วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 489: หัวข้อที่ไม่อาจเลี่ยงได้

เซี่ยอันน่าไม่ได้สนใจบุญคุณความแค้นของต้วนจื่ออิ๋ง เธอสนใจเพียงแค่อาการของต้วนอีเหยา

เงยหน้ามองเสี่ยวอวี้หลิน เซี่ยอันน่าใช้น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ย: “ฉันอยากไปเยี่ยมพี่อีเหยา”

สายตาที่ออดอ้อนของเซี่ยอันน่าทำให้เสี่ยวอวี้หลินไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้ จึงพยักหน้าและพูดว่า: “โอเค ฉันไปหารถเข็นก่อน เธอรอเดี๋ยวนะ”

ต้วนอีเหยาอยู่ห้องข้างๆเซี่ยอันน่า ขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเงียบๆด้วยใบหน้าซีดราวกับกระดาษ

ใบหน้าเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ขณะเดียวกันกลับทำให้เซี่ยอันน่ากลัว ดวงตาที่หลับสนิทอย่างเงียบสงบนั้นทำให้ผู้คนไม่อาจเหลือบมองสีหน้านั้นได้

เมื่อมองต้วนอีเหยาอย่างนี้แล้ว เซี่ยอันน่ารู้สึกแตกสลายเป็นอย่างมาก

ราวกับเพิ่งได้ออกจากร้านของหวาน ได้พูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีแนวทางชีวิตอย่างเต็มที่และขณะเดียวกันก็กลายเป็นวิถีแห่งความเป็นความตาย

เซี่ยอันน่าร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอไม่อาจห้ามน้ำตาให้หยุดไหลได้: “พี่อีเหยา…..”

เย่จิงเหยียนอยู่เฝ้ามาหลายคืนแล้วจนดวงตาของเขาแดง

เมื่อมองร่างของต้วนอีเหยา แววตาของเขามีความเจ็บปวด

เสี่ยวอวี้หลินตบที่บ่าเย่จิงเหยียนเบาๆและพูดว่า: “มีอันน่าเฝ้าอยู่ นายไปพักสักหน่อยเถอะ”

เย่จิงเหยียนไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหันหลังเดินตามเสี่ยวอวี้หลินไปที่ชั้นดาดฟ้า

เสี่ยวอวี้หลินยื่นบุหรี่ให้เย่จิงเหยียน

จุดไฟและพ่นควันออกมาอย่างแผ่วเบา แววตาของเย่จิงเหยียนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและกลุ้มใจ

“คิดวิธีจัดการต้วนจื่ออิ๋งแล้วหรือยัง?”

“ก่อนหน้านี้ ยังคิดถึงเรื่องราวในอดีตและให้ทางรอดกับเธอ แต่ตอนนี้ ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าทำอย่างนี้กับอีเหยา ฉันไม่ให้อภัยเธออีกแน่

เสียงของเย่จิงเหยียนเรียบนิ่ง แต่เสี่ยวอวี้หลินรู้ ต้วนจื่ออิ๋งได้สัมผัสต่อมโมโหของเย่จิงเหยียนเข้าแล้ว ครั้งนี้ไม่มีอะไรจบลงด้วยดีอย่างแน่นอน

“ฉันยังคิดอยู่เลย ถ้านายไม่ลงมือ ฉันก็ต้องคิดวิธีรับมือด้วยตัวเอง ในเมื่อนายลงมือเอง งั้นฉันก็ไม่ต้องห่วงอะไร”

เพราะเป็นผลทำให้เซี่ยอันน่าบาดเจ็บ แน่นอนว่าเสี่ยวอวี้หลินไม่อาจนิ่งดูดายได้

แต่เมื่อเทียบกับเย่จิงเหยียนแล้วเขายังถือว่าโชคดี

ถึงอย่างไร เซี่ยอันน่าก็พ้นขีดอันตรายและฟื้นขึ้นมาแล้ว

แต่ต้วนอีเหยา……..

เมื่อมองมาทางห้องผู้ป่วย เสี่ยวอวี้หลินก็ได้แต่ถอนหายใจ

เสี่ยวอวี้หลินเอื้อมมือไปตบบ่าเซี่ยอันน่าเบาๆและเอ่ยว่า: “วางใจเถอะ อีเหยาต้องฟื้นขึ้นมา”

“เธอต้องฝ่าอันตรายมากมายขนาดนั้น เรื่องเล็กๆอย่างนี้แน่นอนว่ามันไม่คณามือเธอหรอก เพียงแค่…พูดว่าจะดูแลเธอให้ดี แต่ฉันทำอะไรลงไปทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันนี่มันน่าขยะแขยงจริงๆ!”

ใบหน้าของเย่จิงเหยียนเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและยกมือขึ้นทุบลงบนราวจับ

“โลกมันคาดเดาไม่ได้ นายอย่าโทษตัวเองมากไป ฉันคิดนะ อีเหยาเองก็ไม่อยากเห็นนายหดหู่อย่างนี้หรอก”

เย่จิงเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็ฟื้นคืนความเยือกเย็นและฉลาดสุขุมแล้ว

“โอเค พวกเรากลับไปกันเถอะ”

กลับมาที่ห้องผู้ป่วยใหม่อีกครั้ง ทั้งสองเห็นเซี่ยอันน่านั่งอยู่ข้างเตียงและยังคงมีน้ำตาคลออยู่

เห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งร้องไห้

เมื่อเห็นคนกลับเข้ามา เซี่ยอันน่าก็รีบเช็ดน้ำตา

เสี่ยวอวี้หลินโอบเข้าที่ไหล่ของเซี่ยอันน่าด้วยความรักและสงสารแล้วปลอบเธอยู่เงียบๆ

เซี่ยอันน่าเงยหน้ามาพูดว่า: “ฉันคิดว่าพวกคุณต้องจัดการกับเรื่องต่างๆมากมาย ถ้าอย่างนั้นเมื่อพวกคุณไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล ให้ฉันมาดูแลพี่อีเหยาเพื่อเป็นการขอโทษเถอะนะ”

“แต่เธอก็ได้รับบาดเจ็บนะ ยังไม่หายดีเลย”

“แผลฉันนิดเดียวเอง ไม่เป็นไร อีกทั้งคุณหมอก็บอกให้เคลื่อนไหวให้มากๆ ดีต่อการฟื้นตัวของแผลฉันด้วย”

เสี่ยวอวี้หลินอยากที่จะปฏิเสธข้อเสนอนี้ แต่เขารู้ว่าเซี่ยอันน่าอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อต้วนอีเหยาและมันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง

เมื่อมองไปที่เย่จิงเหยียนเห็นเขาไม่ได้คัดค้านอะไร เสี่ยวอวี้หลินจึงพยักหน้าและพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า: “งั้นก็เอางั้นเถอะ”

เมื่อได้รับอนุญาต เซี่ยอันน่าก็ยิ้มออกมาบางๆ

ต่อจากนี้ เมื่อเซี่ยอันน่าไม่มีเรื่องอะไร เธอก็จะวิ่งมาหาต้วนอีเหยาที่นี่อยู่คุยเป็นเพื่อนกับเธอ

แม้ต้วนอีเหยาจะไม่ได้ยิน แต่เซี่ยอันน่าตั้งมั่นที่จะทำมัน

วันนี้ เซี่ยอันน่าทานยาแล้วก็เตรียมไปห้องผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ

พอเปิดประตู เซี่ยอันน่าก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย

“ชูวเสวีย?”

เมื่อได้ยินเสียง เย่ชูวเสวียก็หันกลับมามองด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“ฉันอยากรีบมาเยี่ยมพวกเธอ แต่ไอ้หนานกงเจาตาบ้านั้น บอกว่าฉันอารมณ์อ่อนไหวเกินไปมันจะส่งผลต่อการพักฟื้นของพวกเธอ จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ให้ฉันมา วันนี้ไม่ง่ายเลยที่เขาจะปล่อยให้มาอย่างสบายใจ ฉันถึงเพิ่งจะหาเวลามาเยี่ยมพวกเธอได้”

เมื่อหันไปมองต้วนอีเหยาตาของเย่ชูวเสวียก็แดงขึ้นอีกครั้ง

“โอเค แล้วเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้วนจื่ออิ๋งนั่นสมควรที่จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆจริง!”

ตอนที่เธอเพิ่งฟื้นก็โทษแต่คนอื่น

แต่ในเวลานี้ เธอไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าเอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น

เมื่อวางดอกไม้ลงในแจกัน เซี่ยอันน่าที่มีสีหน้าเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นว่า: “การด่าคนอื่นในตอนนี้ ยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้แค่หวังว่าต้วนอีเหยาจะฟื้นขึ้นมา คุณหมอบอกว่า พี่อีเหยามีเลือดคั่งในสมอง ให้มันซึมหายไปอีกไม่มากเดี๋ยวเธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ดังนั้นพวกเราต้องเข้มแข็งอีกหน่อย ตอนเธอฟื้นขึ้นไม่อยากให้เธอต้องมาเห็นเราร้องไห้”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เย่ชูวเสวียก็หยุดร้องไห้และเอ่ยว่า: “อันน่า เธอเข้มแข็งมาก”

แววตามีความกลัดกลุ้มอยู่เล็กน้อย  มีแต่จะทำให้ศัตรูคิดจะรังแกเธอและจะรังแกเธออย่างไรก็ได้”

“อันน่า เธอไปเจอกับอะไรมาเหรอ?”

เซี่ยอันน่าเหม่อไปพักหนึ่งก่อนหันมายิ้มและเอ่ยว่า: “ไม่มีอะไร ก็แค่พูดออกไปเรื่อยแค่นั้น”

“พวกเธอเข้มแข็งอย่างนี้ ฉันจะทำตัวแย่ไม่ได้” เย่ชูวเสวียขยี้ตาแล้วตบเข้าที่แก้มของตัวเองและพูดว่า “พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะมาโรงพยาบาลและเปลี่ยนเวรกับเธอเอง พวกเรามาดูแลพี่อีเหยาด้วยกันนะ”

“โอเค”

เย่ชูวเสวียเพิ่งร้องไห้เสร็จ ตอนนี้ก็สงบลงแล้ว เธอเพิ่งเห็นว่าบนมือของเซี่ยอันน่าถือสมุดสีขาวอยู่

“นั่นอะไรเหรอ?”

“อันนี้เหรอ” เซี่ยอันน่าชูและแกว่งไปมาพร้อมเอ่ยว่า “เป็นบทละครน่ะ ผู้จัดการบอกว่าช่วงหลังของปีมีบทละครใหม่ให้ฉันได้ทำน่ะ พอดีฉันถือโอกาสในตอนนี้มาศึกษาไว้สักหน่อยน่ะ”

“อันน่า เธอไม่ใช่ว่ายังเป็นคนป่วยหรือไง ไม่ต้องพยายามขนาดนี้หรอก”

“จะป่วยหรือไม่มันไม่มีผลกับความพยายามของฉัน อยากทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนฉันจะตั้งใจทำมัน”

มองเซี่ยอันน่าที่ยิ้มบางๆ เย่ชูวเสวียจึงพูดว่า: “รู้สึกว่าเธอจะดูเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมนะ”

เซี่ยอันน่ามองอีเหยาที่อยู่บนเตียงและเอ่ยว่า: “เจออะไรมามากมายขนาดนั้น ถ้าฉันยังเป็นเซี่ยอันน่าที่เอาแต่ไม่มั่นใจ นั่นก็คงรู้สึกผิดมากที่พี่ยีเหยาอุส่าช่วยชีวิตฉัน

เย่ชูวเสวียเอื้อมมือไปจับมือที่เย็นขึ้นมาเล็กน้อยของเซี่ยอันน่าและเอ่ยว่า “ดังนั้น พวกเรายิ่งต้องทำให้มันดีขึ้น”

“อืม แน่นอน!”

เซี่ยอันน่าและเย่ชูวเสวียยิ้มและมอบพลังให้กันและกัน

ประจวบกับมีคนมาเคาะประตูพอดี

“คุณเซี่ย มีคนมาหาคุณ รออยู่ที่ห้องผู้ป่วยของคุณน่ะ”

“หาฉัน?”

เซี่นอันน่าคิดและแอบสงสัยว่าจะใช่ฉีฉีมาหรือเปล่า”

“แม่!?”

หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ในห้องผู้ป่วยด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นและสวมชุดที่เรียบง่าย

แม้อายุที่มากขึ้น แต่เมื่อดูจากหน้าตาของเธอแล้วจะเห็นถึงลักษณะท่าทางที่ยังดูอ่อนเยาว์อยู่

แม่เซี่ยเห็นเซี่ยอันน่าก็ตกใจเล็กน้อย

“อันน่า ทำไมลูกถึงได้เจ็บตัวแบบนี้?”

เซี่ยอันน่ากุมหน้าผากโดยไม่รู้ตัวและเอ่ยว่า: “เอ่อ หนู….ตอนถ่ายหนังไม่ทันระวังเลยได้รับบาดเจ็บน่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก อีกไม่นายก็หายดีแล้ว”

แม่เซี่ยพยักหน้าและไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ

“อันน่า ที่แม่มาหาลูกครั้งนี้ เพราะว่าเห็นข่าวก่อนหน้านี้ บอกว่าป้าและลูกชายป้าของลูก….”

เฮ้อ ก็รู้แหละว่าหนีไม่พ้นหัวข้อนี้

อยู่ๆเซี่ยอันน่าก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย

ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เป็นแบบนี้ ไม่ว่าเซี่ยอันน่าจะเกิดเรื่องอะไร จะดีหรือร้าย ท่าทีของแม่ก็จะเย็นชา

ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ตราบใดที่ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับป้าและลูกชายป้าอยู่ แม่ก็จะกังวลมาก

อย่างเช่นตอนนี้

เห็นได้ชัดว่าตามร่างกายตัวเองมีบาดแผลและแม่ไม่ได้ถามอะไรมาก ทักทายกันสองสามคำก็เริ่มพูดถึงประเด็นหลักของวันนี้

ศรีษะที่ก้มตกลงไป แพขนตาที่ยาวเรียวนั้นปกปิดความขมขื่นในใจของเซี่ยอันน่า

แม่เซี่ยยังไม่รู้ว่าการกระทำของตนเองมีผลกระทบต่อเซี่ยอันน่าแต่อย่างไร

เธอลดศรีษะลงเล็ดน้อยและพูดว่า: “แม่รู้ บางทีพวกเขาก็น่ารำคาญ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องกันจะทำอะไรก็อย่าให้มันเกินไป”

“งั้นแม่จะให้หนูทำอย่างไร?”

“ป้าและลูกชายป้าก็ติดคุกกันแล้ว แค่นี้ก็เป็นด่างพร้อยในชีวิตแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น ลูกลองคิดหาวิธีพาพวกเขาออกมาเถอะ?”

เซี่ยอันน่าแสยะยิ้มและถามกลับ: “หลังจากนั้นล่ะ ให้พวกเขาทำร้ายหนูต่องั้นเหรอ? แม่คะ แม่รู้ไหมว่าเขาเคยทำอะไรไว้กับหนู!?”

“แก่อย่างนั้นจะทำอะไรลูกได้ แม่ว่าลูกต้องเข้าใจผิดแล้วแน่ๆ”

“เข้าใจผิด? เพราะเข้าใจผิดลูกถึงเกือบไม่มีชีวิตน่ะสิ อีกนิดเดียวก็ไม่ได้มาเห็นแม่ที่นี่แล้ว! หรือว่าไม่มีหนูเป็นลูกสาวแล้ว แม่ก็จะไม่เสียใจ?”

เซี่ยอันน่ายิ่งพูดยิ่งหวั่นไหว ตรงกันข้ามนั้นมันทำให้แม่เซี่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“อันน่า ลูกพูดอะไรไร้สาระเนี้ย!”

“หนูพูดเรื่องจริง หนูไม่เคยคิดทำร้ายใคร ทั้งป้าและลูกป้าโลภจนไม่รู้จักพอขึ้นไปทีละขั้น”

“ดังนั้น ลูกเลยไม่ยอมอ่อนข้อให้เขา?”

เซี่ยอันน่ากำหมัดแน่นและพูดว่า “ให้ป้าและลูกชายป้าได้รับบทเรียนที่สมควรได้รับบ้างและปล่อยให้พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะทำดีสักนิดเถอะ”

“แต่พวกเขาเป็นญาติลูกนะ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำสิ!”

“งั้นตอนที่พวกเขาวางแผนทำร้ายหนู ทำไมไม่คิดว่าหนูเองก็เป็นญาติของพวกเขา? ตอนมีประโยชน์ก็มาร้องไห้บอก ตอนไม่มีประโยชน์ก็คิดร้ายด้วยทุกรูปแบบ ญาติแบบนี้ ไม่เอาด้วยหรอก!”

“แก….”

เดิมแม่เซี่ยไม่ใช่คนช่างพูด ลูกสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูและรู้ความอยู่ๆก็ดื้อรั้นขึ้นมา เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

ตอนทั้งสองยืนประจันหน้ากันก็มีคนผลักประตูเดินเข้ามา

“อันน่า เธอกำลังเสียงดังโวยวายอะไร?”

เสี่ยวอวี้หลินเดินเข้ามา ทำให้ภายในห้องสดใสขึ้นทันที

เมื่อเห็นชายหนุ่มที่แต่งตัวดีคนนี้ แม่เซี่ยก็นิ่งอึ้ง

เสี่ยวอวี้หลินมองแม่เซี่ยอย่างเป็นกันเอง

ดูจากลักษณะท่าทางเธอกับเซี่ยอันน่าแล้วต้องรู้จักกันแน่นอน

“หนุ่มคนนี้เป็นใคร?”

“สวัสดีครับ ผมเป็นแฟนของอันน่า เสี่ยวอวี้หลินครับ”

แม่เซี่ยอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็วางตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

“อะ นั่นสิ ฉันเป็นแม่ของอันน่า”

“สวัสดีครับคุณน้า” เขาทักทายอย่างสุภาพ เสี่ยวอวี้หลินหันหน้าไปมองเซี่ยอันน่าและพูดว่า “อันน่า ในเมื่อคุณน้ามาเยี่ยมเธอแล้ว ทำไมยังให้คุณน้ายื่นอยู่อย่างนี้ล่ะ”

ตอนเสี่ยวอวี้หลินพูด ก็สังเกตเห็นท่าทีของเซี่ยอันน่า

เซี่ยอันน่าแค่ลดสายตาลงและไม่พูดอะไร

บรรยากาศน่าอึดอัดนิดหน่อย

เสี่ยวอวี้หลินมองออกถึงปัญหาของทั้งสองว่าต้องได้รับการแก้ไขจึงเอ่ยว่า: “เชิญคุณน้านั่งก่อนครับ หรือไม่พวกคุณคุยกันไปก่อนเดี๋ยวผมไปเทน้ำมาให้สองแก้ว”

พูดจบ เสี่ยวอวี้หลินก็ก้มหัวให้แม่เซี่ยและเดินออกจากห้องไป

พอเสี่ยวอวี้หลินเดินไป แม่เซี่ยก็ดึงเซี่ยอันน่าและพูดว่า: “อันน่า แม่ว่าผู้ชายคนนั้นดูไม่ธรรมดานะ ดูไม่เหมือนอย่างคนทั่วไป”

เซี่ยอันน่าหัวเราะเยาะและถามว่า: “แม่เอาแต่ดูข่าวว่าป้าและลูกชายป้าโดนจับ ถึงกับไม่รู้ว่าแฟนหนู เป็นคนแบบไหนเหรอ?”

แม่เซี่ยแสดงสีหน้าเหยเกและพูดว่า: “แม่ยุ่งมาก ไม่ใช่ว่าแกไม่รู้นิ”

เซี่ยอันน่าไม่อยากเถียงไปมากกว่านี้จึงเอ่ยว่า: “เขาชื่อเสี่ยวอวี้หลิน เป็นประธานของเสี่ยวซื่อกรุ๊ปแห่งนครปักกิ่ง มีชื่อเสียงมาก”

“อ้อ งั้นก็เป็นคนรวย? แต่คนรวยอย่างนี้จะจริงใจกับความรู้สึกแกอยู่เหรอ?”

เห็นได้ยากที่แม่จะสนใจตัวเอง เซี่ยอันน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ไม่รู้สิ เขาดีกับหนูมากและก็เอาใจใส่ดูแลหนูด้วย”

“งั้น ถ้าลูกให้เขาช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องของป้าลูก มันจะง่ายกว่าไหม”

พอได้ยินคำนี้เซี่ยอันน่าก็อึ้งไป ลดศรีษะต่ำลงและยิ้มอย่างขมขื่น

“สุดท้ายก็ยังเพื่อพวกเขาอยู่”

“อันน่า ฉันรู้ว่าแกโตแล้วไม่อยากฟังแม่ แต่บางครั้งแกจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปไม่ได้ จะเอาแต่ความสุขตัวเองแล้วทิ้งญาติที่ลำบากไว้อย่างนี้”

แม่เซี่ยพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด แต่เซี่ยอันน่ากลับนิ่งเฉย

เห็นเซี่ยอันน่ามีท่าทีอย่างนี้ แม่เซี่ยก็จนปัญญา

ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง เสี่ยวอวี้หลินเดินถือน้ำเข้ามา

“คุณน้า เชิญดื่มน้ำครับ”

“ขอบใจนะ” แม่เซี่ยหยิบแก้วและเอ่ยว่า ‘คุณเสี่ยว ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องให้ช่วยหน่อยน่ะ’

“คุณพูดได้เลยครับ’

“เป็นไปได้ไหมถ้าจะให้ช่วยป้าและลูกชายป้าของอันน่าให้ออกจากคุกมาได้?”

เซี่ยอันน่าโกรธจนคิ้วขมวดมองไปทางแม่เซี่ยและขึ้นเสียง

“แม่!”

แม้เซี่ยอันน่าจะห้าม แต่แม่เซี่ยก็ไม่มีทางหยุดและยังขอร้องวิงวอนต่อว่า: “พวกเขาอยู่ในคุกลำบากมาก ฉันและอันน่าต่างก็เสียใจ อยากจะไปรับพวกเขาออกมา ถึงพวกเขาจะทำเรื่องที่ผิด แค่คอยเตือนอยู่ข้างๆตัวไม่กี่คำก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทิ้งให้ทุกข์ทรมาณอยู่ในนั้นด้วย นายว่าถูกไหมล่ะ?”

เซี่ยอันน่าเม้มริมฝีปากแน่น ในแววตาฉายความโกรธอย่างรุนแรง

เห็นท่าทีของเซี่ยอันน่าที่แสดงออกมา เสี่ยวอวี้หลินก็เข้าใจความรู้สึกของเธอ

เสี่ยวอวี้หลินถอนหายใจเบาๆและพูดว่า: “คุณน้าทั้งซื่อสัตย์และจริงใจนะครับ แต่บางคนไม่คุ้มที่จะทำดีกับพวกเขาหรอก และเรื่องนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากอันน่าด้วย ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้ถูกกระทำนะครับ”

“ผู้ถูกกระทำ?”

“ใช่ครับ ป้าและลูกชายป้าต้องการเงินของเซี่ยอันน่าจึงร่วมมือกับคนอื่นวางแผนทำร้ายอันน่า ใส่ร้ายเธอและอยากให้เธอไม่มีที่ยืนในวงการบันเทิงครับ”

“ถ้าไม่เจอตรงๆ คงยากที่จะจินตนาการว่าจะมีญาติที่ลงมือฆ่าคนที่อ่อนกว่าเช่นนี้ อันน่าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพวกเขา ไม่อยากที่จะยื่นมือช่วยเขา ก็เป็นข้ออ้างที่มีเหตุผลนะครับ”

“อ่า คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้….”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset