เซี่ยอันน่าหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปถามผู้ช่วยว่า”มีการเพิ่มกิจกรรมนอกสคริปต์ทำไมไม่มีใครบอกฉัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ช่วยเห็นเซี่ยอันน่าพูดใส่อารมณ์แบบนี้ เขาตกใจและนิ่งอึ้งไปก่อนพูดว่า”ฉันก็ไม่รู้ว่าคุณอันน่าไม่รู้ นึกว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว”
“งั้นก่อนเริ่มรายการ ฉันไม่ได้พูดถึงกระเป๋าเครื่องสำอางเลยและไม่มีการจัดกระเป๋าให้เป็นระเบียบ เธอไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือ?”
ผู้ช่วยทำสีหน้างงงวยพร้อมกับส่ายหัว
“ดีมาก”
เซี่ยอันน่ายิ้มและพูดแค่สองคำ แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้รู้สึกเสียวสันหลังมาก
ผู้ช่วยมองไปที่เซี่ยอันน่าด้วยความหวาดกลัว “คุณอันน่าไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่เธอสิ ดูเหมือนว่าจะต้องเปลี่ยนนายจ้างแล้วล่ะ”
ผู้ช่วยตกใจมากจึงถามออกไปว่า “หมายความว่ายังไงคะ”
“ความหมายของฉันก็คือเธอถูกเลิกจ้างแล้ว”
พูดจบเซี่ยอันน่าก็ลุกขึ้นเดินออกไป แต่ผู้ช่วยยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เพราะทำอะไรไม่ถูก
เซี่ยอันน่าดูเหนื่อยล้าเมื่อเธอกลับมาถึงที่อพาร์ทเมนท์
ป้าของเธอที่กำลังนั่งดูทีวี เมื่อเห็นเธอกลับมาก็รีบวิ่งไปต้อนรับ
“ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจัง ป้านึกว่าจะกลับมาดึกๆซะอีก”
“ฉันเหนื่อยมาก ขอตัวเข้าห้องก่อนนะ”
“ อาหารเย็นเสร็จแล้ว เดี๋ยวป้ายกเข้าไปให้นะ”
เซี่ยอันน่าไม่สนใจป้าของเธอ แล้วปิดประตูเข้าห้องไป
ลูกพี่ลูกน้องเคี้ยวหมากฝรั่งในปากแล้วพูดผ่านๆว่า: “ดูแล้ววงการบันเทิงก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น เห็นอันน่าเหนื่อยเหมือนหมากลับทุกวันเลย”
เวลานี้ป้าของเธอไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าและพูดอย่างเย็นชาว่า: “แกเห็นแต่ด้านที่ยากลำบากของมัน แต่ทำไมไม่เห็นด้านที่สวยงามของมัน อย่าโลภเด็ดขาด ไม่งั้นสุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย”
หลังจากอาบน้ำ เซี่ยอันน่าก็เช็ดผมด้วยผ้าขนหนู
ป้าของเธอเดินถ้วยอาหารร้อนๆมาเคาะประตูของเซี่ยอันน่าด้วยรอยยิ้ม
“อันน่า ไม่ได้ทานข้าวเย็นแน่ๆ ป้าทำข้าวหม้อดินมาให้ทานจ้ะ”
ป้าเป็นคนขี้เกียจมาโดยตลอด ทำไมอยู่ๆถึงทำอาหารมาให้เธอได้อย่างไร? มันต้องมีอะไรแน่ๆ
เซี่ยอันน่ามองที่ป้าของเธอด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งแล้วพูดว่า “ขอบคุณมากค่ะ”
“อย่าเอาแต่ลดน้ำหนักนะ ผู้หญิงดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลจะดูดีกว่า หลังจากนี้เธอก็จะเป็นคุณนายแล้ว มีเนื้อมีหนังนิดหน่อยถึงจะดูเป็นคนมีเงินมีทอง”
ยิ่งป้าของเธอพูดไม่หยุด เซี่ยอันน่าก็ยิ่งรู้สึกรำคาญมากยิ่งขึ้น
เซี่ยอันน่าทันไม่ไหวจึงไล่ป้าออกจากห้องไป
จากนั้นเธอจ้องมองไปที่ข้าวอบหม้อดินแล้วขมวดคิ้ว
เธอลุกขึ้นถือข้าวอบหม้อดินั้นไปเทลงในชักโครก จากนั้นก็หยิบคุกกี้หนึ่งห่อออกมาจากกระเป๋าเพื่อระงับความหิว
ตั้งแต่วันนั้นเซี่ยอันน่าก็ไม่ได้กินข้าวที่บ้านรวมทั้งการดื่มน้ำด้วย
แต่เธอแสร้งทำเป็นดีต่อหน้าป้าของเธอโดยที่ป้าของเธอไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด
ป้าของเธอคิดเพียงว่าเซี่ยอันน่ากำลังรักษารูปร่างและตั้งใจที่จะกินน้อยลง
แต่ไม่เป็นไรตราบใดที่เซี่ยอันน่าตกหลุมพรางนี้ ทุกอย่างก็จบสิ้น!
ไม่กี่วันต่อมาข่าวที่น่าตกใจก็แพร่กระจายไปทั่วสารทิศ
ดาราสาวที่กำลังมาแรงในวงการบันเทิงถูกสงสัยว่าเสพยาและกำลังอยู่ในการควบคุมของตำรวจ
ผู้คนจำนวนมากกำลังเสพข่าวดราม่าด้วยความตื่นเต้น พวกเขารอตำรวจแถลงผลการตรวจปัสสาวะ จากนั้นก็ทำให้ดาราสาวหายไปจากวงการบันเทิงอย่างสิ้นเชิง
แต่ว่าผลการตรวจปัสสาวะออกมาปรากฏว่าดาราสาวเป็นผู้บริสุทธิ์
ในไม่ช้าดาราสาวก็รีบจัดงานแถลงข่าวประณามรายงานข่าวเท็จและกล่าวว่ามีคนวางแผนใส่ร้ายเธอ
เธออาศัยการแถลงข่าวครั้งนี้อธิบายข่าวเท็จครั้งที่แล้วและชี้เป้าไปที่ป้าของเธอ
ในระหว่างการฟ้องร้องของเธอ พฤติกรรมที่เลวร้ายราวกับผีดูดเลือดของป้าของเธอถูกเปิดเผยออกมา ทำให้ผู้ต่างก็ก่นด่าและสาปส่ง
ไม่เพียงเท่านั้นตำรวจยังร่วมมือในเรื่องนี้และเข้าจับกุมป้าพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของเธอเพราะพวกเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัย
ในที่สุดชีวิตของเซี่ยอันน่าก็กลับคืนสู่ความสงบ และฉีฉีก็สามารถกลับไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ได้
หลังจากแก้ปัญหาที่ยุ่งยากผ่านไปแล้ว เซี่ยอันน่าควรจะรู้สึกว่ามีความสุข
แต่กลับกลายเป็นว่าเซี่ยอันน่ารู้สึกเหนื่อยและเหนื่อยมากอยากจะทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่แล้วไปในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักและเก็บซ่อนตัวเองไว้ในที่แห่งนั้น
แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเซี่ยอันน่า ในไม่ช้าปัญหาอื่นก็ตามมาถึงเธอ
……
ในห้องอาหารหรูหราเซี่ยอันน่าและเสี่ยวอวี้หลินกำลังนั่งเผชิญหน้ากัน
เสียงเพลงไวโอลินที่แสนไพเราะทำให้บรรยากาศสงบและอ่อนโยนมาก
เสี่ยวอวี้หลินหั่นสเต็กด้วยท่าทางที่ละเมียดละไมพร้อมกับเล่าเรื่องตลกให้เซี่ยอันน่าฟังเป็นครั้งคราว
แม้ว่าเสี่ยวอวี้หลินจะเล่าสนุกแค่ไหน แต่รอยยิ้มและเสี่ยงหัวเราะของเซี่ยอันน่าดูไม่ค่อยผ่อนคลายเท่าไหร่
เธอรู้ว่าเสี่ยวอวี้หลินชวนเธอมาทานอาหารค่ำในวันนี้ไม่ได้มาเพื่อเล่าเรื่องตลก
หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวอวี้หลินก็วางมีดและส้อมลงแล้วถอนหายใจ
“อันน่าผมรอให้คุณบอกความจริงกับผมมาโดยตลอด”
เธอหลีกเสี่ยงที่จะสบตาเขา
เธอเงยหน้าขึ้นก็มิอาจหลบเลี่ยงสายตาของเสี่ยวอวี้หลินไปได้ ฉันแก้ปัญหาด้วยตัวฉันเองได้”
“นี่คือทางออกของคุณ?”
“ฉันพ้นมลทินแล้วนี่ไม่ใช่ทางออกหรือ”
เสี่ยวอวี้หลินส่ายหัวและพูดว่า “นี่เป็นเพียงทางออกของคุณแต่ไม่ใช่ของผม เซี่ยอันน่าคุณมันเห็นแก่ตัวจริงๆ”
โดนตำหนิครั้งนี้ทำให้เซี่ยอันน่ารู้สึกอธิบายไปต่อไม่ถูก
“คุณใช้โอกาสจากเรื่องนี้เพื่อกำจัดญาติที่มาเกาะคุณแถมยังเป็นการเพิ่มความนิยมให้กับคุณได้อีก แต่ผมล่ะ ครอบครัวของผมจะยอมให้ผมคบหากับผู้หญิงที่มีชีวิตซับซ้อนเช่นนี้หรือ?”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เซี่ยอันน่าตกตะลึงใจเป็นอย่างมาก
เดิมทีเสี่ยวอวี้หลินก็กังวลที่จะพูดแบบนี้ออกมา “ฉันก็เป็นคนแบบนี้แหละ มันไม่ใช่การหลอกลวงที่จะสามารถปกปิดนิสัยกระจอกของตัวเองได้ คุณมาคบหากับฉันคุณก็น่าจะรู้แล้ว จะมาคิดเสียใจภายหลังมันก็……”
“เซียอันน่า!”
ก่อนที่เซี่ยอันน่าจะพูดจบ เสี่่ยวอวี้หลินก็สั่งให้เธอหยุดพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
สิ่งที่ผมอยากฟังไม่ใช่แบบนี้!”
“แล้วคุณอยากฟังอะไร”
“การพึ่งพาผมเพื่อแก้ปัญหามันยากขนาดนี้เลยหรือ”
เซี่ยอันน่าเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า: “ฉันสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง แล้วทำไมฉันถึงต้องการคนอื่นพึ่งพาคนอื่นล่ะ ฉันไม่อยากทำให้คุณเดือดร้อนคุณควรจะมีความสุข”
“ถ้าคนสองคนไม่แก้ปัญหาร่วมกันหรือร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน คุณคิดว่าความสัมพันธ์นี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน?”
เมื่อได้ยินเสี่ยวอวี้หลินพูดด้วยคำที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ทำให้เซี่ยอันน่าเงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
สองสายตาสบตากัน ทันใดนั้นเซี่ยอันน่าก็รู้สึกผิดในใจ
เซี่ยอันน่ากำลังคิดว่าตัวเองพึ่งพาเขาได้จริงๆหรือ?
เซี่ยอันน่าถามตัวเองซ้ำๆแต่พบว่าไม่มีคำตอบในใจหรือว่าเธอไม่มีความกล้าที่จะคิดหาคำตอบเลย
ความรักของเสี่ยวอวี้หลินเป็นเหมือนกับภูเขาสูงหนึ่งหมื่นฟุต แล้วเซี่ยอันน่ายืนอยู่บนนั้นเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ที่งดงาม แต่เธอก็สามารถตกลงไปในเหวได้ทุกวินาที
ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง เซี่ยอันน่าต้องการควบคุมมันด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้เสี่ยวอวี้หลินกลับต้องการกีดกันสิทธินี้ เซี่ยอันน่ากลัวและรู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้น
เสี่ยวอวี้หลินจ้องมองเซี่ยอันน่าด้วยสายตาอันแรงกล้า
แต่ความเงียบเป็นเวลานานของเซี่ยอันน่าทำให้ความคาดหวังของเขาลดลงอย่างเรื่อยๆ
สายตาที่เก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ลุกขึ้นและพูดอย่างเย็นชาว่า: “เดี๋ยวผมไปส่งคุณ”
ระหว่างทางกลับเขาสองคนไม่มีใครพูดอะไรออกมา
จนกระทั่งเซี่ยอันน่าเดินไปถึงประตูทางเข้าอพาร์ทเมนท์ เสี่ยวอวี้หลินก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เซี่ยอันน่าถอนหายใจจากนั้นเปิดประตูด้วยท่าทีที่หนักหน่วง
ฉีฉีเมื่อได้ยินเสี่ยงประตูเปิดออกก็รีบวิ่งออกมา
ฉีฉีที่กำลังพอกหน้าอยู่เมื่อเธอเห็นเซี่ยอันน่าก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
“เอ่อ เธอไม่ใช่ไปทานข้าวเย็นกับเสี่ยวอวี้หลินเหรอ ทำไมถึงทำสีหน้าแบบนี้?”
เซี่ยอันน่าโยนกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วนั่งลงด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
“อย่าพูดถึงมันเลย เราสองคนกำลังทำสงครามเย็นกันอยู่”
“ว่าไงนะ! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?”
“ก็เพราะว่า……”
เพราะอะไรนะ ฉันถึงไม่เป็นเหมือนผู้หญิงที่เรียบร้อยอ่อนหวาน และปฏิบัติต่อเขาด้วยความอ่อนโยน?
เซี่ยอันน่าหัวเราะให้กับความคิดโง่ๆของตัวเอง
เสี่ยวอวี้หลินต้องการให้เธอพึ่งพาเขาแค่ยอมเขาก็จบแล้ว ถึงเขาจะทำไม่ได้อย่างที่พูดแค่มีคำพูดปลอบใจอยู่ข้างๆก็ดีแล้ว ทำไมไม่ยอมรับไปตรงๆ ทำแบบนี้อาจจะทำให้เลิกรากันแบบไม่ดี?
ไม่มีใครนอกจากนี้แล้วที่สามารถหาเหตุผลแบบนี้มาทะเลาะกันได้
เมื่อเห็นสีหน้าที่ขมขื่นของเซี่ยอันน่า ฉีฉีจึงไม่อยากถามอะไร “ช่างมันเถอะ รีบไปอาบน้ำนอนเถอะ
“ก็ได้”
ฉีฉีเข้าไปตบบ่าให้กำลังใจเซี่ยอันน่าแล้วก็กลับเข้าห้องไปนอน
เซี่ยอันน่านั่งอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน พอรู้สึกดีขึ้นจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วกลับไปที่ห้องของเธอ
ทางด้านของเสี่ยวอวี้หลิน——
บรรยากาศแสนคึกคักในบาร์เหล้าที่มีหนุ่มสาวออกมาเสพย์สุขรสเงินทองและน้ำเมา
แต่ในมุมหนึ่งกลับมีชายคนหนึ่งเพียงแค่มานั่งดื่มเพื่อระบายความทุกข์ใจคนเดียวเงียบๆ
ชายที่แต่งตัวดีและรูปร่างหน้าตาดูดี ทำให้ผู้หญิงรอบข้างสนใจในตัวเขามาก
แต่ไม่มีใครสามารถพูดคุยกับเขาได้สำเร็จและทุกคนก็ถูกชายคนนี้ด่ากลับไป
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมานั่งข้างๆของเสี่ยวอวี้หลิน
เสี่ยวอวี้หลินกำลังจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อตำหนิ แต่เมื่อเขาเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเขาก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เสี่ยวอวี้หลินยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มแล้วพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง”จุดประสงค์ของคุณสำเร็จแล้ว ผมทะเลาะกับอันน่าแล้ว คุณพอใจหรือยัง?”
อวี๋เวยมองเขาอย่างใจเย็น “นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของฉัน”
“แล้วคุณต้องการอะไร อยากจะเห็นเราสองคนเลิกรากันเหรอ? อวี๋เวยคุณควรจะแต่งงานมีลูกได้แล้ว หรือว่าคุณอยากจะให้ผมอยู่คนเดียวไปจนแก่หรือไง?”
“ฉันไม่ติดอะไรที่คุณจะมีแฟน แต่ติดตรงที่คุณเจอคนที่ใช่ได้เร็วขนาดนี้ ในขณะที่ฉันยังไม่สามารถทำใจได้”
“เส้นทางเดินต้องเลือกด้วยตัวเองและจะโทษคนอื่นไม่ได้ ยังมีอีกสำหรับเรื่องครั้งนี้ผมจะไม่ปล่อยเอาไว้ ผมจะคิดบัญชีด้วยตัวผมเองและจะไม่เมตตากับใครหน้าไหนทั้งนั้น!”
หลังจากได้ยินคำข่มขู่นี้อวี๋เวยแทนที่จะกังวล กลับยิ้มอย่างยั่วยวน
“แม้ว่าจะเป็นการจ่ายที่มีราคาแพง แต่ฉันก็มีความสุขมาก”
“คุณเป็นบ้าหรือเปล่า?”
อวี๋เวยเข้าไปใกล้เสี่ยวอวี้หลิน เธอยิ้มและพูดว่า “แน่นอนฉันมีความสุขที่เห็นคุณถูกทำร้ายและจากเหตุการณ์นี้ฉันได้ค้นพบความลับบางอย่าง”
“ความลับอะไร”
ริมฝีปากสีแดงเผยอออกเล็กน้อยและดูเหมือนกำลังร่ายมนตร์ “คุณรู้ไหมว่าทำไมคุณสองคนถึงอยู่ในสงครามเย็น นั่นก็เป็นเพราะว่าเซี่ยอันน่าไม่ได้รักคุณมากขนาดนั้นหรืออาจจะไม่ได้รักคุณมากเท่าที่คุณหวังไว้
คำพูดเหล่านี้ทำให้เสี่ยวอวี้หลินหรี่ตาลงแล้วตอบโต้ว่า”คุณไม่ใช่เธอทำไมคุณถึงพูดแบบนี้”
“คนที่อยู่ในเกมส์หรือสถานการณ์จะมองไม่ทะลุ แต่คนที่อยู่นอกเกมส์หรือนอกสถานการณ์จะมองได้ทะลุปรุโปร่ง”
“หึ คำพูดเพ้อเจ้อ!”
“ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อนะในใจของฉันค่อนข้างชัดเจนมาก ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากให้ฉันอยู่ที่ปักกิ่งดังนั้นฉันจะรีบไปจากที่นี่ ฉันเชื่อว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกสักพักหนึ่งก่อนที่จะจากไป ฉันขออวยพรให้พวกคุณเลิกกันเร็วๆนะ”
หลังจากพูดจบอวี๋เวยก็ลุกขึ้นและเดินจากไป สีหน้าของเสี่ยวอวี้หลินก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแค้น
เขาดื่มเหล้าไปหลายแก้วทำให้เกิดอาการคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเขาเดินเข้าไปหาเรื่องคนกลุ่มหนึ่ง เขากำลังขาดสติ
เสียงกรีดร้องคำรามและเสียงแก้วแตกผสมกัน ดังจนแก้วหูจะแตก
เสี่ยวอวี้หลินดูเหมือนจะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยชกต่อยไม่หยุดจนทำให้คนเหล่านั้นล้มลงทีละคน
อย่างไรก็ตามหมัดสองหมัดนั้นยากที่จะเอาชนะสี่หมัดและอีกฝ่ายพรรคพวกเยอะมากกว่าในที่สุดเสี่ยวอวี้หลินก็หมดแรงและล้มลงกับพื้น
ภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เสี่ยวอวี้หลินไม่รู้สึกเจ็บปวด
ก่อนที่จะหมดสติไปเขาเห็นใครบางคนวิ่งมาอยู่ตรงหน้าเขานั่งลงยองๆปกป้องเขา
เสี่ยวอวี้หลินไม่มีอารมณ์ที่จะครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เขาแค่รู้สึกเหนื่อยและอยากนอนพักสักหน่อย
……
เซี่ยออันน่ากำลังเคลิ้มหลับ จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู
เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วและลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
แต่เมื่อเธอเห็นคนที่อยู่ข้างนอก อาการสะลึมสะลือทั้งหมดก็หายไปเหลือเพียงแค่ความตกใจ
คนที่ยืนอยู่นอกประตูคือเย่ชูวเสวียและหนานกงเจา และยิ่งไปกว่านั้นหนานกงเจากำลังพยุงร่างของเสี่ยวอวี้หลินเอาไว้
เสี่ยวอวี้หลินหลับไปแล้ว บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
แม้ว่าจะได้รับการรักษาบาดแผลแล้ว แต่ก็ยังดูน่าตกใจ
“ขอทางหน่อย ขอทางหน่อย”
เย่ชูวเสวียผลักเซี่ยอันน่าที่กำลังตกใจออกไปและขอให้หนานกงเจาวางร่างของเสี่ยวอวี้หลินลงบนโซฟา
เซี่ยอันน่ากลับมามีสติจึงรีบถามว่า”เกิดอะไรขึ้น เขากลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจแล้วพูดว่า “เสี่ยวอวี้หลินไปที่บาร์เหล้าคนเดียวเพื่อที่จะดื่มแก้ทุกข์ใจ พอเมาก็ไปหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่น ฉันได้รับโทรศัพท์ให้ไปรับเขาแต่เขาก็ไม่ยอมไปไหน ดังนั้นฉันจึงต้องบอกว่าจะมาส่งเขาที่ห้องเธอ เขาถึงหยุดบ้าลงได้”
“ไปดื่มเหล้าแก้ทุกข์ใจ!?”
เซี่ยอันน่ามีท่าทีที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ
เย่ชูวเสวียหยิบน้ำมาดื่มแล้วขมวดคิ้วพร้อมทั้งพูดด้วยท่าทางที่เบื่อหน่าย”ฉันอยากบอกว่าพวกแกสองคนทะเลาะกันก็ทะเลาะกันไปเถอะแต่อย่าทำให้เป็นเรื่องได้ไหม ถ้ามีแบบนี้อีกครั้งฉันรับไม่ไหวแล้วนะ ”
“ขอโทษนะ”
“อย่าพูดขอโทษฉัน ตอนนี้ฉันเอามันมาส่งแล้วมีปัญหาอะไรพวกแกสองคนแก้กันเอาเองแล้วกัน”
พอพูดจบเย่ชูวเสวียกับหนานกงเจาก็ขอตัวกลับ
หลังจากทั้งสองคนกลับไป เซี่ยอันน่าก็มองไปที่เสี่ยวอวี้หลินที่หลับอยู่บนโซฟา ทันใดนั้นก็รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก
ในขณะนี้เสี่ยวอวี้หลินเมาและหมดสติ เซี่ยอันน่ามองไปที่ฉีฉีที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงดัง”ช่วยฉันย้ายผู้ชายคนนี้ไปไว้ที่ห้องก่อน”
ทั้งสองช่วยกันพยุงร่างของเสี่ยวอวี้หลินไปไว้ที่ห้องของเซี่ยอันน่า เซี่ยอันน่าเตรียมถอดเสื้อผ้าของผู้ชายคนนี้เพื่อที่จะอาบน้ำให้
ฉีฉีออกจากห้องไป ทำให้ในห้องมีเพียงเซี่ยอันน่ากับเสี่ยวอวี้หลินเท่านั้น
แต่เมื่อเซี่ยอันน่าจดจ่ออยู่กับการปลดกระดุมเสื้อของเขาแขนของเสี่ยวอวี้หลินก็ไขว้กัน ร่างของเขาทับลงไปบนตัวของเซี่ยอันน่า
“เซี่ยอันน่า คุณมันน่ารังเกียจจริงๆ!”
เสี่ยวอวี้หลินไม่ได้ลืมตาเขาพูดอย่างแผ่วเบาในลำคอ