เย่จิงเหยียนนั่งตัวตรง “หรือว่าถูกผู้หญิงคนนั้นลักพาตัวไป?”
“ จินตนาการตอนนี้ ดูเหมือนจะใช่”
ทำให้เขาสับสนไปหมด เขาไม่คิดว่าใครจะได้ประโยชน์จากสิ่งนี้!
เย่จิงเหยียนวางหนังสือพิมพ์ลงในมืออย่างใจเย็น คิดในใจ เหมือนครั้งที่แล้วที่ต้วนอีเหยาถูกลักพาตัว เขาไม่ค่อยมีอะไรเกี่ยวข้องกับนายท่านอี้มากนัก แต่เขาก็ยังคิดวิธีที่จะช่วยเขายังไง
“แกพูดสิ!” อี้เทียนเฉิงที่กำลังคุยโทรศัพท์ก็หันมาทันที เขาไม่ได้ยินเสียงของเย่จิงเหยียน อดไม่ได้ที่จะสะกีด
“ งั้นก็หยุดก่อน”
“ แกพูดอะไร?” อี้เทียนเฉิงไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ถ้าหยุดหมายความว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ทำได้แค่รอให้เธอปล่อยนายท่านออกมา
ความรู้สึกของนายท่าน ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่เขาก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บมากเท่านั้น!
“ไม่ใช่หยุดจริงๆหรอก แกแค่กินให้อิ่มนอนให้พอ จับตาดูเธอไว้ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เย่จิงเหยียนมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาว่างเปล่า ถ้าเขาไม่ไปหาเขา เขาต้องทำอะไรลงไปแน่ๆ จะว่าไปแล้วบริษัทนี้น่าจะมีหนอนบ่อนไส้
อี้เทียนเฉิงได้ยินการเคลื่อนไหวที่ประตู รีบวางสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเลขาก็เปิดประตูเข้ามา
“ประธาน จะทำยังไงกับเอกสารพวกนี้ดี?”
อี้เทียนเฉิงลูบหน้าผากของเขาและโบกมือให้เอาไป “ต่อจากนี้ เอกสารอะไรก็ไม่ต้องเอามาให้ฉัน!”
“ประธาน…… ” เลขาตะลึง “แล้วบริษัทจะทำยังไงล่ะ?”
“นายท่านก็ถูกลักพาตัวไป จะมาอะไรกับบริษัทอีก!”
“แต่ว่า……”
“ไม่มีแต่ คุณออกไปก่อน!”
เลขาต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นว่าอี้เทียนเฉิงหลับตาลง เขาก็ทำได้เพียงแค่ปิดปาก
หลังจากที่อี้เทียนเฉิงรอให้เขาออกไป เขาก็หันศีรษะและจ้องไปที่ประตูอย่างครุ่นคิด เลขาอยู่กับนายท่านมายี่สิบกว่าปีและจริงใจมาตลอด เวลานี้ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เขาส่ายหัว เลขาเป็นคนขยันขันแข็งและไม่ยอมออกไปในช่วงวิกฤต ทำไมถึงมาสงสัยตัวเขาได้ บ้าไปแล้ว!
……
“ ตอนนี้เราจะทำยังไงดี?”
อี้เทียนเฉิงได้รับโทรศัพท์จากเย่จิงเหยียนเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วและรีบออกจากบ้าน
ผมของเขายุ่งเหยิง ตั้งแต่เขารู้ว่านายท่านถูกลักพาตัว เขาก็ไม่เคยออกไปไหนอีกเลย กิจการของบริษัทได้ถูกมอบหมายให้กับผู้ถือหุ้นเก่าสองสามคน
เมื่อวานก็คิดถึงเรื่องพวกนี้ ก็เลยดื่มเบียร์สักหน่อย เมาจนตอนนี้ยังไม่ส่าง
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เห็นท่าทางของอี้เทียนเฉิงก็ไม่แปลกใจ “เกือบจะถึงแล้ว สองสามนี้ผู้หญิงคนนั้นต้องเริ่มลงมือทำอะไรแล้ว”
“พวกเราทำอะไรได้บ้าง?” อี้เทียนเฉิงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ถึงแม้จะรู้ส่าเธอกำลังจะลงมือ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องรับมือยังไง
“เราต้องหาตัวคนร้ายให้ได้ก่อนเธอ ไม่งั้นก็คงทำได้แค่นั่งดูอี้กรุ๊ปล้มละลาย!”
อี้เทียนเฉิงได้ยินว่าลงมือได้แล้ว เขาก็มีชีวิตชีวาขึ้น “ แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อ?”
“รอ”
“ รอ?” อี้เทียนเฉิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย ไหนบอกว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว? แล้วทำไมถึงยังให้รออีก?
“เมื่อสองวันก่อน ฉันได้ปล่อยข่าวออกไปแล้วบ้างว่าแกยังพอมีเงินอยู่ อี้กรุ๊ปไม่ล้มละลายง่ายๆแบบนี้หรอก”
“ คำโกหกที่เห็นชัดอยู่แล้ว พวกเขาจะเชื่อได้ยังไง?” อี้เทียนเฉิงไม่เชื่อว่าลู่ฉีจะโง่ขนาดนี้ อยู่กับนายท่านอี้มานานขนาดนี้ ต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีเงิน
เย่จิงเหยียนใช้นิ้วที่เรียวยาวของเขาดีดแก้ว “เรื่องนี้แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แค่ฉันพูดเบาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือปลอม พวกเขาก็เชื่อหมดนั่นแหละ”
อี้เทียนเฉิงเงียบ เขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะเชื่อไหม เขาแค่กลัวว่านายท่านอี้จะต้องทนทุกข์ทรมานจากเธอ สุขภาพของเขาก็ไม่ดี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น……
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อี้เทียนเฉิงก็รีบตัดบทความนี้ คิดในเวลานี้ถ้ามัวแค่คิดเรื่องพวกนี้จะทำให้เขาเสียสติเปล่าๆ เพราะงั้นคงทำได้แค่เย่จิงเหยียนจัดการต่อให้เสร็จ
หลังจากรอสักพักเย่จิงเหยียนก็ยังไม่พูด เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย “ แค่นี้เองหรอ?”
“แค่นี้แหละ”
อี้เทียนเฉิงมองเขาอย่างไม่เชื่อ “ ต่อให้พวกเขาจะเชื่อ แล้วพวกเราจะทำอะไรได้ จับตัวคนร้ายได้งั้นหรอ?”
“คนร้ายอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็พูดได้ว่าเขามีแผน อาจเป็นบริษัทนี้ แต่เมื่อเขารู้ว่าบริษัทนี้จะไม่ล้มละลาย ก็เลยคิดหาแผน…..”
เย่จิงเหยียนพูดและดื่มชา “เมื่อถึงเวลา เราก็แค่นั่งเฉยๆรอให้เหยื่อติดเบล็ดก็พอ!”
เขาพูดก็มีเหตุผล อี้เทียนเฉิงพยักหน้าและพูดว่า ” งั้นก็ทำตามที่แกบอกเลยละกัน!”
……
สามวันต่อมา
อี้เทียนเฉิงนั่งอยู่ห้องทำงานของประธานอีกครั้ง มีเย่จิงเหยียนนั่งอยู่ข้างๆ ต้วนอีเหยาไม่ได้มาด้วย
“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?” อี้เทียนเฉิงพูดต่อหน้าเลขาที่ยืนอยู่ข้างๆ
หลายวันมานี้เขาไม่ได้เข้าบริษัท ข่าวลือของเย่จิงเหยียนยิ่งอยู่ยิ่งแพร่ไปเรื่อยๆ ทำให้พนักงานในบริษัทมีกำลังใจขึ้น เวลานี้หนอนบ่อนไส้คงรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว
แต่เขาทำไมถึงคิดไม่ได้ว่าหนอนบ่อนไส้ของบริษัทก็คือเลขา ผู้ชายที่ซื่อสัตย์คนนี้ ทำไมถึงเป็นคนลักพาตัวพ่อของเขาไปได้!
อี้เทียนเฉิงยังไม่ได้สติกลับมา ถ้าเย่จิงเหยียนไม่บังคับให้เขามาที่บริษัท เห็นเขากำลังแก้ไขเอกสารในห้องทำงาน เขาจะไม่มีวันเชื่อว่าหนอนบ่อนไส้ก็คือเลขา
เลขายืนอยู่ในห้อง ก้มหน้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“ ทำไมถึงไม่พูด?” อี้เทียนเฉิงขมวดคิ้ว หรือว่าจะไม่ยอมรับผิด!
จู่ๆเลขาก็เงยหน้าขึ้นและมองตรงไปที่อี้เทียนเฉิง “ฉันไม่มีอะไรจะพูด!”
“ งั้นก็แปลว่ายอมรับแล้วสินะ?”
เลขาไม่กลัวจ้องมองเขา ไม่พูด และไม่ขยับ
“ทำไมถึงทำแบบนี้?” อี้เทียนเฉิงยืนขึ้นอย่างเศร้าๆ พ่อเขาทำดีให้ไม่พอหรอ?
เลขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาห้าคำว่า “ทุกคนมีความต้องการ”
“คุณอยากได้อะไร ก็แค่บอกพวกเรา ทำไมต้องทำ…… ”
“ขอกับพวกคุณ?” เลขาหัวเราะเยาะ ” นั่นเป็นแค่สิ่งที่ขอมา สิ่งที่ฉันอยากได้ขอกับใครไม่ได้”
“ฉันชอบลู่ฉี แต่เพราะเงิน เธอก็เลยเลือกพ่อแก ฉันอยากซื้อบ้านแต่ฉันต้องขอร้องพวกแกเหมือนขอทาน!”
คำพูดที่แสดงถึงโกรธแค้นมาหลายปีเลขา เขาเก็บกดมานาน จนวันนี้เขาได้ระบายมันออกมาทั้งหมด
อี้เทียนเฉิงไม่เคยคิดมาก่อน ที่แท้เขาคิดแบบนี้ เขาอ้าปากจะอธิบาย “ยี่สิบกว่าปีแล้ว เราทุกคนเห็นว่าคุณเป็นญาติ ของพวกนั้นคุณคิดว่าเหมือนบริจาค แต่สำหรับเรามันเป็นการช่วยเหลือคนที่เรารัก!”
เลขาหัวเราะเยาะ “สิ่งที่พวกแกทำกับฉัน เป็นเหมือนคนในครอบครัวงั้นหรอ? ”
“ฉัน…… ” อี้เทียนเฉิงอยากอธิบาย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง เขาไม่เคยใช้น้ำเสียงตะโกนใส่เขา หรือเพราะว่าน้ำเสียงทำให้เขาคิดว่าคำเหล่านั้นเป็นคำสั่ง
เลขาหันหน้าไปอีกด้านไม่อยากทนฟัง “ตอนนี้ฉันก็เผยตัวตนแล้ว เป็นศัตรู ถ้าเจอกันอีก ฉันจะใจอ่อนให้แล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อน” อี้เทียนเฉิงหยุดเขาไว้
“ สิ่งที่คุณทำก่อนหน้านี้ ฉันจะไม่คิดแก้แค้น แต่คุณต้องปล่อยพ่อของฉัน!”
เลขาหยุดเดิน “ประธานอี้อยู่กับเราอย่างสบาย รอให้เรื่องทุกอย่างจบ ฉันจะปล่อยเขาเอง”
เปลือกตาของอี้เทียนเฉิงกระตุก “คุณหมายความว่ายังไง?”
“ยังดูไม่ออกอีกหรอ? รอให้อี้กรุ๊ปตกอยู่ในมือของฉันเมื่อไหร่ ก็จะปล่อยเขา” เลขาพูดจบก็เดินออกจากห้องไป
อี้เทียนเฉิงนั่งลง เขาเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกดึงเอาไว้
“แกจะทำอะไร” เลขาหันกลับมามองมาอี้เทียนเฉิง
อี้เทียนเฉิงจิบชาช้าๆ “ไม่ทำไร ก็แค่ตราบใดที่นายท่านอี้ไม่ปลอดภัย คุณก็ออกไปไหนไม่ได้!”
เลขาพยายามสะบัดออก แต่ก็ถูกดึงกลับมา พยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ถูกดึงไว้เช่นเดิม
อี้เทียนเฉิงดื่มชาอย่างสบายใจ หันกลับมาเห็นว่าเย่จิงเหยียน ไม่รู้ว่าเขายืนขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
“ตอนนี้จะทำยังไง?” อี้เทียนเฉิงหันศีรษะมองไปที่เย่จิงเหยียนอย่างว่างเปล่า
“โทรหาลู่ฉี บอกให้เธอรู้ว่าคนรักของเธออยู่ที่นี้”
ตามที่คาดไว้ของเย่จิงเหยียน ชีวิตและชีวิต ไม่ว่าลู่ฉีจะเห็นด้วยหรือไม่ พวกเขาก็มีชิปต่อรองเพื่อเจรจากับเธอ
บอกให้ทำก็ทำ อี้เทียนเฉิงกลัวนายท่านอี้จะได้รับบาดเจ็บ เขาจึงรีบเอามือออกและโทรหาลู่ฉี
“ฮัลโหล?” เสียงของลู่ฉีดังขึ้น ฟังเสียงแล้วดูเหมือนว่าเธอกำลังอารมณ์ดี
เมื่ออี้เทียนเฉิงได้ยินเสียงเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้จะถามขึ้น “นายท่านอี้อยู่ไหน?”
ลู่ฉีที่ได้ยินเขาถามแบบนี้ก็อึ้งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นได้สติกลับมาสักพัก “แกคือ……เทียนเฉิง?”
“อย่ามาเรียกเหมือนสนิทกันเลย ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ!” อี้เทียนเฉิงตอบอย่างเย็นชา
ผู้หญิงคนนี้ยังมีหน้ามาเรียกชื่อเขา แต่ตอนนี้แค่ได้ยินเสียงเธอก็อยากอ้วก และไม่รู้ว่าเธอกับเลขาแอบไปมีความสัมพันธ์กันตอนไหน
ลู่ฉีหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของเธอใสซื่อ และพูดว่า “พ่อแกไม่ได้อยู่กับฉัน แกหาพ่อของแกแล้วมาหาที่ฉันทำไม? เขาอายุเท่าไหร่แล้ว ยังหลงทางอีกหรอ? ”
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ ตอนนี้เลขาอยู่กับฉัน ถ้าแกอยากให้เขากลับไป ก็ปล่อยพ่อฉันออกมา”
“อะไร?”
ลู่ฉีสะดุ้ง ป๊อบคอร์นในมือก็หกไปเกือบครึ่งกล่อง “แกพูดว่าอะไรนะ? พูดอีกรอบ!”
อี้เทียนเฉิงไม่อยากเสียเวลาคุยกับเธอ ส่งมือถือของเขาให้กับเลขา “คุณช่วยพูดกับเธอสักสองสามคำ”
เลขารับโทรศัพท์มาก สะบัดฝ่ามือและเมื่อรู้สึกดีขึ้นเขาก็พูดด้วยเสียงแหบ “ฉีฉี”
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?” เมื่อลู่ฉีได้ยินว่าเป็นเสียงเขา ก็ขำไม่ออกทันที “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เลขายิ้มอย่างขมขื่น “แผนแตกแล้ว”
“ ทำไมถึงเป็นแบบนี้!”
“ฉัน…… ” เลขากำลังจะพูด แต่อี้เทียนเฉิงดึงโทรศัพท์ออกจากมือของเขาก่อน
“ได้ยินหรือยัง? ตอนนี้ทั้งแกและฉันก็มีตัวประกัน คิดดูเอาเองละกันนะ!”
ลู่ฉีพูดอย่างกังวล “แกทำอะไรกับเขา? เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเขา แต่ถ้าแกทำอะไรกับพ่อฉัน ฉันก็จะเอาคืนกับเลขาเหมือนกัน!”
“อย่านะ!” ลู่ฉีพูดเสียงดัง “ฉันจะปล่อยนายท่านอี้เดี๋ยวนี้ แต่แกต้องทำตามที่พูด”
“แน่นอน”
อี้เทียนเฉิงวางสายโทรศัพท์และหันไปมองเย่จิงเหยียน เขานั่งอยู่ข้างๆ จิบชาอย่างใจเย็นดูความเคลื่อนไหวของเขา ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ราวกับว่าเขาได้ยินทุกอย่าง
“ จิงเหยียนตอนนี้ก็เริ่มรอใช่ไหม?” อี้เทียนเฉิงโน้มตัวเข้าไปใกล้เย่จิงเหยียนอย่างกระตือรือร้น ราวกับว่าเขาได้รับชัยชนะ ฆ่าเหยื่อได้แล้ว!
เย่จิงเหยียนส่ายหัว “ ตอนนี้มันเริ่ม เราต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
“ จะทำอะไรอีก?”
ความกระตือรือร้นของอี้เทียนเฉิงดับวูบลง “ เราต้องทำอะไรอีก? เดี๋ยวก็จะแลกตัวประกันแล้วนิ แค่รออยู่ในห้องก็พอแล้วไม่ใช่หรอ?”
“ ตอนนี้เธอคงไม่สนใจเรื่องงาน เราควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในการเอาคืนโครงการนั้น อย่าลืมสัญญาคือพรุ่งนี้”
เลขาที่ยังยืนอยู่ในห้องทำงาน ได้ยินสิ่งที่เย่จิงเหยียนพูดทั้งหมด จ้องไปที่เย่จิงเหยียนมันที
“พวกแกทำอะไรลงไป?”
อี้เทียนเฉิงยิ้มอย่างมีชัยชนะ “เดี๋ยวถึงเวลาพวกแกก็จะรู้เอง!”
……
อี้เทียนเฉิงและเย่จิงเหยียนพาเลขาไปยังสถานที่ที่ตกลงกัน ถนนกว้างไม่มีขอบเขต เป็นสถานที่ที่ดีในการแลกเปลี่ยนตัวประกัน
พวกเขามาถึงมานาน ก็มีรถเฟอร์รารี่สีแดงขับตรงมาตรงที่พวกเขา ลู่ฉีเปลี่ยนชุดและรองเท้าส้นสูง สวมชุดธรรมดาปรากฏต่อหน้าพวกเขา
เธอออกมาจากที่นั่งคนขับ เดินไปที่ประตูด้านหลังแล้วดึงประตูรถดึงเชือกที่มัดไว้ออกจากมัน
อี้เทียนเฉิงชำเลืองมองอย่างตั้งใจ มันไม่ใช่พ่อของเขาแล้วก็เป็นใคร เขาไม่รู้ว่าเธอมีผ่านอะไร เนื้อตัวสกปรก ผมขาวเต็มหัว และใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ พ่อ!”
เมื่อได้ยินเขาเรียกตัวเอง นานท่านอี้ก็เงยหน้าขึ้นและมองไปอี้เทียนเฉิง อี้เทียนเฉิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขายังขยับได้
ยังดี ยังขยับได้ งั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร!
ลู่ฉีปรบมือ ยืนห่างจากนายท่านอี้ครึ่งเมตรด้วยความรังเกียจ “ฉันพาคนมาแล้ว พวกแกก็ปล่อยเขาได้แล้ว!”
“ฉันจะรู้ได้ยะงไงว่านายท่านไม่ได้รับบาดเจ็บ!”
อี้เทียนเฉิง ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเพื่อดูว่านายท่านอี้ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า
“เอ๊ะ? แกจะทำอะไร? เข้ามาทำไม!” ลู่ฉีรีบเดินไปตรงหน้านายท่านอี้ จากที่เธอรังเกียจแต่กลับยื่นมือออกมาบีบคอนายท่านอี้ไว้
เธอเป็นผู้หญิงมันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเอาชนะผู้ชายสองคน เธอทำได้แค่ขู่พวกเขาด้วยวิธีนี้!
อี้เทียนเฉิงเห็นว่าเธอมีมีดอยู่ในมือ จึงรีบเดินถอยหลัง “เอาล่ะเอาล่ะ ฉันไม่เข้าไปใกล้แล้ว แกรีบปล่อยนายท่านเดี๋ยวนี้!”
“ พวกแกถอยไปก่อน!”
อี้เทียนเฉิงและเย่จิงเหยียนมองหน้ากันและก้าวถอยหลัง ยังไงก็ตามพวกเขาเป็นผู้ชายสองคน แค่ผู้หญิงคนเดียวคงไม่ปล่อยให้หนีไปได้หรอก
ลู่ฉีรีบโบกมือให้เลขา “พวกมันไปข้างหลังหมดแล้ว คุณรีบมาสิ”
เลขาทำอะไรไม่ถูก ขาของเขาถูกมัดแน่นจนเดิน ทำได้แค่กลิ้งไป
“ แกก็ปล่อยนายท่านได้แล้วมั้ง!”
อี้เทียนเฉิงยกเท้าขึ้น แค่เดินสองก้าวก็ไปถึงตัวเลขา
“ได้ แกอย่าเข้ามา!” ลู่ฉีใช้มีดตัดเชือกที่มัดนายท่านอี้ออก