เซี่ยอันน่าชักมือกลับ นั่งตัวตรงและไม่ได้พูดอะไรที่น่าอึดอัดอีก เสี่ยวอวี้หลินมองเธอที่ดูอึดอัดก็อดยิ้มไม่ได้และจับเท้าของเธอมาใส่รองเท้าให้
“โอเคแล้ว คุณลองดูว่าเดินได้ไหม” เสี่ยวอวี้หลินลุกขึ้นตบมือและยื่นมือออกไปข้างหน้าเธอ
เซี่ยอันน่าตกอยู่ใจรอยไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็ได้สติ จึงจับเข้าที่มือของเสี่ยวอวี้หลิน สองมือซ้อนทับกันและฝ่ามือของเธอก็ร้อนขึ้นมา
“ร้อนมากเหรอ?” เสี่ยวอวี้หลินก้มหน้ามองเซี่ยอันน่าทำสีหน้าแปลกๆ “หรือว่ารองเท้าสูงไปเลยเดินไม่ได้?”
“ไม่….ไม่เป็นไร!” เซี่ยอันน่ารีบก้มหน้าปิดปังความรู้สึกอ่อนไหวของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าวันนี้ตัวเองเป็นอะไร? จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่กล้ามองตาเสี่ยวอวี้หลิน อย่างกับว่าไปทำอะไรผิดมา
วันนี้เสี่ยวอวี้หลินดูแตกต่างไปจากครั้งที่แล้วที่ได้พบกันอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดเธอก็สัมผัสได้ถึงความร่ำรวยของเขาและได้ถอดการทำตัวงี่เง่าไปวันๆทิ้งไป ท่าทางที่ดูจริงจังของเขายากมากที่จะทำให้ใครๆไม่ชอบเขา
“ถ้ามันไม่ได้ก็บอกผม อย่าอวดเก่ง!” ตอนเสี่ยวอวี้หลินพาเธอลงไปชั้นล่างเขาก็โน้มตัวลงมากำชับกับเธอที่ข้างหู
เซี่ยอันน่ารีบรับประกัน “ฉันเดินได้ แค่แผลถลอกนิดหน่อย ไม่เจ็บเลยสักนิด!”
“จริงนะ?” เสี่ยวอวี้หลินมองลึกลงไปในตาของเซี่นอันน่า “ยังไงถ้าเจ็บมากก็บอกฉันนะ”
หลังจากเซี่ยอันน่าพยักหน้ายืนยันเป็นครั้งที่สาม เสี่ยวอวี้หลินก็พาเซี่ยอันน่าเดินมาถึงชั้นล่างพอดี เมื่อคนด้านล่างเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ก็หยุดในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่และเงยหน้ามองมายังพวกเขาพร้อมกัน
แม้แต่หญิงสาวผู้ที่เป็นดาวเด่นของงานก็ไม่เว้น เธอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นเสี่ยวอวี้หลินจับมือเซี่ยอันน่าอย่างอ่อนโยน
แม้จะรู้ว่าเสี่ยวอวี้หลินอาจจงใจทำให้ตัวเองโกรธ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะโมโห
“อวี้หลิน นายมาแล้ว!” หญิงสาวก้าวมาข้างหน้าและควงแขนอีกข้างของเสี่ยวอวี้หลินอย่างเป็นธรรมชาติ
ทันใดนั้นทั้งงานก็เริ่มมีเสียงเซ็งแซ่ เซี่ยอันน่ารู้สึกร้อนวูบที่มือของตัวเองจึงขยับนิ้วมือและในที่สุดเธอก็หลุดจากเสี่ยวอวี้หลิน ขณะมือเธอกำลังลดลงเสี่ยวอวี้หลินก็จับไว้ได้ทันเวลา
“จับฉันไว้แน่นๆ อย่าเดินไปทั่ว!” เสี่ยวอวี้หลินกล่าวเมื่อเห็นสายตาที่งงงวยของเซี่ยอันน่า
เซี่ยอันน่างุนงงเมื่อมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าจ้องมองตัวเองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อจนเธอต้องขมวดคิ้ว และเธอตอบรับหลังจากรับรู้และเข้าใจ “โอเค”
แม้เสี่ยวอวี้หลินจะพูดเบาๆ แต่ผู้คนที่อยู่โดยรอบกลับได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาไม่กล้าพูดอะไร หากสายตาของแต่ละคนต่างก็เห็นถึงความประหลาดใจ
“ชวีเวย วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ ควรจะอยู่ตรงกลางของเวทีได้แล้ว” ตั้งแต่ต้นจนจบเสี่ยวอวี้หลินไม่ได้มองเธออยู่ในสายตา ขณะพูดก็ยังช่วยเซี่ยอันน่าจัดผม
ชวีเวยจับแขนเขาแน่นขึ้นอีก เธอยิ้มและพูดว่า “นายไปกับฉันนะ ทุกปีเราก็เป่าเทียนด้วยกันไม่ใช่เหรอ?”
“ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ได้นะ ฉันกลัวทำเธอหึง” เสี่ยวอวี้หลินพูดและเขี่ยที่จมูกของเซี่ยอันน่าอย่างรักและเอ็นดู
ขณะเซี่ยอันน่ายังไม่ได้ตอบโต้อะไร ชวีเวียก็เข้ามาดึงเธอ “ไม่ได้นะ ฉันกับอวี้หลินเป็นเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก คุณไม่โกรธใช่ไหม?”
“ฮะ?” เซี่ยอันน่าไม่ทันกับจังหวะของพวกเขา สองตามองไปยังเสี่ยวอวี้หลินอย่างงุนงง แต่ครั้งนี้เสี่ยวอวี้หลินไม่ได้ส่งสายตากลับมาให้เธอ
ชวีเวยมองด้วยสายตาบีบบังคับ เธอไม่มีทางเลือกจึงตอบเธอไปว่า “ฉัน…ฉันไม่โกรธ”
“เห็นไหม เธอพูดแล้วไม่โกรธ อวี้หลินพวกเราขึ้นไปกันเถอะ”
เสี่ยวอวี้หลินดึงข้อมือของตัวเองออกจากชวีเวยและจับเข้าที่แขนของเซี่ยอันน่า “เธอพูดแบบนั้นคือโกรธ ฉันเข้าใจเธอดีที่สุด เธอจะไปแอบร้องไห้อยู่คนเดียวแน่นอน ฉันทำใจไม่ได้หรอก”
“ไม่ได้นะ ไม่ได้…..”
เซี่ยอันน่าอยากจะอธิบายแต่กลับถูกเสี่ยวอวี้หลินขัดขวาง “คุณก็อย่าอวดเก่งอีก ผมรู้นะ”
เซี่ยอันน่ามองเขาอย่างไม่พอใจ อย่างนายจะไปรู้อะไร เห็นๆอยู่ว่าตัวนายเองไม่อยากขึ้นไป ถึงดึงฉันไปเป็นโล่กำบังเนี้ย!
“อวี้หลิน….” ชวีเวยมองสองมือที่ว่างเปล่า “นายเปลี่ยนไปนะ”
“ทุกคนเติบโตขึ้นกันทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ทุกอย่างจะเหมือนเดิม มันควรจะเปลี่ยนไป….” ขณะเสี่ยวอวี้หลินพูด น้ำเสียงเขามีความเสียใจเล็กน้อย แต่กลับแฝงไปด้วยการตัดเยื่อใยเสียมากกว่า
“นายพูดถูก ครั้งนี้ ฉันควรเรียนรู้ที่จะขึ้นไปด้วยตัวเองบ้าง”
ชวีเวยยิ้มให้เซี่ยอันน่าและเชิดหน้าขึ้น เธอยังคงเหมือนเจ้าหญิงเดินไปกลางเวทีอย่างโดดเด่น
ช่วงเวลาที่แสงไฟดับลง ชวีเวยมองเซี่ยอันน่าด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ เธอถูกมองจนกลัวตัวสั่น
เห็นได้ชัดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไร แต่ทั้งหมดรู้สึกเหมือนว่าตัวเองไปทำอะไรผิดมา ราวกับเธอได้ไปปล้นเอาของรักของเธอมา
เมื่อจุดเทียน ชวีเวยประสานมือคาระด้วยสองมือ หลับตาลงและอธิษฐาน ก่อนเป่าเทียนเธอหยิบไมโครโฟนและกระแอมออกมา
“ขอบคุณทุกคนที่มาที่นี่ในวันนี้ ฉันมีความสุขมาก แต่มีเรื่องหนึ่งกลับทำให้ฉันมีความสุขน้อยลง”
ขณะพูด เธอมองไปยังที่เซี่ยอันน่ายืนอยู่ ทุกคนรับรู้อยู่ในใจ คิดว่าเธอจะใช้โอกาสนี้เพื่อระบายความแค้นเคืองที่ตัวเองไม่พอใจ
แต่ ชวีเวยหยิ่งพอ เธอมีขีดจำกัดที่จะพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่น เธอก็หลุดยิ้ม “แต่อย่างไรก็อวยพรให้นายนะ เพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แม้ว่านายจะไม่ได้บอกเรื่องหาแฟนได้แล้วกับฉันแต่แรก”
พูดจบก็เป่าเทียนให้ดับในครั้งเดียว หลังเป่าเสร็จ ก็เหมือนกับงอน เงยหน้ามองไปยังเสี่ยวอวี้หลิน
เหมือนกับกำลังพูดว่า ดูสิ ถ้านายไม่มี ฉันก็เป่าเทียนให้ดับได้หมดเหมือนกัน!
เสี่ยวอวี้หลินค่อยๆจับมือเซี่ยอันน่าแน่นขึ้น ตอนแรกเซี่ยอันน่ายังพอรับได้แต่เสี่ยวอวี้หลินกลับไม่มีจิตสำนึกเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดเซี่ยอันน่าก็ทนต่อไปไม่ไหวเขยิบเข้าไปใกล้ตัวเขาและพูดเบาๆว่า “ฉันเจ็บมือนะ!”
เมื่อปล่อยมือ สงสัยเซี่ยอันน่าอันน่าจะเจ็บมากถึงกับต้องขมวดคิ้วเข้ม นิ้วของเธอแดง แต่เมื่อคนอื่นมองมาทางพวกเขา เธอยังคงเงยหน้ายิ้มอย่างมั่นใจ
เสี่ยวอวี้หลินรู้สึกผิด แม้เธอจะมาชดใช้ให้ตัวเองแต่ก็มีเพียงเขาที่รู้ เธอไม่จำเป็นต้องชดใช้อะไรเลยสักนิด ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องมาแบกรับความเจ็บปวดของเขา
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดต่อเธอ เสี่ยวอวี้หลินยื่นมือออกไปเพื่อให้เซี่ยอันน่าเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง
เขาทำเช่นนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก แต่เมื่อคนอื่นมองมากลับเหมือนพิสูจน์ว่าสิ่งนี้เป็นของตัวเอง ดังนั้นทุกคนจึงมองไปยังชวีเวยโดยไม่ได้นัดหมาย
ชวีเวยกำลังชนแก้วอยู่กับคนอื่นๆ แม้เธอจะอยู่ท่ามกลางความครื้นเครง แต่ก็ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเธอนั้นมีความเหงาอ้างว้างปะปนอยู่
แก้วเหล้าในมือของเธอถูกเติมครั้งแล้วครั้งเล่า รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอช่างไร้ที่ติ เสี่ยวอวี้หลินที่มองอยู่รู้สึกไม่เข้าตา จึงเบือนสายตาหนี
“เป็นอะไร?” เซี่ยอันน่ารู้สึกว่าตัวเองถูกกดดันไปหมดที่เอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากถามเธอก็รู้สึกเสียใจ อยู่ที่นี่ นอกจากผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกสบายใจขึ้นได้?
แม้เธอจะไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนจะอยู่ขั้นไหนกันแน่ แต่ก็อิงจากการกระทำของทั้งสองคน ก็เข้าใจได้เลยว่าเป็นมากกว่าเพื่อนแน่นอน
“ไปเถอะ” เสี่ยวอวี้หลินไม่ได้ตอบคำถามเธอและยังพาเธอตรงไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนและส่งไวน์แดงให้เธอ
หลังเงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยกำชับว่า “ถ้าดื่มไม่ได้ ก็จิบพอ ไม่ต้องฝืน”
เซี่ยอันน่ากลอกตามองค้อนเขา อย่างเธอน่ะเป็นพันแก้วก็ไม่เมา ไม่อย่างนั้นจะไปร้านเหล้าสถานที่เช่นนั้นคนเดียวได้อย่างไรล่ะ
“งั้นนายเมาได้อย่างไรล่ะ?” เสี่ยวอวี้หลินเข้าใจความหมายของสายตาดูถูกและการถามของเธอ
“นั่น…นั่นมันเป็นแค่อุบัติเหตุ!” ไม่เอ่ยถึงยังดีเสียกว่า พอเอ่ยถึงก็ทำให้เซี่ยอันน่ารู้สึกอึดอัดใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเสียใจแล้วทำให้ตัวเองเมาเละ จะมีเรื่องยุ่งๆอย่างวันนี้ได้อย่างไร
“โอเค เลิกแขวะได้แล้ว พอเข้าไป คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแค่เดินตามผมก็พอ”
เซี่ยอันน่าพยักหน้า พูดแล้วก็เหมือนกับกำลังเดินเข้าไปในสุสานอย่างไรอย่างนั้น มีอันตรายที่ใหญ่หลวงรออยู่ ถ้าไม่ระวังก็อาจตายที่นี่ได้
คิดแล้วเซี่ยอันน่าก็หัวเราะออกมา เสี่ยวอวี้หลินเห็นเธอจ้องมองกลุ่มคนอย่างว่างเปล่า เมื่อรู้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องอื่นไปทั่ว จึงจับมือเธอแน่นขึ้น
“อย่าใจลอย!”
“อ้อ” เซี่ยอันน่ารับปากอย่างน้อยใจ มือนี้เป็นมือที่เขาเพิ่งบีบไปพอจับนิดหน่อยมันก็เจ็บ
เห็นเธอมีสีหน้าแปลกๆ เสี่ยวอวี้หลินมองตามมือที่พวกเขาจับกันไว้ ชะงักไปแปปหนึ่ง ก็คลายลงนิดหน่อย “ฉันไม่รู้ว่า….”
เซี่ยอันน่าเงยหน้ายิ้มให้เขาอย่างสดใส “ฉันไม่เป็นไร!”
แน่ละว่านายไม่รู้ ความสนใจทั้งหมดของนายไปอยู่ที่ตัวชวีเวยหมดหนิ แล้วจะสนใจคนอื่นได้อย่างไร !
“พวกเธอสองคนกำลังกระซิบอะไรกัน?” แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงนี้บ่อยครั้ง แต่เซี่ยอันน่าก็บอกได้เลยว่านี้คือเสียงของชวีเวย
เงยหน้ามองเธอที่กำลังถือแก้วไวน์อย่างสวยสง่าด้วยรอยยิ้มที่ไร้ที่ติบนใบหน้า เซี่ยอันน่าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจ
สองคนนี้ดูฝืนๆอย่างเห็นได้ชัด แต่ท่าทางของทั้งสองกลับดูไม่มีอะไร แม้ว่าเสี่ยวอวี้หลินจะคอยถามไถ่เธออยู่ตลอดและเธอก็ยังโมโหอยู่บ้าง แต่ก็ยังข่มใจตัวเองไว้อย่างนี้และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเหมือนจะโกรธมากขึ้น
“อวี้หลิน ฉันขอดื่มให้นาย”
ไม่รอให้พวกเขาทั้งสองตอบอะไร ชวีเวยก็ยกแก้วไวน์ในมือให้กับเสี่ยวอวี้หลิน
เสี่ยวอวี้หลินขยับนิ้วและสุดท้ายก็ยกแก้วขึ้นมาชนกับแก้วของชวีเวย “สุขสันต์วันเกิด!”
“ขอบใจนะ”
ทั้งสองคนมองตากันและเงยหน้าดื่มไวน์ทั้งหมดลงคอไป
ความรู้สึกนี้ทำให้เซี่ยอันน่านึกถึงฉากหนึ่งของการจากกันในละครย้อนยุค การชนแก้วของทั้งคู่คือการตัดเยื่อใย พอดื่มไวน์ในแก้วแล้วหลังจากนั้นทั้งสองก็หันหลังแยกจากกันไปตามทิศทางของตัวเอง
แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ดูโออ่าเหมือนในทีวี แต่กลับอบอวลไปด้วยความเศร้าเสียใจไปโดยปริยาย
เซี่ยอันน่าไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้แผ่ออกมาจากตัวเสี่ยวอวี้หลินหรือจากตัวชวีเวยหรือจากทั้งสองคน
“คืนนี้จะพักที่นี่ไหม?”ดื่มเสร็จ ชวีเวยเช็ดมุมปากด้วยกระดาษทิชชูและถามอย่างเป็นกันเอง
“ไม่หรอก ฉันจะขับรถกลับ” เสี่ยวอวี้หลินนวดเข้าที่ขมับ “เพราะงั้นวันนี้ดื่มได้แค่แก้วเดียว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเมาแล้วขับ”
“เมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้!” เซี่ยอันน่าไม่เชื่อ
เสี่ยวอวี้หลินโน้มศรีษะและจับมือข้างซ้ายของเซี่ยอันน่าขึ้นมา “เมื่อก่อนฉันตัวคนเดียว แต่ตอนนี้ยังมีเธออาจจะต้องระวังให้ดีหน่อย”
“อะ?” ชวีเวยเช็ดปากของเธอ “เสี่ยวอวี้หลิน นายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!”
เสี่ยวอวี้หลินไม่ได้ปฏิเสธอะไรและพูดกับเธอว่า “ตอนนี้ดึกแล้ว พวกเราคงต้องขอตัว”
“ถ้าไม่ใช่ว่านายสวมรอยหน้านี้มา ฉันต้องคิดว่านายแอบอ้างปลอมชื่อเป็นเสี่ยวอวี้หลินแล้ว”
เสี่ยวอวี้หลินชะงักเท้า “ฉันยังเป็นฉันคนเดิม”
เสี่ยวอวี้หลินเดินออกจากกลุ่มคนไปและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เซี่ยอันน่าที่เจ็บหัวเข่า ตอนแรกยังพอตามเขาทันแต่ภายหลังกลับไม่มีแรงอย่างที่ใจต้องการ
“โอ้ย!”
สุดท้าย ตอนที่กำลังจะเดินออกจากประตูเซี่ยอันน่าก็สะดุดประตูและล้มคุกเข่าลงที่พื้น
“เธอเป็นอย่างไรบ้าง?” เสี่ยวอวี้หลินถูกเสียงร้องตกใจของเธอดึงสติกลับคืนมา เขาวิ่งเข้าไปหาและนั่งยองๆที่พื้น
“ไม่เป็นไร ขอโทษนะ” เธอรู้ว่าเขาต้องการจะออกจากที่นี้ให้เร็วที่สุด เธอเองก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงแต่ขานี้มันไม่รักดี!
“ขอโทษฉันทำไม?” เสี่ยวอวี้หลินทั้งโกรธทั้งโมโห เห็นๆอยู่ว่าเธอไม่ได้ผิดอะไร เป็นเขาเองที่ไม่ใส่ใจแต่เธอกลับเอ่ยขอโทษกัน
“เกิดอะไรขึ้น?” ชวีเวยรีบเดินเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงและผู้ติดตามเธอก็เดินตามมารวมตัวที่ข้างหลังเธอ
“ล้มเหรอ?” ชวีเวยขมวดคิ้วและหันกลับมาสั่งคนรับใช้ “ ไปหยิบเอากล่องปฐมพยาบาลในห้องมา!”
“ฉันไม่เป็นไร” ทุกคนเดินเข้ามาล้อมรอบตัวเธอที่นั่งอยู่บนพื้นจนหายใจแทบไม่ออก
เธออยากเตือนให้พวกเขาถอยห่างออกไปสักหน่อย แต่แล้วเธอก็คิดได้ว่า เธอไม่ใช่คนที่มีความสำคัญอะไร ทำไมคนอื่นถึงต้องมาฟังเธอด้วยล่ะ?
เธอนั่งอยู่ที่พื้นพยายามหายใจเข้าแต่ก็รู้สึกว่าออกซิเจนนั้นมีน้อยและเริ่มควบคุมสายตาที่ค่อยๆหรี่ลงไม่ได้
เสี่ยวอวี้หลินสังเกตเห็นว่าเซี่ยอันน่าดูแปลกไปจึงผลักชวีเวยที่อยู่ใกล้ๆออก “ฉันเองดีกว่า เธอพาพวกเขาออกไปก่อนเถอะ!”
ชวีเวยผงะไปและรู้สึกฝืดเคืองที่มุมปาก “โอเค”
พูดจบก็หันออกไปบอกคนอื่นๆ “ทุกคนแยกย้ายได้แล้ว ยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับพวกเรา”
เสี่ยวอวี้หลินรู้สึกตกใจเล็กน้อยกับการกระทำของตัวเอง แต่ก็รีบหันกลับมาสนใจเซี่ยอันน่า
“เธอไม่เป็นอะไรไช่ไหม?”
เซี่ยอันน่าส่ายหัว “ฉันไม่เป็นอะไร”
เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นชั่วร้ายและรู้สึกว่าเขาและชวีเวยทั้งสองเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงและตัวเองกลับเป็นแม่มดมาขัดขวางระหว่างพวกเขา
เสี่ยวอวี้หลินไม่รอเธอตอบกลับอะไร เขาอุ้มเธอขึ้นมา “แผลเธอเปิดนิดหน่อย ฉันมียาสำรองอยู่ในรถ เดี๋ยวจะทำแผลให้ใหม่นะ”
“อ้อ” เซี่ยอันน่าซบลงที่ไหล่ของเสี่ยวอวี้หลินท่ามกลางกลุ่มคนและสายตาชวีเวยที่มองมาทางพวกเขา
เธออดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ความรู้สึกที่แสดงออกมาผ่านสายตาแบบนั้นทั้งแค้นเคืองและปวดร้าว แน่นอนว่ามันต้องได้รับการทำร้ายที่เจ็บปวดมากๆ
“คิดอะไรอยู่?” เสี่ยวอวี้หลินอุ้มเธอเข้าไปที่ข้างคนขับ เธอนิ่งเงียบผิดปกติตลอดทางไม่เหมือน
กับนิสัยของตัวเธอ
“เจ็บมากเหรอ?”
เสี่ยวอวี้หลินนั่งยองๆมองเข่าเธอ มีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย นอกจากแผลนี้แล้วที่อื่นๆก็มีรอยฟกช้ำและแผลถลอกอีกมากมาย
“ทำไมถึงประมาทขนาดนี้” เสี่ยวอวี้หลินขมวดคิ้ว แค่ตามเขาไปงานเลี้ยงชั่วโมงกว่าๆ ถึงกับทำให้ตัวเองเจ็บไปทั้งตัวแบบนี้ เก่งมากจริงๆ