ผู้หญิงคนนี้ คุ้นๆจัง……
มู่ยู่วฉีหยุดคิดไปชั่วขณะ ปรบมือและยิ้ม: “เซี่ยอันนา!”
เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง เซี่ยอันนาถึงได้สติกลับมา
หันไปมองมู่ยู่วฉีแล้วกับหันมองเสี่ยวอวี้หลิน เซี่ยอันนารู้สึกเหมือนเธอเป็นกระจก หันไปมาก็เจอแต่สองคนหน้าเหมือนกัน
“ เขา…… เธอ…… ”
เซี่ยอันนาพูดไม่ออก เสี่ยวอวี้หลินก็เลยอธิบายว่า: ” เขาเป็นคนในรูปถ่าย มู่ยู่วฉี น้องชายของฉันเอง”
อะไรนะ!?
เซี่ยอันนาตะลึงกับคำตอบนี้
มู่ยู่วฉีมองไปที่เซี่ยอันนาด้วยรอยยิ้ม เช็ดมือด้วยทิชชู่แล้วลุกขึ้น ยิ้มให้เธอ: “เธอคือเซี่ยอันนาสินะ โชคดีจังที่ได้เจอเธอ”
เมื่อเห็นมู่ยู่วฉียื่นมือออก เซี่ยอันนาก็ลังเล
เธอไม่รู้ว่าควรจับมือเขาหรือปฏิเสธ
เสี่ยวอวี้หลินถือโอกาสเดินไปขวางดึงเธอไปอยู่หลังเขาแล้วถาม “เธอลืมไปแล้วหรอว่าฉันยังมีน้องชายฝาแฝดอีกคน”
ในขณะที่เสี่ยวอวี้หลินถามเซี่ยอันนา แต่ในความเป็นจริงเขาจ้องมองมู่ยู่วฉี เป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าอย่าทำให้เขาเดือดร้อน
มู่ยู่วฉีรีบให้คำใบ้เสี่ยวอวี้หลิน จากนั้นก็อธิบายกับเซี่ยอันนา: “เพราะเมื่อหลายปีก่อนฉันไปต่างประเทศ ไม่มีโอกาสได้รู้จักเธอดีๆเลย วันนี้กว่าจะได้เจอต้องกินข้าวด้วยกันสักมื้อแล้ว”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่ต้องเกรงใจ แค่มื้อเดียวเอง เดี๋ยวเธอก็หิว”
เซี่ยอันนาตอนนี้ยังมีอารมณ์กินที่ไหนกัน ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าเสี่ยวอวี้หลินกำลังแกล้งตัวเอง!
เซี่ยอันนาหันศีรษะไปมองเสี่ยวอวี้หลินแล้วถามว่า “เธอ……เมื่อกี้ทำไมไม่บอกฉัน?”
“ถ้าบอกเธอก่อน แล้วเธอจะรู้ได้ไงว่าตัวเองเป็นคนอุกอาจขนาดไหน” เสี่ยวอวี้หลินพูดด้วยท่าทางสุภาพ “เธอไม่เชื่อในความรู้สึกของเราก่อนหน้านี้ คนอื่นแค่ยุยงเธอนิดหน่อยเธอก็เชื่อหมด ควรลงโทษดีไหม? ”
เซี่ยอันนารู้ว่าเธอมีความผิด
แต่เธอก็ไร้เดียงสามากเช่นกันและปกป้องตัวเอง: “เรื่องนี้มันมีเหตุผลนิ อีกอย่าง คนในรูปก็คล้ายเธออย่างกับแกะ”
“เป็นฝาแฝดกัน ก็ต้องเหมือนอยู่แล้ว”
หลังจากความตื่นตระหนกชั่วครู่ เซี่ยอันนาก็สงบลงและเริ่มโต้เถียงกับตัวเอง
“แล้วอยู่ดีๆ จะมาส่งรูปพวกนั้นมาทำให้คนเข้าใจผิดทำไม? ฉันโทรหา ยังจะปิดเครื่องอีก จะไม่ให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ยังไง”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้การแสดงออกของเสี่ยวอวี้หลินก็หงอยลงเล็กน้อย
“เรื่องนี้ สงสัยต้องตรวจสอบดีๆแล้ว”
“เธอหมายความว่าอะไร?” เซี่ยอันนาคิดสักพักและถาม “หรือว่ามีคนจงใจส่งรูปนั้นให้ฉัน?”
“ใช่แล้ว”
เซี่ยอันนารู้สึกสับสนและพึมพำ: “ให้ฉันดูรูปพวกนี้แล้ว พวกเขาได้ประโยชน์อะไร?”
“ ได้ประโยชน์? หึ ตอนนี้ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอ”
เสี่ยวอวี้หลินพูดออกมาอย่างเย็นชา แต่เซี่ยอันนาเข้าใจความหมายที่เขาพูด
เซี่ยอันนาก้มศีรษะลงอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า: “เพราะความเอาแต่ใจของฉัน ทำให้ชวูเสวียไปไหนไม่รู้ ขอให้อย่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ไม่งั้น ฉันไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่ยู่วฉีซึ่งถูกทิ้งไว้เป็นเวลานานก็ถามอย่างรีบร้อน: “เกิดอะไรขึ้นกับชวูเสวียหรอ?”
“เธอมาอังกฤษพร้อมกับอันนา แล้วถูกคนจับตัวไป”
“ห้ะ?!”
“เรื่องครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องมีคนตามเรามาอยู่แล้วแน่ๆ”
หลังจากถอดผ้าพันแผลปลอมออกแล้วมู่ยู่วฉีก็พูดว่า: “แล้วมัวรออะไรอยู่ รีบไปหาตัวสิ!”
“หนานกงเจาออกตามหาแล้ว ถ้าได้ข่าว เขาจะรีบแจ้งเราทันที”
“หนานกงเจาเพิ่งมาที่อังกฤษ ไม่คุ้นเคยเหมือนฉันหรอก ถ้างั้น ฉันจะพาคนไปออกตามหาอีก”
ในขณะที่มู่ยู่วฉีกำลังพูด ก็โบกมือเรียกลูกน้อง
แต่ก่อนที่เขาจะออกไป หนานกงเจาก็กลับมาพอดี
เมื่อเห็นสีหน้าของหนานกงเจา เสี่ยวอวี้หลินก็รู้ว่าสถานการณ์ยังไม่ดี
เดินไปหาหนานกงเจา เสี่ยวอวี้หลินถามว่า “ได้ข่าวอะไรไหม?”
แน่นอนว่าหนานกงเจาส่ายหัว
ตบไหล่ของหนานกงเจาเบาๆ เสี่ยวอวี้หลินหันศีรษะและพูดกับคนอื่นๆ : “ไปหาลูซี่กันเถอะ”
“ ไปหาเธอทำไม?”
“เธอขโมยโทรศัพท์มือถือของฉันไป เรื่องรูปเธอก็น่าจะอธิบายได้”
หลังจากพูดจบ ทุกคนก็เดินไปที่ห้องของลูซี่
ลูซี่ตื่นตัวทันที เมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินมา
เปิดประตู ทุกคนเดินเข้าไปในห้อง ลูซี่ก้าวถอยหลังและถามว่า: “พวกเธอจะทำอะไร?”
เมื่อเห็นลูซี่ เซี่ยอันนาก็จำได้ว่าผู้หญิงได้รูปก็คือเธอ
แม้ว่าเธอจะสวมเสื้อผ้า แต่เสื้อก็บางไม่สามาระลถปกปิดเรือนร่างของเธอได้
เซี่ยอันนารู้สึกว่าก็ไม่ต่างจากคนอื่นเท่าไหร่ ก็ใหญ่เหมือนทั่วๆไป
เสี่ยวอวี้หลินนั่งอยู่ตรงข้ามกับลูซี่และพูดว่า: “ไม่ต้องเกรงหรอก แค่มาถามอะไรสักหน่อย”
“ถามอะไร?”
“เธอเอาโทรศัพท์ฉันไปใช่ไหม?”
“ใช่”
“ทำไมต้องขโมยโทรศัพท์?”
“เพื่อให้เป็นหลักฐานว่าเราเคยเป็นอะไรกัน ก็เลยต้องขโมยโทรศัพท์เธอ เพื่อเป็นหลักฐาน”
หลังจากได้ยินคำถามนี้ ดวงตาของลูซี่ก็กะพริบ
เสี่ยวอวี้หลินรู้ว่าลูซี่ต้องรู้อะไรสักอย่าง
เขาไม่ได้ถาม แต่พูดช้าๆว่า: “ในเวลานี้ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอก มีแต่สัญญาทำงานร่วมกันของเราเท่านั้นที่จะช่วยเธอไว้ได้”
ลูซี่รู้ว่าเสี่ยวอวี้หลินพูดถูกและตอนนี้เธอมีทางเดียวที่จะไป ก็คืออยู่เสี่ยวอวี้หลิน
กัดริมฝีปากล่างของเธอเบาๆ และลูซี่ก็พูดว่า “มีคนหนึ่งบอกฉันว่าถ้าฉันช่วยเขาเรื่องนี้ได้ เขาก็จะช่วยฉันกำจัดคู่แข่ง”
“ ในตอนแรก ฉันก็ไม่เชื่อ แต่ต่อมารองประธานที่ต่อต้านฉันมาตลอด จู่ๆก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และลาออกจากการเป็นผู้บริหารของบริษัท ฉันก็เลยเชื่อคำพูดของเขา”
“ฉันเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายและอยากให้เขาช่วยฉันมากกว่านี้ ฉันจึงตัดสินใจร่วมมือกับเขา แต่ว่า คำขอของเขามันแปลกมาก แค่ขโมยโทรศัพท์ของเธอแล้วส่งรูปง่ายๆ”
“ฉันคิดว่าเรื่องมันแค่เรื่องเล็กนิดเดียว เรื่องแค่นี้ให้ใครทำก็ได้ แต่พวกเขาบอกต้องลงมือทำเองเท่านั้น พวกเราแค่ทำงานแลกฉันไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายอธิบายอะไรมาก เพราะงั้นฉันก็เลยไม่ได้ถามอะไร”
“แล้วพวกเธอติดต่อกันยังไง ทางโทรศัพท์หรอ? ”
“ไม่ใช่ ทางจดหมาย”
“จดหมาย?”
คำตอบนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง
ยุคสมัยนี้แล้ว ยังมีคนเขียนจดหมายอีกหรอ ส่วนน้อยมาก
และอีกฝ่ายทำเพื่อรสนิยมส่วนตัวหรือมีจุดประสงค์อะไร?
ภายใต้ความสงสัยของทุกคน ลูซี่ก็พูดต่อว่า
“จะว่าไปแล้ว ฉันก็คิดว่ามันไร้สาระเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ เงื่อนไขที่เขาให้มันก็โดนใจฉันมากแถมยังไม่เป็นอันตรายต่อฉัน แค่งานง่ายๆฉันก็เลยตอบตกลง”
“เธอส่งจดหมายตอบกลับไปที่ไหน?”
“ถนนฟิลิป เลขที่ 234 ฉันไม่ได้เขียนชื่อ หลังจากได้เบาะแสนี้ ทุกคนก็ตกใจ
“ไปกันเถอะ ไปดูที่นั่น”
ก่อนที่เซี่ยอันนาจะจากไปลูซี่ก็ตะโกนออกมา
“ คุณหนูเซี่ยอันนา!”
เซี่ยอันนาหยุดและหันกลับมามองเธอ
เมื่อเห็นสิ่งนี้เสี่ยวอวี้หลินปกป้องเธอ ราวกับว่าเธอกลัวลูซี่จะใช้กลอุบายอะไรหลอกเธออีก
คือเธอนี่เอง……
ลูซี่มองไปที่เซี่ยอันนาที่ผอมและตัวเล็กซล ได้รับการปกป้องอย่างดีจากเสี่ยวอวี้หลิน ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจ
ที่จริง เขาก็มีน้ำใจและห่วงใยคนๆหนึ่งด้วยความจริงใจด้วย
น่าเสียดายที่คนๆนั้นไม่ใช่เธอ
ตอนนี้ลูซี่รู้แล้วว่าเธอสูญเสียทุกอย่างไปแล้ว
ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองบนใบหน้าของเธอ ลูซี่พูดอย่างเรียบง่าย: “ยินดีที่ได้รู้จัก”
เซี่ยอันนารู้สึกอธิบายไม่ถูก
แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร เธอก็ถูกเสี่ยวอวี้หลินพาตัวออกไปซะก่อน
เพราะที่ๆพวกเขาจะไปเป็นสถานที่ที่ไม่แน่นอน เสี่ยวอวี้หลินจึงไม่ปล่อยเซี่ยอันนาไว้ห่างตัว
เซี่ยอันนากังวลมาก แต่เธอก็รู้ด้วยว่าหนทางข้างหน้านั้นอันตรายและการไปของเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่จะกลายเป็นภาระของพวกเขา เธอรออยู่ที่นี่ดีกว่า
หลังจากผู้คนรีบไปยังที่อยู่ที่ลูซี่ให้ไว้ พวกเขาก็พบบ้านที่ว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่
เมื่อมองไปรอบ ๆ มู่ยู่วฉีก็พูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่มานานแล้ว”
“แต่เมื่อไม่นานมานี้มีคนมาที่นี่” ชี้ไปที่ด้านหน้า เสี่ยวอวี้หลินพูดขึ้น “ดูสิโซฟาและเตียงนอนเต็มไปด้วยฝุ่นมีเพียงโต๊ะเท่านั้นที่สะอาดมาก เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนอยู่ที่นี่ ถ้ามีคนอยู่ก็ต้องมีเบาะแสอะไรแน่ๆ”
เสี่ยวอวี้หลินคิดอยู่พักหนึ่งและสั่งคนของเขา: “ไปหารอบๆ ทั่วทุกมุมบ้านว่ามีขยะอะไรไหม”
“รับทราบ”
ผู้คนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเสี่ยวอวี้หลิน ล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและในไม่ช้าพวกเขาก็พบนามบัตร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ที่นี่
เมื่อมองไปที่นามบัตรที่ลูกน้องของเขามอบให้ เสี่ยวอวี้หลินหรี่ตาแล้วดู
มู่ยู่วฉีเอนตัวไปดูและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“นี่แค่นามบัตรของร้านเหล้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ฉันไปบ่อย”
นามบัตรของร้านเหล้า……
เสี่ยวอวี้หลินหยิบมันไว้ในมือดูอย่างละเอียดและพูดว่า “นามบัตรใบนี้เก่าไปหน่อย ดูเหมือนว่ามันจะอยู่ในกระเป๋าของคนนั้นมานาน”
“พูดได้ว่า เขาก็เป็นลูกค้าประจำของร้านนั้นเหมือนกัน ต้องโทรไปจองที่ก่อนที่จะไป”
มู่ยู่วฉีหัวเราะทันทีและพูดอย่างมั่นใจว่า:“ฉันก็เป็นลูกค้าประจำที่นั่นเหมือนกัน รู้จักกับบาร์เทนเนอร์ ถ้างั้น ลองไปถามเบาะแสจากเขาไหม”
“ไม่มีเวลาแล้ว ไปตอนนี้เลย”
เวลานี้ร้านเพิ่งเปิด คงยังไม่มีลูกค้า เสียงก็ไม่ค่อยดังมากด้วย
เมื่อเห็นมู่ยู่วฉี บาร์เทนเดอร์ก็ยิ้มและทักทายเขา
“ คุณมู่ ทำไมวันนี้มาเช้าจัง?”
“วันนี้ฉันไม่ได้มาดื่ม แต่มีเรื่องอยากถามหน่อย”
“ถามมาสิครับ”
“แกอยู่ที่นี่ทุกวัน คงคุ้นเคยกับลูกค้าทุกคนอยู่บ้างสินะ”
“แน่นอนครับ ผมเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ ผมต้องเข้าใจรสนิยมของแขก ถ้าฉันเป็นลูกค้าประจำ ผมก็ยิ่งคุ้นเคย”
“ แล้วใครถนัดซ้าย?”
ในขณะที่มู่ยู่วฉีกกลังคิด เสี่ยวอวี้หลินก็ถามขึ้นมา
อย่างไรก็ตามคำถามนี้ทำให้ทุกคนงุนงงเล็กน้อย
“ คนถนัดซ้าย?”
เสี่ยวอวี้หลินพยักหน้า หยิบนามบัตรออกมาและพูดว่า “ด้านซ้ายของนามบัตรนี้แบน เขาน่าจะถือนามบัตรด้วยมือขวาแล้วกดเบอร์ที่ข้างซ้าย”
อืม สมเหตุสมผลดี
เมื่อบาร์เทนเดอร์เห็นนามบัตรในมือของเสี่ยวอวี้หลิน เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เฮ้ย นามบัตรนี้เป็นนามบัตรเก่าหลายปีก่อน ตอนนี้เปลี่ยนใหม่แล้ว”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเสี่ยวอวี้หลินก็สว่างขึ้นและถามว่า: “ก็พูดได้ว่า เจ้าของนามบัตรนี้ เป็นลูกค้าเมื่อสองปีที่แล้วสินะ?
“ใช่แล้ว”
“ถนัดซ้าย แขกเมื่อสองปีก่อน อาจจะจำได้ลางๆบ้าง คุณคิดว่าเป็นใคร?”
บาร์เทนเดอร์เริ่มครั่นคิด สุดท้าย ก็ให้คำตอบออกมา
“อาจจะเป็นผู้ชายกล้ามใหญ่ที่มีเคราคนนั้น”
“คุณมีข้อมูลติดต่อของเขาไหม?”
บาร์เทนเดอร์ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มี เขาไม่ได้มาที่นี่สักพักแล้ว น่าจะประมาณสองเดือนแล้ว”
“ แล้วเขามีลักษณะอื่นๆไหม เช่นชอบดื่มไวน์อะไร มีงานอดิเรกอะไรบ้าง”
บาร์เทนเดอร์เล่าอย่างจริงจังโดยบอกว่า: “ เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่ มีรอยสักที่แขนและชอบดื่มลอเรลวอดก้า วอดก้านี้ขายในร้านเหล้าทางตะวันออกเท่านั้น ถ้าเขาไม่มาที่ร้าน เขาน่าจะไปซื้อที่นั่น ”
หลังจากได้เบาะแสสำคัญนี้ ทุกคนก็ตกตะลึง
มู่ยู่วฉีตบไหล่บาร์เทนเดอร์ ยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า: “ขอบคุณมากนะ ไว้ฉันจะมาลูกค้ามาอุดหนุนธุรกิจแกเยอะๆ”
เมื่อพูดจบ มู่ยู่วฉีและคนอื่นๆก็ออกจากร้านและตรงไปร้านขายวอดก้า
ร้านขายวอดก้าร้านนั้นหาง่าย ผู้จัดการเป็นชายหนุ่มใส่แว่นและสุภาพบุรุษ
เมื่อเห็นคนเอเชียจำนวนมากกำลังเดินตรงเข้ามาที่ร้าน แววตาของเขาก็อึ้งเล็กน้อย
“ พวกคุณอย่ามาก่อกวนนะ ไม่งั้น ฉันจะแจ้งตำรวจ!!”
ผู้จัดการร้านแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะกดหมายเลข เขาก็ถูกคนของเสี่ยวอวี้หลินจับไว้
เห็นท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว ผู้จัดการร้านก็จนตรอก
มู่ยู่วฉีไล่คนพวกนั้นออกไป จากนั้นเดินไปที่ผู้จัดการร้านด้วยรอยยิ้ม
“คุณไม่ต้องกลัวนะ พวกเราไม่ได้มาหาเรื่อง เราแค่อยากมาถามหาคน”
เมื่อเห็นอำนาจของเขาเมื่อกี้แล้ว ผู้จัดการร้านก็ไม่ขัดขืน รีบพยักหน้าอย่างรีบร้อน
“ลูกค้าที่นี่ มีลูกค้าที่เป็นผู้ชายมีหนวดมีเครา แถมชอบมาซื้อวอดก้าที่นี่บ้างไหม?”
“มีหนวดมีเครา…… ” ผู้จัดการร้านมีปฏิกิริยา พยักหน้าอย่างรีบร้อนและพูดว่า: “คนที่พวกคุณหมายถึง น่าจะเป็นลูกค้าที่เพิ่งออกไปเมื่อกี้”
“เมื่อกี้……”
“ใช่ใช่ เพิ่งออกไปเมื่อห้านาที”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เสี่ยวอวี้หลินและคนอื่นๆก็วิ่งออกไปข้างนอก
เมื่อเห็นทุกคนรีบร้อน เจ้าของร้านก็ตะลึง
เขายังคงถือโทรศัพท์มือถืออยู่ แต่ไม่รู้ว่าควรโทรหาตำรวจไหม
ผู้จัดการร้านคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดที่จะโทรแจ้งตำรวจ
ส่วนพวกเสี่ยวอวี้หลิน พวกเขามองหาชายมีเคราทุกหนทุกแห่งและในที่สุดก็เดินไปเจอกระท่อมไม้หลังหนึ่ง เดินเข้าไปช้าๆ
เมื่อคิดว่าคนนั้นอาจจะอยู่ข้างใน หนานกงเจากังวลมากและพยายามเร่งรีบให้คนข้างในรีบออกมา
แต่คนที่อยู่ข้างในสำคัญมาก ถ้าเขาตาย เบาะแสก็จะหายไปด้วย
ฉันไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลากี่วันในการรวบรวมหลักฐาน ยิ่งนานชวูเสวียก็ยิ่งตกอยู่ในอันตราย
ไม่มีทางเลือกแล้ว มู่ยู่วฉียืนดูหนานกงเจา ห้ามไม่ให้เขาทำอะไรหุนหัน
จนกระทั่ง เสี่ยวอวี้หลินทำสัญญาณมือให้ลูกน้อง พวกเขาทั้งหมดก็พุ่งเข้าไปในกระท่อม
แต่ข้างในว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคน