“พี่ อย่าโกรธเลย! ฉัน … ”
“ทะเลาะกับพ่อแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เขาไม่รอให้เย่ชูวเสวียพูดมากไปกว่านี้ เย่จิงเหยียนก็ถามอีกคำถามขึ้น ตอนนี้เขาเดาอะไรบางอย่างไว้แล้ว เพียงแค่รอให้เย่ชูวเสวียสารภาพออกมา
เย่ชูวเสวียมองกลับไปที่หนานกงเจาอย่างขี้ขลาดและพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ “ก็ก่อนวันที่โทรหาพี่วันหนึ่ง”
“กลับไปก่อนเถอะ!” เย่จิงเหยียนพยายามระงับอารมณ์ที่อยู่ในใจของเขา ทำให้ต้วนอีเหยาอยู่เหนือพวกเขาทั้งสองคน
“เห้ย? พี่ใหญ่ … ” เย่ชูวเสวียรีบตามเย่จิงเหยียนให้ทัน ปล่อยเธอกลับไปเช่นนี้เธอจะต้องโดนด่ายับแน่ๆ
“ไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับ”
เย่จิงเหยียนไม่ได้หันหลังกลับแล้วเข้าไปในรถแท็กซี่ทันทีโดยทิ้งเย่ชูวเสวียไว้ข้างหลัง
“ชูวเสวีย มันอันตราย!” หนานกงเจารีบตามเย่ชูวเสวียและดึงเธอออกจากรถแท็กซี่
“จะทำยังไงดี เพราะนายนั้นแหละ!”
น้ำตาของเย่ชูวเสวียไหลออกมา เธอเรียกพี่ชายกลับมาไม่ได้เป็นเพราะให้เธอกลับไปทะเลาะกับพ่อแม่เธอต่อ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตของการคาดหวังของเธอ
“จิงเหยียน ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับชูวเสวีย?” ต้วนอีเหยามองไปที่เย่ชูวเสวียที่ค่อยๆห่างออกไป เธอกระโดดโลดเต้นอย่างกระวนกระวายและเหมือนกับว่าเธอยังเช็ดน้ำตาอยู่ด้วย
แน่นอนว่าเย่จิงเหยียนเองก็เห็นแล้ว เขาหันศีรษะกลับและไม่มองเธออีก “ไม่ปล่อยให้เธอมีความทรงจำกับเรื่องแบบนี้เพิ่มบ้าง ต่อไปก็คงไม่กลัวอะไรแล้ว”
ต้วนอีเหยาแอบหัวเราะ แท้จริงแล้วเขาเองก็อึดอัดมาก เห็นๆกันอยู่ว่าในใจเขาก็กังวลมากเหมือนกัน แต่เขาก็ยังต้องแสร้งทำท่าทางเป็นพี่ชายที่เข้มงวดคนหนึ่ง
…
บ้านตระกูลเย่
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยนั่งอยู่บนโซฟา จ้องมองไปที่เย่ชูวเสวียตรงประตูด้วยใบหน้าจริงจัง
“รู้จักกลับมาแล้วหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนแรกที่พูดออกมา โชคดีที่เขาเอาแต่ช่วยพูดสิ่งดีๆต่อหน้ามู่เวยเวย ไม่คิดมาก่อนว่าไอ้ตัวแสบคนนี้จะใจร้ายขนาดนี้เพราะไม่ได้กลับมาตั้งสามวันแล้ว!
“อืม พ่อ หนูผิดไปแล้ว!” เย่ชูวเสวียไม่กล้ามองไปที่มู่เวยเวย เธอจึงทำได้แค่จ้องไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร
ยังไงซะเธอก็เป็นลูกสาวของตัวเอง เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจอ่อนให้ เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะผ่อนคลายลง แต่หนานกงเจาก็เดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี
“คุณลุงเย่ คุณป้าเย่!” หนานกงเจาตะโกนด้วยเสียงที่ไร้ยางอายและทำให้ไฟที่กำลังจะมอดดับของเย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งในทันที
“ใครให้นายมา?”
“พี่ … พี่ใหญ่!” หนานกงเจาหันไปจ้องที่เย่จิงเหยียน แสดงท่าทีสงสัย “พี่ใหญ่บอกกลับมาบ้านค่อยคุยเรื่องนี้กันไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันหมายถึงให้ชูวเสวียกลับบ้าน นี้ใช่บ้านนายที่ไหนล่ะ?” เย่จิงเหยียนที่ไม่พูดอะไรจู่ๆก็ถูกดึงเข้ามาในบทสนทนา เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมองมาที่ตัวเอง เขาก็ทำได้แค่ตอบกลับ
หนานกงเจาเกาหัว “เพราะตอนพี่ใหญ่พูดพี่มองมาที่ผม ผมก็เลยคิดว่ากำลังพูดกับผม!”
เย่จิงเหยียนทำอะไรไม่ถูก “ใครเป็นพี่ใหญ่นาย?”
“พี่ไง ชูวเสวียเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่ ผมก็ควรเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่ด้วย ถูกแล้วนิ!”
เย่จิงเหยียนพูดไม่ออก คนที่ไม่มีความคิดแบบนี้เขาจะช่วยได้ยังไง? เขามองไปที่เย่ชูวเสวียแล้วแบมือทั้งสองออกเพื่อแสดงให้เธอเห็นว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้
เย่ชูวเสวียรับรู้ทันทีและทำได้เพียงใช้วิธีของเธอเองเพื่อขอให้เย่ฉ่าวเฉินให้อภัย “พ่อ หนูผิดไปแล้ว หนูไม่ควรไปงานเลี้ยงกับเขาและทำให้พ่อต้องขายหน้า!”
เสียงอ้อนของเธอทำให้เย่ฉ่าวเฉินใจอ่อนลงบ้าง “รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว …”
“ไม่ใช่สิ ชูวเสวีย ทำไมถึงขายหน้าล่ะ?” หนานกงเจาไม่เข้าใจในคำพูดนั้น เป็นเพราะว่าเขาขี้เหร่หรอ? หรือเป็นเพราะยังรวยไม่พอ?
“นายไม่ต้องพูด!” เย่ชูวเสวียมองไปที่เขาและทำท่าทางว่ากำลังพูดบางอย่างโดยไม่มีเสียงให้เขาเห็น
มู่เวยเวยวางถ้วยชาลงแล้วพูดว่า “ไม่ได้ขายหน้า เรื่องของพวกเธอฉันไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้แล้ว อยากทำอะไรก็ทำเถอะ!”
“อย่าทำแบบนี้สิแม่! หนูรู้แล้วจริงๆว่าหนูผิด หนูสาบานว่าต่อจากนี้หนูจะไม่ติดต่อกับเขาอีก!” เย่ชูวเสวียรีบหันไปกอดมู่เวยเวย “แม่ยกโทษให้หนูเถอะ!”
มู่เวยเวยหัวเราะอย่างเยาะเย้ย “ไม่เห็นมีอะไรน่าให้อภัย ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดนิ!”
“หนูผิดไปแล้ว หนูผิดไปแล้วจริงๆ วันนั้นสมองหนูมีปัญหาไม่ควรพูดแบบนั้นกับแม่!”
ในขณะที่พูดเย่ชูวเสวียก็หันหน้าไปมองเย่จิงเหยียน กระพริบตาปริบๆเพื่อขอความช่วยเหลือแต่แล้วก็รู้สึกเมื่อยที่ดวงตา ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็แดงไปหมดจึงทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกสงสาร
หนานกงเจาอยากไปปลอบเธออย่างมากแต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังขยิบตาให้ตัวเอง เขาก็กลั้นการกระทำของเขาเอาไว้
ก็แค่ต้องกล้ำกลืนความอัปยศไม่ใช่หรือ? เขาทนได้!แต่ที่ชูวเสวียบอกว่าจะไม่ติดต่อกับเขาอีก เรื่องนี้เขาไม่เชื่อหรอก! ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ!” เย่จิงเหยียนขัดจังหวะบรรยากาศที่กำลังถกเถียงกัน
มู่เวยเวยเหลือบมองนาฬิกาบนผนังและไม่ได้พูดอะไรมาก “งั้นไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
เมื่อพี่เลี้ยงได้ยินคนพูดขึ้นว่าจะกินข้าว เขาก็รีบเอาอาหารทั้งหมดในห้องครัวออกมาเสิร์ฟ เย่ชูวเสวียถือโอกาสนั่งลงข้างๆมู่เวยเวย
ทุกคนหาที่นั่งได้แล้ว มีเพียงหนานกงเจาที่ยังยืนอยู่ตรงประตูอย่างเหม่อลอย ทำท่าจะเข้ามาก็ไม่ใช่จะถอยกลับก็ไม่ถูก
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นเขาทำตัวไม่ถูกจึงพูดเพื่อช่วยเขาตัดสินใจ “นายก็มานั่งด้วยกันเถอะ!”
“ได้เลยครับ!” เมื่อได้ยินเย่ฉ่าวเฉินพูดหนานกงเจาก็เหมือนได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งและเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆเย่ชูวเสวีย
ทันทีที่หนานกงเจานั่งลงเขาก็ยิ้มและเข้าหาเย่ชูวเสวีย
การกระทำนี้กระตุ้นความรังเกียจของเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยอย่างไม่ต้องสงสัย เย่ฉ่าวเฉินเคาะโต๊ะและชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆเย่จิงเหยียนที่ยังว่างอยู่ “นาย ไปนั่งตรงนั่น!”
หนานกงเจาจ้องไปที่เย่ชูวเสวียด้วยความน้อยใจ “ชูวเสวียผมไม่อยากไป!”
“บอกให้นายไปก็ไปสิ อย่ามัวชักช้า!”
หนานกงเจาเห็นว่าเย่ชูวเสวียเริ่มมีน้ำเสียงโมโห ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ลุกจากเก้าอี้และเดินไปข้างๆเย่จิงเหยียน “พี่ใหญ่ ยินดีที่ได้พบ!”
มุมปากของเย่จิงเหยียนกระตุกและยื่นมือออกไปเพื่อจับมือที่เขายื่นมาและกำชับว่า “กินข้าวดีๆ!”
เขาไม่อยากสร้างปัญหาในมื้ออาหารจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ แท้จริงแล้วหนานกงเจาคนนี้เสแสร้งหรือเป็นคนไม่รู้จักใช้สมองจริงๆกันแน่ ทำไมไม่รู้จักดูสีหน้าของคนเขาบ้าง
โชคดี สิ่งที่เย่จิงเหยียนกังวลไม่ได้เกิดขึ้น หนานกงเจาก้มหน้าก้มตากินเงียบๆจนน่าแปลกใจ พวกเขาพูดกันไม่กี่คำเป็นครั้งคราว แต่เขาเพียงแค่นั่งฟังเงียบ ๆ
ในทางกลับกันต้วนอีเหยากลับรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายท้องตั้งแต่เธอได้กลิ่นของเลี่ยน แต่เป็นเพราะอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของเย่จิงเหยียน เธอจึงไม่อยากแสดงออกมาชัดเจนเกินไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เย่จิงเหยียนคนที่ช่างสังเกตเห็นความผิดปกติของต้วนอีเหยาจึงก้มหัวลงเพื่อถามเธอที่ข้างหู
เนื่องจากหูของเธอที่ไม่ค่อยได้ยินแม้ว่าเย่จิงเหยียนจะควบคุมเสียงแล้ว แต่คนรอบข้างก็หันมาสังเกตเห็นแล้วเช่นกัน
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” มู่เวยเวยถามเธอเบาๆโดยปราศจากความเข้มงวดของเมื่อกี้
ต้วนอีเหยาโบกมือไปมาอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไรค่ะๆ อาจเป็นเพราะเจ็ตแล็กยังไม่หาย”
มู่เวยเวยพยักหน้าด้วยความโล่งอก“เป็นแบบนี้นี่เอง กินข้าวเสร็จก็ไปพักผ่อนนะ!”
“อืม” ต้วนอีเหยาลดศีรษะลงและระงับแรงกระตุ้นอาการคลื่นไส้เอาไว้
แต่อาการคลื่นไส้ยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วนอีเหยากลั้นไว้ไม่อยู่จึงรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ
“อีเหยา!” เย่จิงเหยียนรีบลากเก้าอี้ของตัวเองออกและตามหลังเธอไป
ที่โต๊ะอาหาร ทุกคนรอบโต๊ะประหลาดใจอย่างมากและมองไปยังทิศทางที่เย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยากำลังจากไป ทุกคนเอาแต่มองหน้ากันไปมาและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ต้วนอีเหยาอาเจียนในห้องน้ำอยู่พักหนึ่ง ทำให้เย่จิงเหยียนทนไม่ได้แล้ว “ไปโรงพยาบาลกับผมเถอะ”
“ไม่ … ” ไม่ง่ายเลยที่ต้วนอีเหยาจะยืดตัวขึ้น เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเย่จิงเหยียน เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากอาเจียนต่อแต่กลับอาเจียนไม่ออก
ไม่ทันไรก็จะไปโรงพยาบาลทุกครั้งเลย ถึงเขาไม่รำคาญแต่เธอรำคาญเข้าแล้ว!
เมื่อเย่จิงเหยียนเห็นเธอในสภาพนี้ก็กังวลขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าตอนคนอื่นท้องเป็นยังไงแต่ตอนแม่ของเขาท้องเย่ชูวเสวียดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนี้
“เกิดอะไรขึ้น?” เดิมทีมู่เวยเวยนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นแต่เมื่อเห็นพวกเขาไม่ออกมาสักที เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมา
“ไม่ … ไม่เป็นไรค่ะ!” ต้วนอีเหยาได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลังเธอ ก็รู้ตัวว่าเธอคงทำให้ครอบครัวของเย่จิงเหยียนตกใจ
มู่เวยเวยไม่ได้จากไปและยื่นแก้วน้ำเปล่าให้เย่จิงเหยียน“ เป็นเพราะอาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ค่ะ อ๊า … แหวะ!”
ต้วนอีเหยาหันกลับมาเพื่ออยากหักล้างคำพูดนั้น แต่พอพูดได้ไม่กี่คำก็อาเจียนออกมาอีก
มู่เวยเวยขมวดคิ้ว“ นี้เป็นอะไรไปนะ?คงไม่ใช่ … ”
“คงไม่ใช่เพราะตั้งท้องมั้ง!”
ในฐานะคนที่เคยผ่านมาก่อนเธอคิดได้แค่เหตุผลนี้ พอพูดออกไปในใจเธอก็แทบจะได้รับการยืนยันทันที เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างประหลาดใจ “จริงหรือ?”
เย่จิงเหยียนไม่ได้พูดอะไร มู่เวยเวยมองเขาและถือว่าเขาเองก็ยอมรับแล้วจึงปรบมือและยิ้มพร้อมพูดว่า “ไม่คิดมาก่อนว่าการเคลื่อนไหวของลูกจะเร็วแบบนี้!”
เย่จิงเหยียนทำอะไรไม่ถูก ทำไมเขาถึงมีแม่เช่นนี้นะท้องก่อนแต่งยังดีใจแบบนี้อีก!
ตอนนี้ต้วนอีเหยาอาเจียนจนหมดแรง เมื่อเธอลุกขึ้นมามู่เวยเวยก็ไม่ได้อยู่ในห้องน้ำแล้ว
เย่จิงเหยียนช่วยพยุงเธอออกมา บนโต๊ะอาหารเงียบมาก เมื่อพวกเขานั่งลงเย่ชูวเสวียก็มีสีหน้าแปลกๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอ “พี่อีเหยา มีเด็กอยู่ในท้องพี่จริงๆหรือ?”
“เอ่อ … ” ปากของต้วนอีเหยากระตุก ตอนนี้เพิ่งก่อตัวขึ้นน่าจะเรียกเด็กได้แล้วมั้ง!
“เยี่ยมไปเลย ฉันจะได้เป็นป้าแล้ว!” เย่ชูวเสวียลุกขึ้นยืนจากโต๊ะทันทีและวิ่งไปข้างๆต้วนอีเหยาแล้วเอามือแตะที่ท้องของเธออย่างระมัดระวัง
เย่ชูวเสวียที่มีชีวิตชีวาและกระสับกระส่ายอยู่เสมอ ทันใดนั้นเธอก็เงียบลง จู่ๆก็มีอาการสั่นเล็กน้อยที่ฝ่ามือของเขา “เอ๊ะ? เขาขยับ เขาขยับแล้ว!”
เย่ชูวเสวียมีความสุขจนเหมือนเด็กและจับมือของมู่เวยเวยไว้ “แม่ เขาขยับแล้ว!”
มู่เวยเวยได้รับเชื้อความตื่นเต้นมาจากเธอและพยักหน้าด้วยความปลื้มใจ “ในที่สุดก็มีเรื่องที่ทำให้ฉันหมดห่วงสักที!”
เธอนั่งลงข้างๆต้วนอีเหยาและแตะที่ไหล่เธออย่างสนิทสนม “เธอต้องดูแลลูกในครรภ์ดีๆ ถ้าอยากกินอะไรก็บอกฉันได้เลย!”
“ได้ค่ะ … ” ต้วนอีเหยาขยับร่างกายของเธอด้วยความอึดอัด จู่ๆก็มีคนจำนวนมากให้ความสนใจในตัวเธอ เธอรู้สึกไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ
“ผมก็อยากดูด้วย” ทุกคนที่รวมกันเป็นกลุ่มได้ยินเสียงใครบางคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาดังขึ้นและพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดมองกลับไปยังทิศทางของต้นเสียงและเห็นหนานกงเจาที่ยืนอยู่ด้านนอกสุด เขาเกาผมดูทำอะไรไม่ถูก
“นายอยากทำอะไรนะ?” เย่จิงเหยียนรีบดึงต้วนอีเหยาเข้ามาในอ้อมแขนของเขาทำท่าทางประกาศอำนาจอธิปไตยของตัวเอง
หนานกงเจาโบกมือไปมา “ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นครับ แค่อยากรู้อยากเห็นเพราะเห็นพวกคุณเอาแต่มองกัน ผมก็เลยเดินมา … ”
“นายดูไม่ได้” เย่จิงเหยียนทำหน้าจริงจัง จะบ้าหรือไง ภรรยาของเขาเองจะให้คนอื่นดูท้องได้ยังไง?
“ไม่ดูก็ไม่ดู!” หนานกงเจาเหลือบมองไปที่ท้องของต้วนอีเหยา ต้องมีสักวันที่เขากับเย่ชูวเสวียจะมีลูกด้วยกัน ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่ให้เย่จิงเหยียนดูเหมือนกัน!
ความคิดที่ไม่พอใจของเด็กคนนี้แน่นอนว่าเย่จิงเหยียนไม่รู้ เขามองไปที่ต้วนอีเหยาด้วยความสนใจอย่างเต็มที่ ใช้สายตาทั้งหมดมองไปที่ร่างเธอเพียงคนเดียว
“เอาล่ะ แยกย้ายกันได้แล้ว” เย่ฉ่าวเฉินที่เอาแต่เงียบมาตลอดและติดอยู่ในตำแหน่งรองจากหนานกงเจาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังออกไปได้ ดูๆแล้วมื้อนี้ก็คงปะปนกันไปอย่างนี้แหละ
เมื่อเขาพูดขึ้นทุกคนก็จะฟังอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เย่ชูวเสวียก้าวถอยหลังออกมาจากฝูงชนก่อนที่เธอจะนั่งลง จู่ๆต้วนอีเหยาก็ลุกขึ้นยืนและรีบออกจากที่ที่เธออยู่แล้วพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ
“แหวะ……”
มู่เว่ยเว่ยตกตะลึงแล้วหันหน้าไปมองเย่จิงเหยียน “ทำไมปฏิกิริยาเธอถึงได้หนักขนาดนี้?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” เย่จิงเหยียนพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจเขากลับรู้สึกไม่สบายใจ สาเหตุคงไม่ได้เกิดจากหูของเธอหรอกมั้ง?
เขายิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปได้และเขาก็วนกลับมาคิดเรื่องนี้อีกครั้ง เวลาสำหรับการผ่าตัดใกล้เข้ามาแล้วแต่เขาก็ไม่รู้จะบอกต้วนอีเหยาอย่างไร
…
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน หนานกงเจายังคงไม่อยากไปไหนและอยากอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ต่อ เย่ชูวเสวียจ้องเขาด้วยความดุร้ายพร้อมกับทำท่าทีที่ไม่ดีนักเพื่อให้เขาจากไป เขาจึงต้องจากไปอย่างไม่เต็มใจ
มู่เวยเวยมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ต้วนอีเหยาและไม่ถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาทั้งสอง แต่ในใจเย่ชูวเสวียก็รู้สึกขาดความสมดุล
เดินไปแบบนั้นแล้วกอดแขนของมู่เวยเวย “แม่ ~”
“ไปไกลๆ ใครเป็นแม่เธอ” มู่เวยเวยดึงมือเธอออก “ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานฉันคงจะบ้าตาย!”
เย่ชูวเสวียกอดแขนเธออีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉันผิดไปแล้วๆ แม่ยกโทษให้หนูนะ นะ? นะๆ?”
มู่เวยเวยรู้สึกรำคาญเธอและพูดอ้อมๆว่า “ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว!”
“อืมๆ” เย่ชูวเสวียพยักหน้าราวกับทุบกระเทียมและจูบที่แก้มมู่เวยเวยหนึ่งที “ขอบคุณค่ะแม่ แม่ดีที่สุดในโลกเลย!”
เนื่องจากมีความสุขมากเกินไปทำให้การกระทำของเย่ชูวเสวียดูใหญ่โต นั้นทำให้เธอบังเอิญไปโดนตัวต้วนอีเหยา เธอไปชนกับต้วนอีเหยาจนร่างเธอเกือบลื่นออกจากตำแหน่งที่เธออยู่
โชคดีที่เย่จิงเหยียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรีบเอื้อมมือไปจับเธอไว้แล้วหันไปจ้องเย่ชูวเสวียด้วยความโมโห “นี้มันอะไรกัน โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้เรื่องไหนควรเล่นเรื่องไหนสำคัญอีก! ถ้าล้มลงไปจะทำยังไง?”
“ฉัน … ” เย่ชูวเสวียไม่ทันตั้งตัวแล้วโดนเขาตะคอกใส่ ในใจก็รู้สึกน้อยใจ เธอเม้มปากไว้และน้ำตาก็ไหลมาถึงขอบตาของเธอ
เธอโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยถูกเขาตะคอกใส่มาก่อน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ยังคงอ่อนโยนต่อเธอ แต่ตอนนี้เขากลับตั้งคำถามกับเธอด้วยความโกรธอย่างรุนแรงแค่เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ …
“ฉันก็แค่ขอให้เธอระวังหน่อย” เมื่อเห็นเธอน้ำตาจะไหล เย่จิงเหยียนก็ลดเสียงลงและทำอะไรไม่ถูกจึงพูดด้วยน้ำเสียงปลอบใจ
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้น้ำตาของเย่ชูวเสวียก็หายไปอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งไปข้างๆต้วนอีเหยาด้วยรอยยิ้มและยอมรับผิดอย่างว่านอนสอนง่าย “พี่สะใภ้ ฉันขอโทษนะ!”
“อะไรนะ?พี่สะใภ้?” เดิมทีต้วนอีเหยากลับมายืนนิ่งๆแล้วหลังจากได้รับความช่วยเหลือจากเย่จิงเหยียน แต่เมื่อได้ยินคำว่าพี่สะใภ้เธอก็แทบจะล้มทั้งยืน
“ใช่แล้ว!” เย่ชูวเสวียกระพริบตาให้เย่จิงเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังต้วนอีเหยา เธอเอาใจพี่ตัวเองขนาดนี้ก็คงโกรธไม่ลงแล้วแหละ!
เย่จิงเหยียนพอใจกับสิ่งที่เธอทำมากจึงพยักหน้าให้เธออย่างชื่นใจ ถือว่าไอ้ตัวแสบคนนี้อยู่เป็น
แต่ต้วนอีเหยาไม่เห็นด้วยและพูดแก้ขัดว่า “เรายังไม่ได้แต่งงานกัน!”
ทันทีที่เธอพูดประโยคนี้ออกไป ทุกคนก็หยุดการกระทำของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าของเย่จิงเหยียนดูน่าเกลียดลงมาก หรือความหมายของอีเหยากำลังร้องเรียนตัวเองว่านานขนาดนี้แล้วยังไม่ขอเธอแต่งงานอีก?