วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 46 คุณชายตระกูลฉู่กับจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา?

“ฮัลโหล? นี่ฉันเอง เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉันแล้ว ทำไงดี”

“คุณมู่ คุณนี่มันโง่จริงๆเลย ผมอุตส่าห์สร้างหน้ากากนี้เพื่อคุณ มาดีขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ทำไมยังโดนจับได้อีก”

มู่เวยเวยกัดฟันด้วยความโกรธ คิดในใจนายนั่นแหละโง่ โง่กันทั้งบ้าน

“นี่ไม่เกี่ยวกับหน้ากากที่คุณสร้างขึ้นมาซะหน่อย ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินกำลังสงสัยว่าข้อมูลของฉันเป็นของปลอม”

“นั่นยิ่งเป็นเพราะความโง่ของคุณไง” ชายคนนั้นตอบกลับอย่างไม่สุภาพ

มู่เวยเวยไม่มีอะไรจะพูดต่อ

“เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง”

มู่เวยเวยเตรียมจะเอ่ยถามถึงแผนการของเขา แต่อีกฝั่งก็ชิงวายสายไปเสียก่อน

ไอ้บ้าเอ้ย!มู่เวยเวยสบถด่าอย่างหัวเสีย

เธอเดินสงบจิตสงบใจอยู่ข้างนอกห้องสักพัก ก็เดินเข้าห้องไป พลางคิดว่าคืนนี้จะรับมือยังไงกับเย่ฉ่าวเฉิน

เย่ฉ่าวเฉินขึ้นห้องมาเปลี่ยนใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นเสร็จ ก็เดินลงมาข้างล่าง เห็นมู่เวยเวยกำลังนั่งเหม่อลอย เขายิ้มอ่อนแล้วเดินเข้าไปหาเธอ พร้อมกับพูดว่า “ยังคิดเรื่องเมื่อกี้อยู่หรือครับ? ผมแค่ล้อเล่นเอง อย่าเก็บมาใส่ใจเลย”

มู่เวยเวยหันกลับไปตอบเขาด้วยอารมณ์ไม่สนุกด้วยว่า “คุณเย่คะ คุณล้อเล่นแบบนี้ฉันไม่เห็นจะสนุกด้วยเลยค่ะ”

“โอเคๆผมผิดไปแล้วครับ งั้นเดี๋ยวผมดื่มเป็นเพื่อนคุณแล้วกันนะครับ”

ดื่มหรอ? มู่เวยเวยคออ่อนมาก อีกอย่างถ้าเมาแล้วเธอต้องเผลอทำอะไรออกไปแน่ๆ ให้เขาสงสัยอีกแน่ ไม่ได้การณ์ละยังเธอก็จะดื่มเหล้าไม่ได้เด็ดขาด

“วันนี้เป็นวันเกิดฉัน น่าจะเป็นฉันมากกว่านะที่เป็นคนตัดสินใจ” มู่เวยเวยเชิดหน้าตอบกลับ

เย่ฉ่าวเฉินกล่าวอย่างไม่มีกังขาอะไร “โอเคๆครับ คุณพูดอะไรก็เอาตามนั้นเลยครับ”

“งั้นก็ตกลงค่ะ คุณพูดแล้วนะ” มู่เวยเวยกล่าวอย่างมีแผนอยู่ในใจ

ขณะเดียวกันมือถือของมู่เวยเวยก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดู สังเกตเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกๆ และไม่น่าจะใช่เบอร์ของประเทศจีน เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะรับสาย “ฮัลโหล? นั่นใครคะ?”

“อาเหยียน สุขสันต์วันเกิดนะ” ปลายสายเป็นผู้ชาย มู่เวยเวตอบกลับปลายสายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ในที่สุดคุณก็คิดออกว่านี่วันเกิดฉัน ฉันนึกว่าคุณจะลืมไปแล้วซะอีก”

เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธอคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทีดีอกดีใจ เขาก็รู้สึกแปลกประหลาดใจ

“วันเกิดเธอทั้งที ฉันจะลืมได้ไงเล่า ฉันเตรียมของขวัญวันเกิดไว้ให้เธอด้วยนะ” ผู้ชายปลายสายกล่าว

“จริงหรอคะ? งั้นคุณรีบส่งพัสดุมาให้ฉันเลย” เธอรีบกลับทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าปลายสายคือใคร

“ไม่ต้องส่งพัสดุหรอก พรุ่งนี้ฉันก็จะไปเมืองเออยู่แล้ว ฉันเอามันให้เธอด้วยมือตัวเองน่าจะดีกว่า”

“ห๊ะ พรุ่งนี้คุณจะมาเมืองเอหรอคะ?” มู่เวยเวยรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับการแสดงนี้

“ทำไมหรือ เธอไม่ต้อนรับฉันหรือ วันสองวันก่อนเธอยังโทรบอกคิดถึงฉันอยู่เลย ทำไมตอนนี้ทำเหมือนไม่อยากเจอฉันอย่างนั้นล่ะ”

มู่เวยเวยภายในใจสับสนไปหมด ได้แต่คิดว่าปลายสายคือใครกันแน่นะ ทำไมฟังดูแล้วคล้ายกับเสียงของแฟนฉู่เหยียนเลยล่ะ เธอกลัวจนไม่กล้าพูดต่อ

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แค่รู้สึกเซอร์ไพรส์นิดหน่อยค่ะ” มู่เวยเวยแกล้งถามต่อว่า “คุณมาทำธุระอะไรที่เมืองเอหรือคะ อย่าบอกนะว่ามาแค่เพราะจะเอาของขวัญให้ฉัน?”

“คิดมากไปหรือเปล่าครับ คุณพ่อส่งให้ผมไปคอยสอดส่องดูแลคุณ ดูว่าคุณมีงานทำที่เมืองเอหรือเปล่าต่างหากครับ”

พอเธอได้ยินแบบนั้นก็นึกขึ้นมาได้ ว่าฉู่เหยียนมีพี่ชาย 1 คน น้องสาวอีก 1 คน และในเมื่อปลายสายเป็นผู้ชาย เขาก็น่าจะใช่พี่ชายของฉู่เหยียนที่ชื่อว่าฉู่เซวียน

พอเธอรู้ว่าเป็นใคร มู่เวยเวยก็กล้าที่จะพูดคุยกับเขามากขึ้น “พี่ชาย งานเสร็จแล้วหรือคะ ถึงจะมาสอดส่องดูแลฉัน”

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเธอเรียกปลายสายว่าพี่ชาย ก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจกับสิ่งที่เขาเคยคิดไว้ ฉู่เซวียนลูกชายคนโตของตระกูลฉู่หรอ? ได้ยินชื่อเสียงมาว่าเขาคือหัวหน้าพรรคคนใหม่ในอนาคต

เขาจะมาเมืองเอหรือ?

“ไปแค่เดือนเดียวเอง ไม่ส่งผลกระทบถึงงานฉันหรอกหน่า”

“ถ้างั้นก็ดีค่ะ พรุ่งนี้พี่จะมาถึงตอนไหนคะ? ฉันจะได้ไปรับที่สนามบิน” มู่เวยเวยตอบกลับอย่างดีใจ แต่ในใจกลับคิดว่าเธอจะทำอย่างไรดี เธอไม่เคยแม้แต่จะเจอฉู่เซวียนเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนยังไง อีกอย่างเขามาที่นี่นานขนาดนี้เพราะอะไรกัน เขาต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่ ๆ

“พรุ่งนี้ฉันบินไฟล์ทเช้า น่าจะถึงที่นั่นประมาณสี่โมงเย็น”

“โอเคค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปรับพี่นะคะ”

“อาเหยียนน่ารักที่สุดแล้ว สุขสันต์วันเกิดอีกทีนะ”

“ขอบคุณนะคะพี่ชาย” มู่เวยเวยตอบกลับเขาอย่างจริงใจ นานมากแล้วที่เธอไม่เรียกคนอื่นว่าพี่ชาย

เย่ฉ่าวเฉินสังเกตพฤติกรรมเธออย่างละเอียด พลางตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่เขาจำผิดจริงๆหรือ? เธอไม่ใช่เวยเวยจริงหรือ?

ตระกูลฉู่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำแบบนี้

เย่ฉ่าวเฉินตกอยู่ในความสับสนอีกครั้ง

“พรุ่งนี้พี่ชายของฉันจะมาที่นี่” มู่เวยเวยหันกลับไปถามเย่ฉ่าวเฉินอย่างมีความสุขว่า “คุณยังสงสัยอะไรในตัวฉันอีกไหมคะ?”

“ทำไมยังพูดแบบนี้อยู่อีกล่ะ ผมก็บอกแล้วไงว่าแค่ล้อเล่น คุณน่ะใหญ่ที่สุดแล้วโอเคมั้ย” เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

มู่เวยเวยเชิดหน้าเล้กน้อย และเดินมุ่งหน้าไปทางห้องอาหาร “ ฮึ ฉันขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับคุณแล้ว ฉันจะไปกินข้าว หิวจะตายอยู่แล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินมองตามแผ่นหลังของเธอ ภายในใจรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก

ฉินหม่าได้ยินว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉู่เหยียน เธอตั้งใจผัดหมี่ซั่วให้เธอ เมื่อผัดเสร็จฉินหม่าก็ยกไปเสิร์ฟเธอพร้อมกับพูดว่า “ไม่รู้ว่าเวลาพวกคุณฉลองวันเกิดจะกินผัดหมี่แบบนี้ไหม แต่ฉันก็อยากให้คุณลองดูนะคะ ถือว่าได้ลองอะไรใหม่ๆค่ะ”

มู่เวยเวยกล่าวขอบคุณฉินหม่า “ขอบคุณค่ะ” เธอตักเข้าปากไปคำหนึ่งและเอ่ยปากชมว่า “ผัดหมี่อร่อยมากเลยค่ะ ขอบคุณจริงๆนะคะฉินหม่า”

“ไม่เป็นต้องเกรงใจค่ะ เห็นคุณฉู่ชอบฉันก็ดีใจค่ะ” ฉินหม่าตอบกลับอย่างชอบใจและเดินกลับห้องครัวไป

ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาก ไม่ได้กดดันเท่าตอนอยู่กับเย่ฉ่าวเฉินเมื่อสักครู่นี้แล้ว

มู่เวยเวยแอบมองเขา ไม่กล้าเริ่มเข้าไปก่อกวนหรือยั่วโมโหเขา กลัวเขาจะชวนเธอดื่มเหล้าอีก เพราะวันนี้เป็นวันเกิดเธอ ถ้าเธอจะปฏิเสธไม่ดื่มก็คงแปลก ๆ

เมื่อกินข้าวเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินยกเค้กมาให้เธอ จุดเทียนและยิ้มอย่างอ่อนโยนกับเธอว่า “อธิษฐานซิครับ”

มู่เวยเวยหัวเราะชอบใจ “โตขนาดนี้แล้วยังเล่นแบบนี้อยู่อีกหรือเนี่ย” ถึงแม้ว่าเธอจะพูดแบบนั้นออกไป แต่เธอก็ยังหลับตาและอธิษฐาน ขอให้ทุกอย่างราบรื่น ขอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยเร็ว

เธอลืมตาและเป่าเทียน

“อธิษฐานอะไรหรหือครับ?”

มู่เวยเวยที่กำลังตัดเค้กอยู่ ได้ยินเขาถาม ก็ตอบกลับด้วยท่าทีซุกซนว่า “ไม่บอกหรอกค่ะ ถ้าบอกคุณแล้วเดี๋ยวจะไม่เป็นจริง”

“โอเคๆ งั้นผมขอให้คุณสมหวังกับคำอธิษฐานเร็วๆ แล้วกันครับ” เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับ

มู่เวยเวยยกเค้นก้อนนึงให้เขา และพูดกับเขาอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำอวยพรด้วยนะ”

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปในตาของเธอ พร้อมกับโน้มตัวไปกัดเค้กบนมือของเธอ ความหวานของเค้กทำให้จิตใจเขารู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก

“อร่อยไหมคะ” มู่เวยเวยถาม

“คุณลองชิมซิครับ”

มู่เวยเวยลองตักชิมเข้าปากและพูดว่า “อืม..อร่อยจัง”

เมื่อมองเห็นสายตาที่สับสนของเขาที่มองมาทางเธอ มู่เวยเวยรีบเบี่ยงควาสนใจเขาและเอาเค้กไปป้ายหน้าเขา จากนั้นก็วิ่งหนี

เย่ฉ่าวเฉินตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเธอ ก็ตั้งสติได้รีบป้ายครีมใส่มือและวิ่งไล่ตามเธอ

มู่เวยเวยเห็นเขาวิ่งตามมา ก็รีบวิ่งไปออกทางข้างนอกห้อง วิ่งไปพูดไปว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้วค่ะ อย่าตามฉันมา…”

แต่ว่าเธอก็ไม่สามารถหนีเย่ฉ่าวเฉินพ้น แค่ไม่เท่าไหร่ก็โดนเขาตามทัน มือข้างหนึ่งของเขาโอบเอวเธอไว้ไม่ให้หนี มืออีกข้างหวังจะป้ายครีมบนหน้าเธอ

มู่เวยเวยหัวเราะเสียงดัง ไม่นานหน้าของมู่เวยเวยก็เต็มไปด้วยครีม เธอพูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “พอแล้วๆเย่ฉ่าวเฉิน อย่าๆๆๆทำฉันเลยฮ่าๆๆๆๆ”

มู่เวยเวยต้องการจะแก้แค้นบ้าง เธอจคงรีบป้ายครีมที่อยู่ในมือของเย่ฉ่าวเฉิน จากนั้นก็เอาไปป้ายที่หน้าและลำคอของเขา เย่ฉ่าวเฉินหลบไม่ทัน จึงทำให้หน้าและลำคอของเขาเต็มไปด้วยครีม

พวกเขาทั้งสองหัวเราะชอบใจกันเสียงดัง

“ฮ่าๆๆๆๆ พอแล้วๆๆ ไม่เล่นแล้ว” มู่เวยเวยกล่าวหลังจากที่รู้ว่าสู้เขาไม่ได้ ตอนนี้ทั้งหน้าเธอเต็มไปครีม

ในที่สุดทั้งสองก็หยุดเล่น ทั้งสองเล่นกันจนเหนื่อยหอบ

“คุณทำเกินไปไหมคะ ฉันป้ายคุณนิแค่ดเดียวเอง แต่ดูคุณป้ายฉันซิ ป้ายซะเละเลย” มู่เวยเวยขำไปพูดไป

“แล้วใครให้คุณเริ่มก่อนล่ะครับ” เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับด้วยท่าทางล้อเลียน

“ก็วันนี้วันเกิดของฉัน คุณเป็นคนพูดเองนะว่าฉันจะทำอะไรก็ได้”

“ใช่หรือครับ?”

มู่เวยเวยไม่ทันตั้งตัวก็โดนเขาจูบจู่โจม

มู่เวยเวยหายใจไม่ออกเพราะรอยจูบของเขา เธอคาดการณ์ว่าวันนี้ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ ถ้าเขามาจริงๆเธอควรจะปฏิเสธหรือ……?

“ไม่อนุญาตให้คิดมั่วซั่ว” เย่ฉ่าวเฉินมองเธอที่กำลังสับสน และรีบจู่โจมริมฝีปากของเธออย่างร้อนแรง

ในเวลานี้ เขาคือผู้ชายที่ฉู่เหยียนรักใคร่และชื่นชอบ จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เธอจะปฏิเสธเขา และยิ่งกว่านั้น เธออาจจะไม่เคยใกล้ชิดกับใครเลย

ทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่ม สายตาของเย่ฉ่าวเฉินนั้นแดงก่ำ เขาเลือกที่จะไม่มองหน้าของฉู่เหยียน ในใจเขาคิดแต่เพียงว่าภายใต้ร่างกายนี้คือมู่เวยเวย ภรรยาของเขา

มู่เวยเวยไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขารู้ตัวกับสิ่งที่ทำลงไปไหม หรือแค่อยากจะทดสอบอะไรบางอย่างกันแน่

เพื่อความแน่ใจ เธอจึงสัมผัสหน้าเขา ให้เขาเงยหน้าขึ้นมามองนัยตาเธอ และถามว่า “เย่ฉ่าวเฉิน คุณตอบฉันได้ไหมว่าฉันคือใคร”

นัยตาเย่ฉ่าวเฉินนั้นสับสนมาก เขาหลับตาลงโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูเธอว่า “ผมรู้ดีว่าคุณคือใคร แต่ครั้งนี้ช่วยแกล้งทำเหมือนว่าคุณคือเวยเวยได้ไหม ผมไม่กลัวถึงแม้จะเป็นแค่ความฝันก็ตาม”

ภายในใจของมู่เวยเวยเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา เธอเหม่อไปชั่วขณะ และตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ค่ะ”

มู่เวยเวยรู้สึกเหนื่อยล้า และในที่สุดเธอก็หลับไป

…………………………….

ดวงอาทิตย์สาดแสงเจิดจ้า

เวลา 9 โมงแล้ว เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยยังไม่ลุกออกจากเตียง พ่อบ้านหวังไม่ได้รีบร้อนจะปลุกพวกเขา เรื่องเมื่อคืนเขาเห็นทุกอย่างหมดแล้ว พลางคิดว่านานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นคุณชายมีความสุขแบบนี้และเมื่อคืนเขาทั้งสองคงจะเหนื่อยล้ามาก เพราะฉะนั้นถ้าพวกเขาจะนอนหลับยันบ่ายก็คงไม่เป็นอะไร

ชั่วโมงถัดมา เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆตื่นลืมตาขึ้นมา เห็นมู่เวยเวยนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดเขา โชคดีที่แอร์ในห้องทำงานดี ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกร้อน

พลางย้อนกลับไปคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้เขาเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีก เขาหันไปทับร่างเธอที่กำลังหลับอยู่

มู่เวยเวยสะดุ้งตื่น พร้อมกับพูดว่า “เย่ฉ่าวเฉิน คุณปล่อยฉันเถอะ ฉันเหนื่อย”

เย่ฉ่าวเฉินคิด นี่เป็นคำที่มู่เวยเวยมักพูดติดปาก

ฉู่เหยียน คุณจะบอกว่าคุณไม่ใช่เธอจริงๆ หรือ แล้วทำไมถึงได้เหมือนกันขนาดนี้?

ถึงเธออ้างเหตุผลอีกเป็นร้อยเป็นพัน เขาก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

และถึงจะให้ใครมาบอกกับเขาอีกสักกี่คน เขาก็ไม่เชื่อ สัมผัสร่างที่คุ้นชินนี้ยังไงซะก็ไม่มีทางผิด

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ยอมรับ แต่เขานี่แหละจะทำทุกวิถีทางให้เธอพูดความจริงออกมาให้ได้

ว่าเธอนี่แหละคือมู่เวยเวย!

มู่เวยเวยตื่นขึ้นเพราะการก่อกวนของเขา คิดในใจผู้ชายคนนี้ ไม่รู้จักจบจักสิ้นหรือไง?

“เย่ฉ่าวเฉิน เมื่อคืนคุณบอกว่าเป็นความฝัน แล้วตอนนี้มันคืออะไรกันคะ” มู่เวยเวยถามกลับอย่างหัวเสีย

“ตอนนี้ยังฝันไม่จบไง ผมยังอยากฝันอยู่” เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับด้วยเสียงแหบพร่า

มู่เวยเวยกรอกตามองบน ใจคิดว่าทำไมเขากล้าพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร หน้าไม่อาย

“หลบไปเถอะค่ะ ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินยอมลุกออกจากร่างเธอแต่โดยดี จากนั้นก็คว้าเอวของเธอเข้ามากอดและอุ้มไปที่ห้องน้ำ

มู่เวยเวยพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของเขา แต่ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด ตอนนี้เธอไม่มีแรงเหลือแล้ว

“เย่ฉ่าวเฉินคุณทำเกินไปแล้วนะคะ” มู่เวยเวยตำหนิเขา

แต่เย่ฉ่าวเฉินแกล้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดเธอ เขาอุ้มเธอเข้าห้องอาบน้ำจากนั้นเปิดน้ำอุ่นจากฝักบัวรดบนร่างเธอ ทั้งคู่รู้สึกสบายขึ้นมาก

เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะชอบใจ ที่เห็นสายตาเธอ โน้มตัวลงพูดกับเธอว่า “เธอพรากวิญญาณฉันไปแล้ว”

“เย่ฉ่าวเฉินคะ ถ้าสมมติว่าฉันเป็นผู้พิทักษ์วิญญาณ คุณก็คงเป็นปีศาจแก่บนภูเขาน้ำแข็งแหละ” มู่เวยเวยตอบกลับ

“อ้าว ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”

“เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะว่าภายนอกคุณดูเหมือนคนเย็นชา ยากที่คนจะเข้าถึงได้ แต่แท้จริงแล้วภายในใจรุ่มร้อนและเอาแต่หมกมุ่นชอบล่อลวงผู้หญิง”

“แต่ว่าฉันล่อลวงคุณแค่นิดๆหน่อยๆเองนะ”

มู่เวยเวยได้ยินแบบนั้น รู้สึกทนไม่ได้ ขนลุกขนพอง

ช่วงบ่าย เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ไปทำงาน เพราะเขากะว่าจะพาฉู่เหยียนไปรับพี่ชายที่สนามบิน และถือโอกาสนี้สังเกตการณ์ว่า ทั้งสองเป็นพี่น้องกันจริงหรือไม่

เขากลัวว่าคนจะมาเยอะ จึงเตรียมรถไปรับสองคัน

ระยะทางยิ่งเข้าใกล้สนามบิน มู่เวยเวยยิ่งรู้สึกกดดัน เธอไม่รู้ว่าจะมองออกไหมว่าใครคือฉู่เซวียน เธอเคยเห็นเขาจากในรูปถ่ายเท่านั้น ลักษณะที่เธอเห็นเขาคือผู้ชายตัวสูงใหญ่และหน้าตาหล่อเหลาทีเดียว แต่ก็นะ มันก็เป็นเพียงแค่รูปถ่าย ไม่รู้ว่าตัวจริงจะเหมือนกับในรูปหรือเปล่า ถ้าสมมติว่าเธอมองไม่ออกว่าฉู่เซวียนคือคนไหน เธอต้องโดนจับได้แน่ๆ ว่า เธอคือฉู่เหยียนตัวปลอม

เธอเริ่มคิดว่าจะพูดประโยคแรกว่าอะไร เมื่อเจอกับเขา

ไม่นาน รถก็มาถึงสนามบินเรียบร้อย แต่ไฟล์ทที่ฉู่เซวียนนั่งมายังไม่ถึง มู่เวยเวยยืนรอรับเขาอยู่ที่ทางออก แต่ในสมองเธอเอาแต่ประมวลภาพหน้าของฉู่เซวียน ขอร้องล่ะ ขอให้เขาหน้าตาเหมือนในรูปด้วยเถิด

อย่าให้โดนจับได้เลย เพี้ยง!

เย่ฉ่าวเฉินแอบมองพฤติกรรมเธออย่างเงียบๆ และถามว่า “ทำไมคุณดูเครียดๆ?”

“หืม? ไม่ซะหน่อย” มู่เวยเวยขำกลบเกลื่อน “แค่ฉันไม่ได้เจอพี่ชายนานมากแล้วเลยรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย”

เย่ฉ่าวเฉินได้เพียงแต่ยิ้มรับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ

จากนั้นก็มีประกาศจากทางสนามบินว่า

“ขณะนี้ไฟล์ทบินจากฮ่องกงกำลังลงจอด เชิญญาติผู้โดยสารรอรับได้ที่ประตูทางออก ขอบคุณค่ะ”

มู่เวยเวยใจเต้นรัว “เขา มา ถึง แล้ว”

รออยู่สักพักใหญ่ ประตูทางออกก็เริ่มมีคนทะยอยเดินออกมา และเพื่อไม่ให้พลาด จึงมู่เวยเวยเพ่งมองผู้ชายทุกคนอย่างใจจดใจจ่อ พยายามมองหาผู้ชายที่หน้าตาเหมือนในรูป

ผู้คนกว่าครึ่งเดินออกมาจากข้างใน จากนั้นเธอก็ได้เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมหนึ่ง หน้าตาของเขาหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกของเขาโดดเด่นมาก

มู่เวยเวยมั่นใจว่าเขาคือฉู่เซวียน

จริงๆแล้วเธอไม่ต้องตั้งใจดูขนาดนั้นก็ได้ เพราะแท้จริงแล้วเขาแลดูมีออร่ามาก ไมม่ว่าเดินไปตรงไหนก็จะเห็นเขาเปล่งประกายโดดเด่นออกมาจากฝูงชน

มู่เวยเวยเตรียมที่จะเรียกเขา แต่คำว่า “พี่ชาย” มันติดอยู่ที่ปาก เธอพูดไม่ออก

พี่ชายหรือ เธอมีแค่พี่ชายคนเดียว และเรียกมาตลอด 20 กว่าปี

ประจวบเหมาะกับที่ฉู่เซวียนเงยหน้าเห็นเธอพอดี เขายิ้มให้เธอและเดินตรงปรี่เข้ามา พร้อมกับเขกหัวเธอไปหนึ่งที “อาเหยียน ดีใจที่เห็นฉันจนเอ๋อไปเลยหรือ นี่ไม่คิดจะเรียกพี่หน่อยหรือหืม”

มู่เวยเวยรู้สึกโล่งที่หาเขาเจอ และพูดตอบกลับเขาว่า “พี่อย่าเอาแต่เขกหัวฉันได้มั้ยคะ ที่ฉันเอ๋อก็เพราะพี่เขกหัวฉันนั่นแหละ”

ฉู่เซวียนหัวเราะชอบใจ “เธอโง่ๆเอ๋อๆแบบนี้ ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าเธอดูแลจัดการเรื่องที่เมืองเอยังไง”

“ฉันไม่ได้เอ๋อขนาดนั้นซะหน่อย อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เรียนทางนี้มา ถ้ามันจะมีอะไรผิดพลาดบ้างก็ยังน่าให้อภัยอยู่นะ ใครจะไปเหมือนพี่ เรียนทำธุรกิจกับคุณพ่อตั้งแต่เด็ก” มู่เวยเวยแสร้งตอบกลับ คิดว่ายังไงซะฉู่เซวียนก็คงไม่ได้สงสัยในตัวเธอ

สองพี่น้องพูดคุยหยอกล้อกันต่อหน้าเย่ฉ่าวเฉิน ดูจากภายนอกแล้ว ไม่มีผิดแปลกเลย หนำซ้ำยังดูเหมือนเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอีกด้วย

ฉู่เซวียนหันไปมองเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เวยเวย และถามด้วยท่าทีหยอกล้อว่า “อาเหยียน ผู้ชายคนนี้คือ….?”

“อ๋อ ผู้ชายคนนี้คือประธานของเย่ฮวางกรุ๊ปค่ะ”

ฉู่เซวียนได้ยินชื่อเสียงของเขาพร้อมยื่นมือออกไปเตรียมจะเช็คแฮนด์ “คุณคือประธานเย่นี่เอง เวลาประชุมคุณพ่อกับประธานถังมักพูดถึงคุณอยู่บ่อยๆ พอมาเห็นตัวจริงดูเด็กมากเลยนะครับ”

เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือเช็คแฮนด์ตามมารยาท พร้อมตอบว่า “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ประธานฉู่ก็เก่งมากเหมือนกัน ได้ยินมาว่าโปรเจ็คสวนสนุกนี้เป็นคุณที่แนะนำให้คุณฉู่ สายตาคุณเฉียบแหลมมากครับ”

“จริงหรือครับ ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ” ฉู่เซวียนไม่ปฏิเสธพร้อมหัวเราะชอบใจ “ขอบคุณนะครับที่ให้เกียรติมารับผมด้วยตัวเอง”

“บริษัทMKเป็นผู้ร่วมธุรกิจที่สำคัญกับพวกเรา มิหนำซ้ำคุณยังเป็นถึงกรรมการบริษัท ถ้าผมไม่มารับด้วยตัวเองเกรงว่าจะดูเป็นการไม่ให้เกียรติน่ะครับ”

“ฮ่าๆๆๆ คุณนี่ช่างพูดจริงๆ” ฉู่เซวียนพูดจบก็พาดแขนบนไหล่ของมู่เวยเวย จากนั้นฉู่เซวียนพูดขึ้นว่า “ไปโรงแรมกันเถอะ ฉันหิวจะตายแล้ว อาหารบนเครื่องรสชาตแย่มากๆ ฉันกินไม่ลงเลย”

มู่เวยเวยสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปัดแขนของฉู่เซวียนออก และเดินออกไปนอกสนามบินพร้อมกับเขา

เย่ฉ่าวเฉินมองแขนที่กำลังโอบมู่เวยเวยอยู่ ก็รู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก

โชคดีที่เขาเตรียมรถมาสองคัน พวกที่มากับฉู่เซวียนนั่งรถอีกคัน ส่วนฉู่เซวียนและมู่เวยเวยนั่งรถคันของเย่ฉ่าวเฉิน

“พี่คะ ช่วงนี้พี่ต้องพักที่โรงแรมหรือคะ” มู่เวยเวยเอ่ยถาม

ฉู่เซวียนที่กำลังชื่นชมกับทิวทัศน์สองข้างทางอยู่ หันกลับมาตอบเธอว่า “ก็แหงซิ ไม่งั้นจะให้ฉันไปพักที่ไหนล่ะ? ฉันอยู่ที่นี่แค่สองสามเดือน ไม่คุ้มที่จะซื้อห้องอยู่หรอกหน่า”

สองสามเดือนหรือ? เมื่อวานตอนคุยโทรศัพท์ เขาบอกว่าจะมาแค่เดือนครึ่งเดือนเองนี่?!

ทำไมอยู่ๆ ก็เปลี่ยนใจนะ?

เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?

มู่เวยเวยรู้สึกเคร่งเครียด พลางคิดว่า

จุดประสงค์ของผู้ชายคนนี้คืออะไร?

“อ่อๆค่ะ ฉันก็แค่ถามไถ่ เป็นห่วงพี่เฉยๆค่ะ”

ฉู่เซวียนหันหน้ามาหาเธอ พร้อมกับพูดว่า “อ่าใช่ ฉันเกือบลืมไปเลย เธอซื้อคอนโดใหม่ไม่ใช่หรือ? หรือไม่งั้นฉันก็อาจจะย้ายไปอยู่กับเธอ อยู่โรงแรมก็เปลืองเงินเปล่าๆ อยู่ด้วยกันท่าจะดี”

“ห๊า? ไม่ๆๆดีกว่าค่ะ ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว” มู่เวยเวยรีบปฏิเสธเขา

“เธอไม่ได้อยู่ที่คอนโด? แล้วตอนนี้เธอพักที่ไหน?” ฉู่เซวียนขมวดคิ้วถามกลับ

มู่เวยเวยเหลือบมองไปทางเย่ฉ่าวเฉิน จากนั้นตอบว่า “เอ่อ…ช่วงนี้ฉันพักอยู่ที่บ้านของประธานเย่ค่ะ”

ฉู่เซวียนได้ยินแบบนั้นก็ตกใจ พร้อมกับเอ่ยตำหนิเธอว่า “อาเหยียน ทำไมเธอถึงใจง่ายยอมไปนอนบ้านผู้ชายคนอื่นแบบนี้ เรื่องนี้จะให้คุณแม่รู้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นเธอโดนเรียกตัวไปกักบริเวณที่ฮ่องกงแน่”

“พี่คะ มันไม่ได้เป็นแบบที่พี่คิดซะหน่อย” มู่เวยเวยพยายามอธิบาย “คือว่าก่อนหน้านี้ ฉันโดนพวกโรคจิตย่องตามไปถึงที่คอนโด แถมมันพวกมันยังทำร้ายร่างกายฉันอีก โชคยังดีที่ประธานเย่รีบไปช่วยไว้ทันก่อนที่พวกมันจะทำอะไรไปมากกว่านี้ ประธานเย่เห็นว่าฉันอยู่คนเดียวคงไม่ค่อยปลอดภัย เลยเสนอให้ฉันไปพักที่บ้านเขาสักระยะค่ะ”

ฉู่เซวียนได้ยินดังนั้นก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม รีบคว้าแขนของมู่เวยเวยมาสำรวจดู “แล้วเธอเป็นอย่างไรบ้าง? ได้รับบาดเจ็บอะไรไหม?”

“โดนตบไปสองทีค่ะ ตอนแรกหน้าฉันบวมมาก แต่ไม่นานก็หาย”

ฉู่เซวียนฟังจบก็สบถด้วยความโมโห “บัดซบเอ้ย!กล้ามากที่มาทำร้ายคนของตระกูลฉู่ ไอ้สารเลวสองคนนั้นมันอยู่ที่ไหน ฉันจะตามไปฆ่าพวกมัน”

ฉู่เหยียนหัวเราะเหอเหอ “พวกนั้นเข้าคุกไปแล้วค่ะ ตอนที่ประธานเย่มาช่วย เขาจับพวกมันส่งตำรวจไปแล้ว ตอนที่ตำรวจซักประวัติพวกมันเสร็จ ฉันถึงได้รู้ว่าพวกมันคือคนที่โดนหมายจับ โทษที่พวกมันมีก็น่าจะทำให้โดนจำคุกตลอดเลยค่ะ เห้อตอนนี้ฉันไม่กล้ากลับไปอยู่ที่นั่นแล้ว ฉันคงนอนฝันร้ายทุกคืนแน่ๆ”

“ไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องไปอยู่ อยู่ห้องแบบนั้นยังเคราะห์ร้ายแบบนี้” ฉู่เซวียนพูดอย่างหัวเสีย จากนั้นก็หันมาพูดด้วยท่าทีจริงจังว่า “แต่ถึงยังไงก็เถอะ เธอก็จะอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ต่อไปไม่ได้ รีบย้ายออกมาซะ แล้วเราไปพักที่โรงแรมกัน”

มู่เวยเวยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งเล็กน้อย ในใจคิดว่าเจ้าคนนี้เขามาช่วยเธอจริงหรือเปล่าเนี่ย มันยากมากเลยนะกว่าเธอจะหาโอกาสเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ แต่ตอนนี้เขากำลังจะพาเธอออกไป แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี จะหาสิ่งนั้นต่อไปอย่างไรดี

“ประธานฉู่ครับ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวแทรกขึ้น “บ้านของผมมีพื้นที่กว้างขวาง ถ้าไม่รังเกียจ พวกคุณมาพักที่บ้านผมก็ได้นะครับ”

“ไม่ต้องครับ” ฉู่เซวียนตอบกลับทันควัน “ตระกูลผมมีเงินพอจะจ่ายค่าโรงแรมครับ”

เย่ฉ่าวเฉินทำได้แค่นิ่ง หวังดีแต่กลับโดนมองว่าประสงค์ร้ายซะงั้น ช่างเถอะ ขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว แต่ว่าเรื่องที่จะให้ฉู่เหยียนย้ายออก เขาทำใจไม่ได้จริงๆ เขาเพิ่งจะได้ลองลิ้มรสหวานของเธอเมื่อคืนวานนี้เอง….

“พี่คะ พี่แน่ใจแล้วหรือว่าจะให้ฉันไปพักที่โรงแรม” มู่เวยเวยมองเขาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง หวังว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่เธอสื่อ แต่เปล่าเลย เขาไม่สนใจสิ่งที่เธอกำลังสื่อสักนิด และยังตอบกลับว่า “ฉันแน่ใจ เธอย้ายมาพักที่โรงแรม เดี๋ยวฉันจะไปพักห้องข้างเธอ ดูซิว่าไอ้พวกสารเลวนั่นยังจะกล้ามาทำมาอะไรเธออีกไหม”

มู่เวยเวยได้แต่ยอมรับชะตากรรม ยังไงซะเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายของเธอ รักษาหน้าเขาหน่อย ค่อยหาโอกาสเหมาะๆถามเขาแล้วกัน

“ก็ได้ค่ะ งั้น….” จากนั้นมู่เวยเวยหันไปสะกิดบอกกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “คุณช่วยวกรถพาฉันกลับไปเอาของได้ไหมคะ?”

เย่ฉ่าวเฉินกัดปากตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ครับ” เขามองผ่านกระจกหลังมองเห็นว่าฉู่เซวียนกำลังแอบยิ้มเยาะ

ทำไมรอยยิ้มของเขาดูแปลกๆพิกล

เมื่อรถมาถึงหน้าบ้านตระกูลเย่ มู่เวยเวยรีบขึ้นตึกไปเก็บของ ขณะที่รอเธอ ฉู่เซวียนกับเย่ฉ่าวเฉินได้สนทนากันว่า

“ขอถามละลาบละล้วงหน่อยนะครับ หลังจากประธานฉู่มาที่นี่ โปรเจ็คสวนสนุกนี้ ก็เป็นหน้าที่คุณต่อใช่ไหมครับ?” เย่ฉ่าวเฉินก้มลงหยิบบุหรี่ ยื่นมาให้ฉู่เซวียนหนึ่งมวน อีกหนึ่งมวนคาบไว้ในปาก จากนั้นก็ช่วยทั้งสองจุดไฟ

ฉู่เซวียนพ่นควันออกมา และตอบกลับเขาด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า “เปล่าซะหน่อย โปรเจ็คนี้เป็นหน้าที่ของอาเหยียน ยังไงเธอก็ต้องรับผิดชอบจนจบ ผมก็แค่มาสอดแนมเธอ ให้เธอตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง”

คนอย่างฉู่เซวียนเข้าถึงยากมาก ตรงกลางระหว่างฉู่เซวียนเต็มไปด้วยควัน ยิ่งทำให้เย่ฉ่าวเฉินมองเขาไม่ออกไปอีก

ไม่รู้ว่าตอนนี้จุดประสงค์ของเขาคืออะไร และเขาคิดจะทำอะไร แต่ว่าเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ปักใจเชื่อคำพูดของเขาซะทีเดียว เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะท่าทางของฉู่เซวียนไม่ได้อยากตอบอะไร

“คืนนี้ผมเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับพวกคุณไว้ คุณต้องไปให้ได้นะครับ” เย่ฉ่าวเฉินพยายามทำตัวตีสนิทเขา เพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่าเขามาเมืองเอด้วยจุดประสงค์อะไร

ฉู่เซวียนพ่นควันออกมา “ฟู้ว” ตอบกลับว่า “ประธานเย่ วันนี้ผมนั่งเครื่องมาทั้งวัน รู้สึกเหนื่อยล้ามาก อยากจะรีบพักผ่อน เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเลี้ยง ถือว่าเป็นการตอบแทนที่คุณช่วยน้องสาวผมไว้”

เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับว่า “ได้ครับ เอาที่คุณสะดวก ผมต้องตามใจแขกอยู่แล้วครับ”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset