มู่เวยเวยไอและรีบพูดอย่างประนีประนอมว่า “นี้เป็นความประมาทของเราจริงๆ รออีกไม่กี่วันเราจะเลือกวันมงคลไว้เพื่อจะได้จัดการเรื่องงานแต่งของพวกเธอ”
“ไม่ … ไม่ใช่!” ต้วนอีเหยาโบกมืออย่างรวดเร็ว “หนูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!”
“ไม่เป็นไร” มู่เวยเวยส่งสายตาให้เธอประมาณว่าฉันเข้าใจ พวกเขาเคยผ่านมันมาก่อน เธอเข้าใจดี!
…
ต้วนอีเหยาและเย่จิงเหยียนออกมาจากโรงพยาบาลและคนขับรถก็รออยู่ข้างนอกแล้ว
“ผมเอง!”ต้วนอีเหยาที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ แต่ถูกเย่จิงเหยียนก้าวตัดหน้าหนึ่งก้าวและหยุดเธอไว้ข้างหลัง
เมื่อกี้เขายังรู้สึกไม่สบายใจเลยพาต้วนอีเหยามาตรวจดูที่โรงพยาบาล หมอตรวจไปครึ่งวันก็ไม่พบปัญหาใดๆและในที่สุดก็สรุปว่าเป็นปฏิกิริยาปกติของการตั้งครรภ์
แต่เย่จิงเหยียนยังไม่ผ่อนคลายลง เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองแม้แต่เปิดประตูรถ เย่จิงเหยียนกลัวว่าเธอจะโดนชนเข้า
เขาจำเป็นต้องแน่ใจว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุก่อนถึงจะวางใจได้!
ต้วนอีเหยารออยู่ข้างหลังเขาอย่างเชื่อฟังและดูเขาเปิดประตู เธอรู้ว่าถ้าไม่ปล่อยให้เขาทำจะต้องไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้แน่นอน อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรดังนั้นปล่อยให้เขาทำก็ดีเหมือนกัน
คนขับรถหันกลับมาเห็นฉากนี้เข้าและยิ้มด้วยความปลื้มใจ เขาอยู่บ้านตระกูลเย่มานานหลายสิบปี ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยที่เขากำลังจะเกษียณ ในที่สุดก็ได้เห็นเวลาเย่จิงเหยียนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตัวเองรัก เขาเหมือนนักรบที่เอาแต่ปกป้องบดบังลมฝนให้เธอเหมือนกันนะเนี้ย ในใจมีความรู้สึกมากมายเต็มไปหมด
หลังจากที่เย่จิงเหยียนขึ้นไปนั่งในรถ คนขับก็เหยียบคันเร่งและออกจากโรงพยาบาลทันที
เย่จิงเหยียนหันหน้าไปทางเธอและเห็นต้วนอีเหยาต่อสู้กับเปลือกที่กำลังจะหลับของเธอแล้วส่ายหัวอย่างไม่เต็มใจ เขาจึงกดศีรษะของเธอลงบนไหล่ของเขา “นอนพักหน่อยเถอะ!”
วิ่งไปมาบนเครื่องบินทั้งวันแม้แต่รางกายก็ไม่ได้พักเลย จากนั้นก็ต้องนั่งรถไปโรงพยาบาลอีก สำหรับคนขี้เซาแบบเธอตอนนี้เธอคงเหนื่อยมากแน่ๆ!
ต้วนอีเหยาใช้หัวถูไหล่ของเขาไปมาเพื่อหาท่าที่ทำให้เธอนอนได้สบายๆจากนั้นก็หลับตาลงนอน
เธอเหนื่อยเกินไปจริงๆ การอาเจียนทำให้ทั่วร่างกายของเธอหมดแรง พอเอ็นหัวลงบนไหล่ของ เย่จิงเหยียนก็หลับไปภายในไม่กี่นาที
เย่จิงเหยียนหันศีรษะอย่างระมัดระวังและเห็นขนตายาวของเธอปลิวไสวในอากาศ เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังฝันถึงอะไรและปากของเธอก็มีเสียงแจ๊บปากดังออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาวางมือบนตัวเธอที่กำลังโกนเล็กน้อย เธอที่น่าเอ็นดูเช่นนี้ดูๆแล้วอย่างกับลูกแมว
“คุณชาย พวกเรามาถึงแล้ว” คนขับจอดรถและไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านหลังเขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนออกมา
เย่จิงเหยียนทำท่าทาง “ชู่ว” กวักมือให้เขาลงจากรถก่อน คนขับตะลึงเล็กน้อยจึงเปิดประตูรถออก
“แป๊บนึงๆ”
“มีอะไรเหรอครับ?” คนขับหันศีรษะกลับด้วยความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเย่จิงเหยียนถึงเรียกเขา
“ไปหยิบเสื้อคลุมมาตัวหนึ่ง”
คนขับพึ่งสังเกตเห็นว่าทั้งตัวของต้วนอีเหยาขดอยู่ภายใต้อ้อมแขนของเย่จิงเหยียน ทันใดนั้นก็เข้าใจเจตนาของเย่จิงเหยียนทันที เขาตอบกลับคำหนึ่งและลงจากรถไป
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ถือเสื้อสูทออกมาหนึ่งตัว เย่จิงเหยียนรับมาและคลุมไว้บนตัวของต้วนอีเหยาอย่างเบามือ
“พี่จิงเหยียน!”
คนขับกำลังจะปิดประตู มีร่างหนึ่งไวกว่าเขาไปก้าวเดียวและมุดเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว
เส้นเลือดบนหน้าผากของเย่จิงเหยียนกระตุกขึ้นและเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่มาของเสียง อย่างที่คาดการณ์ไว้ เหมือนกับที่เขาเดาเอาไว้เป๊ะ
คนที่เรียกเขาแบบนี้ จะเป็นใครไปได้นอกจากต้วนจื่ออิ๋ง?
ต้วนอีเหยารู้สึกได้ว่ามีคนเอาเสื้อผ้ามาคลุมให้เธอ เมื่อเธอได้ยินเสียงตะโกนเธอก็ตื่นขึ้นมาทันที เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆด้วยความว่างเปล่า
“ทำไมไม่นอนแล้วล่ะ?” เย่จิงเหยียนถามขึ้นและค่อยๆช่วยเธอจัดผมที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้าผากเธอ
ต้วนอีเหยากดขมับของเธอ “ฉันได้ยินมีคนเรียกคุณ”
“ฉันเอง!”ต้วนจื่ออิ๋งถือโอกาสที่เย่จิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดจึงรีบแทรกขึ้นมา
“ทำไมเธอมาอีกแล้วล่ะ?”
เย่จิงเหยียนเริ่มรู้สึกปวดหัว ถ้าก่อนหน้านี้รู้ว่าเธอจะมีปัญหามากขนาดนี้ก็คงไม่รู้จักเธอดีกว่า
“พ่อของฉันมีโปรเจ็กต์ที่นี้ฉันก็เลยตามมาด้วย พี่จิงเหยียน ฉันคิดถึงพี่มาก … ” ต้วนจื่ออิ๋งมองไปที่เขาด้วยความน้อยใจเพราะกลัวว่าเขาจะพูดคำพูดอะไรบางอย่างที่โหดเหี้ยมออกมา
แต่เธอไม่เข้าใจสำหรับคนที่ไม่สนใจ แม้แต่จะพูดคำพูดที่สิ้นหวังก็มีแต่จะแปลกแยกและทำให้คนหมดหวัง
เย่จิงเหยียนเปร่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา “อืม” จากนั้นก็หันไปมองต้วนอีเหยา “คุณคงไม่ได้นอนดีๆ ถึงบ้านแล้ว กลับไปนอนพักอีกรอบเถอะ!”
ต้วนอีเหยามองไปที่ต้วนจื่ออิ๋งและอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอเหนื่อยเกินไปไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่พยักหน้าแล้วลงจากรถโดยมีเย่จิงเหยียนช่วย
เธอควรจะปฏิเสธแม้กระทั่งเรื่องนี้ มันก็แค่ตั้งครรภ์ไม่ใช่หรือ?ทำอย่างกับเธอพิการอย่างงั้น!
แต่เย่จิงเหยียนยังคงยืนหยัด เธอไม่สามารถโต้เถียงกับเขาต่อหน้าต้วนจื่ออิ๋งได้ดังนั้นจึงปล่อยให้เขาเอาแต่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในห้องนั่งเล่น
ต้วนจื่ออิ๋งเดินตามพวกเขาเข้าไปและกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของชายแปลกหน้าคนนั้นโดยไม่รีรอ “พ่อ”
ต้วนอีเหยาพึ่งตระหนักได้ว่าชายคนนี้เป็นพ่อของต้วนจื่ออิ๋ง ถึงว่าเธอถึงมีความรู้สึกว่าเขาคุ้นๆอยู่บ้าง
รูปหน้าของต้วนจื่ออิ๋งดูเหมือนเขามากและตัวต้วนจื่ออิ๋งกับเขามีหลายจุดที่ค่อนข้างคล้ายกันดังนั้นเธอจึงรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
พ่อต้วนลูบผมของต้วนจื่ออิ๋งอย่างรักใคร่ “ไปไหนมา? ทำไมนานขนาดนี้?”
“ไปตามหาพี่จิงเหยียนมา!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อต้วนแข็งกระด้างขึ้นและเงยหน้าขึ้นมองเห็นเย่จิงเหยียนกำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกประตูหลังจากรถจอดนิ่ง
ยังไงซะชายคนนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเคยทิ้งลูกสาวตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะโครงการนี้ต้องพูดคุยกับบ้านตระกูลเย่เขาจะไม่มีวันเผชิญหน้ากับชายคนนี้ตามลำพัง
“อืม”
พ่อต้วนอุทานไปทีหนึ่งและบรรยากาศในการสนทนาของเขากับเย่ฉ่าวเฉินเมื่อกี้ จู่ๆก็ดูอึดอัดขึ้นมาก
ตอนงานแต่งงานเนื่องจากยังจัดงานไม่สำเร็จ เขาไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับบ้านตระกูลเย่อีกต่อไป แต่เรื่องงานในครั้งนี้เขาไม่ได้สมัครใจ ถ้าหากผิดสัญญาบ้านตระกูลต้วนไม่มีปัญญาจ่ายค่าปรับที่สูงขนาดนั้นได้
ดังนั้นตัวเขาเองจึงยังคงร่วมมือกับบ้านตระกูลเย่ในการทำธุรกิจ แต่ก็ยังคงไม่สามารถหลบให้พ้นฉากในตอนนี้ได้
ตอนนี้จะให้เขาคุยงานกับไอ้เด็กน้อยคนนี้ สำหรับเรื่องงานโครงการนี้น่าจะไม่ดีต่อพวกเขามากนัก สำหรับเรื่องส่วนตัวพวกเขาเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่มีวันติดต่อกันถึงจะถูก
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว จากการสนทนาของพวกเขาเย่จิงเหยียนเดาบางอย่างไว้แล้ว เดิมทีเขากะจะพาต้วนอีเหยาขึ้นไปชั้นบนทันที แต่พ่อของเขาโยนเรื่องนี้ให้กับตัวเอง เขาจึงจำเป็นต้องเดินมาข้างหน้าเพื่อทักทายพ่อต้วน
“ลุงต้วนครับ”
พ่อต้วนมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ เดิมทีก็ไม่ชอบเขาอยู่แล้วพอตอนนี้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งตามเขามาข้างๆด้วย ก็ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้น
เขารู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ใกล้ชิดกันมาก
“อย่าเรียกฉันว่าลุง เป็นให้ไม่ได้!”
เย่จิงเหยียนทำตัวไม่ถูกจึงกัดไปที่มุมปากของเขาทำอย่างกับว่าไม่ได้ยิน “ได้ยินมาว่าคุณมาคุยเกี่ยวกับโครงการ ไม่รู้ว่ามีอะไรที่สามารถช่วยเหลือคุณได้บ้าง?”
“ไม่มีอะไร ประธานเย่ วันนี้พวกเรารบกวนคุณมามากแล้ว ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำถ้าอย่างนั้นผมลาล่ะ”
พ่อต้วนลุกขึ้นและดึงต้วนจื่ออิ๋งเพื่อจะได้กลับ แต่ต้วนจื่ออิ๋งไม่ขยับ
“ไปกับฉัน!” พ่อต้วนกัดฟันพูด คนอื่นเขามีผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาเองก็ไม่อยากให้ลูกสาวของตัวเองต้องมาขายหน้าที่นี้
“พ่อ … ” ต้วนจื่ออิ๋งมองไปที่เย่จิงเหยียนอย่างวิงวอนหวังว่าเขาจะสามารถช่วยให้ตัวเองสามารถอยู่ต่อได้ เธอไม่เชื่อหรอกว่าระหว่างเธอกับเขาที่เคยผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ เขาจะต้องมีความอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างแหละ!
แต่สิ่งที่ได้รับคือความผิดหวังไม่รู้จบ ตั้งแต่ต้นจนจบเย่จิงเหยียนไม่ได้มองเธอแม้แต่นิดเดียว
“ไป!” พ่อต้วนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คิดไม่ถึงว่าลูกสาวของเขาจะขอความเมตตากับผู้ชายคนนั้น สำหรับคนที่มักพูดว่าเป็นคนที่มีเกียนติในตัวเองอย่างเขา ถือเป็นการโดนดูถูกอย่างมาก
ต้วนจื่ออิ๋งรู้ว่าพ่อของเธอโกรธจริงๆแล้ว เธอจึงมองเย่จิงเหยียนอย่างอาลัยอาวรรณ์และสุดท้ายก็จำเป็นต้องจากไปพร้อมกับพ่อของเธอ
หัวใจของเธอเหมือนถูกบดขยี้ด้วยอะไรบางอย่างและค่อยๆแตกสลายเป็นตะกอน เธอยังจำได้ว่าเขาบอกว่าจะขอเธอแต่งงานและรับผิดชอบในตัวเธอ แค่เพียงในพริบตาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เขามีผู้หญิงคนอื่นอยู่ข้างกายแล้ว
“พี่ … ” เย่ชูวเสวียยืนอยู่ที่ประตูหน้าห้องของเธอและมองเห็นทุกอย่างผ่านดวงตาของเธอ
เธอรู้ว่าเขาไม่ได้รักต้วนจื่ออิ๋ง แต่นี้มันโหดร้ายเกินไปสำหรับเธอหรือเปล่า?
เธอเคยเป็นผู้หญิงที่ชอบหัวเราะมาก่อน แต่พอได้พบเจอกันในครั้งนี้ แม้ว่าใบหน้าของเธอจะไร้เดียงสาแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
เย่จิงเหยียนมองขึ้นไปที่เย่ชูวเสวียที่อยู่ชั้นบนและโอบต้วนอีเหยาแล้วเดินเข้าห้องของเขาไป
เขาเองก็รู้ดีว่านี้เป็นเรื่องที่โหดร้ายสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่นี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเธอการอ่อนแออย่างสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้เธอรู้สึกแค่ว่ายังมีความหวังอยู่บ้าง
และการเอาแต่รบกวนคนอื่นไม่รู้จบแบบเธอจะส่งผลให้อีเหยาถูกทำร้ายไปด้วย เขาไม่อยากให้ผู้หญิงที่เขารักมากต้องมาเข้าใจผิดอีก
เมื่อเย่ชูวเสวียเห็นว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยก็อดไม่ได้ที่จะรีบสับเท้าแล้วลงไปชั้นล่างและไล่ตามเธอไป
ในเมื่อเขาไม่อธิบาย เธอที่เป็นน้องสาวจะช่วยเขาเองจะได้ไม่เป็นปัญหามากไปกว่านี้ในภายหลัง
เอ๊ะ … เธอกังวลแทนพี่ชายแท้ๆของเธอจริงๆ!
“จื่ออิ๋ง!”
ต้วนจื่ออิ๋งที่กำลังจะขึ้นรถ เย่ชูวเสวียเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วและตะโกนเพื่อหยุดเธอไว้
ต้วนจื่ออิ๋งหันหน้าไปทางเธอและเห็นเย่ชูวเสวียกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกายขึ้น หรือเป็นเพราะพี่จิงเหยียนเปลี่ยนใจแล้วไม่สะดวกตามออกมา ดังนั้นจึงให้เย่ชูวเสวียวิ่งมาคุยกับเธอ
“มีอะไรเหรอ?” ต้วนจื่ออิ๋งปิดประตูรถและปล่อยให้พ่อต้วนรอเธออยู่ในรถ เธอเดินตามเย่ชูวเสวียไปที่สนามหญ้าด้านข้าง
“พี่จิงเหยียนฝากข้อความให้เธอมาคุยกับฉันใช่ไหม?”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจ “พี่ชายฉันไม่ได้พูดอะไร”
ดวงตาของต้วนจื่ออิ๋งเผยความผิดหวังออกมา แต่เธอก็ปกปิดมันไว้อย่างรวดเร็ว “แล้วเธอมาเพราะเรื่องอะไร?”
“ฉันมาเพื่อคุยกับเธอให้ชัดเจน”
“พูดอะไรให้ชัดเจน?” เปลือกตาของเย่ชูวเสวียกระตุกและในสายตาเธอมองออกว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
เย่ชูวเสวียลังเลอยู่พักหนึ่ง “อีกไม่นานพี่ชายฉันจะแต่งงานกับอีเหยา ดังนั้นเธออย่า … ”
“เป็นไปได้ไง?ทำไมฉันไม่รู้มาก่อน!” ต้วนจื่ออิ๋งจ้องไปที่เย่ชูวเสวียด้วยความไม่เชื่อ “เธอโกหกฉันใช่ไหม?หรือว่าต้วนอีเหยาเป็นคนใช้ให้เธอมาบอกฉัน?จุดประสงค์คือเพื่อไม่ให้ฉันไปรบกวนพี่จิงเหยียน?”
“เรื่องจริง!”
เย่ชูวเสวียมองเธออย่างน่าสงสาร “แม่ฉันเลือกวันไว้แล้วและเริ่มเตรียมตัวกันแล้ว”
“ไวขนาดนี้เลยหรอ?”
เย่ชูวเสวียพยักหน้ายืนยัน จริงๆแล้วแค่คุยกันแบบสบายๆในตอนเที่ยง ใครจะรู้ว่าแม่ของเธอจะใส่ใจมากขนาดนี้ แค่ไม่กี่ชั่วโมงสั้นๆก็เกือบจะเสร็จสิ้นหมดแล้ว
“เป็นไปไม่ได้ๆ!” ต้วนจื่ออิ๋งส่ายหัว พี่จิงเหยียนจะแต่งงานกับเธอ!
ใช่ เขาจะแต่งงานกับเธอ!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ต้วนจื่ออิ๋งก็หัวเราะขึ้นมา “แล้วยังไงล่ะ?ถ้ายังไม่ได้แต่งกันจริงๆฉันก็ยังมีโอกาสอย่าลืมสิว่าฉันเองก็เกือบจะได้แต่งงานกับพี่จิงเหยียนเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าระหว่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?
“เธอก็อย่าเอาแต่ยืนหยัดอีกเลย!” เย่ชูวเสวียเห็นใบหน้าเธอที่บิดเบือนไปจึงอดไม่ได้ที่จะพูดเตือน
“พี่ชายฉันชอบพี่อีเหยามาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนั้นฉันก็เคยบอกเธอมาก่อนแต่เธอกลับไม่ฟังอะไรเลย เอาแต่ดึงดันจะทำตามใจตัวเอง ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นแบบนี้ … ”
เธอยังจำตอนที่พวกเขาออกไปเที่ยวด้วยกันได้ว่าเคยเตือนเธอแล้ว ในตอนนั้นเธอก็เอาแต่เฉยเมยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนคิดว่าไม่มีพี่อีเหยาแล้วดังนั้นจึงปล่อยให้เธอทำเรื่องแบบนั้นโดยคิดว่าจะได้ให้พี่ใหญ่ของเธอออกจากเงามืดนั้นได้
ต่อมาเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่มีใครคาดคิดเพราะมันเกิดขึ้นถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมไว้ได้
ต้วนจื่ออิ๋งส่ายหัว “ความสุขเป็นเรื่องที่ต้องไขว้คว้าด้วยตัวเอง ถ้าไม่เคยพยายามจะพูดว่าเป็นไปไม่ได้ได้ยังไง!”
เย่ชูวเสวียเห็นเธอหมดทางที่จะเยียวยาแล้ว จึงส่ายหัวและพูดประโยคสุดท้ายกับเธอ “เธอกับพี่ใหญ่ของฉันเป็นไปไม่ได้แล้ว ถ้างั้นเธอก็ทำต่อไปเองเถอะ!”
หลังจากพูดจบเธอก็หันหลังเดินกลับไปทางที่เธอเดินมา เมื่อได้ยินต้วนจื่ออิ๋งสะอึกสะอื้นอยู่ข้างหลัง เธอจึงหยุดเดินและหันกลับไปยื่นทิชชู่ให้เธอ
“อย่าเสียใจไปเลย”
ต้วนจื่ออิ๋งหยิบทิชชู่แล้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอและฝืนยิ้มให้เธออย่างไม่เต็มใจ “ฉันไม่เป็นไร”
เธอเดินออกจากสนามหญ้าด้วยความเงียบเหงาและเปิดประตูรถที่จอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน
เย่ชูวเสวียยืนอยู่ที่เดิมและดูรถที่กำลังเคลื่อนออกไป อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ นี้ก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารอีกคน
เธอดูละครเกาหลีกับแม่ตั้งแต่เธอยังเด็ก ผู้หญิงและผู้ชายคนรองในเรื่องต่างก็ทำให้หัวใจของผู้คนแตกสลาย ดูๆแล้วต้วนจื่ออิ๋งน่าจะเป็นผู้หญิงคนรองที่อยู่ระหว่างพี่ชายและพี่สาวของเธอ!
เมื่อมองย้อนกลับไป เย่จิงเหยียนยืนอยู่ตรงประตู เย่ชูวเสวียถึงกับผงะและเดินเข้าไป
“เธอพูดยังไงบ้าง?”
เย่ชูวเสวียแบมือทั้งสองข้างของเธอออก “ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมเธอแล้วไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง แต่ดูๆแล้วเธอน่าจะเสียใจมาก”
เย่จิงเหยียนพยักหน้า เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายเธอแต่หนึ่งในสามคนนี้ก็ต้องมีคนหนึ่งที่ต้องเจ็บปวดอยู่แล้ว เขาไม่อยากให้อีเหยาต้องเจ็บปวดดังนั้นคนที่ยังเหลืออยู่ก็มีแค่เธอ
ความหวังเดียวในตอนนี้คือขอให้เธอคิดได้เร็วๆ อย่าเอาแต่พะวงในใจอยู่ตลอดเวลา
เย่ชูวเสวียเบ้ปาก “เธอคงมองฉันเป็นคนเลวไปแล้วแน่ๆ พี่ไม่เห็นสายตาของเธอตอนที่เงยหน้าขึ้นมาเมื่อกี้ เคียดแค้นราวกับว่าเธอจะบีบคอฉันตาย”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ เย่ชูวเสวียก็อดไม่ได้ที่จะขดตัวลงเล็กน้อย ตอนไม่คิดก็ยังรู้สึกดีอยู่บ้างพอคิดก็รู้สึกหนาวไปทั้งแผ่นหลัง
เย่จิงเหยียนคิดแค่ว่าเธอกำลังล้อเล่นจึงลูบผมเธอ “อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!”
ในความประทับใจของเขา ภาพลักษณ์ของต้วนจื่ออิ๋งยังคงเป็นคนที่ไร้เดียงสามาโดยตลอดและเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะโดนแม่มดสิงตามที่เย่ชูวเสวียอธิบายไว้
เย่ชูวเสวียจับมือเขาด้วยความไม่พอใจ“พี่ต้องเชื่อฉันมันเป็นเรื่องจริง ฉันเป็นคนยื่นทิชชู่ให้เธอยังทำสีหน้าที่ไม่ดีใส่ ผู้หญิงประเภทนี้เก่งเรื่องแสดงเสแสร้งที่สุดแล้ว และแกล้งโกหกผู้ชายแบบพี่ไง ”
“พอๆๆๆ กลับไปให้พี่เลี้ยงทำอาหารสักสองสามอย่างที่น้องชอบจะได้ปลอบใจน้องได้บ้าง” แม้ว่าเย่จิงเหยียนจะพูดเช่นนั้นแต่ในใจเขาก็ยังไม่เชื่อ
ต้วนอีเหยานั่งอยู่บนโซฟา ได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดคิดและหยิบผลไม้ที่มู่เว่ยเว่ยส่งให้จากนั้นก็เคี้ยวอย่างช้าๆ