้อของอีก
เย่จิงเหยียนเห็นเธอเดินก้าวออกมาจากประตูทีละก้าวๆด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสบายใจ จึงพยัก “อย่างนั้นต้องจ่ายตังค์ก่อน”
“โอ”
มาถึงตอนนี้ต้วนอีเหยาก็ยังไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง และยิ่งตอนที่เดินมาถึงเคาวท์เตอร์คิดเงิน เธอถึงกลับต้องตั้งใจฟังดีๆว่า มีใครมองหรือกำลังนินทาเธออยู่ไหม
“คุณผู้ชาย ทั้งหมดห้าหมื่นเจ็ดพันหยวนค่ะ รบกวนสอบถามว่าต้องการรูดบัตรไหมค่ะ?”
“อืม”เย่จิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นก็ส่งบัตรให้พนักงาน
เมื่อพนักงานเอาของใส่ถุงเสร็จ ต้วนอีเหยาถึงกลับถอนหายใจด้วยความโล่ง เธอเดินตามเย่จิงเหยียนออกจากประตูของร้าน มือไม้ของเย่จิงเหยียนถือถุงเล็กถุงน้อยเต็มไปหมด เวลาเดินก็แถบจะมองไม่เห็นขาของเขาแล้ว
“แบ่งให้ฉันถือบ้างก็ได้!”
ต้วนอีเหยารีบยื่นมือออกไปหยิบของ แต่ก็ถูกเย่จิงเหยียนปฏิเสธ“ฉันถือก็ดีอยู่แล้ว เธอเดินระวังหน่อย”
ต้วนอีเหยาชักมือของธอกลับไป จากนั้นก็เชิดหน้าใส่เขาทันที เวลานี้ต้วนอีเหยาแอบมองกลับไปที่ประตูหน้าร้าน เธอเห็นพนักงานค่อยๆมารวมตัวกัน ทันใดนั้นเธอก็อดกังวลใจไม่ได้
หรือว่าพวกเขาจะกำลังพูดถึงเรื่องเมื่อกี้อยู่นะ ?โอ้ย……รู้สึกขายหน้าชะมัดเลย!
……
ห้องทำงานของประธานอี้ซื่อ
อี้เทียนเฉิงยังคงก้มหน้าดูเอกสารอยู่ เลขาก็ยืนอยู่ตรงด้านข้างของเขาและคอยส่งเอกสารให้เขาแฟ้มแล้วแฟ้มเล่า
“ยังเหลืออีกเท่าไหร่?”อี้เทียนเฉิงปาดเหงื่อพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาถามเลขาที่ยืนทางด้านข้าง
เลขาชี้ไปทางกองเอกสารที่กองรวมกันเป็นภูเขา“ก็เหลือแค่นี้ค่ะ”
อี้เทียนเฉิงค่อยๆทอดสายตามองไปตามมือของเลขา และอดที่จะท้อใจไม่ได้ อะไรคือแค่นี้?กองแค่นี้ของเธอ สามวันก็ไม่รู้ว่าจะทำเสร็จไหม!
เขาเอามือก่ายไปที่หน้าผาก จากนั้นก็ค่อยๆนวดและนวด“เรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว?”
อี้เทียนเฉิงถามขึ้นมาลอยๆ มีแต่คนในบริษัทที่รู้ว่าให้ความสนใจเขาในเรื่องอะไรเป็นสิ่งสำคัญ
เลขาคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง“เหมือนว่าจะยังไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ได้ยินมาว่าเธอเชิญสถาปนิกที่มีชื่อเสียคนหนึ่ง มาวางแผนออกแบบใหม่”
อี้เทียนเฉิงแสยะยิ้ม เขาคิดในใจว่า ต่อให้เธอเชิญคนมีชื่อเสียงมาสักกี่คนก็ไม่มีประโยชน์!
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นเลขากำลังมองเขาด้วยสายตาที่แปลๆ เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังขาดสติ เขาก็ทำเป็นแกล้งไอเพื่อกลบเกลื่อน
“เอ่อ……นั่งทำงานเป็นเวลานานแล้ว ขยับๆผ่อนคลายใบหน้าสักหน่อย”
เลขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา“ ฉันก็นึกว่าท่านประธานรู้วิธีที่จะรับมือกับเธอได้แล้วซะอีก!”
“ฉันก็อยากคิดออกนะ……แต่ตอนนี้สมองของฉันมันรวนไปหมดแล้ว”
อี้เทียนเฉินนอนเอาหัวซบลงไปกับกองเอกสาร อ่านมาทั้งวันแล้วแต่ก็ไม่เข้าสมองเลย เย่จิงเหยียนบอกว่าในบริษัทมีหนอนบ่อนใส้ แต่เป็นใครพวกเขาก็ยังไม่รู้ ศัตรู่อยู่ในที่มืด ฉันอยู่ในที่แจ้ง บัญชีแค้นทำได้เพียงแค่เก็บเอาไว้ภายในใจ หาคนที่ปรึกษาสักคนยังไม่ได้ !
เย่จิงเหยียนคนลืมเพื่อนหลงแฟนคนนั้น ว่าแต่ต้วนอีเหยาเอ่ยปากพูดอะไรหน่อย ก็รีบแจ้นไปหาเธอซะแล้ว โทรไปก็ไม่รับสาย หายไปซะดื้อๆ ตอนนี้อยากจะปรึกษาก็หาตัวไม่พบ!
“ใช่แล้วท่านประธาน เมื่อกี้รู้สึกว่าจะมีคนมาส่งพัสดุถึงคุณ ฉันเกือบจะลืมไปเลย เดี๋ยวฉันจะไปหยิบมาให้นะคะ?
เย่จิงเหยียน?
เป็นไปไม่ได้!หากว่าเย่จิงเหยียนเป็นคนส่งให้เขาจริงๆล่ะก็ อยู่ใกล้กันแค่นี้ ทำไมถึงได้ให้คนเอามาให้ด้วยล่ะ!
ตอนที่เขากำลังคิดอยู่นี้ พัสดุได้อยู่ในมือของเลขาและเธอกำลังจะผลักประตูห้องทำงานของเขาเข้ามาแล้ว พลัดุชิ้นใหญ่บังจนแถบมองไม่เห็นหน้าของเลขา
“ท่านประธาน พัสดุชิ้นนี้ไง!”เลขายกพัสดุวางลงที่โต๊ะทำงานของเขา แต่เป็นเพราะว่าเอกสารมีวางเต็มไปหมด จึงว่าวางได้เพียงแค่ครึ่งเดียว
เธอทำได้แค่ว่างมันลงไปที่พื้น อี้เทียนเฉิงถือโอกาสยืนขึ้นยืดเส้นยืดสาย จากนั้นก็เดินเข้าไปดูอย่างกล่องอย่างละเอียด บนกล่องห่ออย่างแน่นหนา ดูเหมือนว่าคงจะใช้เทปห่อจนหมดม้วน เขาเดินสำรวจอยู่หนึ่งรอบ จากนั้นอี้เทียนเฉินก็คิดฉุดขึ้นมา
ใหญ่ขนาดนี้ คงไม่ใช่ระเบิดหรอกนะ?
เขาค่อยๆเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆ จากนั้นก็คลำๆไปบนกล่องและลองแกะเทปกาวออก แต่ว่าเทปกาวห่ออย่างแน่นและหลายชั้นเกินไป เขาไม่รู้ว่าจะแกะมันยังไง
อี้เทียนเฉิงจนปัญญา เขารู้ว่าการแกะเทปกาวออกคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นจึงได้หันกลับไปพูดกับเลขาว่า“ช่วยไปหยิบมีดมาให้ฉันหน่อย”
เลขาขานรับ จากนั้นก็หันหลังกลับออกไปและไม่นานก็ถือมีดเขามา
อี้เทียนเฉินรับมีดจากเธอ จากนั้นก็ค่อยๆใช้มีดกรีดไปรอบๆกล่อง เมื่อกล่องถูกกรีดปากกล่องก็ค่อยๆอ้าออกทีละน้อยๆ
“เธอถอยไปก่อน”อีเทียนเฉิงมองไปที่เลขาของเขา ไม่รู้ว่าของในกล่องจะเป็นอะไร เขาต้องแน่ใจซะก่อนว่ามันจะไม่เป็นอันตรายกับคนอื่น ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเกิดอยากทำเรื่องบ้าๆอะไรขึ้นมา!
เลขาไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยอมถอยหลังไปสองก้าว สายตาของเธอจ้องไปที่อี้เทียนเฉินไม่ขยับ
อี้เทียนเฉิงหลับตาและเปิดกล่องออก จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมามอง เมื่อเห็นของในกล่องเขาถึงกลับชะงัก
ในกล่องไปมีเสียงอะไรเลย ไม่ใช่เสียงระเบิดอย่างที่เขาคิด มีเพียงแค่กล้องถ่ายรูปหนึ่งตัวที่นอนอยู่ที่ก้นของกล่อง
อี้เทียนเฉินถึงกลับพูดอะไรไม่ออก กล่องใหญ่ขนานนี้ใส่กล้องมาตัวเดียว ชั่งสิ้นเปลืองทรัพยากรณ์จริง!เขาค่อยๆยกกล้องตัวนั้นขึ้นมา
อี้เทียนเฉิงขมวดคิ้วพร้อมกับเปิดกล้องขึ้น ยิ่งมองกล้องตัวนี้เขายิ่งเกิดความสงสัย
เมื่อเปิดกล้องขึ้น ภาพในกล้องก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นมา อี้เทียนเฉิงรู้สึกช็อก ภาพในกล้องเป็นรูปพ่อของเขา เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันพิเศษอะไร แต่เมื่อเห็นรอบๆตัวของเขาถูกมัดเอาไว้ และที่ปากยังมีผ้าขาวผูกปิดปากอยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านประธาน?”เลขามองเห็นเขาไม่พูดไม่จาจึงเดินเข้าไปดูกล้องที่อยู่ในมือของเขา
“นี่……”เลขารู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
อี้เทียนเฉิงวางกล้องและหันหลังกลับไปด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ“คนที่เอาพัสดุนี้มาส่งให้เธอเขาได้พูดอะไรกับเธอไหม?”
“ไม่ได้พูดอะไรค่ะ”
เลขาค่อยๆนึก“ไม่ใช่สิ รู้สึกว่า……รู้สึกว่าจะพูดอะไรสักประโยคหนึ่ง”
“อะไร?”อี้เทียนเฉิงจับไปที่ไหล่ของเธอ ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก
“ท่านประธาน ฉัน……ฉัน……”
“รีบพูดออกมาสิ!”
“เหมือนจะพูดว่าให้คุณวางมือจากเรื่องที่คุณจะทำซะ”
ตาของอี้เทียนเฉิงแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันก็คิดว่าเขาต้องการให้คุณพักพักผ่อนจากการตรวจเอกสารพวกนี้ แล้วมาดูพัสดุ……”
หลังจากที่อี้เทียนเฉินมองเห็นบริเวณหน้าผากและคิ้วของเธอมีเหงื่อซึมออกมาจึงได้เปล่อยมือที่จับไหล่ของเธอ
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
คุณพ่อก็ไม่ใช่ว่าอยู่ที่คฤหาสน์หรอกหรอ แน่นอนว่าในคฤหาสน์คนธรรมดาจะเข้าออกไม่ได้ หลู่ฉีก็ได้หย่ากับคุณพ่อไปแล้ว รหัสทางด้านในก็เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว แล้วเธอจะเข้าไปได้ยังไงกัน ?
เขารู้สึกสับสนไปหมด เรื่องหาตัวหนอนบ่อนใส้ในบริษัทก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ!
……
“ฮาโหล?”
เย่จิงเหยียนนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนที่นอน เขารับสายโทรศัพท์จากอี้เทียนเฉิงพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าหากปลายสายเป็นอี้เทียนเฉิง มันต้องไม่มีเรื่องดีแน่ๆ!
“พ่อของฉันถูกจับตัวไปแล้ว!”
ครั้งนี้อี้เทียนเฉินไม่พูดพร่ำเหมือนครั้งก่อน ทันทีที่เย่จิงเหยียนรับสายเขาก็พูดสถานการณ์ตอนนี้ออกมาทันที