ฉีฉีตกใจมากและเธอเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันทีที่เธอกำลังจะขยับปากพูดมันกลับเป็นเสียงครวญครางออกมาแทน
การนอนหลับไปเมื่อกี้มันส่งผลดีมากจริงๆ ตอนที่หลับเธอไม่รู้สึกปวดท้องเลยแม้แต่น้อย แต่พอตื่นขึ้นมาท้องมันกลับปวดมากขึ้นมากๆ ปวดขนาดนี้นี่มันจะฆ่ากันชัดชัด!
พอมู่ยู่วฉีได้ยินเสียงของฉีฉี เขาก็เร่งความเร็วในการวิ่งให้เร็วมากขึ้น
พอเจอคุณหมอและพยาบาลเขาก็พูดขึ้นทันทีว่า ” ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง เธอปวดมากถึงขั้นสลบไปแล้วหนึ่งครั้ง ”
” กรุณาส่งผู้ป่วยมาให้กับทางเราด้วยค่ะ เราจะรีบทำการตรวจอาการทันที ”
และเพราะแบบนี้เอง ฉีฉีจึงถูกส่งตัวให้ไปอยู่ในมือหมอ หลังจากนั้นเธอก็หันหน้าไปมองมู่ยู่วฉีที่ตอนนี้สีหน้าของเขาดูกังวลมาก ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนมันก็ไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมจู่ๆถึงได้มีความรู้สึกเหมือนคนที่กำลังจากลากันเพราะกำลังจะตายเนี่ย?
ฉีฉีส่ายหัวไปมาเพื่อที่จะไม่คิดถึงเรื่องอัปมงคลแบบนั้น
หลังจากผ่านการตรวจและการรักษาฉุกเฉิน ก็ได้ทราบถึงผลตรวจของฉีฉี
ก่อนที่จะแจ้งผลตรวจนั้น คุณหมอขมวดคิ้วและสีหน้าท่าทางของคุณหมอจริงจังมาก
ฉีฉีมองดูปฏิกิริยาของเขา เธอรู้สึกเหมือนฟ้ากำลังจะพังทลายลงมาอย่างไงอย่างนั้น
” คุณหมอ ฉันจะตาบไหมคะ? ”
” เธอ……”
” ฮือ ฮือ ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังสาวขนาดนี้ ในอนาคตฉันยังอยากจะเป็นผู้จัดการดาราอยู่นะ ฮือ ฮือ ——-”
คุณหมอยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ ฉีฉีก็คาดการณ์ถึงผลตรวจอย่างน่าเศร้า และเธอก็เศร้าใจมาก
คุณหมอไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่โบกมือไปมาแล้วพูดว่า ” สบายใจได้ เธอไม่ตายหรอก เธอก็แค่กินอาหารไม่ตรงเวลา และจู่ๆก็มากินมากเกินไปอีกทั้งยังกินอาหารดิบอีก เลยทำให้มีอาการลำไส้อักเสบ แค่ฉีดยา กินยา เธอก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ”
ลำไส้อักเสบ……
ผลตรวจนี้มันเปลี่ยนไปกะทันหันมากๆ บนใบหน้าของฉีฉียังคงมีน้ำตาไหลอยู่เลย เธอได้แต่มองหน้าคุณหมอด้วยอาการมึนงง
พอคุณหมอเห็นท่าทีของฉีฉี เขาก็ยิ้มแล้วถามว่า ” เป็นอะไรไป บอกว่าเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ยังไม่สบายใจอีกหรอ? ”
” แน่นอนว่าต้องไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้ว ฉันก็แค่แปลกใจนิดหน่อย ว่าแต่ทำไมเมื่อกี้ท่าทางของคุณหมอต้องจริงจังมากขนาดนั้นด้วย มันทำให้ฉันคิดว่าฉันป่วยเป็นโรคอะไรร้ายแรงสะอีก ”
” คันๆจมูกนิดหน่อย เหมือนจะอยากจามออกมา แต่ก็จามไม่ออกเลย อดไว้มันเลยรู้สึกอึดอัด ”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
เมื่อนึกถึงเรื่องน่าอายที่เธอทำเมื่อกี้ ฉีฉีก็อดไม่ไหวเลยหัวเราะออกมา
แต่ไม่นาน เธอก็ยิ้มไม่ออก
ว่าไม่ได้ ครั้งนี้ที่ฉีฉีมีอาการลำไส้อักเสบมันต้องเป็นสืบเนื่องมาจากการกินอาหารดิบๆพวกนั้นแน่ๆ
ในตอนนั้น มู่ยู่วฉีก็ได้บอกฉีฉีแล้วว่าให้กินน้อยหน่อย แต่ฉีฉีกลับยืนยันว่าไม่เป็นไร
ไม่คาดคิดเลยว่าแค่ในพริบตาเดียว ตัวเธอก็ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล เธอไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาแล้วจริงๆ
ฉีฉียิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหน้าที่จะเจอมู่ยู่วฉีอีกต่อไป
แต่พอไม่อยากเจอใคร คนนั้นก็มักจะมาปรากฏตัวให้เห็นอยู่เรื่อย
ก็เหมือนกับตอนนี้
มู่ยู่วฉีได้ยินมาจากพยาบาลว่าฉีฉีทำการตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเลยมาที่หาเธอที่ห้องผู้ป่วย
แต่พึ่งจะก้าวท้าวเข้ามา มู่ยู่วฉีก็เห็นฉีฉีนั่งหันหลังให้เขา และนั่งขดตัวเป็นรูปกุ้งเชียว
ฉีฉีกำลังแกล้งหลับ แต่โทรศัพท์ของเธอนั้นช่างไม่ให้ความร่วมมือเลย จู่ๆก็ดังขึ้นสะอย่างนั้น
จริงๆเลย!
ฉีฉีบ่นอยู่ในใจคนเดียว จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์
” ฮัลโหล ฉีฉี เธออยู่ไหน? ”
เสียงนั้น มันเหมือนเป็นเสียงของชายใส่แว่น
ไอ้นี่ ตามรังควานไม่เลิก!
ฉีฉีอารมณ์เสียมากๆ เธอเลยโมโหใส่ชายใส่แว่น
” ตอนนี้ฉันจะนอน อย่ามารบกวนฉัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ได้! ”
พอพูดจบ ฉีฉีก็วางสาย จากนั้นก็หลับตานอนต่อ
ที่ฉีฉีพูดแบบนั้น ก็เพื่อให้มู่ยู่วฉีได้ยินและหวังว่าเขาจะออกจากห้องผู้ป่วยไป อย่าได้ถามอะไรเซ้าซี้เลย
แต่น่าเสียดาย ที่คนอย่างมู่ยู่วฉีนั้นเขาไม่รู้จักคำว่าถอย เขาทำเป็นแต่พุ่งชนอย่างเดียว
เขาเดินอ้อมไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉีฉีแล้วยื่นหน้าไปมองเธอจากนั้นก็ยิ้ม
” สีหน้าดีขึ้นมากแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรมากแล้วนะ ”
แต่ว่าฉีฉีกลับไม่ได้ตอบคำถามมู่ยู่วฉี แต่เธอกลับพลิกตัวหันไปอีกด้านหนึ่งแทน
พอเห็นการกระทำของฉีฉีแปลกไป มู่ยู่วฉีก็อึ้งไปสักพักแล้วถามว่า ” เธอเป็นอะไร รู้สึกไม่สบายหรอ? ”
” เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันสบายดี ” น้ำเสียงนั้นมันเหมือนกับว่าส่งสัญญาณให้มู่ยู่วฉีรู้ว่าตอนนี้ฉีฉียังคงเป็นคนป่วยอยู่ เธอต้องการความดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ
พอคิดได้แบบนั้น มู่ยู่วฉีก็มองหน้าเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า ” แต่ว่าสีหน้าเธอยังดูไม่ค่อยดีนัก ฉันคิดว่าเธอควรต้องได้รับการดูแล ”
ฉีฉีเอาผ้าห่มมาปิดหน้าไว้แล้วพูดว่า ” ก็แค่กินมากไปหน่อยจะต้องได้รับการดูแลบ้าอะไร อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่สิ ”
” นี่มันไม่ใช่กินมากไป แต่เธอมีอาการลำไส้อักเสบ อาจจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ อีกทั้งต้องดูแลและจัดการให้ดี ฉันว่านะตอนที่เธออ่านหนังสือทบทวนในมหาวิทยาลัยเธอต้องกินข้าวไม่ตรงเวลาและไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีแน่ๆ ” ทำให้ฉีฉีไม่รู้สึกอายในเรื่องนี้มากเท่าไหร่
พอได้ยินคำพูดของมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็โผล่หัวออกมาจากผ้าห่มแล้วพยักหน้าจากนั้นพูดว่า ” ใช่ ทบทวนและเรียนหนักไปหน่อยจนบางทีก็ลืมกินข้าวไปบ้าง ”
” เธอเนี่ย อยากเอาแต่คิดว่าตัวเองยังสาว แล้วอาเรื่องสุขภาพมาล้อเล่น มันไม่คุ้มหรอกนะ ฉันนะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาโดยตรงเลยแหละ ”
ฉีฉีลืมเรื่องที่เธออายและกังวลไปทันที เธอมองหน้ามู่ยู่วฉีด้วยความอยากรู้แล้วถามว่า ” แต่ก่อนคุณก็เคยป่วยเป็นลำไส้อักเสบหรอ? ”
” ไม่ใช่ แต่ก็เกือบๆ ก็เป็นเพราะว่างานยุ่งอีกนั่นแหละ ยุ่งจนไม่มีเวลาใส่ใจตัวเอง สุดท้ายก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ช่วงที่นอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล มันก็ทำให้ฉันตระหนักขึ้นได้ว่าชีวิตของเรามีคุณค่ามากขนาดไหน แต่เรื่องหรือสิ่งที่เราพยายามวิ่งตามหามันไม่มีคุณค่าอะไรเลย ”
เขามองฉีฉีด้วยแววตาที่จริงจังมาก มู่ยู่วฉีลูบหัวเธอแล้วพูดว่า ” เธอรู้ไหมเมื่อกี้ตอนที่เธอสลดไปทำให้คนเป็นห่วงมากขนาดไหน? ทำเพื่อคนที่เป็นห่วงเธอ เธอต้องดูแลตัวเองดีๆนะ รู้ไหม? ”
” แล้ว คุณเป็นห่วงฉันด้วยรึเปล่า? ”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ทั้งมู่ยู่วฉีและฉีฉีต่างก็อึ้งไป
ฉีฉีหน้าแดงและเธอก็ก้มหน้าลง เธอรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่จริงๆ ทำไมต้องพูดอะไรบ้าๆแบบนี้ให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัดด้วย? เธอดูสิ มู่ยู่วฉีเงียบไปนานมากแล้วยังไม่ยอมพูดอีก เขาต้องหัวเราะเธออยู่แน่แน่!
ทางด้านของฉีฉีแทบจะอยากเอาหน้ามุดเข้าถ้ำ แต่ทางด้านของมู่ยู่วฉีนั้นหลังจากที่เขาคิดทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วยแล้ว เขาก็พยักหน้าแล้วพูดว่า ” แน่นอนว่าฉันต้องเป็นห่วงเธออยู่แล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ”
คำพูดของมู่ยู่วฉีทำให้ฉีฉีหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก แต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะความอาย แต่เป็นเพราะความเขินต่างหาก
ฉีฉีบอกกับตัวเองว่าอย่าคิดไปไกล เขาแค่พูดเพราะเกรงใจ เตือนตัวเองอย่าจริงจังกับมัน
แต่ฉีฉีก็เผลอยิ้มออกมา” ฉีฉี? ”
มู่ยู่วฉีเห็นว่าฉีฉีเงียบไป และเอาแต่ก้มหน้า เขาก็ไม่เห็นสีหน้าของฉีฉีในตอนนี้ก็คิดว่าเธอปวดท้องขึ้นมาอีก เขาเลยตะโกนเรียกชื่อเธอ
ฉีฉีรีบเก็บอาการ และทำราวกับว่าเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพูดด้วยท่าทีแกติว่า ” อ้อ คือว่า คุณหมอบอกว่าฉันออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ฉันอยากกลับไปที่โรงเรียนสะหน่อย ”
” กลับไปตอนนี้เลยหรอ? แต่ว่าสภาพเธอแบบนี้ ฉันไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เอาแบบนี้ละกัน เธอไปพักอยู่กับฉันสักหนึ่งคืน จะได้กินยาและรีบพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยกลับแล้วกัน ”
ไปที่ห้องมู่ยู่วฉีอีกแล้วหรอ……
ฉีฉีก้มหน้าและลังเล แต่มู่ยู่วฉีกลับยิ้มและดีดหน้าผากเธอเบาๆหนึ่งทีจากนั้นก็พูดว่า ” เฮ้ ทำไมเธอเงียบไปละ? ”
ฉีฉีเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า ” ฉันกำลังคิดอยู่ว่ามันจะเป็นการรบกวนคุณมากเกินไป ไม่ต้องหรอก ”
” รบกวนอะไรกัน ต่อให้เธอไม่ไป ห้องก็ว่างไม่มีใครอยู่ไม่ใช่หรอ? หรือว่า เธอกลัวว่าฉันจะรบกวนเธอ ”
ฉีฉีหัวเราะ ” หึหึ ” อยู่ในใจ และบ่นพึมพำคนเดียวว่า ” ฉันไม่ได้กลัวว่าคุณจะรบกวนฉัน แต่ฉันกลัวว่าฉันจะรบกวนคุณ……”
” เธอพูดว่าอะไรนะ? ”
พอรู้ตัวว่าตัวเองพูดความในใจออกมา ฉีฉีแทบจะอยากกลืนลิ้นตัวเองให้ลงท้องไปเลย
จริงๆเลย ปัญหามันอยู่ที่ลำไส้ แต่ทำไมถึงเบลอไปถึงสมองได้สะอย่างนั้น?
ฉีฉีหลับตาลงแล้วส่ายหัวจากนั้นก็พูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า ” ไม่มีอะไร ”
” ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามแบบที่ฉันพูดนะ ไปพักที่ห้องฉันก่อนกนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่มหาวิทยาลัย ”
พอพูดเสร็จ มู่ยู่วฉีก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยไปเพื่อไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย
และฉีฉีนอนอยู่บนเตียง เธอแทบจะอยากขุดหลุมแล้วฝังตัวเองเข้าไป
…….
ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่พอตอนที่ฉีฉีได้นอนบนที่นอนนุ่มๆ เธอก็รู้สึกสบายและมีความสุขมากๆ
เฮ้อ ถึงยังไงเตียงใหญ่ๆมันก็สบายกว่าจริงจริง!
ฉีฉีพักอยู่กับเซี่ยอันน่าอยู่ช่วงหนึ่ง เธอคุ้นเคยกับเตียงใหญ่ๆนุ่มๆ
แต่หลังจากที่เซี่ยอันน่าแต่งงานไป ฉีฉีก็ย้ายกลับไปนอนหอใน เตียงที่ทั้งแคบและเล็กแบบนั้นมันทำให้ฉีฉีไม่สบายเนื้อสบายตัวเลย
รู้สึกดีมากที่ได้กลับมามีความสุขบนเตียงที่ทั้งใหญ่และนุ่มอีกครั้งในวันที่ป่วยแบบนี้!
ฉีฉีที่ตอนนี้ลืมเรื่องที่ไม่สบายใจทั้งหมดไป ใบหนาของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
ก๊อก ก๊อก ——
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะความสุขของเธอ ทำให้เธอกลับสู่โลกแห่งความจริงทันที
” ฉีฉี หลับรึยัง? ”
ฉีฉีรีบเก็บอาการที่มีความสุขแบบออกนอกหน้าของเธอแล้วตอบว่า ” ยังเลย ”
พอได้ยินคำตอบของฉีฉี มู่ยู่วฉีก็เปิดประตูและเดินเข้ามา
” ในเมื่อยังไม่นอน ก็กินโจ๊กร้อนๆสักหน่อยนะ ” ในสายตาฉีฉี จริงๆแล้วที่มู่ยู่วฉียกโจ๊กเข้ามาให้เธอกิน มันเหมือนกับว่าเขาอยากจะพูดว่า ” เธอในตอนนี้ยังไม่ควรจะกินอาหารพวกเนื้อสัตว์หรืออาหรมื้อใหญ่ เธอควจจะกินอาหารอ่อนๆไปก่อน ”
ฉีฉีมองไปที่โจ๊กแล้วถามว่า ” คุณทำเองหรอ? ”
” อือ ”
” คุณต้มโจ๊กเป็นด้วยหรอ? ”
ท่าทีและน้ำเสียงของฉีฉีทำให้มู่ยู่วฉีขำและหัวเราะออกมา จากนั้นก็ถามว่า ” ทำไม เธอคงคิดว่าฉันเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างอย่างนั้นสินะ? ”
ฉีฉีรีบปฏิเสธ ” ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น เพียงแต่ฉันคิดว่าคุณคงเป็นคนที่ใส่สูทเดินไปสั่งอาหารในห้างสรรพสินค้า แต่ว่าตอนนี้คุณใส่ชุดธรรมดาและสวมผ้ากันเปื้อน อีกทั้งจะทำโจ๊กอีก ภาพลักษณ์ของคุณมันเปลี่ยนไปเร็วไปหน่อย ”
มู่ยู่วฉียื่นมือไปลูบผมฉีฉีแล้ว ยิ้มแล้วพูดว่า ” เอาเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว รีบกินโจ๊กแล้วกินยา ละก็รีบพักผ่อนสะ ”
” อือ ”
ฉีฉีหยิบช้อนตักโจ๊กกิน กินไปเพียงไม่กี่คำ โทรศัพท์เธอก็ดังขึ้น
หยิบออกมาดู ที่แท้ก็เย่ชูวเสวียโทรมานี่เอง
เดิมทีฉีฉีก็แปลกใจ ทำไมเย่ชูวเสวียถึงได้โทรหาตัวเองในเวลาแบบนี้
แต่พอลองนึกดูดีๆ เธอก็รีบเขกหัวตัวเองหนึ่งที
แย่แล้ว จริงๆวันนี้เธอต้องไปทำงานที่ร้านขนมหวาน ตัวเธอเองก็ไม่ได้ขอลากับเย่ชูวเสวีย เย่ชูวเสวียต้องกำลังเป็นห่วงเธอมากแน่ๆ
ฉีฉีรับโทรศัพท์และค่อยๆพูดอย่างช้าๆว่า ” คือว่า ชูวเสวีย วันนี้ฉันคงต้องขอลางาน ”
” เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ”
” ฉัน……”
” ฉีฉี โจ๊กวางอยู่นี่นะ คุยโทรศัพท์เสร็จมากินให้หมดนะ ”
” เอ่อคือ ฉัน ”
ฉีฉีพยักหน้าแต่โดยดี จากนั้นก็กำลังจะอธิบายถึงสาเหตุที่เธอลางานให้เย่ชูวเสวียฟังทางโทรศัพท์
แต่ว่าเย่ชูวเสวียกับพูดขึ้นมาก่อน
” คนที่พูดอยู่ข้างเธอเมื่อกี้ คือมู่ยู่วฉีรึเปล่า? ”
” อ้อ ใช่ ”
เย่ชูวเสวียถามอย่างขมวดคิ้วว่า ” ทำไมไอ้เวรนั้นถึงมาอยู่กับเธอได้? ไม่ ต้องพูดว่าทำไมเธอถึงไปอยู่กับเขาได้? ”
” มันเป็นแบบนี้ คือวันนี้ฉันกับคุณมู่ออกไปกินข้าวด้วยกัน สุดท้ายฉันกลับมีอาการลำไส้อักเสบ หลังจากที่ไปโรงพยาบาลมา คุณมู่เสนอให้ฉันพักอยู่กับเขาก่อน พรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่โรงเรียน ”
” แล้วเธอก็เชื่อเขาง่ายๆอย่างนั้นหรอ? ”
” ใช่ ”
เย่ชูวเสวียกุมขมับ
ยัยบื้อนี่ นี่มันเป็นการเข้าถ้ำเสื้อชัดๆ แค่ป่วยเป็นเรื่องจิบๆ แต่การอยู่กับมู่ยู่วฉีนี่สิที่เป็นเรื่องอันตราย!
แต่ว่าคำพูดพวกนี้มันไม่เหมาะที่จะพูดกับฉีฉี ต้องไปคุยกับมู่ยู่วฉีจะดีกว่า
เย่ชูวเสวียถอนหายใจเบาๆแล้วพูดว่า ” ในเมื่อไม่สบาย ก็พักผ่อนแล้วกัน หายดีแล้วค่อยมาที่ร้านขนมหวาน ”
” อือ ได้ ”
หลังจากวางสาย เย่ชูวเสวียก็โทรหามู่ยู่วฉีทันที
พอมีสายเรียกเข้า มู่ยู่วฉีก็หัวเราะชอบใจ
” ฮัลโหล? ”
” มู่ยู่วฉี นายเคยรับปากฉัน จะไม่ทำอะไรฉีฉีไง! ”
” ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอสักหน่อย ฉันกำลังดูแลเธอต่างหาก ไม่ว่ายังไง ฉีฉีก็เป็นคนของเธอ ฉันเห็นว่าเธอไม่สบายจะให้ฉันทำเป็นไม่เห็นแล้วเมินใส่ก็คงไม่ได้หรอกใช่ไหม? ”
” เหอะ อย่ามาแสร้งทำเป็นคนดีต่อหน้าฉัน นายคิดว่าฉันไม่รู้จักนิสัยของนายหรือยังไง? ” ฉันขอเตือนนายเลยนะ ฉีฉีก็แค่ผู้หญิงซื่อบื้อคนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่ทำให้นายตื่นเต้นหรอก นายห้ามยุ่งกับเธอเด็ดขาด ”
” ชูวเสวีย นี่เธอคิดว่าคนอย่างมู่ยู่วฉีมันเหมาะสมกับพวกผู้หญิงแรงๆร้ายๆอย่างนั้นหรอ ฉันจะหาผู้หญิงดีๆสักคนมาร่วมใช้ชีวิตด้วยกันไม่ได้เลยใช่ไหม? ”
คำถามที่จริงจังของมู่ยู่วฉีทำให้เย่ชูวเสวียอึ้ง
เย่ชูวเสวียยังไม่ทันตอบ มู่ยู่วฉีก็ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า ” ก็ใช่สินะ ในสายตาเธอ ผู้ชายเจ้าชู้อย่างฉันต้องเอาแต่ทำร้ายคนอื่นอยู่แล้ว ฉันคงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ใช้ชีวิตแบบสงบสุขแบบคนอื่นสินะ เธอสบายใจได้ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก ให้เธอพักที่นี่หนึ่งคืน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันก็จะส่งเธอกลับมหาวิทยาลัย ”
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วอย่างมึนงงแล้วถามว่า ” มู่ยู่วฉี นายไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม? ”
” ฉันสบายใจ หลายปีมานี้ ฉันชินแล้วละกับการที่โดนพวกเธอเข้าใจผิด ”
” ทำไมรู้สึกว่าวันนี้นายแปลกๆไป? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับนายหรือเปล่า หรือว่าเป็นเรื่องในบริษัท?”
” ไม่มีอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็แค่อยากพูดบางอย่างกับเธอก็แค่นั้นเอง ช่างเถอะ วางได้แล้ว ”
ในขณะที่พูด มู่ยู่วฉีก็วางสาย เหลือเพียงเย่ชูวเสวียที่มองโทรศัพท์ในมือด้วยความสับสนมึนงง
หรือว่า เมื่อกี้เธอพูดแรงเกินไป?
ตอนที่เย่ชูวเสวียกำลังสับสนมึนงง เธอเงยหน้าขึ้นมองปฏิทิน จากนั้นก็ขยี้ตา
” มู่ยู่วฉี เกือบจะพูดคำพูดบ้าๆพวกนั้นของนายแล้วเชียว! ”
ที่แท้ ทุกวันที่หนึ่งของทุกเดือนจะเป็นวันโกหกของมู่ยู่วฉี มันเป็นเทศกาลที่เข้าสร้างขึ้นมาเองเพื่อหลอกลวงคนอื่น
และคำพูดบ้าๆพวกนั้น ก็เป็นคำพูดที่หลอกลวงของมู่ยู่วฉีที่แต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น
โชคดีนะที่เย่ชูวเสวียรู้ทันสะก่อน ไม่อย่างนั้นคงโดนมู่ยู่วฉีหลอกสะแล้ว
เย่ชูวเสวียจับโทรศัพท์ไว้ในมือและรู้สึกโมโหมากๆ
อีกด้านหนึ่งทางด้านมู่ยู่วฉี เขายืนเอามือจับกรอบหน้าต่าง และมองวิวทิวทัศน์ข้างนอกด้วยแววตาที่ลึกซึ้งมาก
……
หลังจากได้พักผ่อนมาหนึ่งวันเต็มๆ อาการของฉีฉีดีขึ้นมาก
แต่ว่าสีหน้าของเธอยังคงซีดเซียวอยู่เล็กน้อย และไม่ได้รู้สึกอยากอาหารมากนัก และแววตาที่สดใสของเธอ ก็หม่นหมองลงไปเยอะพอสมควร
มู่ยู่วฉีส่งฉีฉีกลับไปยังมหาวิทยาลัย และกำชับให้เธอให้กินยาตรงเวลาด้วย
ฉีฉี——ตอบตกลง จากนั้นก็โบกมือลามู่ยู่วฉีแล้วพูดว่า ” ไม่ทันแล้วจะสายแล้ว ฉันต้องไปเข้าเรียนแล้ว เรื่องเมื่อวานขอบคุณคุณมากนะ ”
มู่ยู่วฉียิ้มแล้วพูดว่า ” กับฉันเธอไม่ต้องเกรงใจมากขนาดนั้นก็ได้ ไปเถอะ รีบไปเข้าเรียนได้แล้ว ”
ฉีฉียิ้ม แล้วหันหลังเดินเข้าประตูมหาวิทยาลัยไป